ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 19237
ตอบกลับ: 49
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> กุมารพรายทองคำเจ็ดคำภีร์ <<

[คัดลอกลิงก์]
Cr touch




  เป็นกุมารที่หลวงปู่นิมิตให้ อาจารย์สรายุทธ จัดสร้าง เพื่อให้ลูกศิษย์และลูกหลานหลวงปู่ได้มีไว้ใช้ เพื่อปกปักษ์ คุ้มครอง ช่วยเหลือ ให้โชคให้ลาภ เป็นมหานิยม  ลูกศิษย์ลูกหลานหลวงปู่มีเยอะ แต่กุมารที่หลวงปู่ท่านสร้างไว้มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกศิษย์ ประกอบกุมารที่หลวงปู่สร้างราคาไปไกลเกินเอื้อม
หลวงปู่จึงนิมิตให้สร้าง เนื้อมวลสาร จะมีผงพรายทองคำเป็นหลัก
       เป็นแบบขวดโหล มี 7 ตน โดย ตนจ่าฝูง 1 ตน เนื้อจะเข้มข้นมวลสารจะมากกว่า สังเกตสีออกเข้มเหมือนพรายขอดทรัพย์ ปิดทองคำเปลว ผูกผ้าสามสี อีก 6 ตน จะเป็น 3 คู่ ..คู่ที่ 1 เนื้อออกขาว 2 ตน จะผูกผ้าสีชมพู ..คู่ที่ 2 เนื้อออกคล้ำนิดๆ จะออกไปทางโทนเหลือง 2 ตน จะผูกผ้าสีแดง ..คู่ที่ 3 เนื้อออกโทนแดงชมพู (หรืออาจจะเรียกว่า สีกะปิ) 2 ตน จะผูกผ้าสีเขียว โดยกุมารทุกตนจะแช่อยู่ในน้ำมัน "น้ำมันจันทร์ ผสมกับ น้ำมันหัวเชื้อของหลวงปู่ที่ทำไว้ น้ำมันนี้นำเข้าปลุกเสกพิธี เสาร์ 5" น้ำมันหัวเชื้อนี้ หลวงปู่ทำไว้ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่  อาจารย์นำมาให้ชมและเล่าว่า  หลวงปู่ตอนยังมีชีวิตอยู่ปลุกเสกจน  ขวดหมุนคว้างเอียง 45 องศา  อยู่ตั้งนานไม่มีล้มจนเป็นที่อัศจรรย์
            ตามพิธีกรรมที่หลวงปู่กำหนดให้มีดีทาง แก้ปัญหาต่างๆ ทุกชนิด ดุแล คุ้มครอง โดยกุมารทั้ง 7 ตน  ตะละตนจะเก่งไปคนละแบบ  และจะคอยคุ้มครอง ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา เริ่มจากกุมารตนที่ 1 เรียงตามลำดับไปจนถึงตนที่ 7 สลับหมุนเวียนกันไป  หากปัญหาที่หนักหรือใหญ่มาก  ต้องใช้ถึง 7 ตนแล้ว ก็จะวนกลับมาที่ตนที่ 1 ใหม่ ..ก็จะทำให้ตนที่ 1 มีอิทธิฤทธ์ เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ...โดยส่วนใหญ่ปัญหาต่างๆ ตนที่ 1 ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ถ้าไม่ได้ ตนที่ 2 ก็จะเข้าแก้ไข ...จนถึงตนที่ 7 และถ้าปัญหาหนักมากๆ   ก็จะร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ผ่านไปด้วยดี  กุมารทุกตน จะอุดสีผึ้ง สูญเสาร์ สูญอังคาร เป็นสีผึ้งที่ใช้ปิดสาวพรหมจรรย์ที่เสียชีวิตวันเสาร์ และเผาวันอังคาร โดยสีผึ้งชนิดนี้หลวงปู่บอกว่า เป็นสื่อกับ โลกวิญญาณ โลกทิพย์ ทุกมิติ เป็นมหานิยม โชคลาภ ตามที่ปารถนา กุมารชนิดนี้เป็น กุมารพรายเทพ  หากบูชาให้ดีและถูกต้อง  จะเห็นผลได้เร็วมากๆ


............................................

