ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 9158
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ต้องฝังข้าให้ฟ้าคำนับ

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-2 09:42

พลัง ลึกลับ อยู่ที่ สุสาน ฮ่องเต้ จีน

สุสานฮ่องเต้
สุสานใหญ่มโหฬารที่สุดในโลก
สุสานของพระเจ้าฉินซีฮ่องเต้ ฉินหวางหลิน

                            เมื่อ วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 4.30 น. เวลาประเทศจีน ประเทศอเมริกาได้ส่งยานกระสวยอวกาศของยาน อะพอลโล่ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกเข้าสู่ห้วงอวกาศ นักบินอวกาศ นิล อาร์มสตรองค์ ได้ส่งสายตามองลงมายังพื้นโลก เขาได้เห็นปิรามิดของประเทศอียิปต์โบราณ เห็นแนวกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่





                        แต่ ทันใดนั้น ที่ประเทศจีนตามแนวฝั่งของแม่น้ำ ฮวงโห ปรากฏว่ามีขีดเป็นขีดสีดำขีดอยู่ 9 ขีด เรียงรายไปตามแนวฝั่งแม่น้ำ ทีแรกเขาเข้าใจว่า นี่คงเป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงของค่ายคอมมิวนิส แห่งประเทศม่านไม้ไผ่ ด้วยเหตุที่ว่า ขณะนั้นมีการถ่ายทอดสดออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุและทางโทรทัศน์ กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก เขาจึงไม่กล้าส่งข่าวนี้โดยตรง ไปยังศูนย์อวกาศขององค์การนาซ่า แต่เขาได้ส่งข่าวนี้ตรงไปยังประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกาแทน

                       นีล อารมสตรองค์ ได้เก็บข้อมูลที่สงสัยนี้เป็นความลับตลอดมาเป็นเวลา 10 กว่าปี จนกระทั่งประเทศจีนและประเทศอเมริกา ได้มีการเปิดสัมพันธ์ไมตรีเป็นมิตรต่อกัน มีการแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนะธรรมและทางการทูต นีล อาร์มสตรองค์ ได้มีโอกาสเป็นแขกรับเชิญของรัฐบาลจีนไปเยือนประเทศจีน ภายหลังกลับจากการเที่ยวเตร่ชมกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่ นีล อาร์มสตรองค์ ได้เอ่ยปากขอร้องต่อเจ้าหน้าที่ต้อนรับฝ่ายจีนว่า ขอให้พาไปชมท่องเที่ยวยังสถานที่ ณ บริเวณจุดตัดระหว่างของเส้นรุ้งที่ 107 องศา 38 ลิปดาตะวันออก และของเส้นแวงที่ 34 องศาเหนือ

                      อัน เป็นบริเวณที่ นิล อาร์มสตรองค์ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน คงไม่ยอมให้เข้าไปเด็ดขาด ต่อเมื่อ นีล อาร์มสตรองค์ ได้รับการอนุญาติและถูกพาไปยังสถานที่ดังกล่าว ปรากฏว่าเป็นบริเวณที่ราบสูง หวงถู่ (อึ่งโท้ว) ซึ่งแปลว่าดินเหลือง ในมณฑลซ่านซี

                 เขาได้เห็นหลุมฝังศพของกษัตริย์จีนโบราณ จำนวนมากกว่า 20 หลุม เขาจึงได้เข้าใจประดุจตื่นจากความฝันว่า ที่แท้จริงบริเวณขีดสีดำ 9 ขีด ที่เขามองเห็นจากห้วงอวกาศนั้น กลับเป็นบรรดาสุสานของกษัตริย์จีนโบราณนั่นเอง หาใช่เป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศจีนไม่ แต่ความสงสัยเกี่ยวกับพลังอันเร้นลับของบรรดาสุสานโบราณเหล่านี้

                ตาม ที่เขามองจากห้วงอวกาศเป็นแนวสีดำ 9 ขีด ยังฝังประทับใจประทับตาอยู่ในห้วงสมองของเขา นับเป็นความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อของเขามาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้






การที่สุสานของกษัตริย์จีนโบราณ มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและความเชื่อถือต่อชาวโลกเช่นนี้ มีเหตุผลอยู่ 2 ประการคือ

            1. เป็นเพราะเกิดจากพลังอำนาจอิทธิพลของวิชา ฮวงจุ้ย อันเหลือเชื่อ ตามหลักปรัชญาของวิชา ฮวงจุ้ย ศาสตร์ เป็นวิชาที่มีการถ่ายทอดและสืบทอดมาแต่อดีตนับเป็นระยะเวลาหลายพันปี

              2. เป็นเพราะมีการใช้สารเคมี สำหรับเคลือบศพและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บรรจุใส่เข้าไปในสุสาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันยังไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์ได้ ดังเช่นในสุสาน ปิรามิด ของประเทศ อียิปต์โบราณ เพราะฉะนั้นรัฐบาลของประเทศจีนในปัจจุบัน จึงเพียรพยายามอนุรักษ์สุสามโบราณเหล่านี้ไว้ เพื่อรอการพิสูจน์การศึกษาของผู้รู้ต่อไปในภายภาคหน้า


               จริง อยู่ที่ได้มีการขุดค้นสุสานโบราณขึ้นมาแล้วหลายแห่งเพื่อการศึกษาทาง โบราณคดี แต่ยังมีสุสานอีกจำนวนมากที่ยังไม่อนุญาตให้ขุด ด้วยเกรงว่าบรรยากาศของโลกในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยต่อสารเคมีภายในสุสาน ดังเช่นตัวอย่างการขุด ปิรามิด ของสุสานอียิปต์โบราณ ปรากฏว่าเมื่อนำชิ้นส่วนตัวอย่างภายในสุสานออกมายังโลกภายนอก ชินส่วนเหล่านั้นถ้าไม่ระเหยกลายไอก็ละลายกลายเป็นของเหลว จึงยังความเป็นที่สงสัยแก่นักวิทยาศาสตร์ชั้นหลัง

               จีน นับเป็นชาตินักบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่ชำนาญที่สุด และมีอายุอันยาวนานที่สุดตามกาลเวลาของโลกชาติหนึ่ง ยังความเป็นอารยะธรรมที่สืบต่อเนื่องมานานถึง 5,000 ปี และมีการใช้สืบเนื่องต่อกันๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันเป็นอารยะธรรมที่ไม่ตาย ยังหายใจอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับอารยะธรรมโบราณของชนชาติโบราณหลายประเทศ เช่น กรีก โรมัน อียิปต์ เมโสโปเตเมีย อินคา และของอินเดียบางแห่ง

โดยเหตุที่ว่า จีน มีความได้เปรียบทางด้านอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมทางภาษาต่อชนชาติอื่นหลายประการคือ

          1. จีน สามารถผลิตกระดาษหรือวัสดุสำหรับการขีดเขียนมาตังแต่ยุคราชวงศ์ ฮั่น แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีการบันทึกแกะสลักจารลงบนแผ่นไม้ไผ่ ไม้ ภาชนะ อิฐ ดินเผา และเศษกระดูก

