ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13516
ตอบกลับ: 17
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระเจ้าอู่ทองวรมัน???

[คัดลอกลิงก์]
พระเจ้าอู่ทองคือขอมที่หนีตายมาจากนครวัด...หลักฐานที่มัดแน่นอย่างกระชับ





คนเสียมไปทอผ้าอยู่ที่นครวัดทำไมในช่วงนั้น (ประมาณ คศ. 1290) ตอบได้ว่า เป็นครอบครัวที่อพยพไปอยู่กับพวกทหาร ขุนนาง ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองนั่นเอง


ข้าพเจ้าได้เขียนบทความไว้มากหลายเพื่อแสดงหลักฐาน เหตุผล สนับสนุนแนวคิดว่าพระเจ้าอู่ทอง..ผู้สร้างกรุงอยุธยาเป็นขอมที่อพยพหนีมาจากนครวัด

คราวก่อนข้าฯได้เขียนสรุปแบบรุ่มร่าม ทำให้อ่านยาก  บัดนี้จักได้แสดงหลักฐาน เหตุผล อีกครั้งหนึ่งที่กระชับมากขึ้นและเป็นลำดับมากขึ้น รวมทั้งปรับสำนวนใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูล ข้อโต้แย้งใหม่ๆ นำเสนอเพิ่มเติมด้วย

๑)  ขอมถูกฆ่าที่นครวัด...ที่มาของพระเจ้าอู่ทอง
เมืองพระนคร ถูกครองโดยกษัตริย์สาย “วรมัน” มาอย่างต่อเนื่องถึง ๒๘ องค์  เป็นเวลากว่า ๕๐๐ ปี จู่ๆ ในปี คศ. 1336 ก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย กษัตริย์องค์ต่อๆ มาไม่มีคำว่า “วรมัน” ต่อท้ายอีกเลย ...แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้กันเลย ..ไม่ว่าฝรั่งหรือไทย หรือ เขมร

ในปี คศ. 1336  (ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาเสร็จ 14 ปี) เมืองพระนครได้กษัตริย์ใหม่มีนามว่า ตระซอกเปรแอม (แปลเป็นไทยว่า พระเจ้าแตงหวาน) ..ไม่มีวรมันต่อท้าย ...ถือเป็นการสูญพันธุ์ของ “ขอมวรมัน” แต่บัดนั้น

ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่า พ.แตงหวาน คือหัวหน้าทาส ที่นำพวกทาสซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของเมืองยึดอำนาจมาจาก “ขอมวรมัน” แล้วฆ่า/ขับไล่ขอมวรมันออกไปจากเมืองจนหมดสิ้น ... แต่เนื่องจากตนไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อพันธุ์เดียวกับพวกวรมัน แต่เป็นเชื้อชาติอื่น ก็เลยยกเลิกธรรมเนียมการตั้งชื่อเป็น “วรมัน” ที่ยืนยาวมากว่า 500 ปี  

การวิเคราะห์ของข้าพเจ้านี้ไปตรงกับพงศาวดารเขมร ฉบับ “นักองค์เอง” เข้าอย่างจัง (นักองค์เองนี้หน่อเนื้อกษัตริย์เขมร ที่หนีภัยการเมืองมาพึ่งพระบารมี ร ๑ ของเรา จากนั้นส่งไปครองเขมร)

พงศาวดารฉบับนี้บันทึกว่า.ต้นตระกูลเขมรมาจาก ตระซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน) นี่เอง (อ้างใน..”วัฒนธรรมขอมกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา”, อุดม เชยกีวงศ์, สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, ๕๒๘ หน้า,พศ. ๒๕๕๒, หน้าที่ ๑๖๓)

ต้องถามว่า ถ้าเขมรเป็นทายาทของ “ขอมวรมัน”  มีหรือที่นักองค์เองจะพลาดจนไม่ยอมพาดพิงไปถึง  แต่ด้วยความภูมิใจในเลือดเขมรที่ปลดแอกจากความเป็นทาสของพวกขอมวรมันได้ ก็เลยระบุไปแบบพาซื่อและตามจริงว่าพวกตนเป็นหน่อเนื้อของ ตระซอกเปรแอม

สรุปในท่อนนี้คือ เขมรไม่ใช่ขอมแต่เป็นพวกที่มาฆ่าขอมและไล่ขอมออกไปจากนครวัดต่างหาก
พวกขอมนี้คงถูกพวกเขมรเรียกว่า “เสียม” (สยาม) พอเขมรไล่เสียมออกไปได้ก็เลยเรียกเมืองพระนครว่า “เสียมเรียบ” แปลว่า สยามราบ หรือ สยามหมดเรียบ





เยี่ยม
คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)

โดย ทวิช จิตรสมบูรณ์
18 กุมภาพันธ์ 2556 14:49 น.