กุมารทองคำ  7  คัมภีร์

ปีที่จัดสร้าง : พ.ศ. ********* โดยประมาณ

สถานที่ปลุกเสก : ********

จุดประสงค์ : *******

ลักษณะ : ******

มวลสาร :  ********

พุทธคุณ : ดั่งกุมารทองทั่วไป

คาถา บูชา :  *******

จำนวนการสร้าง : *******

รวมประวัติโดยย่อ จากผู้รู้ต่างๆ   :  *******

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
>>>กุมารทองคำ 7 คัมภีร์<<<

          เป็นกุมารที่หลวงปู่นิมิตให้อาจารย์สรายุทธ จัดสร้าง เพื่อให้ลูกศิษย์และลูกหลานหลวงปู่ได้มีไว้ใช้เพื่อปกปักษ์ คุ้มครอง ช่วยเหลือ ให้โชคให้ลาภ เป็นมหานิยม  
ลูกศิษย์ลูกหลานหลวงปู่มีเยอะแต่กุมารที่หลวงปู่ท่านสร้างไว้มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกศิษย์ประกอบกุมารที่หลวงปู่สร้างราคาไปไกลเกินเอื้อม
หลวงปู่จึงนิมิตให้สร้างเนื้อมวลสาร จะมีผงพรายทองคำเป็นหลัก
       เป็นแบบขวดโหล มี 7 ตน โดย ตนจ่าฝูง 1 ตนเนื้อจะเข้มข้นมวลสารจะมากกว่า สังเกตสีออกเข้มเหมือนพรายขอดทรัพย์ ปิดทองคำเปลวผูกผ้าสามสี อีก 6 ตน
จะเป็น 3 คู่ ..คู่ที่ 1 เนื้อออกขาว 2 ตน จะผูกผ้าสีชมพู..คู่ที่ 2 เนื้อออกคล้ำนิดๆจะออกไปทางโทนเหลือง 2 ตนจะผูกผ้าสีแดง ..คู่ที่ 3 เนื้อออกโทนแดงชมพู
(หรืออาจจะเรียกว่า สีกะปิ) 2 ตนจะผูกผ้าสีเขียว โดยกุมารทุกตนจะแช่อยู่ในน้ำมัน "น้ำมันจันทร์ ผสมกับ น้ำมันหัวเชื้อของหลวงปู่ที่ทำไว้น้ำมันนี้นำเข้าปลุกเสกพิธี เสาร์ 5"
น้ำมันหัวเชื้อนี้หลวงปู่ทำไว้ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ อาจารย์นำมาให้ชมและเล่าว่า หลวงปู่ตอนยังมีชีวิตอยู่ปลุกเสกจน ขวดหมุนคว้างเอียง 45 องศา  
อยู่ตั้งนานไม่มีล้มจนเป็นที่อัศจรรย์
            ตามพิธีกรรมที่หลวงปู่กำหนดให้มีดีทางแก้ปัญหาต่างๆ ทุกชนิด ดุแล คุ้มครอง โดยกุมารทั้ง 7 ตน ตะละตนจะเก่งไปคนละแบบ และจะคอยคุ้มครอง ช่วยเหลือ
แก้ไขปัญหา เริ่มจากกุมารตนที่ 1เรียงตามลำดับไปจนถึงตนที่ 7 สลับหมุนเวียนกันไป หากปัญหาที่หนักหรือใหญ่มาก  ต้องใช้ถึง 7 ตนแล้ว ก็จะวนกลับมาที่ตนที่ 1 ใหม่..
ก็จะทำให้ตนที่ 1มีอิทธิฤทธ์ เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ...โดยส่วนใหญ่ปัญหาต่างๆ ตนที่ 1ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ถ้าไม่ได้ ตนที่ 2 ก็จะเข้าแก้ไข ...จนถึงตนที่ 7
และถ้าปัญหาหนักมากๆ  ก็จะร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ผ่านไปด้วยดี  กุมารทุกตน จะอุดสีผึ้ง สูญเสาร์ สูญอังคารเป็นสีผึ้งที่ใช้ปิดสาวพรหมจรรย์ที่เสียชีวิตวันเสาร์
และเผาวันอังคารโดยสีผึ้งชนิดนี้หลวงปู่บอกว่า เป็นสื่อกับ โลกวิญญาณ โลกทิพย์ ทุกมิติเป็นมหานิยม โชคลาภ ตามที่ปารถนา กุมารชนิดนี้เป็น กุมารพรายเทพ  
หากบูชาให้ดีและถูกต้อง  จะเห็นผลได้เร็วมากๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก...เวปฯบ้านจอมพระ และ อ.สรายุทธ
สนใจบูชา
โทร/ไลน์ id:0890240386
หรือทางข้อความ....พี่จ้อ
ขอบคุณค่ะ