           2. จีน สามารถผลิตกระดาษ พู่กัน หมึก และจานฝนหมึก สำหรับบันทึกเขียนหนังสือหรือวาดรูป เป็นเครื่องมือที่สะดวกมากสำหรับการบันทึกทางประวัติศาสตร์

           มี ความสงสัยมานานแล้วว่า ประเทศไทยมีสัมพันธ์ไมตรีติดต่อกับจีน ทั้งทางด้านการค้าการพาณิชย์และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนะธรรมตั้งแต่เริ่มแรก ที่ ไทยเรามีประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งยุคกรุงสุโขทัย ในราชวงศ์พระร่วง ตรงกับแผ่นดินจีนในยุคราชวงศ์ หยวน ในยุคสมัยของพระเจ้า กุปไลข่านฮ่องเต้

            ซึ่ง จีนได้มีการผลิตกระดาษหมึกพู่กันใช้มาก่อนหน้าพันปีที่แล้ว แต่ทำไมจีน จึงไม่นำกระดาษหมึกพู่กันเครื่องมือการเขียนบันทึกมาเผยแพร่แก่ทางกรุง สุโขทัยบ้าง ทั้งๆ ที่ไทยเราก็มีวัฒนะธรรมทางภาษาและอักษรศาสตร์อยู่แล้ว ถึงแม้จะนำเอาวัฒนะธรรมของชนชาติอื่นมาปนในการใช้บ้างก็ตาม

              หรือ ว่า จีน ยังคงงกไม่ยอมให้ชนชาติอื่นร่วมใช้กับวัฒนะธรรมจีนอันนี้ แต่นั่นก็ใช่ที่ เพราะถ้ามีการติดต่อกันทางการค้าการพาณิชย์ เขาจะไม่นำเอากระดาษพู่กันและหมึกมาบันทึกอักขระเกี่ยวกับรายการสินค้าที่ ขายออกและซื้อเข้าตามระบบการค้าขายของมนุษย์ชาติหรอกหรือ

             ทำไม พระเจ้ารามคำแหงมหาราช ทรงมาหลังขดหลังแข็งแกะสลักอักษรไว้บนศิลาจารึกให้คนรุ่นหลังอ่าน ศิลาจารึกของพระเจ้า รามคำแหง เป็นจริงหรือเท็จ ยังเป็นที่สงสัยแก่นักประวัติศาสตร์ไทยบางท่าน หากมีหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์ไทยบนแผ่นกระดาษ ประวัติศาสตร์ไทยยุคนั้นก็คงละเอียดแจ่มแจ้งเหมือนกับการบันทึกทางประวัติ ศาสตร์จีนในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา

                    3. จีนสามารถรวบรวมตัวอักษรจีนที่เป็นสมบัติทางวัฒนะธรรมเป็นเอกภาพเอกลักษณ์ หนึ่งเดียวทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ จีน มีชนเผ่าที่แตกต่างกันทางภาษาและอักษรศาสตร์หลายสิบเผ่า และแตกต่างกันทางภาษาพูดทางวัฒนะธรรมของพลเมืองตามพื้นที่ภาคต่างๆ อีกมากมายทั่วผืนแผ่นดินจีน อันกว้างใหญ่ไพศาล

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดังนั้นความ เป็นเอกภาพทางด้านอักษรศาสตร์ ทำให้ชาวจีนทั่วประเทศสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ มีความเข้าใจในภาษาต่อกันทั้งๆ ที่บางแห่งกันติดต่อกันทางภาษาพูดอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเขียนเป็นตัวอักษรจีนออกก็เข้าใจกันทั่วทุกถิ่นฐานชนบท เป็นสาเหตุให้สามารถแลกเปลี่ยนหล่อหลอมกันทางวัฒนะธรรมซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นชนเผ่า ชนชาติ และประเทศชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

                ชาว จีนทุกคนต่างเป็นหนี้บุญคุณของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ที่ออกกติกาให้ชาวจีนทั่วทั้งประเทศสามารถสื่อสารกันได้ แม้ว่าพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ออกจะเป็น ฮ่องเต้ ที่***มโหดดุร้ายทารุนก็ตาม ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ทางอักษรศาสตร์และการหล่อหลอมทางวัฒนะธรรมที่เป็น เอกภาพนี่เอง ทำให้ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนนอกแผ่นดินจีน หลายชนเผ่า ต่างก็รับเอาอักษรภาษาศาสตร์ของจีน มาใช้กับชนเผ่าของตน ทั้งๆ ที่ชนเผ่าของตนเองก็มีอักษรภาษาศาสตร์ใช้เป็นวัฒนะธรรมของตนเองอยู่แล้ว

                   แม้ กระทั่งบางชนเผ่าที่สามารถรุกรานเข้ามายังแผ่นดินใหญ่ของจีน ตั้งตัวเป็นประเทศมีราชวงศ์ตามอย่างประเทศจีน ในแผ่นดินจีน เช่น ชนเผ่าจิน ชนเผ่าซีเซี่ย ชนเผ่ามงโกล และชนเผ่าแมนจู หรือที่ฝรั่งเรียกชื่อว่าชนเผ่ายุรเชน ต่างก็เอาภาษาอักษรและวัฒนะธรรมของจีน มาใช้ในชนชาติของตน และมี 2 ชนเผ่าที่สามารถเข้ามายึดครองปกครองประเทศจีน ทั้งประเทศ สถาปานาเป็นราชวงศ์ หยวน และราชวงศ์ ชิน ลงในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศจีน

                   แต่ก็ไม่สามารถปกครองควบ คุมชาวจีน ส่วนใหญ่ทั้งประเทศโดยอาศัยภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนธรรมของชนเผ่าของตนเอง ปกครองคนจีน จำใจต้องนำเอาภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมของประเทศจีน มาปกครองคนจีน ทำให้วัฒนะธรรมของจีน กลับกลืนกินเอาวัฒนะธรรมของชนเผ่าแร่ร่อนเหล่านั้น กลับเป็นคนจีนไปโดยปริยาย

                    สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการเขียนบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานพอเห็นได้ก็ในสมัย กรุงศรีอยุธยา แต่ก็ยังเป็นที่สับสนสำหรับประวิศาสตร์ของไทยบางตอน ถึงกับมีการใช้วิชาไสยศาสตร์มาสืบเสาะหรือนั่งทางในดูเหตุการณ์ของประวัติ ศาสตร์ไทยในอดีต จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดานักประวัติศาสตร์ไทยเกี่ยวกับศาสตร์อันงมงาย เช่นนี้ ประวัติศาสตร์ของไทยบางตอนต้องอาศัยการบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน และจดหมายเหตุของฝรั่งบางชาติ ที่มีการกล่าวพาดพิงถึงแผ่นดินของ ไทย เมื่อในอดีต

                 การสร้างฮวงจุ้ย หรือสุสานของฮ่องเต้จีน ได้มีการบันทึกการสร้างสุสานที่ค่อนข้างละเอียด ยังความมีประโยชน์แก่ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ วรรณคดี วัฒนะธรรม และโบราณคดีของ จีน

