อภินิหาร พุทธาคม และความศักดิ์สิทธิ์
พระครูภาวนาภิมณฑ์ (หลวงปู่สุข ธมฺมโชโต)
วัดโพธิ์ทรายทอง ตำบลละหานทราย
อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าพ่ออีสานใต้รอดชีวิต
คุณไพโรจน์ ติยวนิช หรือที่รู้จักในนาม เสี่ยไซ เจ้าของสัมปทานป่าไม้ในเขตอำเภอละหานทราย มีกิจการโรงเลื่อยขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักกันดีในเขตอีสาน เสี่ยไซเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่สุขและเป็นอุปถัมภ์วัดโพธิ์ทรายทองมาโดย ตลอด ครั้งหนึ่งเสี่ยไซต้องการที่จะนำรถจักรยานยนต์ที่เสียไปซ่อมที่จังหวัด นครราชสีมา ได้สั่งการให้ลูกน้องนำรถจักรยานยนต์ที่เสียทั้งหมดใส่รถชักลากซุง แล้วเดินทางร่วมไปด้วย ถนนในสมัยก่อนเป็นเส้นทางชักลากไม้ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร บังเอิญคนขับดื่มสุรามาก่อน ขณะขับรถถึงลำน้ำจังหัน ซึ่งเป็นถนนในสมัยก่อนเป็นเส้นทางชักลากไม้ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร ซึ่งเป็นถนนโค้ง คนขับรถได้หักพวงมาลัยหลบรถที่วิ่งสวนทางเสียหลัก รถพุ่งลงไปในลำน้ำจังหัน และจมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เสี่ยไซได้ดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ออกจากตัวรถก่อนหมดสติ และได้ระลึกถึงหลวงปู่สุข ในความรู้สึกของเสี่ยไซได้กล่าวว่าเหมือนมีใครมาฉุดกระชากแขน ดึงให้ออกจากตัวรถ แล้วจึงถีบตัวเองพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้เข้าช่วยเหลือและปฐมพยาบาลทำให้รอดชีวิต ส่วนคนขับรถนั้นเสียชีวิต จากการรอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ เนื่องจากเสี่ยไซมีวัตถุมงคลของหลวงปู่สุขติดตัว และด้วยผลบุญที่ชอบทำบุญและอุปถัมภ์หลวงปู่สุข จึงส่งผลให้รอดชีวิตและปลอดภัย พิสูจน์พระอริยสงฆ์
คุณสุรินทร์ นันทเกียรติวงษา ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว อยู่ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เห็นจะได้ คุณสุรินทร์ ได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือถึงความเป็นพระแท้ซึ่งมีวัตรปฏิบัติอันงดงามและความ ศักดิ์สิทธิ์บางประการของหลวงปู่สุข ก็เกิดความสนใจและอยากพิสูจน์ว่าเป็นความจริงดังที่เขาเล่าลือกันหรือไม่ จึงได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ทรายทอง เพื่อการพิสูจน์ดังกล่าว ได้พบหลวงปู่สุขในขณะนั้น ท่านก็เป็นพระที่มีอายุมากแล้ว และท่านมิได้จำวัดอยู่ภายในกุฏิเหมือนดังเช่นพระภิกษุรูปอื่น ๆ หากแต่ท่านยึดเอามุมหนึ่งของชานศาลาหรือกุฏิราม ซึ่งปัจจุบันได้รื้อไปแล้วเป็นที่จำวัดตลอดจนเป็นที่รับแขกเบ็ดเสร็จในที่ เดียวกันนั้น ที่จำวัดและรับแขกของท่านก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากผ้านวมเก่า ๆ ผืนหนึ่งซึ่งปูแทนเสื่อมีหมอนใบหนึ่ง และมีผ้าขนหนูขนาดใหญ่ผืนหนึ่งซึ่งเก่าคร่ำคร่าจนแลดูไม่อออกว่ามีสีอะไร ใช้แทนผ้าห่มเท่านั้น ส่วนมุ้งนั้นไม่มี หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้ง ก็เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่คุณสุรินทร์พบเห็นจากการที่ไปนั่งเฝ้า นอนเฝ้าเพื่อพิสูจน์ความเป็นพระแท้ของหลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน ที่หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้งแต่ก็กลับไม่ได้รับการรบกวนจากยุงเลย ตรงกันข้ามกับคุณสุรินทร์ซึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างจากที่จำวัดของหลวงปู่เท่าไรนักกลับถูกยุงกัดเสียย่ำแย่ จากการเฝ้าสังเกตการณ์หลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน คุณสุรินทร์เล่าว่าได้พบเห็นวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุข ดังนี้ – การฉันอาหารหลวงปู่สุขท่านจะฉันเอกาเพียงวันละมื้อ และฉันแบบสำรวมในบาตร – ไม่ว่าใครจะเอาอะไรมาถวายให้ ท่านจะรับไว้ และกองไว้บนหัวนอน อย่างไม่สนใจไยดี และแทบไม่เคยดูเสียด้วยว่าเป็นอะไรบ้าง มีค่าหรือไม่มีค่า ได้ทราบต่อมาภายหลังว่า บรรดาข้าวของที่มีผู้ถวายเมื่อมีจำนวนมากพอสมควร ก็จะมีเณรภายในวัด ตลอดจนฆราวาสที่อาศัยอยู่ในวัดมานำเอาไปใช้ประโยชน์ทีหนึ่ง โดยที่หลวงปู่สุขก็ไม่เคยหวงห้าม ใครอยากได้ท่านก็บริจาคต่อให้หมดไม่มีการหวงแหนเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว – เวลามีผู้ขออนุเคราะห์ให้ช่วยทำน้ำมนต์ให้ ท่านก็จะให้ผู้ซึ่งต้องการอย่างได้นิมนต์ ไปตักน้ำใส่ขันมา แล้วท่านก็จะเอาแท่งดินสอหรือแท่งวัตถุอะไรก็ได้ที่ท่านสามารถหยิบฉวยได้ใน ขณะนั้นขึ้นมาเคาะ ๆ ที่ปากขันน้ำมนต์ เพียงครูเดียวก็เสร็จพิธี โดยที่ท่านมิได้มีการหลับตาทำสมาธิหรือเสกเป่ามนตราใด ๆ ทั้งสิ้น ตลอดจนการจุดเทียนเพื่อหยดน้ำตาเทียนลงไปในน้ำมนต์ก็ไม่มี ซึ่งก็ได้ทราบในกาลต่อมาเหมือนกันว่าน้ำมนต์ของท่านที่เกิดจากการเพียงเอา แท่งดินสอ หรือแท่งวัตถุเคาะที่ปากขันน้ำเท่านั้น มีผู้คนไปใช้ในเรื่อสะเดาะเคราะห์ ตลอดจนอธิษฐานใช้ในสิ่งที่ไม่เกินไปกว่ามนุษย์จะพึงมีได้ ส่วนใหญ่แล้วประสบผลสมตามมุ่งหมายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องการปลุกเสกของดีหรือมงคลวัตถุก็เช่นกัน เท่าที่ทราบจากการบอกเล่าของหลาย ๆ ท่าน ต่างกล่าวตรงกันว่าหลวงปู่สุขท่านไม่เหมือนใคร คือเวลามีใครเอามงคลวัตถุให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ท่านก็จะพียงจับ ๆ แตะ ๆ หรือ หยิบมงคลวัตถุเหมือนดังเช่นพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่โดยทั่วไป จะมีก็แต่เพียงในระหว่างที่หยิบหรือแตะวัตถุมงคลนั้น หลวงปู่สุขจะภาวนาคาถาซึ่งก็ฟังไม่ถนัดนัก เพราะท่านว่าของท่านแต่เพียงเบา ๆ แบบในใจเสียมากว่า ท่านทำของท่านดังที่ว่านี้อยู่เพียงแต่ท่านหยิบ ๆ แตะ ๆ และภาวนาคาถาโดยที่ตาของท่านยังลืมมองของที่อยู่ตรงหน้า ว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอนุภาพคุ้มครองป้องกันอันตรายได้ แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อย ได้พบประสบความศักดิ์สิทธิ์ในมงคลวัตถุของท่านและหลายคน ในขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่สามารถยืนยันเรื่องดังกล่าวได้ วันทั้งวันหลวงปู่ท่านแทบไม่เคยลุกจากที่จำวัดไปไหนเลย ตลอดระยะเวลาสามวันที่ นั่งเฝ้าดูท่านท่านไม่เคยเข้าห้องสุขาและไม่สรงน้ำให้เห็นเลย ย่างเข้าวันที่สามก็เลยเกิดอยากจะพิสูจน์ขึ้นมาว่า หลวงปู่ท่านไม่อาบน้ำท่านจะมีกลิ่นตัวหรือไม จึงถือวิสาสะคว้าแขนท่านมาดมเอาดื้อ ๆ คุณสุรินทร์ก็ต้องแปลกใจที่หลวงปู่สุขท่านไม่มีกลิ่นตัวเลย และเมื่อได้เห็นผิวเนื้อของท่านอย่างใกล้ชิดก็พบว่า ผิดแปลกจากคนชราโดยทั่วไปตรงที่ว่าผิวของท่านผ่องใสเป็นยองใย ตลอดเวลาที่นั่งสังเกตการณ์คล้ายดั่งหนึ่ง หลวงปู่จะหยั่งรู้ว่าคุณสุรินทร์จะมาพิสูจน์และลองดีท่าน แต่ก็ไม่เคยแสดงกิริยาโกรธขึ้งหรือขับไล่คุณสุรินทร์แต่อย่างใด ท่านยิ้มแย้มของท่านอยู่ตลอดเวลา ที่คุณสุรินทร์ไปนั่งเฝ้าดูท่าน เท่าที่สังเกตดูท่านเป็นพระที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่เคยดุหรือตำหนิว่าใคร หลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์ ก็ยอมรับว่าหลวงปู่สุขท่านเป็นพระแท้รูปหนึ่ง และมีดีจริงดังคำเล่าลือ จึงได้มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิปัสสนากรรมฐานด้วย ทำให้ได้ทราบในกาลต่อมาว่า หลวงปู่สุข ท่านเป็นพระที่ ทรงอภิญญารูปหนึ่ง
คุณสุรินทร์
|