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-20 13:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


อาจารย์สรายุทธ  ท่านเล่าให้ฟังว่า  หลวงปู่เรียกกุมารรุ่นนี้ว่า  "กุมารเจ็ดคำภีร์"  ซึ่งนำมาจาก บทสวด  "อภิธรรม 7 คำภีร์ "  ที่จะขออนุญาติกล่าวถึง  ที่มาที่ไปของ พระมนต์บทนี้  ให้พี่ๆน้องๆของเราได้ทราบกันก่อน จะได้ไม่หลงออกทะเล  แล้วกู่ไม่กลับกัน  อาจจะยาวสักหน่อย  แต่เพื่อให้พี่ๆน้องๆเรา  ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ไปในทิศทางเดียวกัน  ข้อสำคัญจะเป็นความรู้ที่เป้นประโยชน์ยิ่ง  ต่อไปในอนาคต
          ตามประวัติ  บทสวดนี้ พระพุทธเจ้า หลังจากทรงประกาศพระศาสนา สั่งสอนประชาชนให้ได้ลิ้มรสพระธรรมเป็นจำนวนมากแล้ว ทรงหวนรำลึกว่า พระองค์ได้สงเคราะห์เวไนยสัตว์ทุกหมู่เหล่าแล้ว ยังเหลือแต่พระพุทธมารดาเท่านั้นที่มิได้รับรสพระธรรมจากพระองค์ เนื่องจากพระนางได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์เพียง 7 วัน
   ด้วยพระประสงค์จะ "โปรด" พระพุทธมารดา ซึ่งขณะนั้นได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธองค์จึงเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์สวรรค์ เหล่าเทพยดา อันมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์เป็นประมุข ได้มาเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ตลอดเวลา 3 เดือน ที่พระองค์เสด็จประทับจำพรรษา  เทพบุตร อดีตพุทธมารดา ความจริงอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า แต่ก็ลงมาร่วมฟังธรรมด้วย ว่ากันว่าธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น คือ อภิธรรม อันเป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้ง
    กล่าวถึงประชาชนทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงหายไป ก็ถามไถ่พระสารีบุตร อัครสาวก พระสารีบุตรก็แจ้งให้ประชาชนทราบว่าพระองค์ประทับจำพรรษาอยู่ ณ ดาวดึงส์สวรรค์ ต่างก็ใคร่จะสดับธรรมจากพระองค์ดังที่เคยปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงทราบความประสงค์ของประชาชน จึงเสด็จลงมายังมนุษย์โลก ทรงแสดงอภิธรรม (ที่พระองค์ตรัสสอนเหล่าเทวดา) ให้พระสารีบุตรฟัง พระสารีบุตรก็นำไปถ่ายทอดให้ประชาชนฟังอีกต่อหนึ่ง
       นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมอภิธรรมที่ทรงแสดงแก่เทวดา มนุษย์จึงมีโอกาสได้รับรู้ และได้รับการบันทึกลงในคัมภีร์พระพุทธศาสนา (คือรู้จากพระสารีบุตรอีกต่อหนึ่งนั่นเอง)
  เมื่อครบสามเดือนแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงมายังโลก ณ เมืองสังกัสสะ ท่ามกลางประชาชนคอยเฝ้ารับเสด็จมากมาย ว่ากันว่า วันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ "เปิดโลก"
คือทรงบันดาลให้สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าได้มองเห็นกัน บันดาลให้เทพ พรหม มนุษย์ สัตว์นรก อยู่ในมิติเดียวกัน สามารถมองเห็นกันหมด ยังกับอยู่ใกล้กัน  ในวันนั้นเอง  และนี่เป้นที่มาของ  มนต์  บทนี้  "อภิธรรม 7 คำภีร์"   ทีนี้มาต่อด้วย  ว่าบทสวดบทนี้มีอะรไบ้าง  จะขอกล่าวรายละเอียดสักหน่อย  หากท่านใดสนใจ  ก็คงต้องหาศึกษาเพิ่มเติมเองนะคับ
   

