ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"ป้อม"เล่าเรื่อง

[คัดลอกลิงก์]
ขอบคุณค่ะ "ป้อม" เล่าเรื่อง
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-30 22:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

จริงๆ เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Social Networking หรอกครับ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้ มันน่าจะจัดเข้าในหมวดหมู่นี้ได้ และผมมีแผนจะเขียนตอนที่ 16 ขึ้นมา ซึ่งเนื้อหาในตอนที่ 15 นี้จะเป็นการเกริ่นนำที่ดีทีเดียว ดังนั้น ก็ นะ อ่านๆ ไปเถิด ฮาฮา …เรื่องของเรื่องคือ ผมกำลังอยู่ในระหว่างการอ่านหนังสือชีวประวัติของ Steve Jobs อดีต CEO ของ Apple, Inc. เขียนโดย Walter Isaacson อยู่ มันมีแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจเยอะแยะครับ อยากให้ได้หามาอ่านกัน ใครชอบอ่านแบบ Original ก็ซื้อฉบับพิมพ์ในอังกฤษหรืออเมริกาก็ได้ หาซื้อได้ที่คิโนะคุนิยะ หรือ Asia Books ส่วนใครที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ รอเล่มแปลจากเครือเนชั่นได้ครับ เห็นว่าใกล้จะเสร็จแล้ว
Steve Jobs เป็นคนที่มีเสน่ห์แบบแปลกๆ แบบที่คนที่ทำงานร่วมกับเขาที่ Apple เรียกว่า Reality Distortion Field หรือ แปลเป็นไทยคงได้ใจความว่า “สนามพลังบิดเบือนความเป็นจริง” มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากครับ ถ้าให้อ้างอิงจากคำพูดของผู้ที่ทำงานร่วมกับ Steve Jobs จากหนังสือ มันเหมือนจะเป็นความสามารถในการปฏิเสธความเป็นจริงของ Steve Jobs แล้วเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อ และสามารถทำให้สิ่งที่เชื่อนั้นกลายเป็นจริงได้ และปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ก็ส่งผลถึงตัวผู้ที่ทำงานอยู่รอบๆ ตัวเขาด้วยเช่นกัน เช่น ตอนที่เขารับงานจาก Atari มา โดยให้ทำเกมด้วยจำนวนชิปที่น้อยกว่า 50 ตัว ซึ่งด้วย Reality Distortion Field (ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีใครตั้งชื่อนี้ให้) ของ Steve Jobs ทำให้เขากล่อมจน Stephen Wozniak (Co-founder ของ Apple) ทำเกมขึ้นมาโดยใช้ชิปแค่ 45 ตัว และเสร็จใน 4 วัน (งานเดียวกันนี้ ปกติต้องใช้เป็นเดือน)
ในทางจิตวิทยา มันมีคำอธิบายสำหรับ Reality Distortion Field ที่น่าสนใจ ภายใต้ชื่อของทฤษฎีที่เรียกว่า Self-fulfilling Prophecy หรือแปลเป็นไทยแบบตรงๆ ตัวก็คือ คำพยากรณ์ที่เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มันจะเป็นยังไงนั้น เดี๋ยวผมพาไปรู้จักครับ
เรื่องราวอันมีสาระที่นำมาเสนอนี้สนับสนุนโดย
  • Dell Thailand แนะนำ Dell Venue สมาร์ทโฟนระดับท็อป กับความสำเร็จเหนือชั้น ด้วยซีพียู 1GHz และระบบปฏิบัติการ Android 2.2 พร้อมกล้อง 8 ล้านพิกเซล รายละเอียดอ่าน ที่นี่เลย
  • กิจกรรมอเด็คโก้ แชร์สุข ลุ้นสนุก..กิน เที่ยว ช้อป…ลุ้นรางวัล Red Sky, Haven Resort, Central Voucher รวม20000฿ คลิก http://t.co/rwhCRKd
สำหรับคนที่ชอบติดตามข่าวสารในแวดวงไอที ตอนนี้ผมจัด YouTube Channel สำหรับเผยแพร่ข่าวสารแล้วครับ ติดตามได้ทาง http://www.youtube.com/user/kafaak ครับ ค้นหา “กาฝากน้อย ย่อยข่าว” ได้เลย
อ่านโฆษณาจบแล้ว ก็กลับมาเข้าเรื่องเข้าราวของเรากันต่อครับ
ปรากฏการณ์พิกเมเลี่ยน (The Pygmalian Effect)
ในเทพปกรณัมกรีกนั้น พิกเมเลี่ยน เป็นช่างปั้นอยู่บนเกาะไซปรัส เขาไม่ชอบผู้หญิง แต่กลับไปหลงรักรูปปั้นที่เขาปั้นขึ้นมา ซึ่งว่ากันว่าเหมือนจริงและสวยมากๆ รักกันขนาดตั้งชื่อให้ว่า กาลาเธีย และหาเสื้อผ้า เครื่องประดับ มาสวมใส่ให้ เวลาจะนอนก็พาไปนอนด้วยกัน และเมื่อถึงเทศกาลเฉลิมฉลองเทพีอโพรไดท์ เขาก็ไปขอพรให้เขาได้คู่ครองที่เหมือนกับ กาลาเธีย แต่ว่าเทพีอโพรไดท์นั้นเมพมาก เพราะรู้ว่าคนที่นายพิกเมเลี่ยนเนี่ยรักจริงๆ คือรูปปั้นของเขาตะหาก ก็เลยบันดาลพรให้ เมื่อพิกเมเลี่ยนกลับมาบ้านแล้วจุมพิตรูปปั้นของเขา รูปปั้นก็กลายเป็นคนจริงๆ ขึ้นมา และพวกเขาก็แต่งงานครองรักกันไป … เนื้อเรื่องก็ประมาณนี้ล่ะครับ
