ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ เจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ วัดเทพศิรินทร์ ~

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การที่ท่านกล่าวดังนี้ เป็นการอนุญาตให้เก็บไว้ใช้ติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล คุ้มครองป้องกันอันตรายได้

“กระแสจิตของคนเรานี่มันถึงกันได้นะ”

อีกครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ได้ลงข่าวว่า ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้ส่งกระแสจิตไปรักษาฝรั่งคนหนึ่งที่ต่างประเทศ จนฝรั่งคนนั้นหายจากโรคปวดหัว แล้วจึงเดินทางมาตามท่านจนพบ

ผมได้เรียนถามถึงเรื่องนี้ว่า จริงเพียงไร ท่านบอกว่าฝรั่งคน นั้นได้มาหาท่านจริง ส่วนเรื่องที่ท่านจะรักษาเขาจริงหรือไม่ ท่านไม่ทราบ แต่เขามาเล่าอย่างนั้น

ท่านได้บอกว่ากระแสจิตที่ส่งไปเหมือนเครื่องส่งวิทยุ เมื่อ เครื่องส่งได้ส่งออกไปแล้ว เครื่องส่งก็ไม่ทราบว่ามีเครื่องรับอยู่ที่ใดบ้าง

ส่วนท่านธมฺมวิตกฺโกนั้น ท่านนั่งแผ่เมตตาอยู่ทกคืนเป็น ประจำ และเท่าที่ท่านได้สอบถาม ปรากฏว่าฝรั่งคนนั้นเป็นฝรั่งที่สนใจเรื่องอำนาจจิต และได้ฝึกฝนตนมาทางนี้นานแล้ว

เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น ๆ มาเป็นอันมากแล้ว เป็นต้นว่า พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ซึ่งเคยเฝ้าเพียรพยายามที่จะพบท่านอยู่หลายครั้ง

ทันทีที่ได้พบท่านครั้งแรก เมื่อท่านโผล่หน้าต่างกุฏิชั้นบนออกมานั้น ท่านก็ร้องทักเรียกชื่อได้ถูกต้อง รวมทั้งท่านทราบด้วยว่าเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ “แว่นส่องจักรวาล” ท่านยังได้ให้คำแนะนำชี้แจงเกี่ยวกับความผิดพลาดในหนังสือนั้นอีกด้วย

ทำให้ พ.ต.อ.ชลอถึงกับพิศวงงงวย และบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าท่านธมฺมวิตกฺโกนี้จะต้องสำเร็จเป็นอรหันต์แน่ ๆ ท่านจึงหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ทั่วไปหมด

เคยมีคนไปเล่าให้ท่านฟัง ว่ามีคนเจ็บในโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ นี้เอง เห็นท่านไปเยี่ยมเขาจนถึงเตียงคนไข้ ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ พร้อมกับกล่าวว่า

ก“ระแสจิตนี้เปรียบเหมือนคลื่นวิทยุ ใครรับได้ก็อาจเห็นอาตมาได้

ท่านเคยพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า ท่านได้แผ่เมตตาส่งกระแสจิต ออกไปอยู่เป็นประจำ ใครที่สามารถมี “เครื่องรับ” ตรงกัน ก็อาจเห็นท่านได้

เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง จึงมีผู้เคยพบเห็นท่านถึงในสหรัฐอเมริกา ในสมรภูมิเวียดนาม เป็นที่โจษขานกันอยู่ทั่วไป

กับพระอาจารย์ทองเจือ ธมฺมธีโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านก็เคยกล่าวว่าพระสงฆ์ที่ท่าน “สำเร็จ” แล้วนั้น กระแสจิตเหมือนกับคลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ อาจจะ “ส่ง” ไปยังที่ใด ๆ ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ระเบิด 3 ลูก

คราวหนึ่งมีนักเรียนแพทย์ที่จบจากศิริราช จะออกไปเป็นแพทย์ฝึกหัดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้มาขอโอวาทจากท่าน ขอให้ท่านกรุณาให้โอวาทด้วย เพราะจะออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว

ท่านธมฺมวิตกฺโกได้ให้โอวาทว่า ถ้าจะมาขอโอวาทก็จะเตือนให้ระวังระเบิดสามลูก มีชื่อ ราคะ โทสะ และโมหะ ระเบิดสามลูกนี้ร้ายกาจมาก เป็นรากเง่าของความชั่วร้าย

เรื่องโทสะเห็นจะไม่มีใครชอบเพราะเป็นของร้อน และเห็น ได้ง่ายว่าเป็นทุกข์ แต่ราคะ และโมหะ ให้ระวังให้มาก เพราะมาในรูปของไฟเย็น ให้ความสุขได้ มองไม่ค่อยเห็นความทุกข์ และ ราคะนั้น เมื่อมีโมหะเข้าช่วยจะไปกันใหญ่ เพราะจะพากันหลงรัก หลงชัง