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-20 13:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอภิธรรมปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระอภิธรรม เป็นหมวดที่ ประมวลพุทธพจน์อันเกี่ยวกับหลักธรรมที่เป็นวิชาการว่าด้วยเรื่องของ ปรมัตถธรรม ล้วนๆ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อกล่าวถึงบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ดังนั้น ธรรมะในหมวดนี้จึงไม่มีเรื่องราว ของบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า สัง. วิ. ธา. ปุ. กะ. ยะ. ปะ. (หัวใจพระอภิธรรม) ได้แก่
๑. คัมภีร์ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้เป็นหมวดเป็นกลุ่ม เรียกว่า กัณฑ์ มีทั้งหมด ๔ กัณฑ์ คือ ๑) จิตตวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจาแนกจิตและเจตสิก เป็นต้น ๒) รูปวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจาแนกรูป เป็นต้น ๓) นิกเขปราสิกัณฑ์ แสดงธรรมที่เป็นแม่บท (มาติกา) ของ ปรมัตถธรรม ๔) อัตถุทธารกัณฑ์ แสดงการจาแนกเนื้อความตามแม่บทของ ปรมัตถธรรม
๒. คัมภีร์วิภังค์ ว่าด้วยการจาแนกมาติกาในคัมภีร์ธัมมสังคณี ทั้งติกมาติกา ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๑๐๐ หมวด โดยแบ่งเป็น ๑๘ วิภังค์ เช่น ขันธวิภังค์ จาแนกขันธ์ อายตนวิภังค์ จาแนกอายตนะ, ธาตุวิภังค์ จาแนกธาตุ, สัจจวิภังค์ จาแนกสัจจะ, อินทริยวิภังค์ จาแนกอินทรีย์, ปฏิจจสมุปบาทวิภังค์ จาแนกปฏิจจสมุปบาท, สติปัฏฐานวิภังค์ จาแนก สติปัฏฐาน เป็นต้น
ขันธ์ หมายถึง ขันธ์ ๕ อันประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ ก็คือ รูป, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รวมเรียกว่า เจตสิก ส่วนวิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต ดังนั้น ขันธ์ ๕ ก็คือ จิต + เจตสิก + รูป นั่นเอง
๓. คัมภีร์ธาตุกถา ว่าด้วยคาอธิบายเรื่องขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘ โดยนามาติกาของคัมภีร์นี้จานวน ๑๐๕ บท และมาติกาจากคัมภีร์ธัมมสังคณีจำนวน  ๒๖๖ บท (ติกมาติกา ๖๖ บท ใน ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๒๐๐ บท ใน ๑๐๐ หมวด) มาแสดงด้วยนัยต่างๆ (จานวน ๑๔ นัย) เพื่อหาคาตอบว่าสภาวธรรมบทนั้นๆ สงเคราะห์เข้าได้กับขันธ์เท่าไร เข้าได้กับอายตนะเท่าไร และเข้าได้กับธาตุเท่าไร เข้าไม่ได้กับขันธ์เท่าไร เข้าไม่ได้กับอายตนะเท่าไร และเข้าไม่ได้กับธาตุเท่าไร
๔. คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยการบัญญัติ (การประกาศ แสดง หรือชี้แจง) ในเรื่อง ๖ เรื่อง คือ (๑) ขันธบัญญัติ การบัญญัติเรื่องขันธ์ (๒) อายตน บัญญัติ การบัญญัติเรื่องอายตนะ (๓) ธาตุบัญญัติ การบัญญัติเรื่องธาตุ (๔) สัจจบัญญัติ การบัญญัติเรื่องสัจจะ (๕) อินทริยบัญญัติ การบัญญัติ เรื่องอินทรีย์ (๖) ปุคคลบัญญัติ การบัญญัติเรื่องบุคคล