                 สุสานของพระเจ้า ฉินซี่หวางฮ่องเต้ ถูกสร้างอยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้าน เซี่ยเหอชุน ***งไปทางทิศตะวันออกของเมือง หนินถง (นิ่มท้ง) 5 กิโลเมตร เมือง หนินถง นี้อยู่ค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ นครซีอาน ในมณฑลซ่านซี ทำเลสุสานทางด้านทิศใต้หันเข้าสู่เชิงเขา ลี่ซาน ทำเลทางทิศเหนือหันไปที่ลำน้ำ เว่ยเหอ (อุ่ยฮ้อ)

                 ตัวสุสาน เป็นเนินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองดูคลับคล้ายกับปิรามิด ของอียิปต์โบราณ แต่ที่ฐานกว้างกว่า ที่ยอดไม่แหลมเท่า บนยอดนั้นยังมีที่ราบที่กว้างขวาง มีความสูงทั้งหมดนับตั้งแต่ห้องฝังพระศพที่อยู่ใต้ดิน ไปถึงยอดที่ราบบนตัวสุสานวัดได้ 120 เมตร เส้นรอบวงของฐานสุสานวัดได้ 2,167 เมตร ได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนานนับด้วยสองพันกว่าปี

พระ เจ้า ฉินซี่หวางฮ่องเต้ ทรงเสด็จสวรรคต ในขณะที่ทรงเสด็จประพาสเป็นครั้งที่ 5 ที่ตำบล ซาคิว (ซัวคู) ปัจจุบันคือเมือง ผินเซียนเสี้ยน (เพ่งเอียกุ่ย) ในมณฑลเหอเป่ย เมื่อเดือน 7 พ.ศ. 334 ในปีเดียวกันเมื่อเดือน 9 ก็ได้รับการฝังยังสุสานที่ภูเขา ลี่ซาน ในขณะที่พระเจ้า ฉินซี่หวาง ทรงสิ้นพระชนม์นั้น ตัวสุสาน ฉินหวางหลิน ยังสร้างเสร็จไม่สมบูรณ์ แต่ทว่าที่ห้องสุสานท้องพระโรงใต้ดิน ได้มีการตกแต่งอย่างสมบูรณ์แล้ว


                    พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ หูไห่ ฮ่องเต้องค์ต่อมา ได้นำพระศพมาฝังยังท้องพระโรงใต้ดินนี้ แล้วทรงมีพระราชโองการให้กรรมกรสร้างสุสาน 400,000 กว่าคน ก่อมูลดินกลบฝังสุสานท้องพระโรงใต้ดิน ซึ่งต้องใช้เวลานาน 2 ปี จึงสามารถก่อเป็นมูลดินของสุสานได้สำเร็จ นับได้ว่าสุสาน ฉินหวางหลิน เป็นสุสานโบราณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และแม้กระทั่งเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นได้

                   กล่าว กันว่า ตามแบบแผนของการสร้างสุสาน ด้านบนของสุสานไม่คิดว่าจะสร้างเป็นเนินราบ แต่ทว่าในขณะที่คนงานกำลังถมดินสุสานอยู่นั้น กบฏชาวนาซึ่งนำโดย เฉินเสิ้น (ตั่งเส่ง) และ อู๋กว่าน (โง่วก้วง) ได้นำกำลังบุกเข้ามาถึงดินแดน กวานจง (กวงตง) ถึงด่าน หันยู่กวน (หั่งยู่กวง) พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ (ชิ่งยีสี่) ทรงมีรับสั่งให้เหล่ากรรมกรที่กำลังพูนดินขึ้นยังยอดของสุสานจำนวน 400,000 กว่าคน เลิกงานพูนดินและทรงติดอาวุธให้บรรดากรรมกรเหล่านี้

               แปรสภาพ เป็นกองทัพ มุ่งหน้าสู่ด่าน หันยู่กวน เพื่อรับมือกับกองทัพของผู้ก่อการ เพราะฉะนั้น สุสาน ฉินหวางหลิน ด้านบนยอดจึงเป็นพื้นที่หน้าตัดเป็นที่ราบมาตาบเท่าทุกวันนี้

ที่มา วิกิพีเดีย ภาพจากอินเตอร์เน็ต

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ฉิน





ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ประเทศจีน สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ค้นพบโ]ดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง ชื่อ หยางจื้อฟา ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอาน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม. โดยในระหว่างที่ขุดนั้น ก็บังเอิญพบกับซากของทหารดินเผา ที่ทราบภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตร.ม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180 ตร.กม. สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530

                        สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เริ่มก่อสร้างในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 38 ปี ตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอาณาเขตพื้นที่ของสุสานรวมทั้งสิ้น 2,180 ตร.กม. แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นในและพระราชฐานชั้นนอก ภายในสุสานใช้บรรจุพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนมและนางกำนัล รถม้าและขุนพลทหาร จำนวนมาก เพื่อเป็นตัวแทนของข้าราชบริพารในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกของจิ๋นซีฮ่องเต้

                         โครง สร้างและสถาปัตยกรรมโดยรวมของสุสาน มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความลึกเฉลี่ย 35 เมตร กว้าง 145 เมตร และ ยาว 170 เมตร สำหรับห้องบรรจุพระบรมศพอยู่จุดกึ่งกลางของสุสาน มีความสูง 15 เมตร มีขนาดพื้นที่และความใหญ่โตมโหฬารราวกับสนามฟุตบอล สำหรับภายใน ในส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกอย่างดีโดยคงสภาพเดิมเอา ไว้ และไม่เคยผ่านการขุดและรื้อทำลายมาก่อน โดยโครงสร้างของสุสานดังกล่าว มีรูปแบบโครงสร้างและการจัดสร้างที่มีความสลับซับซ้อน ขนาดของสุสานมีขนาดมหึมา ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น

ประวัติการค้นพบสุสาน

                      เมือง ซีอานเป็นนครแห่งวัฒนธรรม อันมีชื่อเสียงลือเลื่องทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ในประวัติศาสตร์เคยเป็นเมืองหลวง และราชธานีของราชวงศ์จีนรวมกว่า 10 ราชวงศ์ เป็นระยะเวลากว่าพันปี เคยเป็นแหล่งการต่อสู้ของชาวนาในหลายครั้งในการก่อตั้งอำนาจรัฐ ปัจจุบันเมืองซีอานยังคงหลงเหลือร่องรอยของโบราณสถาน และโบราณวัตถุให้พบเห็นได้ทั่วไป และในปี พ.ศ. 2517 ได้มีการขุดพบหลุมฝังรูปปั้นดินเผา รูปปั้นทหารและม้าในสมัยราชวงศ์ฉินขนาดใหญ่ ภายในหมู่บ้านซีหยาง เชิงเขาหลีซานในอำเภอหลินถง ทางทิศตะวันออกของเมืองซีอาน