สักสองปีก่อนผมได้เปิดประเด็นว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด มีทั้งเสียงปรบมือและเสียงโห่พอกัน ...วันนี้ผมขอสรุปตอกย้ำแสดงหลักฐาน เหตุผล หลักๆ ห้วนสั้นอีกครั้ง ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ดังนี้
      
       นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ ว่าเขมรเป็นผู้สร้างนครวัด แต่ความจริงแล้ว ขอมต่างหากเป็นคนสร้าง และขอมก็คือ สยามนี่แหละ ส่วนเขมรนั้นสมัยโน้นเป็นทาสขอม
      
       หลักฐานสำคัญที่สุดคือบันทึก ๔๐ หน้าของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่ทำให้คำนวณได้ว่าสมัยก่อนเมืองพระนครมีคนชั้นปกครอง ๓ แสน และทาสและคนพื้นเมือง ๗ แสน โดยคนพื้นเมืองนั้นใช้เข็มก็ไม่เป็น ทอผ้าก็ไม่เป็น ส่วนคนสยามนั้นใช้เข็มเป็น ทอผ้าก็เป็น เลี้ยงหม่อนไหมก็เป็น
      
       โดยชนชั้นปกครองนั้นคือขอม ซึ่งก็คือคนสยามนั่นเอง
      
       ส่วนคนพื้นเมืองนั้นขนาดชุนผ้ายังไม่เป็นแล้วจะไปสร้างนครวัด นครธมใหญ่โตได้อย่างไร เอาความรู้เทคโนโลยีไปจากไหน
      
       อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสสบโอกาส ก็ทำการยึดอำนาจล้มล้างราชบัลลังก์ นำโดย ตระซอกประแอม (แตงหวาน) ที่ต่อมาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์
      
       ที่สำคัญที่สุดคือ คำต่อท้ายกษัตริย์ “วรมัน” ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ๖๐๐ ปีก็หายไปในปีนั้นนั่นเอง จากนั้นไม่มี “วรมัน” อีกเลย แสดงชัดว่าเขมรเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับขอม
      
       พงศาวดารฉบับแรกของเขมรที่ประพันธุ์โดยนักองเอง (ที่มาพึ่งบารมี ร. ๑ ของไทย) ก็ระบุตรงกันว่า ตระซอกประแอม คือต้นกำเนิดของคนเขมร แต่ภายหลังฝรั่งเศสมายุให้ปรับเปลี่ยนว่าต้นตระกูลคือ วรมัน ทั้งที่เขมรฆ่าวรมันตายเรียบ แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองว่า “สยามราบ” (หรือเสียมเรียบ ในวันนี้)
      
       เสียม ไม่ได้ เรียบ หมดหรอก จากสามแสน อาจถูกฆ่าตายสัก ๕ หมื่น ที่เหลือรอดตายก็หนีมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำทัพโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล
      
       ยังถกเถียงกันอยู่มากว่าพระเจ้าอู่ทองคือใคร มาจากไหน ที่สอนกันมานานว่ามาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้น บัดนี้สรุปกันได้แล้วว่าผิด เพราะเมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้แล้วสองร้อยปี อีกทั้งเป็นเมืองเล็กมีคนประมาณ ๕ หมื่นเท่านั้น แต่อยุธยาเริ่มต้นก็มีพลเมืองสามแสนแล้ว ถามว่าเอาคนสามแสนมาจากไหนในละแวกนั้น
      
       พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมืองอยู่ ๑๔ ปี พอสร้างเสร็จแทนที่จะเฉลิมฉลอง พักผ่อนไพร่พล กลับยกทัพไปตีเมืองพระนครทันที (เมืองเสียมเรียบ) ซึ่งผิดวิสัยมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ สร้างใหม่ ไฉนเลยจะกล้าไปตีเมืองใหญ่เก่าแก่ที่มีกองทัพเกรียงไกรเช่นพระนคร ซึ่งประเพณีการสงครามเดิมมานั้นมีแต่เมืองเก่าใหญ่จะยกทัพมาถล่มเมืองสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นศูนย์อำนาจมาแข่งบารมี
      
       ที่พระเจ้าอู่ทองยกทัพไปตีเขมรนั้นเป็นเพราะทรงแค้นใจหนักที่อัดอั้นมานาน ๑๔ ปีไงเล่า ทรงต้องรีบเพราะทรงชราภาพมากแล้ว เกรงว่าจะล้างแค้นเขมรไม่ทันที่พวกมันฆ่าวรมันตายเรียบนั่นไง
      
       พอรบชนะเขมรเบ็ดเสร็จ ก็ทรงสร้างเมือง “อู่ทองมีชัย” (อุดงเมียนเชย ในวันนี้) เข้าใจว่าทรงตั้งชื่อนี้เพื่อข่มนาม “เสียมเรียบ” นั่นเอง เมืองนี้จำลองแบบไปจากอยุธยา และกลายเป็นเมืองหลวงเขมรนานถึง ๒๐๐ กว่าปี จนขณะนี้กลายเมืองมรดกโลกไปแล้ว
      
       พระเจ้าอู่ทองเป็นขอม ดังนั้นเมื่อมาอยุธยาก็ทรงพูดภาษาขอม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคำราชาศัพท์ของเราวันนี้จึงเต็มไปด้วยภาษาขอมและสันสกฤต เป็นเพราะสืบทอดมาจากภาษาพระเจ้าอู่ทองนี่เอง ส่วนเขมรเป็นทาสขอมมานานก็ย่อมรับเอาภาษาขอมไปพูดด้วยเป็นธรรมดา อย่าลืมด้วยว่าภาษาขอมเองก็ยืมเอาคำ “ไต” ไปใช้มากพอกัน
      
       เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน สลักหินนั้นชาวขอมพิมาย ลพบุรี ได้ฝึกปรือมานานก่อนสร้างนครวัด นครธม เช่น ปราสาทหินพิมาย ก็สร้างก่อนนครวัด โดยตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปอีก ๑๐๐ กม. เพื่อไปสร้างที่พิมาย คนเขมรเย็บผ้ายังไม่เป็นแล้วจะตัดลากยกหินก้อนมหึมาเหล่านี้เป็นหรือ
      
       หลักฐานจากการสลักบนแผ่นหินระบุว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น สุริยวรมันที่ ๒ เป็นคนลพบุรี ชัยวรมันที่ ๕ เป็นคนพิมาย ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ชัยวรมันที่ ๗ ไม่ทราบว่ามาจากไหน ผมตอบให้เลยว่ามาจากพิมาย ด้วยหลักฐานผูกมัดมากหลายเกินจะกล่าวในที่นี้ ที่สำคัญคือทรงเป็นพุทธ สร้างนครธม และเปลี่ยนชาวพระนครให้มาเป็นพุทธจนถึงวันนี้
      
       อันคำว่า “นครธม” นั้น นักวิชาการฝรั่งแปลกันแบบเซ่อๆ ว่า “เมืองใหญ่” เพราะเขาวิจัยกันทึ่มๆ ว่า ทม นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่ ซึ่งนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันแบบงมงาย แต่ผมขอแย้งหัวชนฝาว่า ธม นั้นคือ ธมฺ ในภาษาบาลี ซึ่งคือ ธรรม ในภาษาสันสกฤตนั่นเอง ดังนั้นนครธม คือ นครธรรม นั่นเอง
      
       มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะสร้างวัดพุทธยักษ์แล้วตั้งชื่อซื้อบื้อว่า เมืองใหญ่ มันต้องเมืองธรรมแน่นอน อีกทั้งพิมาย ลพบุรี นั้นเป็นพุทธที่ใช้บาลี ก็เลยต้องกลายเป็นนครธมฺ
      