๕. คัมภีร์กถาวัตถุ ว่าด้วยการโต้วาทะเพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นว่าวาทกถา (ความเห็น) ของฝ่ายปรวาที (พวกภิกษุในนิกายที่แตกไปจากเถรวาท ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) จานวน ๒๒๖ กถา ล้วนผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากพระพุทธพจน์ดั้งเดิมที่ภิกษุฝ่ายเถรวาทยึดถือปฏิบัติอยู่ วิธีการโต้วาทะใช้หลักตรรกศาสตร์ที่น่าสนใจมาก นับเป็น พุทธตรรกศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งมีในคัมภีร์นี้เท่านั้น
๖. คัมภีร์ยมก ว่าด้วยการปุจฉา-วิสัชนา สภาวธรรม ๑๐ หมวด ด้วยวิธีการยมก คือการถาม-ตอบ เป็นคู่ๆ ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะของคัมภีร์ยมก  สภาวธรรม ๑๐ หมวด ได้แก่ (๑) หมวดมูล (สภาวธรรมที่เป็นเหตุ) (๒) หมวดขันธ์ (๓) หมวดอายตนะ (๔) หมวดธาตุ (๕) หมวดสัจจะ (๖) หมวดสังขาร (๗) หมวดอนุสัย (๘) หมวดจิต (๙) หมวด สภาวธรรมในกุสลติกะ เรียกสั้นๆ ว่า หมวดธรรม (๑๐) หมวดอินทรีย์ สภาวธรรม ๑๐ หมวดนี้ทาให้แบ่งเนื้อหาของคัมภีร์ยมกออกเป็น ๑๐ ยมก เรียกชื่อตามหมวดสภาวธรรมที่เป็นเนื้อหา คือ (๑) มูลยมก (๒) ขันธยมก (๓) อายตนยมก (๔) ธาตุยมก (๕) สัจจยมก (๖) สังขารยมก (๗) อนุสยยมก (๘) จิตตยมก (๙) ธัมมยมก (๑๐) อินทริยยมก
๗. คัมภีร์ปัฏฐาน ว่าด้วยการจาแนกสภาวธรรมแม่บท หรือ มาติกา ทั้ง ๒๖๖ บท (๑๒๒ หมวด) ในคัมภีร์ธัมมสังคณี โดยอานาจปัจจัย ๒๔ ประการ มี เหตุปัจจัย เป็นต้น เพื่อให้เห็นว่าสภาวธรรมทั้งหลายปรากฏเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัยทั้งสิ้น มิได้เกิดจากการบงการของผู้ใด แต่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า จิตตนิยาม กรรมนิยาม และธรรมนิยาม สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือธรรมะหมวดที่ ๓ ในพระไตรปิฎกที่สอนให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายอันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา ธรรมชาติทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนี้รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม หากแปลตามศัพท์ คาว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่าธรรมอัน ประเสริฐ, ธรรมอันยิ่ง, ธรรมที่มีอยู่แท้จริงปราศจากสมมุติ
เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงปรมัตถธรรม ล้วนๆ โดยไม่มี บัญญัติธรรม (สมมุติโวหาร) เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงควร ทาความเข้าใจไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ปรมัตถธรรม และ บัญญัติธรรม นั้น ต่างกันอย่างไร