เมื่อท่านให้โอวาทจบได้ถามแพทย์ผู้หนึ่งว่าจะไปอยู่ไหน นายแพทย์ผู้นั้นตอบว่าไปอยู่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ท่านธมฺมวิตกฺโก บอกว่าคุณต้องระวังให้มากนะ เพราะจะเดือดร้อนจากระเบิดสามลูกนี้โดยเฉพาะลูกที่มีชื่อ ราคะ

ภายหลังปรากฏว่า นายแพทย์ผู้นั้นเดือดร้อนสาหัสเหมือนที่ท่านธมฺมวิตกฺโกบอกไว้จริง ๆ และเดือดร้อนจากลูกที่มีชื่อราคะเสียด้วย

ปาฏิหาริย์

ท่านธมฺมวิตกฺโกไม่ได้สอนให้พุทธศาสนิกชนเชื่อถืออิทธิปาฏิหาริย์ แต่บุคคลส่วนมากก็เชื่อว่าท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์มิใช่น้อย

เช่นเดียวกับ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดาของชาวพุทธทั้งหลาย พระองค์ไม่ทรงส่งเสริมให้สาวกแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงปฏิเสธว่า การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ตามโอกาสอันจำเป็น เป็นสิ่งไม่สมควรเสียเลย

ผู้ที่ศึกพาพระพุทธศาสนาอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว จะเห็น ได้ว่า พระศาสนานี้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและยืนยงคงอยู่มาได้ ก็เพราะอิทธิปาฏิหาริย์ที่พระบรมศาสดาและสาวกของพระองค์แสดงตามโอกาส มีส่วนช่วยน้อมโน้มจิตใจของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้มาเลื่อมใส

การช่วยประชาชนให้ปลอดภัย บำรุงชาติให้พัฒนา และเผย แพร่พระศาสนา

ตัวอย่างเช่น ประชาชนมีกำลังใจเข้มแข็ง ต่อสู้ภยันตรายในการดำเนินชีวิต และในการผจญอริราชศัตรู

โรงเรียนขนาดใหญ่ได้อุบัติขึ้นมาช่วยเยาวชนเป็นอันมาก ให้พรั่งพร้อมไปด้วยวิชาภรณ์ อุโบสถสูงเด่นเป็นสง่า สัมฤทธิ์ขึ้นมาช่วยให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรมโดยสะดวก

และ ถาวรวัตถุอื่น ๆ อัน อำนวยประโยชน์แก่สาธารณชน ก็กำลังสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง นี้เพราะบารมีและอิทธานุภาพแห่งท่านธมฺมวิตกฺโก
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แม้ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงยกย่องพระมหาเถระที่ชื่อ พระโมคคัลลาน์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าพระสงฆ์รูปอื่นในทางแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์

เพราะท่านสามารถน้อมนำบุคคลในศาสนาอื่นจำนวนมาก เข้ามาเป็นพุทธศาสนิกชน จนถึงขนาดเจ้าลัทธิอื่น ๆ เคียดแค้น ชิงชัง ริษยา ได้ว่าจ้างให้โจรไปดักปลงชีวิตท่านเสีย

เรื่องปาฏิหาริย์ไม่ว่าจะเป็น การดักใจเป็นอัศจรรย์ การสั่ง สอนเป็นอัศจรรย์ หรือการแสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ล้วนได้รับการรับรองว่ามีจริง แต่การสั่งสอน (คำสั่งสอน) เป็นอัศจรรย์ถือกัน ว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่ดีที่สุด

พระพุทธศาสนานี้ ถึงจะไม่มีเรื่องปาฏิหาริย์เลย ก็สามารถเผยแพร่และมั่นคงอยู่ได้ เพราะเรื่องปาฏิหาริย์เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ของพระพุทธศาสนา

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีเหตุผลที่ผู้รู้อาจตรองตามให้ เห็นจริงได้ เป็นนิยยานิกธรรม นำผู้ปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ เป็นสุขได้

ผู้ฉลาดเมื่อปรารถนาแก่นไม้ ย่อมไม่เข้าใจผิดคิดว่าเปลือกนอกและกระพี้เป็นแก่น ย่อมผ่า กระเทาะเปลือกและกระพี้ออกจนถึงแก่น ฉันใด

ผู้ปรารถนาพุทธธรรมแท้ก็ เช่นเดียวกัน เมื่อมีพระปฏิบัติ มาคือรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า แล้วไม่ควรติดอยู่แต่ความศักดิ์สิทธิ์

ต้องปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความดีตามที่พระพุทธรูปองค์ทรงสั่งสอน จึงจะพบสัจจธรรมแท้

หรือเมื่อมีรูปเปรียบพระสงฆ์ ให้นึกถึงคุณของพระสงฆ์ ปฏิบัติตามแนวทางของท่านเว้น ทุจริตทั้งหลายจึงจะชื่อว่า มีพระเป็นที่พึ่งคุ้มครองป้องกันภัย

แม้พวกเราจะเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ของท่านธมฺมวิตกฺโก เราก็ไม่ควรปลื้มจนลืมจริยธรรมของท่าน และถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีปาฏิหาริย์ ปรากฏเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ

แต่ท่านก็คงเป็นอภิปูชนีย์ที่ควรเคารพนับถืออย่างแท้จริง สำหรับเราทั้งปวงอยู่นั่นเอง เพราะปฏิปทาของท่านย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น

http://www.dharma-gateway.com/mo ... -nor-hist-08-02.htm
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กายทิพย์

วันหนึ่งได้มีคุณหญิงผู้หนึ่งมาพบท่าน คุณหญิงผู้นี้เป็นนักวิปัสสนา ได้ไปนั่งวิปัสสนาอยู่ที่อยุธยา ขณะที่นั่งวิปัสสนานี้ไม่ก้าวหน้าทางวิปัสสนา การนั่งไปติดอยู่ ซึ่งเกิดจากอะไรผมก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้ศึกษามาทางด้านนี้เลย

และปรากฏว่าคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งทำสมาธิได้พบท่านธมฺมวิตกฺโก และท่านธมฺมวิตกฺโก ได้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องการนั่งวิปัสสนา ทำให้คุณหญิงผู้นี้นั่งวิปัสสนาก้าวหน้าต่อไปได้

จึงมาหาท่านและมาขอบคุณที่กรุณาแนะนำ เรื่องนี้ท่านธมฺมวิตกฺโกไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ได้แต่รับฟัง และบอกว่าดีแล้วที่ก้าวหน้า และ สั่งว่าไม่ต้องมาหาอีก เพราะฝึกได้ก้าวหน้าและให้พรไป

วันหนึ่งขณะที่กำลังจะลงโบสถ์ตอนเย็น ได้มีชายคนหนึ่ง เข้าไปกราบท่านธมฺมวิตกฺโก ท่านได้หยุดทักทายแล้วก็ไปลงโบสถ์

เมื่อออกจากโบสถ์แล้ว ท่านได้เล่าว่าชายคนนั้นเคยบวชที่วัดเทพศิรินทร์ และได้รู้จักกับท่าน

หลังจากลาสิกขาไปแล้ว ได้ไปกับเพื่อนนายตำรวจไปตรวจดู ตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ถูกทำร้าย และถูกเชือดคอ ชายคนนั้นได้นึกถึงท่านธมฺมวิตกฺโก

เมื่อสิ้นสติก็มองเห็นท่านธมฺมวิตกฺโกมาประคองช่วยพยาบาลบาดแผลนั้น และไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ท่านบอกว่า อาตมาไม่ได้ไปไหน อาตมาอยู่ที่วัด แต่เขามองเห็นธมฺมวิตกฺโกด้วยจิตของเขาเอง

มีนักเรียนที่จะไปศึกษาต่างประเทศมาหาท่านเพื่อขอพรมากมาย ซึ่งท่านก็ให้โอวาทให้พยายามเล่าเรียนแล้วรีบกลับมารับใช้ประเทศชาติ มีนักเรียนไทยคนหนึ่งลาไปเรียนที่อังกฤษ ท่านก็ให้พรไปเช่นทุกครั้ง

ภายหลังนักเรียนคนนี้ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยเดินทางต่อไปจากอังกฤษเพียงคนเดียว

เมื่อไปถึงอเมริกาแล้วหาที่พักไม่ได้ เพราะไม่มีใครชอบคนผิวดำ แม้จะดำอย่างคนไทยก็ตาม ขณะที่เคว้งคว้างไม่ทราบจะทำอย่างไรนั้น นักเรียนไทยคนนั้น ได้นึกถึงท่านธมฺมวิตกฺโก ให้ช่วยหาที่พักให้ด้วยเพราะหมดสิ้นหนทางแล้ว

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็ เห็นท่านธมฺมวิตกฺโกมาหา และแนะนำให้ไปพักโดยบอกสถานที่ให้ เมื่อนักเรียนไทยไปตามนั้นแล้ว ก็ได้ที่พักอย่างสะดวกสบาย

ผมไม่ทราบว่าการเห็นของนักเรียนไทยคนนี้เห็นท่านด้วยตาของเขาเอง หรือเห็นท่านด้วยความรู้สึกนึกคิด แต่ที่น่าประหลาดคือเมื่อทำตามคำแนะนำ แล้วก็สำเร็จประโยชน์เป็นจริงทุกประการ
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อรหันต์

ปัญหาที่มีคนถามด้วยความสงสัยเสมอ ๆ ก็คือ ปัญหาว่า ท่านธมฺมวิตกฺโก เป็นพระอรหันต์จริงหรือ และว่าท่านเป็นพระ อริยบุคคลชนไหนแน่ บางคนเชื่อว่าท่านต้องได้บรรลุธรรมขั้นสูงไม่น้อยกว่าขั้นอนาคามี เพราะท่านเคยปรารภว่า พระอนาคามีไม่มีน้ำอสุจิ

ตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่า การที่บุคคลบรรลุธรรมอันเหนือโลก (โลกุตตรธรรม) ขั้นไหน ย่อมวัดกันด้วยการละกิเลส ๆ ในที่นี้ ท่านใช้ศัพท์ว่า สังโยชน์ ๆ มีอยู่ 10 อย่าง คือ

1. สักกายทิฏฐิ ความเห็นแก่ตัว ถือว่าร่างกายเป็นของของตน ด้วยอำนาจอุปทาน

2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยไม่มั่นใจในการกระทำความดีและเว้นความชั่ว

3. ลีลัพพตปรามาส การถือผิดคิดว่าการรักษาศีลบำเพ็ญพรต ไม่ใช่เพื่อกำจัดกิเลส

4. กามราคะ ความติดอยู่ในกาม คือรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (กามคุณ 5)

5. ปฏิฆะ ความรู้สึกไม่พอใจ ขุ่นเคืองต่าง ๆ

6. รูปราคะ ความรักใคร่ ความพอใจ ในสุขอันเกิดจากรูปสมาบัติ

7. อรูปราคะ ความพอใจ ติดใจในสุขอันเกิดจากอรูปสมาบัติ

8. มานะ ความรู้สึกสำคัญตัวว่าเป็นต่าง ๆ เช่นรู้สึกว่าตนเลวกว่า แล้วเกิดความน้อยใจ รู้สึกว่าตนดีกว่า แล้วทะนงหยิ่ง หวั่นไหว อยู่เสมอ

9. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ไม่สงบนิ่ง ยังอยากมี อยากเป็น อยากพ้น เมื่อประสบเหตุการณ์ ต่าง ๆ ยังมีวิตกกังวลระแวงอยู่

10. อวิชชา ความไม่รู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อ ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ผู้ได้ชื่อว่า พระโสดาบัน เพราะละกิเลส (สังโยชน์) 3 ข้อแรกเสียได้ ท่านเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน

ผู้ได้ชื่อว่า พระสกิทาคามี เพราะละกิเลส 3 ข้อแรก และ บรรเทา โลภะ โทสะ โมหะเสีย

ผู้ได้ชื่อว่า พระอนาคามี เพราะละกิเลส 5 ข้อแรกเสียได้ ท่านจะไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก

ผู้ได้ชื่อว่า พระอรหันต์ เพราะละกิเลสทั้ง 10 ข้อเสียได้ ท่านจะไม่เกิดอีกชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับท่าน
36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านธมฺมวิตกฺโก ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ เพื่อดับกิเลส เพื่อขจัดทุกข์ด้วยน้ำใจที่เด็ดเดี่ยวหาผู้เสมอเหมือนได้ยากในยุคนี้.

ท่านไม่ติดอยู่ในโลกวิสัย ไม่ปรารถนาอามิสลาภผลใด ๆ นอกจากปัจจัย 4 ซึ่งท่านได้พิจารณาแล้วบริโภคใช้สอย เพียงเพื่อให้ร่างกายเป็นอยู่ สามารถประพฤติปฏิบัติธรรมได้เท่านั้น

เข้าในลักษณะพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรแล้ว เป็นเนื้อนาบุญของโลก

เมื่อความจริงปรากฏอยู่เช่นนี้ ไม่ควรให้มีปัญหาว่าท่านธมฺมวิตกฺโก บรรลุธรรมขั้นไหน หรือเท็จจริงอย่างใด เพราะท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว

เราจะรู้สึกซึ้งยิ่งไปกว่านี้ทำไม และจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อ เราอยู่คนละโลก ความจริง ท่านอยู่ในโลกที่เหนือโลก คือโลกุตตรธรรม ส่วนปุถุชนธรรมดา อยู่ในชั้นโลกียวิสัย ซึ่งห่างไกลกันเหลือเกินเมื่อเทียบกันด้วยระดับจิตใจ

ความจริง การที่เราจะรู้ซึ้งถึงจิตใจของท่านผู้บรรลุธรรมชั้นสูงได้นั้น เราจะต้องยกระดับจิตใจของเราให้เท่าถึงท่านเสียก่อน มิเช่นนั้นจะรู้ไม่ถูกต้อง มีพระภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่ง เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจขวนขวาย ศึกษาธรรม และพยายามจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

ท่านธมฺมวิตกฺโกเห็นอุปนิสัย เช่นนี้จึงได้ชักชวนให้พระภิกษุรูปนั้นบวชต่อไป การชักชวนของ ท่านธมฺมวิตกฺโกนี้เป็นการชักชวนอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแนะนำปฏิบัติให้อีกด้วย แต่พระภิกษุรูปนั้นก็ยังไม่รับคำ

จนกระทั่งออกพรรษา ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้บอกกับพระภิกษุ รูปนั้นว่า “คุณมีอุปนิสัย เพราะคุณเรียฉธรรมได้ง่าย นี่แสดงว่าคุณบวชแล้วหลายชาติ และคุณก็สึกทุกที ชาตินี้คุณไม่สึกไม่ได้หรือ”