                       การ ขุดค้นพบทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน และยิ่งใหญ่ที่สุดสิ่งหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20 และตราบจนทุกวันนี้ ทางการรัฐบาลจีนถือว่า สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ยังรอการขุดค้นนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณชิ้นที่ 8 กองทัพทหารดินเผาภายในสุสานและรถม้าสมัยราชวงศ์ฉิน จำนวนมาก มีขนาดใหญ่โตมโหฬารซุกซ่อนอยู่ภายใต้พื้นดิน ตามบันทึกในประวัติศาสตร์จีนถูกขุดพบโดยบังเอิญจากชาวนาตระกูลหยางจำนวน 7 คน ในหมู่บ้านซีหยาง เมืองหลินถง ในต้นของฤดูใบไม้ผลิในปี พ.ศ. 2517 ที่ขุดดินเพื่อหาบ่อน้ำไว้ใช้สำหรับเพาะปลูกในฤดูหนาวที่จะมาถึงภายในหมู่ บ้าน ในวันที่ 5 ของการขุดดินเพื่อหาบ่อน้ำ เมื่อขุดลึกลงไปประมาณ 4 เมตร ก็พบกับวัตถุที่ทำด้วยดินเผาที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับเหยือกสำหรับใส่น้ำ จึงค่อย ๆ ขุดดินอย่างระมัดระวัง และเมื่อยิ่งขุดลึกลงไปก็พบกองทัพทหารดินเผาในชุดเกราะ คันธนูและลูกธนูทองเหลืองจำนวนหนึ่ง

                     หลังการ ขุดพบโดยบังเอิญ ชาวนาตระกูลหยางได้จุดธูปกราบไว้เพื่อขอขมาเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นวัดหรือ โบราณวัตถุ หลังจากนั้นอีก 2 เดือน เจ้าหน้าที่ของทางการที่รับผิดชอบในการขุดหาแหล่งน้ำของจีน ได้เข้ามาตรวจสอบความคืบหน้าของการขุดหาแหล่งน้ำของชาวบ้าน ก็ได้พบกับสิ่งที่ชาวนาตระกูลหยางค้นพบ และสังเกตเห็นถึงลักษณะของอิฐและรูปปั้นดินเผาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่สุ สานของจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงได้รายงานไปยังทางการของมณฑลฉ่านซี หลังจากนั้นทางรัฐบาลจีนได้เริ่มทำการขุดค้นหาอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา ผลของการขุดค้นพบรูปปั้นกองทัพทหารและรถม้าดินเผามากกว่า 8,000 ตัว และรถม้าไม้มากกว่า 100 คัน ในจำนวนหลุมภายในสุสานที่ขุดพบมีอาณาเขตพื้นที่รวมกันถึงกว่า 20,000 ตร.ม.

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
  ต่อ มา เจ้าคังหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรมประจำอำเภอหลินถง ได้ไปตรวจสอบยังบริเวณพื้นที่ที่ชาวนาตระกูลหยางค้นพบ เพื่อทำการกว้านซื้อซากโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าที่ถูกขุดพบ และได้นำออกไปจำหน่ายก่อนหน้านี้ได้ 3 คันรถ เพื่อนำกลับไปยังห้องวิจัยเพื่อทำการศึกษา และต่อมาในต้นเดือนพฤษภาคม เจ้าคังหมินได้จำกัดพื้นที่ในบริเวณอาณาเขตที่ขุดพบจำนวน 120 ตร.ม. เพื่อทำการขุดหาซากของกองทัพดินเผาเพิ่มเติม รัฐบาลจีนได้เข้ามามีบทบาทในการขุดหาเพิ่มเติมของกองทัพทหารดินเผาซึ่งเป็น เวลาเดียวกับที่ ลิ่นอันเหวิ่น นักข่าวหนังสือพิมพ์ซินหัว ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่อำเภอหลินถงและพบกับสิ่งที่ชาวนาและเจ้า หน้าที่ขุดพบ เมื่อกลับสู่ปักกิ่ง ได้นำเรื่องกองทัพทหารดินเผาตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ "ชุมนุมเหตุการณ์" ในหนังสือพิมพ์เหรินหมินยื่อเป้า

                      ต้นเดือน กรกฎาคม รองนายกรัฐมนตรีหลี่เซียนเนี่ยน ได้มีคำสั่งให้กองโบราณคดีและกรรมการมณฑลฉ่านซีของจีน ร่วมกันหามาตรการในการอนุรักษ์โบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ของจีนนี้ และในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 หยวนจงอี้ เจ้าคังหมิน ได้นำทีมนักโบราณคดี เดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านซีหยางอีกครั้ง เพื่อทำการตรวจสอบและขุดค้นเพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2522 กองทัพทหารดินเผาภายใต้มหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมอย่าง เป็นทางการ และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 องค์การยูเนสโกได้ลงมติให้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

                      ภาย ในสุสานประกอบไปด้วยหลุมทหารรูปปั้นดินเผาจำนวนมาก ขุดพบแล้วจำนวน 3 หลุมจากทั้งหมด 8 หลุม ซึ่งสรุปโดยรวมวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบทั้งที่เป็นหุ่นทหารดิน เผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม มีจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ในหลุมสุสานที่มีอาณาเขตพื้นที่กว่า 25,000 ตร.ม.




                      จาก หลักฐานบันทึกทางประวัติศาสตร์ ประมาณการกันว่าในช่วง 10 ปีแรกของการรวมแผ่นดินจีนขึ้นเป็นหนึ่งเดียว ทางราชวงศ์ฉินโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เกณฑ์แรงงานจากทาสและชาวบ้านกว่า 5 แสนคน เพื่อไปก่อสร้างกำแพงเมืองจีนจากด่านหลินเตาในภาคตะวันตก ไปยาวจรดด่านซานไห่กวนชายทะเลด้านฝั่งตะวันออกสุด เพื่อป้องกันการรุกรานของชนเผ่ามองโกลทางตอนเหนือ กำแพงเมืองจีนที่ก่อสร้างโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุด ที่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินจีนโดยฝีมือมนุษย์และนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกในยุคกลาง ที่ได้มีการสร้างต่อ ๆ กันมาจนถึงราชวงศ์หมิง



                         จิ๋น ซีฮ่องเต้ได้เกณฑ์แรงงานที่เป็นทาสและชาวนาอีกกว่า 5 แสนคน ลงไปประจำการในเขตภูเขาทางตอนใต้ของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อย และอีก 3 แสนคน ขึ้นไปประจำการในเขตทะเลทรายโกบีทางตอนเหนือของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของพวก ฮั่นฉยุงหนู (Hun Xioung Nu) และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทรงเกณฑ์แรงงานอีกกว่า 7 แสนคน เพื่อมาก่อสร้างพระราชวังอาฝางกงและสร้างสุสานรวมถึงการสร้างเหล่ากองทัพ ทหารดินเผา และกองทัพม้า

                        จากตัวเลขที่ประมาณ การข้างต้น จะเห็นว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ใช้แรงงานประชาชนถึงกว่า 2 ล้านคน คือร้อยละ 10 ของประชากรจีนในยุคสมัยนั้น เพื่อมาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งเป็นการยากที่จะชี้แจงให้ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นเข้าใจถึงเหตุผลของ พระองค์ และแรงงานที่ได้เกณฑ์มาก่อสร้างสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ที่เป็นกำลังสำคัญของแต่ละครอบครัว พวกชาวนาที่อาศัยอยู่ในถิ่นฐานเดิมถูกพระองค์รีดเก็บภาษี เพื่อนำรายได้เข้าสู่รัฐฉินเป็นทุนในการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายของจิ๋น ซีฮ่องเต้