ความหมายของ ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรม คือ ธรรมชาติที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่ดารง ลักษณะเฉพาะของตนไว้โดยไม่ผันแปรเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธ ความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง มี ๔ ประการ คือ ๑. จิต ๒. เจตสิก ๓. รูป ๔. นิพพาน ซึ่งมีความหมายโดยย่อดังนี้
            จิต คือธรรมชาติที่ทาหน้าที่เห็น, ได้ยิน, รับกลิ่น, รับรส, รู้สัมผัส ถูกต้อง ตลอดจนธรรมชาติที่ทาให้เกิดการคิด นึก สภาวะของจิตมีทั้งหมด ๘๙ หรือ ๑๒๑ อย่าง (โดยพิสดาร) แต่เมื่อกล่าวโดยลักษณะแล้วมีเพียง ๑ เท่านั้น คือ รู้อารมณ์ (อารมณ์ในที่นี้หมายถึง รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งต่าง ๆ และเรื่องราวต่างๆ ที่จิตไปรับรู้)จิตเป็นนามธรรม และมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น วิญญาณ, มโน, มนัส, มนินทรีย์, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ และ มนายตนะ เป็นต้น
            เจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ทาให้เกิดความ รู้สึก นึก คิด ที่แตกต่างกัน ทั้งทางที่ดีและไม่ดี มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะ เจตสิกเป็นนามธรรม ที่เกิดร่วมกับจิต คือเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต สภาพของจิต เป็นเพียงประธานในการรู้อารมณ์ แต่การที่จิตโกรธ หรือจิตโลภ เป็นเพราะ มีเจตสิกเข้าประกอบปรุงแต่งให้เกิดความโกรธหรือความโลภนั่นเอง จิต เปรียบเสมือนเม็ดยา เจตสิกเปรียบเสมือนตัวยาที่อยู่ในเม็ดยา จิตเกิดโดย ไม่มีเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตก็ไม่ได้เช่นกัน  เนื่องจาก จิต และ เจตสิก เป็นสิ่งที่ต้องเกิดร่วมกันตลอดเวลา ดังนั้น การอธิบายบางแห่งในหนังสือเล่มนี้จึงเขียนว่า “จิต+เจตสิก” เพื่อให้ระลึก ไว้อยู่เสมอว่าจิตและเจตสิกนั้นเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดร่วมกัน ต้องอิง อาศัยซึ่งกันและกัน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้
            รูป คือ ธรรมชาติที่แตกดับ ย่อยยับ สลายไปด้วยความเย็นและ ความร้อน ในร่างกายของคนเราและสัตว์ทั้งหลายนั้นมีรูปประชุมกันอยู่ ทั้งหมด ๒๘ ชนิด และรูปที่ประชุมกันอยู่นี้แต่ละรูปต่างก็แตกดับย่อยยับ สลายไปตลอดเวลา หาความเที่ยงแท้ถาวรไม่ได้เลย
            นิพพาน เป็นธรรมชาติที่พ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัด พ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิด นิพพานโดยปริยายมี ๒ ลักษณะคือ
     ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ ๕ หมายถึง การที่ ประหาณกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว (กิเลสนิพพาน) แต่ขันธ์ ๕ ยังมีการเกิดดับสืบต่ออยู่ (ยังมีชีวิตอยู่)
     ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ปราศจากขันธ์ ๕ ได้แก่นิพพานของพระอรหันต์ (ผู้หมดจดจากกิเลส) และสิ้นชีวิตไปแล้ว (คือ กิเลสก็ไม่เหลือ ขันธ์ ๕ ก็ไม่เหลือ) หรือที่  เรียกว่า ปรินิพพาน (ปริ = ทั้งหมด) เมื่อ ปรินิพพานแล้ว จิต+เจตสิกและรูปจะหยุดการสืบต่อและดับลงโดยสิ้นเชิง (คือเมื่อปรินิพพานไปแล้วก็จะไม่มีการเกิดอีกหรือไม่มีภพชาติต่อไปอีก)นิพพาน เป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชน ทั้งหลายจะต้องพยายามเข้าถึงให้จงได้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก เป็น อริยบุคคล
     ที่พิมท์มาอาจจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจ  ก็อย่าคิดมากคับ  หากเข้าใจหรือจดจำได้แค่เพียงนิดหน่อยก็ได้บุญแล้วคับ  และถ้าเข้าใจได้มากก็จะยิ่งได้บุญมาก  ตามกำลังของสติคับผม  ยิ่่งมาอ่านบ่อยๆ  และศึกษาด้วย จะยิ่งสร้างบุญบารมีเข้าไปใหญ่
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-20 13:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ด้วยเหตุที่กล่าวไว้ตอนต้น  ว่า...การสวดพระอภิธรรม 7 คำภีร์ เป็นการสนองพระคุณของมารดาบิดา ตามแบบอย่างที่พระจริยาวัตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงโปรดพุทธมารดา ที่ได้สิ้นพระชนม์แล้ว ต่อมา จึงเป้นประเพณี  ให้พระสวดมนต์บทนี้ในงานศพ  ให้แก่ผู้วายชนม์นั้นๆ  แม้ผู้วายชนม์นั้นๆ จะมิใช่มารดาบิดาก็ตาม แต่ก็ถือเป็นประเพณีที่ผู้บำเพ็ญกุศลจะได้อุทิศไปให้ผู้วายชนม์นั้น   อีกอย่างการที่นำเอาพระอภิธรรม 7 คำภีร์ เข้ามาเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับกุศลพิธีเนื่องในงานศพดังกล่าว จะเป็นวิธีหนึ่งของการป้องกันมิให้พระสัทธรรม คือพระอภิธรรมอันตรธานหายไป
ประเพณีการสวดพระอภิธรรม 7 คำภีร์ หน้าศพ นั้นเกิดขึ้นมายาวนาน นับแต่พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเริ่มเมื่อใด รู้เพียงว่าเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ดั้งเดิม นับแต่ประเทศไทยรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติ ประจำจิตใจชาวไทยมาแต่โบราณกาลตั้งแต่ยุคล้านนา ยุคกรุงสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา ยุคกรุงธนบุรี และมาถึงยุครัตนโกสินทร์ จวบจนปัจจุบัน
   ในประวัติพุทธกาล  มีกล่าวไว้ว่า   พระอภิธรรม 7 คำภีร์ นี้เองที่ค้างคาว 500 ตัวที่เกาะผนังถํ้าและงูเหลือมแก่ ฟังในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า ตายแล้วเกิดบนสวรรค์ 62 กัลป์ ลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมงทั้ง 500 บวชเป็นศิษย์พระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมอีกครั้งก็บรรลุอรหันต์ทั้ง 500 + อีก1 อเจลก(งูเหลือมแก่) พระอภิธรรมปิฎก มีความสำคัญเปรียบเสมือนรากแก้ว พระวินัยปิฎก ประหนึ่งลำต้น พระสุตตันตปิฎกเหมือนกิ่งก้านสาขา  บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นี้ พระอภิธรรมจึงมีความสำคัญที่สุด เป็นความรู้ระดับสูง ที่ท่านเรียกว่า ปรมัตถธรรม