พระภิกษุรูปนั้นได้ตอบว่า “ผมนังมีวิจิกิจฉา ยังสงสัยทุกเรื่อง ยังไม่มั่นใจว่าอะไรคืออะไรเป็นที่แน่นอน คิดเอาเองว่าจะสิ้นสงสัยได้ต้องอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเอง เพราะเท่าที่ทราบมา พระอรหันต์ระลึกชาติได้เพียงกัปป์เดียวคงไม่สิ้นสงสัย”

ท่านธมฺมวิตกฺโกบอกว่า “คุณคิดเหมือนคุณเสถียร โพธินันทะ คุณเสถียรบอกกับอาตมาว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า

อาตมาเห็นเป็นเรื่องเหลว ไหล เกิดมาพบพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เรียนธรรมชองท่านแล้ว จะอยากไปเป็นพระพุทธเจ้าอีก ต้องทรมานต่อไปอีกด้วยเหตุผลอะไรกัน

แล้วที่คุณว่าเป็นพระอรหันต์ไม่สิ้นสงสัยนั้น คุณทราบแล้วหรือว่าพระอรหันต์เป็นอย่าง ไร เป็นเรื่องรู้ก่อนเกิด เหลวไหล”

แล้วท่านธมฺมวิตกฺโกได้ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับอาตมานั้น ต้องการให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย อาตมาไม่อยากจะเกิดอีก อาตมามั่นใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

ไม่ทราบว่าความหวังของ ท่านบรรลุผลหรือไม่ และท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ใครเล่าจะมีคุณธรรมพอจะไปหยั่งรู้ได้ เพราะผู้นั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์เช่นกัน

และที่ท่านธมฺมวิตกฺโก บอกว่าต้องการให้เป็นชาติสุดท้ายนั้น ก็มีความหมายได้สองนัย กล่าวคือเป็นชาติสุดท้ายจริง ๆ เพราะต้องนิพพานแน่

หรืออีกนัยหนึ่งเป็นชาติสุดท้ายของการเป็นมนุษย์ แล้วไปบังเกิดในภพอื่น ไปนิพพานในภพอื่น ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการเดาเท่านั้น

ถ้าพวกเราเข้าใจว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลจริง ๆ จะเป็น พระอริยบุคคลชั้นใดก็ตาม เราท่านทั้งหลายก็ไม่อาจจะหยั่งถึงความเป็นไปหรือความคิดของพระอริยบุคคลได้ คงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ท่านได้สมปรารถนาในเจตนาของท่านอย่างบริบูรณ์
37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปริยัติคู่ปฏิบัติ



ในพระพุทธศาสนาของเรานั้น มีพระสงฆ์อยู่สองฝ่าย คือ

1. ฝ่ายบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ คือผู้หลีกเร้นบำเพ็ญเพียรทางใจ

2. ฝ่ายบำเพ็ญคันถธุระ คือ ผู้ศึกษาเล่าเรียนและสร้างสรรค์ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องอาศัยกันเสมอ มิเช่นนั้น พระพุทธศาสนาจะอยู่ไม่ได้นาน ถ้าจะเปรียบพระพุทธศาสนาเป็นนกอินทรีมีปีก 2 ข้าง

พระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เป็นปีกขวา พระสงฆ์ฝ่ายคันถธุระ ก็เป็นปีกซ้าย นกอินทรี คือพระพุทธศาสนา จะบินไปได้ไกลและนานก็เพราะมีปีก 2 ข้าง

ท่านธมฺมวิตกฺโก คงจะเห็นการณ์ไกลเช่นนี้ เมื่อท่านเป็นปีก ขวาของพระพุทธศาสนา ท่านก็ต้องอาศัยปีกซ้ายคือฝ่ายคันถธุระ หากมิเป็นเช่นนั้น ท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านจะเรียนรู้ปริยัติธรรมจากใครได้

ในประวัติชีวิตของท่าน ผู้ใกล้ชิดจริง ๆ จึงจะรู้ว่าท่านไม่เคยยกตนข่มใคร มองแง่นี้ ย่อมเห็นศีลธรรมอันประเสริฐในท่านธมฺมวิตกฺโก

เฉพาะในวัดเทพศิรินทร์ ถ้าจะหาพระสงฆ์ผู้เป็นปีกซ้ายแห่งพระพุทธศาสนาในทางศึกษาเล่าเรียน รู้สึกจะมีมากท่าน แต่ถ้าจะว่าในทางการสร้างสรรค์ถาวรวัตถุต่าง ๆ กันแล้ว ไม่พ้นต้องยกให้ท่านเจ้าคุณพระอุดมสารโสภณเป็นแน่ ทั้งนี้เพราะผลงานเป็นที่ปรากฏ

ท่านธมฺมวิตกฺโก คงจะเห็นความสำคัญในการสร้างสถาบัน ทั้งของชาติและศาสนาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องมาย่อมทำเมื่อเห็นประโยชน์อย่างกว้างขวางและเห็นความตั้งใจจริงของท่านเจ้าคุณพระอุดมสารโสภณ ในการสร้างโบสถ์ สร้างโรงเรียนและอื่น ๆ