                        จิ๋น ซีฮ่องเต้ทรงสร้างสุสานกองทัพทหารดินเผาขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์เอง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและสถาปัตยกรรมโบราณของจีน และศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จักรพรรดิจีนทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์จะมีความใฝ่ฝันสูงสุดอยู่ 2 ประการคือ 1. ยาอายุวัฒนะ ถ้าหากพระองค์ยังเสาะแสวงหาไม่ได้ สิ่งที่พระองค์จะต้องทำก็คือ 2. การสร้างมหาสุสานขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร เพื่อเป็นที่ประทับชั่วกาลนาน

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
   ชาวจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นมี 2 วิญญาณ วิญญาณแรกคือ โป (Po) ซึ่งจะมาพร้อมกับการเกิดของทารก อีกวิญญาณหนึ่งเรียกว่า ฮั่น (Han) เป็นวิญญาณที่สวรรค์ส่งมารวมกับวิญญาณแรกพร้อมกันตั้งแต่เกิด และเมื่อเจ้าของร่างตายลง วิญญาณแรกหรือโปจะคงอยู่ในร่างนั้น ส่วนฮั่นจะออกจากร่างกลับคืนสู่สวรรค์ไป ถ้าผู้ตายไม่ได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณี โปจะอยู่อย่างไม่มีความสุข เที่ยวเร่ร่อนกลายเป็น กุย (Gui) หรือปีศาจอันชั่วร้าย ชาวจีนทุกคนจึงต้องได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อถึงแก่กรรม โดยจะถูกบรรจุร่างไว้ภายในสุสานตามฐานะของผู้ตาย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงโปรด ฯ ให้สร้างสุสานของพระองค์ทันทีตามโบราณราชประเพณี และอีกสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยเป็นพิเศษก็คือ ทรงมีพระราชบัญชาให้ นักพรตสีฝู่ นำตัวเด็กหญิงและเด็กชายพรหมจรรย์นับพันคน ลงเรือเดินทะเล เดินทางไปทางตะวันออกเพื่อแสวงหาเกาะเผิงไหล เกาะฟางเจ้า และเกาะอิ๋งโจว ทรงเชื่อว่าเป็นดินแดนหวงห้ามของมนุษย์ เนื่องจากเป็นที่พำนักของเซียนที่จะมอบยาอายุวัฒนะให้พระองค์ทรงมีชีวิตเป็น อมตะ แต่ทว่าตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ข่าวคราวและชะตากรรมของคณะเดินทางที่พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจเสี่ยงตายให้ นั้น ไม่เคยได้ยินถึงพระกรรณของพระองค์เลยแม้แต่น้อย


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลัง ทรงขึ้นครองราชย์ในปี 247 ก่อนคริสตกาล จิ๋นซีฮ่องเต้ก็เริ่มสร้างสุสานของพระองค์แล้ว จนถึงในปี 210 ก่อนคริสตกาล เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง งานสร้างมหาสุสานก็ยังไม่แล้วเสร็จ จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปีที่ 2 ของรัชสมัยฉินเอ้อซื่อ ผู้เป็นบุตรชาย (ปี 208 ก่อนคริสตกาล) รวมระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี และได้เรียกชื่อสุสานนี้ว่า หลีซานหยวน หรืออุทยานแห่งเขาหลีซาน ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างสุสานตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนปีคริสตศักราช เพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของพระองค์ ทรงสร้างหุ่นกองทัพทหารดินเผาจำนวนมากรวมทั้งรถม้าและม้าศึก เพื่อให้ทั้งหมดนี้ติดตามไปรับใช้และอารักขาพระองค์ในปรโลก และเนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้หุ่นทหารดินเผา ม้าศึกและรถม้าจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่ภายในสุสาน ล้วนแต่มีขนาดเท่าของจริงทุกประการ รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ ของหุ่นทหารดินเผาและการจัดทัพ ซึ่งเป็นการจัดตำแหน่งตามกระบวนทัพโดยแบ่งออกเป็น 11 แถว ประกอบไปด้วย

    * แม่ทัพฝ่ายบู๊
    * แม่ทัพฝ่ายบุ๋น
    * พลหอก
    * พลดาบ (ซึ่งอาวุธในมือส่วนใหญ่คืออาวุธจริง)
    * สารถีประจำรถม้า
    * ม้าศึก

                      หุ่น ทหารดินเผาภายในสุสานมีขนาดรูปร่างที่แตกต่างกัน มีความสูงประมาณ 1.8 เมตร ลักษณะหน้าตา กริยาท่าทาง เครื่องแต่งกายไม่เหมือนกันแม้แต่ตัวเดียว รัฐบาลจีนที่รับผิดชอบในการขุดค้นสุสานประวัติศาสตร์นี้ เชื่อกันว่าหลุมกองทัพดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีด้วยกันทั้งหมด 8 หลุม แต่ในปัจจุบันมีการขุดค้นเพียงแค่ 3 หลุมเท่านั้น เพราะรัฐบาลจีนยังไม่ต้องการทำการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าสีของหุ่นทหารดินเผาที่ขุดพบนั้นจะหายไป ในอดีตเริ่มแรกของการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจากสุสานใต้ดินนั้น หุ่นทหารเหล่านี้มีแก้มเป็นสีชมพู สวมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสดใสที่ทาสีเอาไว้อย่างสวยงาม โดยส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีชมพู กางเกงสีเขียวและฟ้า แต่ทว่าเมื่อหุ่นทหารดินเผาถูกอากาศและแสงแดด เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้สีของหุ่นทหารดินเผาลอกหายไป เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างน่าเสียดาย

                       จากการตรวจสอบ ขนาดของมหาสุสานนี้ในปัจจุบันพบว่า สุสานตั้งอยู่บนเนินดินที่เคยสูงประมาณ 115 เมตร มีขนาดคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมื่อแรกสร้าง คือ จากทิศเหนือไปใต้ยาวประมาณ 350 เมตร จากทิศตะวันออกไปตะวันตกยาวประมาณ 345 เมตร ตัวสุสานเป็นหลุมขนาดใหญ่ มีความลึกกว่า 30 เมตร นักโบราณคดีประเมินคร่าว ๆ ว่าขนาดของพระราชวังใต้ดินถูกสร้างขึ้นในระดับที่ลึกที่สุดของหลุม มีขนาด 120 x 160 เมตร หรือเทียบเท่าขนาดของสนามบาสเกตบอล 40 สนามรวมกัน และจากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ยืนยันได้ว่า ภายในสุสานมีสารปรอทจำนวนมากผิดปกติ คือ สูงกว่าระดับปกติถึงกว่า 100 เท่า จึงไม่ผิดกับที่ ซือหม่า เสี่ยน ได้บันทึกในปูมประวัติศาสตร์มากว่า 2,000 ปีที่แล้วว่า "...ภายในมีสารปรอทไหลเวียนดุจแม่น้ำและทะเล..."