ชื่อของพิกเมเลี่ยน เลยถูกนำไปใช้เป็นชื่อปรากฏการณ์ที่ Robert Rosenthal และ Lenore Jacobson (1979) ค้นพบจากการทดลองของพวกเขา ซึ่งพวกเขาสุ่มเลือกเด็กขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แล้วไปบอกครูของเด็กพวกนี้ว่า เด็กเหล่านี้มี IQ สูงกว่าคนอื่น ส่งผลให้คุณครูของพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเด็กเก่งโดยไม่รู้ตัว และเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พอมาดูผลคะแนนสอบเปรียบเทียบ ก็พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีผลคะแนนสอบดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ กลายเป็นเด็กเก่งไปจริงๆ … นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกครูเขาเชื่อว่าเด็กเหล่านี้เป็นคนเก่ง จึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างคนเก่ง และสุดท้ายเด็กเหล่านี้ก็กลายเป็นคนเก่งจริงๆ เหมือนกับที่พิกเมเลี่ยนเชื่อว่ารูปปั้นของเขาเหมือนคนจริงๆ และปฏิบัติต่อรูปปั้นเหมือนกับเป็นคนจริงๆ จนในที่สุดก็เทพีอโพไดรท์ก็บันดาลให้กลายเป็นคนไปจริงๆ นั่นเอง
Labeling Theory อีกด้านหนึ่งของ Pygmalian Effect
ในขณะที่หลายๆ คนเชื่อว่า ตัวเราเองนั่นแหละรู้ตัวของเราดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเรามองตัวเราเองดีๆ แล้ว เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า บ่อยครั้งที่เราก็ไม่ได้รู้ตัวเองดีเท่าที่เราคิดว่าเรารู้ และความไม่แน่ใจในตัวเองนี้มันแอบฝังลึกๆ อยู่ในตัวเอง ดังนั้นเวลาเราจะประเมินว่าตัวเราเองเป็นคนยังไงนั้น เราจึงมักอาศัยข้อมูลทั้งจากความเข้าใจในตัวเองของเรากับสิ่งที่คนอื่นมองตัวเรา มาประกอบกัน
นักจิตวิทยาได้ทำการทดลองมานักต่อนัก ที่ชี้ให้เห็นแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่คนเราไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง เราจะหันไปดูว่าคนหมู่มากคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ หรือพูดง่ายๆ คือ ย้อนกลับไปมองบรรทัดฐานทางสังคมนั่นเอง … ดังนั้นเมื่อไม่แน่ใจว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร บางทีเราก็แอบสังเกตดูว่าคนอื่นๆ มองว่าเราเป็นคนอย่างไร แล้วเราก็จะเกิดการรับรู้ตนเองว่าเราเป็นคนเช่นนั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Labeling Theory ครับ หมายถึง กรณีที่การรับรู้อัตลักษณ์แห่งตน (Self-identity Perception) นั้นได้รับอิทธิพลมาจากบุคคลภายนอก … อืมมมม ภาษาไทยชาวบ้านคงเรียกว่า ตราหน้า น่ะครับ
ทั้ง Labeling Theory และ Pygmalian Effect จะให้เกิดสัมฤทธิ์ผลนั้น มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างเป็นองค์ประกอบครับ คือ
  • เราจะต้องเชื่อว่าเขาเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ อย่างจริงใจ และปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นที่เราเชื่ออย่างสนิทใจจริงๆ
  • ตัวเราเองก็ต้องมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมต่อคนคนนั้นด้วย เพราะ Labeling Theory และ Pygmalian Effect คือการใช้อิทธิพลของคนภายนอกไปเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของอีกฝ่าย
  • ยิ่งจำนวนคนเข้ามามีอิทธิพลเยอะมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทัศนคติและพฤติกรรมจะถูกเปลี่ยนเพราะ Labeling Theory และ Pygmalian Effect จะยิ่งสูงมาก