       ภาพสลักนูนต่ำที่ทหารละโว้ และสยามไปเดินสวนสนามต่อหน้าพระพักตร์นั้น สำคัญมาก คือ ทหารจากลพบุรี และสยามไปรบเพื่อกู้เมืองคืนจากพวกแขกจามที่มายึดพระนครนั่นเอง จากนั้นก็เดินสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ ทหารลพบุรีมีวินัยมาก เดินหน้าตรง ด้ามหอกทุกคนเรียงเป็นมุมแนวเดียวกัน แต่พอมาถึงกระบวนทหารสยาม มีคำสลักว่า “เนะ สยำกุก” (ประมาณว่า นี่ไงกองทัพสยาม) แต่ปรากฏว่า หันหน้ากันคนละทาง ปลายหอกก็ระเกะกะ นักวิชาการฝรั่งว่า ทหารสยามไม่มีวินัย แต่ผมว่า......
      
       ..ผมว่า ทหารลพบุรี ไม่มีคนรู้จักไม่รู้จะทักใคร ส่วนทหารสยาม เป็นคนพื้นเมือง มีญาติมิตรมายืนดูมาก ก็หันหน้าไปยิ้มแย้มทักทาย ก็เลยทำให้ดูไม่มีระเบียบ สรุปคือ สยำกุก เป็นคนพื้นเมืองพระนคร
      
       พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนครวัดนั้น ฝรั่งว่ามาจากชวา (แต่บางคน เช่น ชาร์ล ไฮแอม ก็ว่า มาจาก ชามา หรือ แขกจาม) สำหรับผมเสนอว่า มาจากไชยา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย)
      
       ชื่อท่านก็บอกชัดๆ ว่า ไชยาวรมัน (พระผู้เป็นเจ้าจากเมืองไชยา) ศรีวิชัย กับทวาราวดี เป็นพี่น้องกัน มีไชยา ศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี พิมาย ต่อกันเป็นห่วงโซ่ แล้วให้กำเนิดนครวัดนั่นแล รวมทั้งช่วยปกป้องกอบกู้ยามสงครามกับแขกจามทางตอนใต้ของเวียดนาม
      
       คำว่า วรมัน นักวิชาการฝรั่งก็ผิดอีก ไปแปลกันว่า โล่ (shield) แต่คำนี้ผมฟันธงว่าเป็นคำเดียวกับ พรหมมัน เพราะสยามเรานั้น พ กับ ว ใช้แทนกันได้ เช่น วิเศษ พิเศษ วิจิตร พิจิตร
      
       ชื่อปราสาทต่างๆ ในนครวัด นครธม ยังมีร่องรอยภาษาสยามแทบทุกแห่ง เช่น พิมานอากาศ นาคพัน ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา เสาเปรต พระรูป ตาแก้ว ตาพรม
      
       หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด

ที่มา..http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9560000020698
ขอบคุณครับ
สาระน่ารู้
กระจ่างแจ้ง ครับ
ขอบคุณครับ
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-3 09:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-5-3 10:48

สีผิวและภาษาของคนนครวัด :ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอน ๓)
1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป 2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก


คนสยามสร้างนครวัดหลักฐานด้านภาษาและสีผิว

พศ. ๒๕๕๔ โลกวันนี้เชื่อตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการฝรั่งว่า  สยามคือผู้ร้ายที่บุกไปย่ำยีนครวัดจนล่มสลาย จึงสงสารเขมรตัวเล็กที่ถูกรังแกโดยสยามตัวใหญ่ผู้โหดเหี้ยมตลอดมา  ..คะแนนสงสารนี้มีส่วนช่วยให้ศาลโลกตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้เขมร

ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ไปแล้วว่าเขมรต่างหากเล่าที่ปล้นเอานครวัดไปจากคนสยามอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าชาวเสียมเสียจน “เสียมเรียบ”  ซึ่งผมได้เรียงต่อเศษชิ้นเหตุการณ์และบริบทใหญ่น้อยที่แตกกระจายอยู่ในกาลเวลาและสถานที่ ขึ้นเป็นรูปร่างที่ชัดพอควร ผมหวังว่าจะมีการเสริม หรือแย้งอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เพื่อเปิด(หรือปิดแล้วแต่กรณี)หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อันสำคัญยิ่งนี้