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-20 13:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
  จากคำบอกเล่าจากท่านอาจารย์  ด้วยเหตุที่ว่า  เพราะมนต์บทนี้  เป็นมนต์ที่เข้มขลังมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล  หลวงปู่ท่านจึงนำมาปลุกเสกวัตถุมงคล  หลายต่อหลายอย่างของท่าน  และกุมารรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน  จึงทำให้กุมารรุ่นนี้มีฤทธิ์มากเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ง่ายๆ   รุ่นนี้เป็นกุมารสายพรายเทพ  ขอได้เร็วและได้ไว  แต่ก็ขึ้นอยู่ที่  บุญวาสนา  บารมีของแต่ละคน  ที่ไม่เท่ากัน  อาจารย์แนะนำว่า  กุมารรุ่นนี้ชอบ บทสวดมนต์มากเป็นพิเศษ  ยิ่งสวดมนต์แผ่บารมีให้พวกเขา  ทำบุญใส่บารตให้พวกเขาเท่าไรยิ่งดี  มีฤทธิ์มากและเห็นผลเร็วกว่ากุมารทั่วๆไป  ยิ่งงานยากๆ  กุมารทั่วไปอาจจะทำไม่สำเร็จ  แต่รุ่นนี้ทำได้แน่นอน  ขึ้นอยู่กับจิต  และผลบุญบารมีที่ผู้ใช้สร้างขึ้นมา  และสิ่งที่ขอต้องไม่เกินกรรมของผู้ใช้เอง  อ่านดูอาจจะยากสักหน่อยสำหรับผู้หัดบูชาใหม่ๆ   แต่สำหรับสายกุมารของหลวงปู่บางท่านแล้ว  เป็นเรื่องสบายมาก  เพราะเป็นเรื่องปกติทำอยู่บ่อย  อยู่แล้ว  สิ่งที่ต้องจดจำก็คือ  ต้องเลี้ยงให้ดีเสมือนลูกของเราเอง  หมั่นสร้างบุญกุศล  ข้อสำคัญต้องพูดจากับเขาดีๆ  ห้ามดุด่าว่ากล่าวเด็ดขาด  ไม่งั้นมีงอนถึงขั้นเงียบไปเลย  เขาก็เหมือนเด็กทั่วๆไป  รุ่นนี้ชอบเล่นกับแมวเป้นพิเศษ  เพราะแมวจะสื่อกับเขาได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ  
   จากประสบการณ์  ผู้นำไปใช้  ช่วยดูแลบ้านเรือนได้ดี   ทำมาค้าขายคล่อง  คอยช่วยเหลือกิจการงานที่ทำอยู่ได้ดี   เป็นเมตตามหานิยม  และดลจิตดลใจล่วงหน้าได้ดี  ส่วนใหญ่ไม่ค่อยปรากฎตัวให้ผู้เลี้ยงเห็น  ส่วนมากบุคคลอื่นเห็นบ่อย  บางทีก็  มาปรากฎให้เพื่อนบ้านเห็นมีเด็กๆ  หลายคนวิ่งเล่นอยู่บริเวณบ้าน   เวลาคนแปลกหน้าเข้ามาบ้านก็จะเห็นมีเด็กๆแอบมองอยู่แวบๆ  บางทีสั่งให้ช่วยดูแลเด้กที่บ้าน  พอถึงเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก  ก้อวิ่งลงมาตามพี่เลี้ยงให้เห็นซะงั้น ( วิ่งหายไปในครัว)  หรือทำผ้าอ้อมเด้กหล่นมาทั้งห่อให้รู้ตัวก็มี
   เป็นกุมารที่ใช้มวสารหลวงปู่  สร้างขึ้นมา(ใช้ผงพรายทองคำที่หลวงปู่หวงมากเลย  ท่านนำติดตัวมาจากเขากุเลนด้วย  ปลุกเสกจนเห็นเป็นสีทอง)และนำไปให้  หลวงปู่ผาดปลุกเสกให้อีกที  ในฤทธิ์วันเสาร์ห้า  เมื่อปี 53   ตอนนี้อาจจะเหลือยู่ไม่กี่ขวด  หรืออาจจะหมดไปแล้วก็ไม่แน่ใจ  ลองสอบถามจากพี่จ้อดูอีกทีนะคับ  หมดแล้วก้อหมดเลย  ท่านอาจารย์คงไม่ทำอีก  เพราะเปลืองมวลสารมากมาย   อย่ามองข้ามว่าของไม่ทันหลวงปู่  เอาไปใช้แล้วจะรู้เอง  พวกพี่ๆโดนกันมาแล้ว  โดนดึงผ้าห่มทุกคืนตอนเอามาบูชากันใหม่ๆ   เรื่องนี้เรื่องจริงลองสอบถาม พี่ๆน้องๆที่เอาไปบูชากันดูนะคับundefined  

เด็กๆน่ารักทุกคนเลยครับ
แแถมเก่ง+น่ารักมากมาย
สุดยอดมากๆๆคับ
ปัจจุบันที่บ้านมี2โหลแล้วก๊าบ
bigbird ตอบกลับเมื่อ 2013-5-28 01:24
ปัจจุบันที่บ้านมี2โหลแล้วก๊าบ

สุดยอดเลยคับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้