Reality Distortion Field ของ Steve Jobs คือ การทำให้คนก้าวข้ามขีดจำกัดทางความเชื่อของตนเอง

13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-30 22:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บ่อยครั้งที่คนเราไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้เต็มที่ เพราะบางคนเข้าใจขีดจำกัดของตนเองพลาดไป คือ คิดว่าทำได้แค่ 75 ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วทำได้ 100 เป็นต้น นั่นส่งผลให้พวกเขาลงแรงเพียงแค่ 75 ตามความเชื่อในขีดจำกัดของตน (เพราะลงไป 100 ก็จะเสียเปล่า เนื่องจากว่าเขาใจว่าทำได้แค่ 75)

เหตุที่ Reality Distortion Field ของ Steve Jobs มักจะได้ผล มันล้ำลึกครับ มันเริ่มต้นจากการที่ Steve Jobs คัดเลือกบุคคลที่เขาจะเข้าไปใช้ Reality Distortion Field ก่อน มีคนพูดถึงการมองโลกของ Steve Jobs ไว้ว่าเป็นการมองแบบสองขั้ว คือ คนเรามีแค่พวกที่เป็น “Enlightened” กับ “Asshole” … Steve Jobs มองหาพวก Enlightened ครับ
Steve Jobs เป็นคนเก่ง ที่สามารถเล็งเห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ของคนอื่นได้ และเพราะว่าคนเหล่านั้นมีขีดจำกัดที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในใจ คอยขัดขวางการปลดปล่อยศักยภาพของพวกเขาออกมา ดังนั้น เขาจึงใช้ Reality Distortion Field เข้ามาช่วย … จริงๆ แล้วก็คือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของเป้าหมาย ด้วยการใส่ความเชื่อใหม่ๆ เข้าไป ผ่านการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นที่ตัว Steve Jobs มีนั่นเอง และเมื่อ Steve Jobs ได้แสดงออกว่าเขาเชื่อในสิ่งนั้น และมีการปฏิบัติต่อเป้าหมายของเขาอย่างที่เขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ สุดท้ายแล้วความเชื่อนี้เองก็จะเข้าไปอยู่ในตัวเป้าหมาย และเป้าหมายก็จะเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้เช่นนั้นจริงๆ และเป็นไปตามแนวคิด Self-fulfilling Prophecy นั่นเอง
แต่คนเราชอบเอา Self-fulfilling Prophecy มาใช้ผิดวิธี … เราต้องรู้จักใช้ให้ถูกวิธี
คนที่ไม่รู้ถึงหลักการนี้ ก็มักจะใช้ Self-fulfilling Prophecy แบบผิดๆ ครับ คือ ชอบไป “ตราหน้า” ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างโน้น ด้วยมุมมองในด้านลบ ด้วยอารมณ์เกลียดชัง ซึ่งเมื่อมีทัศนคติเช่นนั้นแล้ว มันก็นำไปสู่พฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อคนพวกนั้นอย่างนั้นจริงๆ เช่น มองว่าเป็นเด็กมีปัญหา เป็นเด็กเกเร จะต้องขี้คุกขี้ตาราง แล้วก็ไปปฏิบัติกับเขาแบบนั้นจริงๆ ไม่เข้าใกล้ (ทั้งๆ ที่ควรจะเข้าไปให้ความรู้ ความเข้าใจ) สุดท้าย Self-fulfilling Prophecy ก็จะทำให้กลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็มักจะรู้สึกภาคภูมิใจว่า “เห็นไหม มันเป็นอย่างที่ชั้นว่าจริงๆ!!” ทั้งๆ ที่บ่อยครั้ง ต้นเหตุของการที่คนอื่นเขาเป็นเช่นนั้น มันเกิดจากตัวของเราแท้ๆ

พึงระลึกเอาไว้เสมอ ถึงขั้นตอนของการเกิดปรากฏการณ์ Self-fulfilling Prophecy ตามแผนผังด้านซ้ายมือครับ มันดูเหมือนเป็นวัฏจักร แต่เราสามารถกำหนดมันได้ เพียงแค่
  • เริ่มต้นจากความเชื่อของเรา (Our beliefs) ที่ดีต่อผู้อื่น
  • ความเชื่อที่ดีต่อผู้อื่น จะมีอิทธิพล (Influence) ให้เรามีพฤติกรรม (Our actions) ต่อผู้อื่นในแง่ดีด้วย
  • พฤติกรรมที่ดีของเรา ก็จะไปมีผลกระทบ (Impact) ต่อความเชื่อของผู้อื่น (Others beliefs) ว่าตัวเรานั้นมองเขาเป็นอย่างไร และจะเริ่มมีความเชื่อโอนเอนไปตามนั้น
  • ความเชื่อของพวกเขา ก็จะเป็นเหตุ (Cause) แห่งพฤติกรรมของพวกเขา (Others actions) อีกทอดหนึ่ง