ที่เขียนข้อนี้ ก็เพื่อจะฝากข้อ คิดว่าปริยัติธรรม มีอยู่คู่ ปฏิบิต ธรรม จึงจะเกิดผลเป็น ปฏิเวธธรรม คือ ความดับทุกข์

ผู้ที่ยกย่องปฏิบัติธรรมหรือ เรื่องการบำเพ็ญเพียรทางจิต (สมถวิปัสสนา) ไม่ควรยกไปข่ม ปริยัติธรรมหรือเรื่องการบำเพ็ญ คันถธุระ เพราะถ้าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนเผยแพร่ให้กว้างขวาง เราก็คงไม่ได้เห็นพระพุทธศาสนา พร้อมทั้ง พระสงฆ์

ตั้งแต่ท่านธมฺมวิตกฺโก อุปสมบทมา ไม่เคยปรากฏว่าท่าน เทศน์ที่ไหน แม้ข้อเตือนใจของ ท่านก็มีสั้น ๆ แต่ท่านฟังเทศน์ที่พระเถรรูปอื่นเทศน์ในพระอุโบสถ์โดยความเคารพอย่างสูงยิ่งทุกครั้ง นี้เป็นข้อคิดที่ดี

เพื่อให้เราเคารพธรรมอย่างสูง ไม่ควรเลือกว่าใครพูด ใครแสดง ถ้าเป็นธรรมประกอบด้วยเหตุผลของท่านผู้รู้ (พระพุทธเจ้า) แล้ว ประเสริฐทั้งนั้น

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยอดพหูสูต

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ท่านธมฺมวิตกฺโกนั้นทรงไว้ซึ่ง ความเป็นพหูสูตอย่างแท้จริง ด้วยท่านขยันศึกษาเล่าเรียน เพียรค้นคว้าหาความรู้ในวิทยาการสาขาต่าง ๆ อย่างไม่มีวันหยุดยั้ง ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสวัยหนุ่มมาแล้ว

นิสัยที่ทำอะไรทำจริงไม่ เหลาะแหละหยิบโหย่ง จะศึกษา เรื่องอะไรก็ทุ่มเทจนสุดกำลังจน ดูจะเป็นคนเก่งรอบด้านไปหมด

เช่นเก่งทางหมอนวด ชำนาญการหมอดู ไม่ว่าดูลายมือ หรือดูสักษณะบุคคล เก่งทางกายกรรม แม้กระทั่งวิชาหมัดมวย วิชาการแพทย์ขั้นต้น ฯลฯ ดูท่านรอบรู้สารพัดไปหมด

ท่านใส่ใจศึกษาทั้งจากตำราและจากภาคปฏิบัติ จากท่านผู้ทรงคุณความรู้อย่างแท้จริง และศึกษาจากของจริงเป็นอันมากอีกด้วย เช่นเรียนการผ่าตัดศพกับพระยาดำรงแพทยาคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในอดีต เพื่อศึกษาเส้นสายในร่างกายมนุษย์แล้วนำไปใช้เพื่อถวายการนวดแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น

ท่านได้สั่งซื้อตำรับตำรามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ศึกษา ค้นคว้าเป็นอันมาก แม้เมื่อบวชแล้วก็ยังสั่งเข้ามาอีกหลายสิบเล่ม บางเล่มท่านยังได้อุตสาหะแปลออกเป็นภาษาไทยไว้ด้วย

เช่นเรื่อง “วิทยาศาสตร์แห่งการหายใจ” หนาหลายสิบหน้ากระดาษอยู่เหมือนกัน ค้นพบต้นฉบับเมื่อท่านได้มรณภาพไปแล้วยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน

บางคนที่คุยกับท่านแล้วจะ รู้สึกพิศวงงงงวยในความรอบรู้ของท่าน แม้ในเหตุการณ์บ้านเมืองทั้งภายในภายนอกประเทศ รู้อย่างละเอียดลออจนน่าประหลาดใจ รู้กระทั่งสรีระร่างกายมนุษย์ เช่นลำไส้ยาวเท่าใด ฯลฯ ทำให้ผู้ที่ได้พบได้ฟังอัศจรรย์ใจไปตาม ๆ กัน

ท่านชอบอ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นสาระเป็นอันมากและอ่านอยู่เสมอ ผู้ที่ทำงานหรืออยู่ใกล้ชิด บริเวณกุฏิท่านจะเคยเห็นท่านยืน อ่านหนังสือพิมพ์ที่ริมหน้าต่าง โดยหันหลังออกอยู่เสมอ เป็นเวลาครั้งละนาน ๆ โดยให้ทางบ้านจัดส่งไปให้เป็นประจำ เมื่ออ่านจบแล้วท่านก็ส่งคืน