                      สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลินถง ห่างจากเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 35 กม.[6] มีทำเลที่ตั้งอยู่อิงบริเวณเขาหลีซาน บริเวณด้านหน้าของสุสานหันไปทางแม่น้ำเว่ยเหอ โดยเฉพาะทางทิศใต้ของเขาหลีซานอุดมไปด้วยสินแร่ทองคำ ส่วนทางทิศเหนือก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่หยก ดังนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงเลือกชัยภูมิที่มีฮวงจุ้ยอันดีเลิศนี้ เพื่อเป็นสุสานสำหรับฝังพระบรมศพของพระองค์ สุสานกองทัพทหารดินเผานั้นอยู่ห่างจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ราว 1.5 กม.ทั้งหมดถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินจีน พร้อมกับพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้

                        สุ สานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่คงหลงเหลืออยู่บนดินนั้น ตามข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี มีความน่าเชื่อถือได้ว่าแต่เดิมมีรูปพรรณสันฐานเป็นพื้นที่หมวกสี่เหลี่ยม หัวกลับ มีความสูงถึง 115 เมตร ตั้งอยู่บนฐานกว้างราว 345 เมตร คูณ 350 เมตร จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกและทิศเหนือมายังทิศใต้ บริเวณสุสานมีการก่อสร้างเป็นกำแพงล้อม 2 ชั้น คือกำแพงชั้นนอกและกำแพงชั้นใน กำแพงชั้นในมีความยาวจากเหนือจรดใต้ถึง 1,355 เมตร และจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกความยาว 580 เมตร มีประตูสุสานอยู่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนบริเวณกำแพงชั้นนอกมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 2,165 เมตร ทางด้านตะวันออกจรดตะวันตก มีความยาว 940 เมตร มีประตูทางออกพร้อมหอคอยรักษาการณ์ทั้งสี่มุม ในระหว่างกำแพงชั้นนอกกับกำแพงชั้นในมีซากปรักหักพังหลงเหลือแสดงถึงร่องรอย ที่ตั้งศาลาพิธีการและจวนที่พำนักของเจ้าพนักงานเฝ้าสุสาน



7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-2 09:41

จาก การตรวจสอบประวัติของมหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ระบุว่าสุสานแห่งนี้ได้จำลองเอาลักษณะของประเทศจีน ทั้งหมด ย่อส่วนลงจากจีนแผ่นดินใหญ่ให้กลายเป็นแผ่นดินจีนขนาดจิ๋ว ภายใต้พื้นดินที่มีความสูงถึง 47 เมตร ลักษณะของสุสานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่กว่า 56 ตร.กม. แต่ละส่วนแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ บริเวณกลางสุสานเชื่อกันว่าคือสถานที่สำหรับฝังพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ และตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่า เพดานของสุสานนั้นมีการประดับด้วยเพชรพลอยจำนวนมากเป็นรูปท้องฟ้าในยามค่ำ คืน และมีการสูบเอาปรอทมาจำลองเป็นลำธารในแม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำหวางเหอ

                          สภาพ ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ถูกขุดค้นพบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงเก็บ รักษาไว้ดังเดิม ในรูปและลักษณะของสุสานมูลดินทรงพีระมิด มีความสูงประมาณ 70 กว่าเมตร ก่อสร้างบนฐานกว้างยาวประมาณ 8 เมตร พื้นที่บริเวณโดยรอบของสุสานถูกล้อมรั้วห้ามเข้าเนื่องจากเป็นเขตต้องห้าม ที่นักโบราณคดีทำการขุดค้น จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน บริเวณพื้นที่แห่งนี้เมื่อระยะเวลาเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เคยเสด็จมาเลือกพื้นที่สำหรับก่อสร้างสุสานด้วยพระองค์เอง ตรงบริเวณเชิงเขาหลีซาน ซึ่งมีภูมิประเทศสวยงาม อุดมไปด้วยสินแร่ ทั้งแหล่งผลิตทองคำทางตอนใต้ และแหล่งผลิตหยกทางตอนเหนือซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเว่ยเหอ





                        สุสาน ของจักรพรรดิจีนโบราณ มักจะขุดลึกลงไปใต้ดินที่เป็นเนินเขาทำเป็นอุโมงค์ทางเดินไปสู่ห้องเก็บพระ บรมศพ พร้อมกับสมบัติ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์นานาชนิด เพื่อไว้สำหรับใช้สอยหลังจากพระองค์สิ้นพระชนมชีพไปแล้ว ส่วนด้านบนพื้นดินเหนืออุโมงค์สุสาน มีธรรมเนียมสร้างถนนแห่งวิญญาณจากทิศใต้มุ่งสู่ประตูอุโมงค์สุสานทางทิศ เหนือ โดยวางรูปสลักเทวดา คน สัตว์ต่าง ๆ สองข้างทางจนถึงปากอุโมงค์ซึ่งจะจัดตั้งหลักศิลาขนาดใหญ่ไว้ให้เป็นที่ สังเกต

                       ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของซื่อหม่า เสี่ยน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (135-145 ปีก่อนคริสตกาล) ระบุว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงเริ่มก่อสร้างสุสานทันทีที่เสด็จขึ้นครองราชย์ มีทาส และชาวนาประชาชนจำนวนกว่า 700,000 คนถูกส่งมาใช้แรงงานก่อสร้างสุสาน โดยขุดผิวดินให้ลงไปจากชั้นดินดานถึง 3 ชั้น เพื่อก่อสร้างเป็นพระราชวังใต้ดิน ที่ตั้งพระศพห่อหุ้มด้วยทองแดงเป็นการจำลองแผ่นดินจีนทั้งหมดย่อส่วนเอาไว้ ภายในใต้ดิน ช่างฝีมือได้ซ่อนค่ายกลป้องกันพวกลักขโมย เมื่อเข้าใกล้บริเวณสุสานเกาทัณฑ์ก็จะพุ่งเข้าใส่ทันที

                   จาก การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่า บริเวณพื้นดินส่วนกลางของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีรังสีจากสารปรอทปริมาณมากที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สารปรอทนั้นแผ่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ 1,200 ตร.ม. ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของซื่อหม่า เสี่ยน ตอนหนึ่งที่ว่า ปรอทใช้บรรจุไว้แทนทะเลและแม่น้ำ เป็นเหตุให้ทางรัฐบาลจีนต้องปิดประกาศเป็นเขตหวงห้าม ยกเว้นสุสานบริวาร 400 แห่งโดยรอบบริเวณกว่า 50 ตร.ม. ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีการสำรวจขุดค้น ตลอดเวลา 1 ปีเต็ม ๆ ทำให้นักโบราณคดีพบหลักฐานต่าง ๆ อีกมากมายจนสามารถเขียนแผนผังสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งก็ปรากฏที่ตั้งพระบรมศพจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งของสุสาน