  • และพฤติกรรมของพวกเขา ก็จะเป็นผลลัพธ์ที่จะมาเสริมแรง (Reinforce) ความเชื่อของตัวเราที่มีต่อพวกเขาอีกทีหนึ่งนั่นเอง
และนั่นคือเรื่องราวของ Reality Distortion Field ของ Steve Jobs ที่ผมนำมาขยายความต่อครับ … จะเห็นว่ามันเป็นอะไรที่ดาบสองคมเอามากๆ คือ สามารถใช้ไปในทางสร้างสรรค์ได้ และใช้ไปในทางทำลายก็ได้เช่นเดียวกัน เรามีดาบสองคมนี้อยู่ในมือแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้ด้านไหนกันแน่ละครับ
ในตอนที่ 16 ผมจะพูดถึง Reality Distortion Field อีกแบบ ทว่าแบบนี้เป็นแบบที่ควรพยายามหลีกเลี่ยงครับ และเป็นแบบที่เราเจอได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันและในโลก Social Networking ด้วย อย่าลืมติดตามครับ
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
  • Feldman, Robert S.; Prohaska, Thomas (1979). “The student as Pygmalion: Effect of student expectation on the teacher”. Journal of Educational Psychology 71 (4): 485–493 (ใครสนใจอ่านงานวิจัยชิ้นนี้ รบกวนติดต่อผมได้ครับทางทวิตเตอร์ @kafaak ครับ)
  • อยากให้อ่านเรื่อง Stereotype ด้วย เพราะบ่อยครั้ง เราเชื่อว่าคนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วไปประพฤติต่อเขาแบบนั้นแบบนี้ จนเกิดเป็น Self-fulfilling Prophecy จริงๆ ก็เพราะเจ้า Stereotype นี่แหละครับ
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-1 13:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


"น้ำตกจากสวรรค์" (Waterfalls From  Heaven)
สายน้ำที่ไหลมาจากสรวงสวรรค์  น้ำตกที่ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ถ้าคุณมีโอกาสไปเยือน "น้ำตกรูบี้" (Ruby  Falls) หรือเรียกกันอีกชื่อว่า "น้ำตกทับทิม" น้ำตกที่มีชื่อเสียงในเขตเทือกเขาลุคเอาท์ (Lookout Mountain) ใกล้ๆกับเมืองชัตตานูกา (Chattanooga) เมืองในรัฐเทนเนสซี (Tennessee) รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกา (United States of America) นั่นเองค่ะ

น้ำตกรูบี้ หรือ น้ำตกทับทิม  เป็นน้ำตกที่ไม่ได้อยู่บนพื้นผิวดินอย่างที่เราคุ้นเคยกัน  เนื่องจากตัวน้ำตกนั้นอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีความลึกถึง 1,120 ฟุต  สำหรับต้นกำเนิดของน้ำตกนั้นคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงการก่อตัวของภูเขาซึ่งย้อนกลับไปราวๆ 200 ถึง 240 ล้านปีที่ผ่านมา

     จากนี้แล้ว  ภายในถ้ำยังมีความโดดเด่นมากในเรื่องความงดงามของสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยา  อันได้แก่ หินงอก หินย้อย และน้ำตกสูง 145 ฟุต  ที่ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดินหลักของถ้ำ  สำหรับการเข้าชมน้ำตกจะต้องใช้ลิฟท์เท่านั้น  ปัจจุบันถ้ำและน้ำตกรูบี้ถูกครองครองโดยตระกูล Steiner


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
น้ำตกสวยอ่า
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-1 15:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 11:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์สำคัญตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายานมีดังนี

พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์(จีน: 地藏, Di Zang, เกาหลี: Ji Zang, ญี่ปุ่น: Jizo, ทิเบต: Sai Nyingpo, เวียดนาม: Địa Tạng) พระโพธิสัตว์แห่งสัตว์นรกทั้งปวง หรือพระโพธิสัตว์ผู้มีมหาปณิธาน
พระคคนคัญชะโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือต้นกัลปพฤกษ์ หัตถ์ขวายกขึ้น หัตถ์ซ้ายวางบนสะโพก กายสีเหลือง มี 2 กร
พระคันธหัสติโพธิสัตว์กายสีเขียวหรือขาวอมเขียว 2 กร มือขวาทำปางประทานพร มือซ้ายถืองาช้าง วางบนดอกบัวหรือถือสังข์
พระจันทรประภาโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาวกของ
พระไภษัชยคุรุ สัญลักษณ์คือดวงจันทร์วางบนดอกบัว หัตถ์ขวาประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระจันทร์บนดอกบัว กายสีขาว 2 กร
พระจุณฑิอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ผู้แยกตัวมาจาก
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ทุกกรล้วนมีสิ่งของไม่เหมือนกัน บ้างก็แตกต่างกันไป กายสีเหลืองหรือขาว 3 เนตร 18 กร
พระชญาณเกตุโพธิสัตว์กายสีเหลืองหรือฟ้า 2 กร มือขวาถือธงกับเพชรพลอย มือซ้ายทำท่าประทานพร
พระชาลินีประภาโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือวงกลมแห่งดวงอาทิตย์ หัตถ์ขวาประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระอาทิตย์บนดอกบัว กายสีแดง มี 2 กร
ไตรโลกยวิชยะวิทยราชแห่งทิศตะวันออก ผู้ทำหน้าที่คุ้มครองพระอักโษภยะพุทธะในศาสนาพุทธแบบทิเบต มหายานบางกลุ่มถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์เอกเทศ ไม่ได้จัดอยู่ในสกุลของพระธยานิพุทธะองค์ใด
พระนางตารา(จีน: 度母, Du Mu) - พระโพธิสัตว์ฝ่ายหญิงในพระพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน เป็นตัวแทนของคุณธรรมแห่งความสำเร็จในกิจการทั้งปวง ถือกันว่าเป็นร่างสำแดงภาคหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
พระนาคารชุนะ(จีน: 龍樹, Long Shu, เวียดนาม: Long Thọ) - ผู้ก่อตั้งนิกายมัธยมกะ อันเป็นนิกายย่อยของศาสนาพุทธมหายาน ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์
นิโอผู้พิทักษ์ที่เข้มแข็ง 2 องค์ของพระพุทธเจ้า มักปรากฏอยู่ที่ประตูทางเข้าวัดพุทธศาสนาหลายแห่งในญี่ปุ่นและเกาหลี มีรูปลักษณ์ดั่งนักมวยปล้ำที่ดูน่าสะพรึงกลัว นิโอทั้งสองนี้เป็นร่างสำแดงของพระวัชรปาณีโพธิสัตว์
พระนางปรัชญาปารมิตาเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นบุคลาธิษฐานของพระสูตรสำคัญของมหายานคือมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 -12 มีฐานะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภาคสำแดงของ พระอักโษภยะพุทธะ เป็นสัญลักษณ์ของสุญตา
พระปัทมปาณิโพธิสัตว์พระปัทมสัมภวะ(จีน: 蓮華生上師, Lianhuasheng Shang Shi, ทิเบต: Padma Jungne หรือ Guru Rinpoche) - พระลามะในนิกายวัชรยานซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในทิเบตและภูฏาน นิกายญิงมาปะถือว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง
พระประติภานกูฏโพธิสัตว์กายสีเหลือง เขียว หรือ แดง มือขวาถือแส้ มือซ้ายวางบนเพลา มี 2 กร
พระภัทรปาลโพธิสัตว์กายสีแดงหรือขาว มี 2 กร มือขวาทำปางประทานพร มือซ้ายถือเพชรพลอย
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 11:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์(จีน: 大勢至, Da Shì Zhì, เกาหลี: Dae Sae Zhi, ญี่ปุ่น: Seishi, เวียดนาม: Đại Thế Chí) - พระโพธิสัตว์ผู้เป็นตัวแทนของกำลังแห่งปัญญา ปรากฏอยู่เบื้องซ้ายของพระอมิตาภพุทธะ เป็นที่นับถือในนิกายสุขาวดี
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์(จีน: 文殊, Wen Shu, เกาหลี: Moon Soo, ญี่ปุ่น: Monju, ทิเบต: Jampal Yang, เวียดนาม: Văn Thù) - พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา
พระรัตนปาณีโพธิสัตว์
นางวสุธระพระโพธิสัตว์แห่งความอุดมสมบูรณ์ นับถือกันมากในประเทศเนปาล
พระวัชรครรภโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือหนังสือ มือขวาถือวัชระ มือซ้ายถือหนังสือ กายสีฟ้า มี 2กร
