รู้แล้วจะอึ้ง!! ความเข้าใจผิดใน วิชาไสยศาสตร์ ที่คนทั่วไปไม่รู้ ”แต่คุณจะได้รู้เกี่ยวกับข้อมูลนี้” เดรัจฉานวิชา!!
ความเข้าใจผิดในวิชาไสยศาสตร์ ที่คนทั่วไปไม่รู้ จะนำมาให้ทุกคนได้รับทราบกัน
เหตุที่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะสมัยนี้คนไม่เข้าใจวิชาไสยศาสตร์ โดยเฉพาะไสยศาสตร์ด้านเสน่ห์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นศาสตร์ลามก
ที่จริงแล้วผู้ปฎิบัตินั้่นแหละลามก ตัววิชาไม่ได้ลามกเสื่อมเสียเลย เพราะคนทั้งหลายไม่รู้และเข้าใจในวิชาต่างๆเหล่านี้ จึงต้องเสียตัวเสียเงินให้กับหมอเสน่ห์ ที่ไม่มีคุณธรรมเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ทั้งลือกันไปต่างๆ นานา ว่าถ้าฝึกวิชาไสยศาสตร์มากๆ แล้วจะเป็นบ้าบ้าง ร้อนวิชาบ้าง เป็นเหตุให้คนทั้งโลกประณามวิชาไสยศาสตร์ว่าเป็น”เดรัจฉานวิชา ทั้งที่จริงๆแล้ว”เดรัจฉาน”แปลว่า”ขวาง”
“เดรัจฉานวิชา”จึงแปลว่าวิชาที่ขวางทางไปพระนิพพาน กล่าวถึงที่สุดคือเรียกว่า”อวิชชา”คือความไม่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้ววิชาที่ไม่เป็นเดรัจฉานวิชานั้นมีเพียงวิชา สมถะกรรมฐานและวิชาวิปัสสนากรรมฐาน เพียงสองวิชาเท่านั้น ที่จะทำให้สัตว์โลกไม่ติดกับกิเลส ไม่ติดในกองทุกข์ และไม่ติดอยู่ในโลก
ส่วนวิชาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิชาคณิตศาสตร์ การเงิน การบัญชี วิทยาศาสตร์ กราฟฟิคดีไซด์ การทหาร ศิลปะศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้สัตว์ติดอยู่ในโลก ต้องคอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หลงติดอยู่ในอำนาจ คอยแต่จะประหัตประหารกัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน ข่มเหงรังแกมนุษย์ด้วยกันตลอดจนถึงสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ก็ถูกมนุษย์รังแกอย่าง แสนสาหัส ซึ่งวิชาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น เป็นอวิชชาทั้งหมด เพราะทำให้สัตว์ติดอยู่ในโลกติดอยู่ในสงสาร วนเวียนแบบนี้เรื่อยไปนับเป็นกัปล์ เป็นอสงค์ไขย มนุษย์ทั้งหลายก็ยังคงสรรเสริญความรู้เหล่านี้ว่าดีเลิศประเสริฐศรี ปล่อยให้กิเลสมันหลอกอยู่อย่างนี้มาตลอด วิชาไสยศาสตร์เสียอีกที่ชักนำให้ต้องฝึกสมาธิ ใช้สมถะกรรมฐานเป็นบาทฐานแห่งพลังจิต เหมือนหลอกเด็กว่าจะให้กินขนม แต่ต้องกินยาเสียก่อน คือต้องฝึกสมาธิก่อนแล้วค่อยใช้คาถาอาคมจึงจะได้ผล ต้องทำจิตให้เข้าถึงคุณพระเสียก่อนจึงจะสามารถดึงแรงครูมาใช้ให้เกิดฤทธิ์ได้ สอนให้ศิษย์เจริญอานาปานสติภาวนามัยอยู่เสมอ ระลึกถึงคุณพระเสมอ จิตของศิษย์ก็จะอ่อนน้อมเข้าสู่กระแสธรรมเองโดยอัตโนมัติ และยิ่งมีกำลังสมาธิสูงมากเท่าไหร่ คุณธรรมในใจที่เพาะบ่มในใจก็จะเติบโตขึ้นมาเท่านั้น จนท้ายที่สุดก็จะละวางวิชาไสยศาสตร์ลงไปเองโดยปริยาย และจะฝึกเพื่อละวางกิเลสโดยตรงอย่างเดียว เท่าที่เห็นครูบาอาจารย์ทางไสยศาสตร์หลายๆท่านก็จะเป็นไปตามนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี,อ.ฟ้อน ดีสว่าง,อ.เทพย์ สาริกบุตร,หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท ฯลฯ เพราะว่าพระนิพพานเป็นปลายทางของทุกคน
ศาสนากับไสยศาสตร์มีความคล้ายคลึงกันหลายประการ โดยเฉพาะศาสนาแบบชาวบ้าน ซึ่งมีการผสมผสานความเชื่อต่างๆ เข้าด้วยกัน ศาสนา และไสยศาสตร์ เชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ มีพิธีกรรมหลายอย่างที่คล้ายกัน การปฏิบัติในชีวิตประจำวันในหลายๆ กรณีก็ไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่างศาสนากับไสยศาสตร์ที่สำคัญ คือ
ศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อเป้าหมายสูงสุด อันได้แก่ ความหลุดพ้นจากทุกข์ ความสุขอันสมบูรณ์ เมื่อจากโลกนี้ไป เป็นคำอธิบายถึงสาเหตุแห่งทุกข์และแนวทางปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์นั้น ซึ่งจะต้องปฏิบัติทุกวัน จนตลอดชีวิต ไสยศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการควบคุมอำนาจอันลึกลับ ซึ่งเชื่อว่า มีอยู่ในโลก ในธรรมชาติ และในจักรวาล เพื่อให้อำนาจนั้น บันดาลให้เกิดผลที่พึงปรารถนา เช่น การรักษาโรค การทำเสน่ห์ยาแฝดให้ผู้คนหลงใหล การสักลายต่างๆ เพื่อความอยู่ยงคงกะพัน การแขวนวัตถุมงคล เพื่อให้พ้นภัย การทำอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ การท่อง บ่นคาถา เป็นต้น
ไสยศาสตร์มีทั้งไสยศาสตร์ขาว ซึ่งเป็นวิธีการให้เกิดผลดี โชคลาภ และสิริมงคล เช่น การ รักษาโรคต่างๆ มีไสยศาสตร์ดำ ซึ่งกระทำ เพื่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้อื่น เช่น การเสกตะปูเข้าท้อง การทำร้ายด้วยเวทมนตร์คาถา เป็นต้น จะเท็จจริงแค่ไหน เป็นเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากยังเชื่อกันอยู่ ไสยศาสตร์จึงเป็นเรื่องการใช้อำนาจลึกลับ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า ให้ได้สิ่งของต้องประสงค์ ไม่ใช่วิถีปฏิบัติ เพื่อผลระยะยาว ที่ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และเพื่อความหลุดพ้น ไสยศาสตร์ยังอยู่ในความโลภ และความปรารถนา สำหรับตน แม้อาจจะแก้ปัญหาระยะสั้นได้ แต่ไม่อาจจะช่วยให้พ้นทุกข์ในระยะยาวได้ ศาสนาสอนให้มีความอ่อนน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างสม่ำเสมอ ไสยศาสตร์ทำให้คนเชื่อว่า ตนเองมีอำนาจในการควบคุมอำนาจลึกลับต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตน การปฏิบัติศาสนากลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไป เมื่อคนปฏิบัติศาสนา โดยคิดแบบไสยศาสตร์ ปฏิบัติเพื่อผลเฉพาะหน้า บนบานขอโชคลาภ เช่น การแขวนพระ น่าจะมีความหมายเพียง เพื่อเตือนสติให้รำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คนจำนวนมากแขวนพระ เพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ให้พระคุ้มครองรักษา โดยอาจจะไม่เคยคิดถึงพระธรรม หรือรักษาศีลเลย คนที่คิดเช่นนี้ย่อมสงสัยว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดีเสมอไป ทำไมคนชั่วจึงได้ดีมีบ่อยครั้ง คนที่ปฏิบัติศาสนาอย่างถูกต้องจะไม่สงสัยหลักธรรมข้อนี้เลย เพราะเขาทำดีเมื่อใด เขาก็ได้ดีในจิตใจเมื่อนั้น ไม่ได้หวังผลตอบแทนเป็นลาภยศ นอกนั้นชีวิตของเขาที่ประกอบแต่กรรมดี ย่อมเป็นชีวิตที่ดีงามอยู่แล้ว ทุกศาสนาจะมีปัญหาความสับสนระหว่าง ศาสนากับไสยศาสตร์ เพราะศาสนิกจำนวนหนึ่ง ยังคงยึดติดกับความเชื่อ ที่ผสมผสานกับศาสนา ส่วนใหญ่เป็นความเชื่อท้องถิ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องผีมากที่สุด นอกนั้น ถ้าหากความเชื่อในศาสนาไม่แข็งแกร่งพอ ก็ย่อมยังมีความโลภ และความเห็นแก่ตัว วิธีคิดจึงยังคงเป็นไป เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าของตน มากกว่าที่จะคิดถึงคุณค่า ความดีงาม และความหลุดพ้น
|