                           โบราณวัตถุที่ขุดภายในสุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งที่เป็นหุ่นทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม ทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ในหลุมสุสาน 25,000 กว่าตารางเมตร บางหลุมกองทัพทหารดินเผา มีรถเทียมม้า บางหลุมมีตุ๊กตานกและสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงอุปนิสัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ทรงโปรดการเสด็จประพาสป่า ล่าสัตว์ กองทัพทหารดินเผาและเหล่าม้าศึกที่เฝ้าคอยติดตามถวายอารักขาพระองค์หลังสิ้น พระชนม์ เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อวิญญาณโปอยู่ในร่างของพระองค์ขณะทรงมีพระชนมชีพ หรือเมื่อสิ้นพระชนมชีพ วิญญาณฮั่นก็จะนำเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์


8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตุ๊กตาทหารดินเผาทุกตัวจะมีตราประทับอักษรบนตัวมากกว่า 80 ชื่อ ทำให้นักโบราณคดีจีนมั่นใจว่าผู้ที่สร้างหุ่นทหารดินเผาทั้งหมด เป็นบรรดาช่างปั้นหม้อ ในสังคมสมัยฉิน ถือว่าพวกนี้เป็นพวกชั้นต่ำ บางพวกเคยทำงานรับใช้ในราชสำนัก ช่างปั้นดินเผาในสมัยจีนโบราณที่สืบทอดวิชาความรู้จากครูหรือบรรพบุรุษ มีเอกลักษณ์งานปั้นเฉพาะตัว รับคำสั่งเกณฑ์พลจากทุกแห่งเพื่อสร้างกองทัพทหารดินเผา

                    ผู้ ที่จัดวางตำแหน่งของกองทัพทหารดินเผาภายในสุสาน ได้วางตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ ทหารดินเผาทุกตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ประกอบไปด้วยทหารดาบ ทหารเกาทัณฑ์ ทหารหอก และรถม้าศึก โดยเลือกชัยภูมิจัดผังออกแบบค่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงดินพูน สูงขึ้น และมีคูอยู่นอกกำแพงเมือง ถนนตัดอยู่ภายในเป็นทางเดินกองทหาร ตัดจากทิศเหนือไปถึงทิศใต้และตะวันออกไปตะวันตก มีด่านกันไฟเป็นระยะ ๆ ตรงกลางค่ายเป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ล้อมด้วยเหล่าเสนาบดี ที่ปรึกษา หน่วยทหารที่เป็นหน่วยกล้าตายและองค์รักษ์ ทำหน้าที่คุ้มกันจิ๋นซีฮ่องเต้ การจัดวางกองทัพทหารดินเผาเป็นการยืนยันถึงภาพที่ชัดเจนของตำราพิชัยสงคราม ซุนวู

                           ใน ยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้สุสานแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายหลายครั้ง โดยมีหลายข้อสันนิษฐาน เช่น การปะทุของก๊าซมีเทนใต้ผิวดิน หรืออาจถูกเผาจากหลังจากพิธีฝังพระบรมศพ

                         ทหาร ดินเผาที่ขุดพบได้นั้นมีลักษณะใบหน้าที่มองดูแล้วกลมเกือบคล้ายกัน บางหน้าเป็นรูปไข่ บางหน้าเป็นรูปเหลี่ยม ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคของช่างแต่ละคน มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เช่นแผนกช่างนวดดิน ช่างปั้น ช่างทำพิมพ์ สำหรับอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ แขน ขา ศีรษะ เป็นหน้าที่ของช่างขึ้นรูป ที่ทำการปั้นขึ้นรูปศีรษะเป็นรูป ๆ ทำให้ใบหน้าแต่ละหน้าจึงไม่ซ้ำกัน ซึ่งอาจจะเป็นการจำลองจากบุคลิกของทหารจริงในเวลานั้น

                          ส่วน มากใบหน้าของกองทัพทหารดินเผามีสัณฐานสี่เหลี่ยม ริมฝีปากหนา ไว้หนวดเคราทรงผมนานาชนิด แล้วเอาส่วนต่าง ๆ มาประกอบเข้ากัน นำไปเผาไฟแล้วส่งต่อไปให้ช่างสีซึ่งใช้ฝุ่นสีฉูดฉาดเช่น สีแดง เขียว ฟ้า น้ำตาล เหลือง ดำ ม่วง น้ำเงิน ขาว มาระบายลงบนตัวทหารดินเผา แยกสีตามเหล่าทหารแต่ละกอง สำหรับการปั้นม้าจะแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามลักษณะของม้า ก่อนนำมาประกอบเข้าเป็นลำตัวที่กลวง ส่วนอื่นจะทึบตันหมด แล้วจึงเข้าเตาเผาไฟที่มีความร้อนสูงระหว่าง 950 ถึง 1,050 องศา เทคนิคงานปั้นดินเผาของจีนเริ่มมานานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันวิธีเก่าแก่นี้ก็ยังคงใช้อยู่ทั่วโลก[9]

                          กอง ทัพทหารดินเผาทุกตัวเคยถืออาวุธจริงแต่ได้โดนยึดไปโดยพวกกบฏเป็นจำนวนมาก คงหลงเหลือกว่า 10,000 ชิ้น อาวุธส่วนมากสร้างขึ้นจากโลหะผสมทองแดงและดีบุก รวมทั้งนิกเกิลและสังกะสี ฝีมือประณีตโดยเฉพาะหัวลูกธนูจะผสมตะกั่วเท่ากับเป็นการอาบยาพิษอย่างแรง แต่ทั้งหมดได้รับการปลดออกมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นการสะท้อนให้ เห็นถึงความก้าวหน้าทางทหาร และเทคโนโลยี

                        จาก การขุดค้นพบกองทัพทหารดินเผาและม้าศึกจำนวนกว่า 6,000 ตัว คาดว่าเมื่อรวมกับจำนวนของทหารดินเผาที่ยังไม่ได้ขุดค้น อาจมีประติมากรรมอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากถึง 8,000 ตัว กองทัพทหารดินเผาที่ขุดค้นพบทั้ง 3 หลุมนี้ ในแต่ละหลุมจะแยกจากกันอย่างมีแบบแผน มีการฝังลึกลงไปจากผิวดินในระยะทางประมาณ 5 เมตร มีแนวกำแพงดินพูนสูงราว 3 เมตร แยกจากกันเป็นช่วง ๆ ค้ำยันด้วยท่อนซุง โดยรายละเอียดต่าง ๆ ของกองทัพทหารดินเผา มีดังนี้

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-2 09:27

หลุม หมายเลข 1 ที่รัฐบาลจีนทำการขุดค้นมีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาหลุมทั้ง 3 หรือราว 230 เมตร จากเหนือไปใต้และกว้าง 62 เมตร จากตะวันออกไปตะวันตก เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ 14,260 ตร.ม. มีขนาดความกว้างประมาณ 197 ฟุต (62 เมตร) ยาว 689 ฟุต (230 เมตร) และลึก 14.8 - 21.3 ฟุต (5 เมตร) ประกอบไปด้วยกองทัพทหารติดอาวุธครบมือจำนวนมากกว่า 6,000 ตัว รถศึกพร้อมม้าเทียมรถศึกอีกรวม 40 คัน แบ่งออกเป็น 4 เหล่า คือกองระวังหน้า ปีกซ้าย ปีกขวา และกองระวังหลัง ซึ่งจัดกองทัพทหารดินเผาออกเป็น 38 แถว กองทัพทหารดินเผาทุกนายภายในสุสานมีอาวุธประจำกายได้แก่ ดาบ เกาทัณฑ์ และ หอก อยู่ในที่ตั้งตามตำแหน่งอย่างชัดเจนไม่สับสน