พระวัชรปาณีโพธิสัตว์(จีน: 金剛手, Jin Gang Shou, เกาหลี: Kum Kang Soo, ญี่ปุ่น:Shukongojin, ทิเบต: Channa Dorje) - พระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธมหายานยุคต้น เป็นประมุขของพระโพธิสัตว์ผู้ค้ำครองพระพุทธเจ้าและเหล่าพระมนุสสิโพธิสัตว์ มีความเชื่อมโยงกับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์และนิโอคงโงริกิชิ กล่าวกันว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจแห่งพระตถาคตทั้งห้า
พระวิศวปาณีโพธิสัตว์
พระเวทโพธิสัตว์ (พระสกันทะ)(จีน: 韋馱, Wei Tuo) - เทพธรรมบาลผู้คุ้มครองธรรมในพุทธศาสนา มีส่วนที่เชื่อมโยงกับพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ คุณลักษณะตรงกับพระสกันทะ (พระขันธกุมาร) ซึ่งเป็นเทพในศาสนาฮินดู โดยมากนิยมนับถือในศาสนาพุทธแบบจีน
พระศานติเทวะพระภิกษุมหายานในช่วงราวพุทธศตวรรษ 13 (คริสต์ศตวรรษที่ 8) ผู้เขียนตำราเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ชื่อ "โพธิสัตตวจารยาวตาร" (หนทางสู่การบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์)
พระนางศิตาตปัตรพระโพธิสัตว์ผู้เป็นเทพยดาแห่งฉัตรขาว เป็นผู้คุ้มภัยจากอันตรายเหนือธรรมชาติ
พระศรีอริยเมตไตรย(จีน: 彌勒, Mi Le, เกาหลี: Mi Ruk, ญี่ปุ่น: Miroku, เวียดนาม: Di Lạc) - พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 5 ในภัทรกัปป์ต่อจากพระโคตมพุทธเจ้า เป็นที่รู้จักจากความมีมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ เป็นที่นับถือทั่วไปทั้งในฝ่ายเถรวาทและมหายาน
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์(จีน: 普賢, Pu Xian, เกาหลี: Bo Hyun, ญี่ปุ่น: Fugen, ทิเบต: Kuntu Zangpo, เวียดนาม: Phổ Hiền) - พระโพธิสัตว์ผู้เป็นตัวแทนของความกรุณาและสมาธิที่ดิ่งลึกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์กายสีขาวหรือฟ้า มี 2 กร มือขวาทำญาณมุทรา มือซ้ายทำท่าปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร
พระสรรวโศกตโมนิรฆาตมตีโพธิสัตว์กายสีเหลืองอ่อนหรือเหลือง มี 2 กร มือขวาถือคฑา มือซ้ายวางบนสะโพก
พระสรรวาปายัญชหะโพธิสัตว์กายสีขาว 2 กร ทำท่าขจัดบาป หรือถือขอสับช้างทั้งสองมือ
พระสุปุษปจันทระพระโพธิสัตว์ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำรา "โพธิสัตตวจารยาวตาร" ของพระศานติเทวะ
พระสุรยไวโรจนโพธิสัตว์(Ch: 日光, Ri Guang, เกาหลี: Il Guang, Jp: Nikkō) - 1 ใน 2 พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาวกของพระ
ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
พระสังฆารามโพธิสัตว์(จีน: 伽藍, Qie Lan, เวียดนาม: Già Lam) - เรียกอีกอย่างว่า "พระวิหารบาลโพธิสัตว์" เป็นพระโพธิสัตว์ที่นับถือเฉพาะในความเชื่อแบบพุทธ-เต๋า ของจีน คำว่าสังฆารามโพธิสัตว์นั้นอ้างอิงถึงกลุ่มเทพที่ทำหน้าที่คุ้มครองวัดและพิทักษ์พุทธศาสนา แต่นามนี้มักจะถูกใช้อ้างอิงถึงกวนอู ผู้เป็นแม่ทัพในตำนานยุคสามก๊ก ซึ่งได้กลายเป็นเทพธรรมบาลด้วยการประกาศตนเป็นชาวพุทธและตั้งปณิธานในการคุ้มครองศาสนาไว้
พระสาครมติโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือสังข์หรือคลื่น ยื่นพระหัตถ์ไปข้างหน้า ทำนิ้วเป็นรูปคลื่น กายสีขาว มี 2 กร
พระสุรังคมโพธิสัตว์กายสีขาว 2 กร มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายวางบนสะโพก
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(จีน: 觀音, Guan Yin, เกาหลี: Guan Um, ญี่ปุ่น: Kannon, ทิเบต: Chenrezig, เวียดนาม: Quán Thế Âm) - พระโพธิสัตว์แห่งความกรุณา ผู้สดับเสียงคร่ำครวญในโลกและคอยช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลที่สุดในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
พระอักษมยมติโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือพระขรรค์หรือหม้อน้ำ มือขวาประทานพร มือซ้ายทาบบนทาบบนพระอุระ กายสีเหลืองหรือขาว มี 2 กร