หนังสือพิมพ์ที่ท่านอ่านเป็นประจำในสมัยก่อนก็คือ “ศรีกรุง” ซึ่งเป็น น.ส.พ.ชั้นนำสมัย เมื่อ 40 ที่มาแล้ว ระยะหลัง ๆ นี้ น.ส.พ. ที่ท่านอ่านอยู่เสมอก็คือ “สยามรัฐ”

ชายคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า พอรู้ข่าวเกิดปฏิวัติเจ้าสีหนุในเขมร โดยจอมพลลอนนอลเมื่อปี 2513 ก็เอาไปเล่าให้ท่านฟัง

กลับปรากฏว่าท่านรู้ดีกว่า และเล่าให้ฟังมากกว่าเสียอีก ทั้ง ท่านยังได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเจ้าสีหนุให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแควอีกด้วย

บุคคลสำคัญในบ้านเมืองเรานี้ ใครดีใครชั่ว ใครโกงใครกิน บ้าง ก็ดูท่านรู้ไปหมด และท่านบอกไว้ว่า ผ้ทุจริตคิดมิชอบเหล่านี้จะไม่มีอายุยืนยาวเลย

“ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองมีศีลธรรม บ้านเมืองก็จะมีความสงบ สุข ประชาชนจะไม่เดือดร้อน” ท่านเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ง

ความรอบรู้ใด ๆ ก็ตามจะดูไม่เป็นที่ประหลาดใจเลยถ้าหากแต่ละคนจะตั้งหน้าศึกษาด้วยความเพียรและเอาใจใส่อย่างแท้จริง บ้าง

แต่ความรอบรู้อีกทางหนึ่ง ที่ท่านธมฺมวิตกฺโกมีอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งก็คือ

เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสมัยพุทธกาล ย้อนหลังไปกว่า 2,500 ปี ซึ่งไม่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ใดๆ แต่ท่านสามารถล่วงรู้และเล่ารายละเอียดปลีกย่อยให้ฟังได้ราวกับตาเห็น

จนมีผู้กล่าวกันว่า ท่านล่วง รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน

จะว่าท่านปั้นเรื่องราวขึ้นมาเอง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด เพราะท่านเคร่งครัดต่อการปฏิบัติอย่างยิ่งยวดซึ่งใคร ๆ ก็ย่อมรู้อยู่
39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัวอย่างเช่น คราวหนึ่งท่าน ได้เล่าเรื่องราวตอนพระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญเพียรก่อนตรัสรู้ให้ พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีฟัง เมื่อปลายปี พ.ศ. 2513 ปรากฏตามข้อเขียนที่ พ.อ.จิตได้บันทึกไว้เองตอนหนึ่งดังนี้

“.....แล้วท่านก็เล่าอย่างกับให้เห็นภาพอยู่ตรงหน้าในขณะ นั้น สมัยสมเด็จพระสัมมาพุทธ เจ้าทรงกระทำความเพียร เพื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐยิ่งนั้น ที่บำเพ็ญธรรมก็เป็นป่าเขาและเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ร้าย นานาชนิด”

“แต่พระองค์ท่านก็ทรงดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการแผ่เมตตา อันเปรียบเหมือนพระมหามงคลที่คุ้มภัยได้ทุกประการ บางครั้งฝนตกปรอย ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเอาจีวรมาคลุมพระเศียรไว้”

“เสือสิงห์เดินผ่านเข้ามาใกล้ มายืนดมที่พระเศียร ร้อง โฮกปี้บ ๆ แล้ว......”

เป็นที่น่าเสียดายที่ พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ บันทึกไว้ได้เพียงนี้ก็ ต้องเจ็บหนักจนถึงแก่กรรมไปก่อน แต่ก็พอเป็นพยานยืนยันถึงความสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ของท่านธมฺมวิตกฺโกได้เป็นอย่างดีพอสมควร

อีกคราวหนึ่งราวปี 2512- 2513 นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ พร้อมด้วยคุณลุงแก้ว ศิริรัตน์ บิดาได้นำน้ำผึ้งไปถวายท่าน ท่านได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ พุทธประวัติ ตอนกำเนิดพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ อันเป็นเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี แล้วบรรดาพระภิกษุสงฆ์สาวกเกิดแตกสามัคคี ก่อการวิวาทกัน

แม้สมเด็จพระบรมศาสดาจะพร่ำสอนสักเท่าใด ๆ พระสงฆ์เหล่านั้นก็ยังไม่ยอมปรองดองกันได้ พระพุทธองค์จึงทรงปลีกพระองค์เสด็จออกไปอยู่ในป่าตามลำพัง

จนได้มีพญาช้างเชือกหนึ่ง และพญาลิงตัวหนึ่งเข้าไปตั้งหน้า ปรนนิบัติรับใช้พระพุทธองค์เป็นอันดี โดยพญาวานรได้คิดอ่านไปจัดหารวงผึ้งมาถวายให้เสวย ฯลฯ   

เรื่องราวต่าง ๆ อันปรากฏตามที่ท่านเล่าในวันนั้นผิดแปลก แตกต่างไปจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา หรือที่ได้เคยอ่านผ่านสายตามา โดยมีรายละเอียดปลีกย่อย พิสดารน่าฟังยิ่ง