                       รถ ม้าและรถศึก กองทัพทหารดินเผาและม้าศึกที่ได้ขุดพบนั้นมีขนาดใหญ่และเล็กเหมือนกับของ จริงทุกประการ หุ่นดินเผาทุกตัวมีโครงหน้า สีหน้าและทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนกันแม้แต่ตัวเดียว มีขนาดความสูงราว 5 ฟุต 8 นิ้ว จนถึง 6 ฟุต 5 นิ้ว ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่เป็นหมวดหมู่ ภายในหลุมที่ 1 ซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านักโบราณคดีของจีนตั้งข้อสังเกตถึงรูปแบบการจัด เรียงของกองทัพทหารดินเผาที่ขุดพบในหลุมที่ 1 มีรูปแบบและแนวการจัดทัพตามบันทึกในตำราพิชัยสงครามซุนวู มีกองทัพทหารดินเผามากกว่า 6,000 ตัว

                         หลุม หมายเลข 2 เป็นรูปตัว L ได้ขุดพบในปี พ.ศ. 2519 อยู่ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20 เมตร ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 6,000 ตร.ม. แบ่งออกเป็นพื้นที่ขนาด 4 ส่วน ความกว้างจากเหนือไปใต้ราว 98 เมตร มีความยาวจากตะวันออกไปตะวันตกราว 124 ภายในหลุมมีกองทัพทหารดินเผาจำนวน 4,000 ตัว รถม้าไม้ 89 คัน แบ่งออกเป็น 4 แถว ประกอบไปด้วยเหล่าขุนพลทหารม้า ขุนทหารประจำรถม้าศึก ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกหนัง รองเท้าบูต มือข้างหนึ่งถือ ธนู ม้าศึกมีลักษณะแข็งแรงปราดเปรียว ทุกตัวถูกจัดตามลำดับแถว หลุมรูปปั้นกองทัพทหารดินเผาหลุมที่ 2 รัฐบาลจีนทำการขุดค้นหาพบหุ่นทหารดินเผาจำนวนกว่า 1,000 ตัว ม้าศึก 500 ตัวและรถม้าที่ทำจากไม้ 89 คัน เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมและศึกษาเกี่ยวกับโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2538

                  หลุม หมายเลข 3 เป็นรูปตัว U อยู่ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 25 เมตร หรือ 120 เมตร รัฐบาลจีนขุดค้นพบในปี พ.ศ. 2519 ทางทิศตะวันออกของหลุมที่ 2 มีขนาดพื้นที่ประมาณ 520 ตร.ม. เป็นหลุมที่เล็กที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุดยิ่งกว่า หลุมหมายเลข 1 และ 2 เนื่องจากเป็นกองบัญชาการสูงสุด โดยกองทัพทหารดินเผาทุกตัวมีอาวุธครบมือ เข้าแถวรักษาการณ์แบบเผชิญหน้ากันทางทิศเหนือกับทิศใต้ข้างละ 2 แถว เพื่อเป็นการคุ้มกันเหล่าแม่ทัพภายในกระโจมบัญชาการ นอกจากนี้ยังพบเขากวางและกระดูกสัตว์ ซึ่งใช้เป็นเครื่องรางของขลังซึ่งเข้าใจว่าเป็นเครื่องที่ใช้ในการประกอบ พิธีบูชายัญในพิธีศพอีกด้วย ซึ่งหลุมที่ 3 นี้เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมในปี พ.ศ. 2532



ขบวนรถม้าสำริด
รถม้าสำริดที่ขุดค้นพบภายในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้




                       นอก จากการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจำนวนมากแล้ว รัฐบาลจีนยังขุดพบโลงไม้ ยาว 7 เมตร กว้าง 2.3 เมตร ฝังอยู่ใต้พื้นดิน ห่างจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ไปทางทิศตะวันตกราว 20 เมตร และเมื่อนำขึ้นมาเปิดฝาโลงออกก็พบกับขบวนรถม้าสำริดจำลองของจิ๋นซีฮ่องเต้ ฝีมือประณีตสวยงาม ใช้เทคนิคงานโลหะผสม สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นรถม้าประจำพระองค์ในภพหน้า ปัจจุบันรถม้าสำริดที่ถูกขุดค้นพบ จัดแสดงไว้ในอาคารอีกหลังหนึ่งในบริเวณพิพิธภัณฑ์ กองทัพทหหารดินเผาประกอบด้วยรถม้าส่วนพระองค์ รถเทียมม้าบุกนำทาง มีองค์รักษ์ทำหน้าที่พลขับ

                    รถม้าบุกนำทาง มีความยาว 1.26 เมตร กว้าง 70 เซนติเมตร กั้นร่มคลุมแทนหลังคา ติดอาวุธพร้อม มีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ขนาดเล็กรวมทั้งหมดราว 3,064 ชิ้น ส่วนรถม้าส่วนพระองค์จำลองของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีความยาว 3.17 เมตร กว้าง 1.06 เมตร รูปทรงสี่เหลี่ยม คลุมด้วยหลังคารูปไข่ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นตัวรถม้าส่วนพระองค์จำลองรวม 3,462 ชิ้น ประดับด้วยทองคำและเงินจำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น นอกจากนี้ ยังมีเส้นทองแดงขดเป็นโซ่ขนาดเล็ก ขนาดเพียง 0.05 เซนติเมตร อยู่ภายใน

                      รถ ม้าทั้งสองคันเทียมด้วยม้าสำริดคันละ 4 ตัว แต่งเครื่องทรงเต็มยศ องครักษ์ สูง 51 เซนติเมตร แต่งเครื่องแบบเต็มยศเช่นกัน นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกชิ้นหนึ่งที่ได้เคยค้นพบใน ประเทศจีน เป็นการลบภาพความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า ยุคทองของเครื่องสำริดได้หมดไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเหล็กได้เข้ามามีบทบาทแทนที่จนถึงสมัยราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่น ที่ช่างสำริดได้สูญหายไปหมดแล้ว จากรูปสำริดเหล่านี้ นักโบราณคดีจีนสามารถจินตนาการขบวนรถม้าส่วนพระองค์ของจริงที่จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงใช้ประทับแรมระหว่างเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย



10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-2 09:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มรดกโลกทางวัฒนธรรม

              กอง ทัพทหารดินเผาภายในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รับคัดเลือกให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530 ด้วยเหตุผลและเกณฑ์การตัดสินพิจารณา ดังต่อไปนี้

    * เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
    * เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
    * เป็น ตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทาง ด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
    * มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

ที่มา..http://www.infoforthai.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้