พระอากาศครรภโพธิสัตว์(จีน: 虛空藏, Xu Kong Zang,เกาหลี: Huh Gong Zang, ญี่ปุ่น: Kokuzo) - พระโพธิสัตว์แห่งความปิติอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเกิดจากการช่วยเหลือสรรพสัตว์จำนวนมากพ้นประมาณ สัญลักษณ์คือพระอาทิตย์ มือขวาถือเพชรพลอย มือซ้ายถือดวงแก้ว กายสีเขียว มี 2 กร
พระอโมฆทรรศินโพธิสัตว์กายสีเหลือง 2 กร มือขวาถือดอกบัว มือซ้ายวางบนสะโพก
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 11:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 11:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทรัพย์วิเศษแปดอย่างของโป๊ยเซียนนั้นในภาษาจีนกลางเรีกกว่า “อ้านปาเซียน” ส่วนในภาษาแต้จิ๋วจะเรียกว่า “อ่ำโป่ยเซียง” เป็นของวิเศษประจำตัวของเหล่าคณะเซียนชุดหนึ่งซึ่งมีจำนวนแปดตนของทางลัทธิเต๋า
ชาวจีนเชื่อกันว่าของวิเศษทั้ง 8 อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์หรือเป็นตัวแทนของเซียนแต่ละองค์ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากเป็นของเสริมมงคลอีกทั้งยังสามารถปัดเป่าขับไล่สิ่งอัปมงคล ภูตผีที่จะมารังควาญมนุษย์ได้มักจะมีปรากฏให้พบเห็นอยู่บ่อยในสถาปัตยกรรมของชาวจีน และในฮู้ (ยันต์)ของเทพเจ้าชุดนี้อยู่เสมอ
ของวิเศษทั้ง 8 อย่างของโป๊ยเซียนในแต่ละองค์นั้นก็มีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดแต่ละองค์อันสื่อให้เห็นความเป็นสิริมงคลและการป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้ดังนี้(คำอ่านคำหน้าเป็นสำเนียงจีนกลาง และคำอ่านคำหลังเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว)
                             
1. น้ำเต้า (หูหลู)ถือว่าเป็นของวิเศษคู่กายของแถว่ไกว่หลี่ หรือ ถิก้วยลี่ (鐵拐李) และบางครั้งก็อาจมีการเรียกชื่อของท่านสลับตัวอักษรกันว่า หลี่แถว่ไกว่หรือ ลี่ถิก้วย (李鐵拐) ก็มี ซึ่งชื่อทั้งสองของท่านนี้ถือว่าถูกต้องทั้งคู่น้ำเต้าของแถว่ไกว่หลี่ เป็นน้ำเต้าวิเศษที่ที่เนรมิตรขึ้นจากถุงข้าวสารสามารถดลบันดาลสุข ความอุดมสมบูรณ์ให้แก่มนุษย์ได้และน้ำเต้านี้มีพลังพิเศษสามารถดูดกลืนพลังชั่วร้าน เช่น ภูตผีปิศาจสิ่งอัปมงคลไปกักไว้ได้ มิให้มาทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตัวของน้ำเต้าเองโดยทั่วไปก็ถือว่าเป็นของมงคลของชาวจีนอยู่แล้วเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีอายุยืนและมีลูกหลานมากมายอีกทั้งน้ำเต้าของแถว่ไกว่หลี่นั้นภายในยังมีค้างคาวแดงอีก 5 ตัวอยู่ข้างใน เมื่อเปิดจะโบยบินออกมา อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองห้าประการ
2. พัดใบกล้วยน้ำว้า (ปาเจียวซ่าน) เป็นของวิเศษคู่กายของฮ่านจงหลีหรือ หั่งเจ็งลี้ (漢鍾離) ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าจงหลีเฉวียน หรือ เจ็งลี้ค้วง (鍾離權) พัดนั้นในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซ่าน” อันไปพ้องเสียงกับคำว่า “ซ่าน” ที่หมายถึง “ดีงาม”ด้วยเหตุนี้พัดจึงถือว่าเป็นของมงคลชนิดหนึ่งที่ช่วยในการสลายพลังร้ายเสริมพลังที่เป็นมงคลและพัดวิเศษของฮ่านจงหลีนั้นก็มีความพิเศษเฉพาะตัวอีก คือ สามารถโบกพัดคนที่ตาย(โดยที่ร่างยังไม่เน่าเปื่อย) ให้กลับฟื้นมามีชีวิตได้อีกครั้ง จนได้ชื่อว่า “พัดคืนชีพ”
