หลวงปู่ชา : เกล้ากระผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ ไม่รู้จะปฏิบ้ัติอย่างไร มีความสงสัยมาก ยังไม่มีหลักในการปฏิบัติเลย
.
หลวงปู่มั่น : มันเป็นยังไง
.
หลวงปู่ชา : ผมหาทางปฏิบัติ ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่า มันไปไม่ไหวเสียแล้ว เนื้อความในสีลานิทเทส สมาธินิทเทส ปัญญานิทเทสนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของมนุษญ์จะทำได้ ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่วโลกนี้ มันจะทำตามไม่ได้ครับ มันยาก มันลำบาก มันเหลือวิสัยจริงๆ
.
หลวงปู่มั่น : ท่าน ของนี้มันมากก็จริงอยู่ ถ้าเราจะกำหนดทุกๆ สิกขาบทในสีลานิทเทสนั้นนะมันก็ลำบาก แต่ความจริงแล้ว
สีลานิทเทสก็คือสิ่งที่บรรบายออกมาจาก " ใจ "
ของคนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราอบรมจิตของเราให้มีความละอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมด เราก็จะเป็นคนที่สำรวมสังวรระวัง เพราะมีความละอายและเกรงกลัวต่อความผิดเมื่อเป็นอย่างนั้น
ก็จะเป็นเหตุให้เราเป็นคนมักน้อย และสติก็จะกล้าขึ้น จะยืน จะเดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีติเต็มเปี่ยมเสมอ ความระวัง มันก็เกิดขึ้นอะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือน่ะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น
ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป ดังนั้นท่านจงรวมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ อย่าไปพูด อย่าไปละเมิดมัน
.
คืนนั้นหลวงปู่ชานั่งฟังธรรมร่วมกับศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่ผาง หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หลอด หลวงปู่ศรี จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน จิตใจเกิดความสงบ ระงับเป็นสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อันตรธานไปสิ้น.