โดยเฉพาะคุณลุงแก้วนั้น ในอดีตเคยเป็นพระครู เคยเป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว อายุอานามก็น้องๆ ท่านธมฺมวิตกฺโก

ได้เล่าเรียนได้รับฟังจากที่ต่าง ๆ มาเป็นอันมาก ทั้งอ่านมาก ฟังมากและคิดว่าก็รู้มากมาพอควร ทั้งจากพุทธประวัติและอนุพุทธประวัติ

ก็ไม่เคยได้พบได้ฟังเรื่องราวรายละเอียดอย่างน่าพิศวงอย่างนี้ จึงเฝ้าตั้งหน้าซักถามเรื่องราวต่าง ๆ จากท่านเพิ่มเติมอยู่นาน ก็ปรากฏว่าไม่อาจที่ จะ “ไล่” ท่านให้ “จน” ได้สักที

นับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดมากจริง ๆ

จึงเชื่อกันว่าเรื่องอย่างนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการหยั่งรู้ด้วยญาณของท่านธมฺมวิตกฺโกนั่นเอง

สมแล้วที่กล่าวกันว่าท่าน ธมฺมวิตกฺโกเป็นยอดพหูสูตในยุคนี้
40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตาทิพย์

ในพรรษาหนึ่ง มีพระภิกษุใหม่มาบวชจำพรรษาอยู่ที่กุฏิติดกับกุฏิท่าน กุฏิดังกล่าวนี้มีข้างฝาเป็นคอนกรีตไม่สามารถจะมองเห็น กันได้

วันหนึ่งได้มีเพื่อนมาเยี่ยม พระภิกษุใหม่นี้จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ พระภิกษุใหม่ได้หยิบไวโอลินขึ้นมาทำท่าจะสี

ท่านธมฺมวิตกฺโก ซึ่งปกติปิดกุฏิของท่านเสมอได้เปิดหน้าต่างออกมา และได้บอกกับเพื่อนของพระภิกษุใหม่ที่นั่งอยู่หน้ากุฏิว่า “ไปบอกเพื่อนคุณว่า ที่ถืออยู่ในมือให้วางลงเสีย เดี๋ยวจะผิดศีล”

การที่ท่านบอกเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในที่นั้นอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ทราบว่าท่านเห็นได้อย่างไร โดยปกติแล้วจะไม่มีทางมองทะลุฝามาได้ เว้นแต่จะมีทิพยจักษุมองผ่านมาได้เท่านั้น

อีกประการหนึ่งพระภิกษุใหม่รูปนั้นก็ยังไม่ได้สี จะว่าท่านทราบเพราะได้ยินเสียงก็ไม่ได้ เป็นเรื่องอัศจรรย์โดยแท้

อีกเรื่องหนึ่ง เหตุเกิดเมื่อ ระหว่างปี 2503-2504 นายพิทักษ์ พยุงธรรม หลานชายท่านเจ้าคุณธรรมธัชมุนี เลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งขณะนั้นยังมีสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวี นายพิทักษ์ พยุงธรรม เวลานั้นกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.ศ.3 ของโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ โดยปกติเป็นเด็กแก่นเอาการอยู่

ค่ำวันหนึ่งในระหว่างเวลาดังกล่าว ที่หน้ากุฏิท่านเจ้าคุณธรรมธัชมุนี ซึ่งอยู่ห่างจากท่านธมฺมวิตกฺโกไกลโขพอดู ไม่มีทางที่จะได้ยินการสนทนาใด ๆ ถึงกันอย่างปกติธรรมดาได้เลย

วันนั้นนายพิทักษ์ได้ตั้งวงนินทาท่านธมฺมวิตกฺโกกับหมู่บรรดาเพื่อนฝูงศิษย์วัดด้วยกัน ซึ่งเป็นคำกล่าวหานินทาที่ออกจะฉกรรจ์อยู่

“กูว่าพระองค์นี้บ้าแน่ ๆ ว่ะ......” เขาเอ่ยขึ้น

แล้วเขาก็เล่าต่อไปว่า ท่านธมฺมวิตกฺโกได้ถ่ายปัสสาวะใส่ตุ่มไว้ แล้วท่านก็เอามาอาบเพื่อใช้เป็นยารักษาโรค หรือแก้ “เคล็ด” ทางไสยศาสตร์บางอย่าง ซึ่งตัวเขาไม่อาจจะทราบได้แน่

สภาพการณ์ความเป็นไปในวัดเทพศิรินทร์ขณะนั้นก็ชวนให้น่าเชื่อตามคำกล่าวหาของนายพิทักษ์อยู่ เพราะขณะนั้นน้ำประปาในวัดขัดข้อง เกิดขาดแคลน ไม่มีน้ำใช้อาบกินอย่างปกติธรรมดาได้ แต่ท่านธมวิตกโกกลับมีน้ำสรงอาบได้เช่นปกติ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้