3. กลองมัจฉา (หวิ๋กู่)เป็นของวิเศษคู่กายของจางกว่อเหลา หรือ เตียก้วยเล่า (張果老) กลองปลาของจางกว่อเหลานั้นทำขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่ซึ่งชาวจีนถือว่าต้นไผ่นั้นเป็นราชาแห่งมวลพฤกษา แล้วไม้ไผ่เองในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า“จู๋” อันไปพ้องเสียงกับคำว่า “จู๋” ที่แปลว่า “อวยพร”โดยเสียงที่เกิดจากกลองปลาที่ทำจากไม้ไผ่ของจางกว่อนั้นจะมีมีพลังวิเศษสามารถส่งเสียงกึกก้องกังวาลไปได้ไกลอีกทั้งชาติกำเนิดเดิมของจางกว่อเหลานั้นก็คือค้างคาวเผือกที่บำเพ็ญพรตอยู่หลายพันปีจนสามารถกลายร่างมาเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญตบะต่อจนเป็นเซียนได้อันค้างคาวนั้นชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภดังนั้นกลองมัจฉาของจางกว่อเหลาจึงเป็นของวิเศษที่สื่อถึง การอวยพรให้โชคดีนั่นเอง
4. กระบี่วิเศษ (เป้าเจี้ยน)เป็นของวิเศษคู่กายของหลี่ว์ต้งปิน หรือ หลือตั่งปิง (呂洞賓)กระบี่นั้นชาวจีนถือว่าเป็นอาวุธแห่งเกียรติยศใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวอีกทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์ในการพิชิตภูตผีปิศาจและสิ่งอัปมงคลได้อีกด้วยกระบี่วิเศษประจำกายของหลี่ว์ต้งปินนั้นท่านมักใช้ในการขับไล่ภูตผีปิศาจที่มารังควาญมนุษย์ให้เจ็บไข้ได้ป่วยดังนั้นกระบี่วิเศษนี้จึงไม่เพียงแต่ขับไล่สิ่งอัปมงคลแต่ยังสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย
5. กรับสุริยันจันทรา (อินเอี๋ยงป่าน)เป็นของวิเศษประจำกายของเฉากว๋อจิ้ว หรือ เช้ากกกู๋ (曹國舅) กรับนั้นถือเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ให้จังหวะทำนองแล้วต่อมาได้ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นป้ายอาญาสิทธิ์ประจำตัวของเหล่าขุนนางโดยจะเห็นกันบ่อยครั้งในหนังจีนโบราณที่เวลาจะเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเหล่าขุนนางจะถือป้ายอาญาสิทธิ์ประจำตัวนี้เสมอในการเข้าเฝ้า กรับประจำกายของเฉากว๋อจิ้วนี้จะเป็นป้ายวิเศษสองอันอันหนึ่งจะมีพลังแห่งสุริยัน (หยาง) อีกอันจะมีพลังแห่งจันทรา (หยิน)ซึ่งเมื่อทั้งสองมารวมกันจะทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มีเสียงดังกึกก้องสามารถขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งปวงได้
6. ขลุ่ย (ตี๋) เป็นของวิเศษประจำกายของหานเซียงจวื่อหรือ ฮั้งเซียงจื้อ (韓湘子) เสียงอันไพเราะของขลุ่ยวิเศษหานเซียงจวื่อนั้นไม่เพียงแต่เป็นเสียงขลุ่ยที่สามารถสลายพลังชั่วร้ายเท่านั้นแต่ยังมีเสน่ห์สามารถสะกดวิญญาณของผู้ฟังให้หยุดชะงักได้ทันที
7. ดอกบัว (เหอฮวา) เป็นของวิเศษประจำกายของเหอเซียนกูหรือ ฮ้อเซียงโกว (何仙姑) ดอกบัวนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขอันไม่หมดสิ้นโดยคำว่า “เหอ” จะไปพ้องเสียกับ “เหอ” ที่แปลว่า ปรองดองหรือร่วมกันอีกทั้งดอกบัวของเหอเซียนกูนั้ยังเป็นดอกบัวที่ดอกใหญ่มากเป็นพิเศษ อันสื่อถึงการคุ้มครองมวลมนุษย์ให้ปลอดภัยจากภัยอันตราและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
8. ตะกร้าบุปผชาติ (ฮวาหลาน)เป็นของวิเศษประจำกายของหลานไฉ่เหอ หรือ น้าไช่ฮั้ว (藍采和) ตะกร้าที่บรรจุดอกไม้ของหลานไฉ่เหอนั้นมีความหมายถึง ความเป็นสิริมงคลแทนความสุขสดชื่นและสดใสร่าเริงเพราะชาวจีนถือว่าดอกไม้นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสดชื่น ร่าเริง และชีวิตในวัยหนุ่มสาวซึ่งภายในตะกร้าของหลานไฉ่เหอนั้นจะมีดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งตลอดเวลาไม่มีวันเหี่ยวเฉานั่นย่อมแสดงถึงความสดใสร่าเริ่งดุจชีวิตในวัยรุ่นที่จะคงอยู่เป็นนิรันดร
ดังนั้นบางครั้งเราจะเห็นว่าในตะกร้าวิเศษของหลานไฉ่เหอนั้นอาจมีการเปลี่ยนจากดอกไม้มาเป็นผลลูกท้อแทนก็ได้ ซึ่งหมายถึงความเป็นอมตะเช่นกัน ดังนั้นของวิเศษทั้ง8 อย่างของเทพโป่วเซียนนั้นเปรียบได้กับการได้รับการคุ้มครองจากท่านทั้งแปดทิศให้ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย เพิ่มโชคลาภความเป็นสิริมงคล สมปรารถนาทุกประการนั่นเอง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้