ในบทความนี้ผมขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมอีกสองท่อนที่พบในบันทึกของทูตการค้าจีน“โจวตากวน” (ฉบับแปลตรงจากจีนเป็นอังกฤษ) คือ 1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป  2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก

เป็นการเสริมหลักฐานหลากหลายอื่นที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วว่า..เผ่าพันธุ์ประชาชนทั่วไปที่นครวัดต่างจากชนชั้นปกครองที่เป็น “สวายาม”  สยาม”  “เสียม”   (หรือขอมนั่นเอง)  ส่วน เขมร” นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ของคนพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าทาส (ตามบันทึกโจวฯ) ที่มีภาษาพูดและการนับเลขเป็นอีกระบบ  การทอผ้าก็คนละระดับ อีกทั้งเข็มและด้ายเย็บผ้านั้นชาวบ้านก็ไม่รู้จักใช้

เรื่องชนชั้นปกครองพูดกันคนละภาษากับชาวบ้านนี้ไม่ใช่ของแปลก เช่นคนชั้นปกครองอังกฤษสมัยเริ่มยุคกลางก็พูดภาษาฝรั่งเศส ตอนหลังโกรธกันก็เลยหันมาพูดภาษาคนพื้นเมือง (ภาษาอังกฤษ)

จารึกภาษาขอมโบราณบนแผ่นศิลาที่นักวิชาการไทยเรียกกันแบบ “เชื่องๆ” ตามฝรั่งว่า ภาษาเขมร นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาสันสกฤตที่จารึกด้วยตัวอักษรขอม ที่มีใช้แพร่หลายแถบเมืองอู่ทอง ศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี)  ลพบุรี เมืองเสมา(นครราชสีมา)  และพิมาย ก่อนหน้าการจารึกที่นครวัดนับร้อยปี

นั่นแสดงว่าภาษาขอมแพร่จากลพบุรีและพิมาย ไปสู่นครวัด ..หาใช่เป็นตรงกันข้ามตามที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยถูกทำให้เชื่อตามบงการของฝรั่งไม่

สำหรับจารึกที่นครปฐมมีมาก่อนยุคเริ่มนครวัดนานนับสามร้อยปี ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลี และ สันกฤต อักษรที่ใช้ส่วนใหญ่คือ “ปัลลวะ” (อินเดียใต้)  ส่วนคำว่า “วรมัน”  (ที่ใช้ต่อท้ายพระนามกษัตริย์นครวัด) ก็มีใช้ที่ศรีเทพ และ อู่ทอง ก่อนใช้ที่นครวัดนับร้อยปีเสียอีกด้วย

โจวฯบันทึกว่าชาวบ้านทั่วไปในพระนครวัดนับเลขหกเป็นห้าหนึ่ง เจ็ดเป็นห้าสอง เก้าเป็นห้าสี่ ซึ่งต่างจากเลขขอมโดยสิ้นเชิง ที่ใช้ระบบ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ซึ่งเหมือนกับระบบเลขสยามทุกประการ  อีกทั้งตัวเลขก็เหมือนกันทุกประการอีกด้วย (ชาวเขมรวันนี้ก็ยังนับเลขเหมือนดังที่โจวฯบันทึกไว้ในวันโน้นทุกประการ)

การนับเลขที่ต่างกัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่า เขมรไม่ใช่ขอมผู้สร้างนครวัด ..อีกหลักฐานหนึ่งคือพงศาวดารเขมรฉบับแรก (ที่ยังไร้อิทธิพลฝรั่งเศสเสี้ยมสอน)  ได้ระบุว่า ต้นตระกูลเขมรคือทาสชื่อ “แตงหวาน”

กรณีคนในบ้านขุนนางหลายคนมีผิวขาวดังหยก ก็ไปเสริมเหตุผลหลักที่ผมได้เสนอไว้แล้วว่าพวกนี้เป็นคนสยาม  เพราะคนสยามนั้นมีทุกสีผิวตั้งแต่คล้ำ นวล จนถึงขาว เนื่องมาจากการผสมยีนส์ของคนหลายเผ่านานมาหลายพันปี ส่วนคนพื้นเมืองเขมรนั้น โจวฯ ว่าผิวดำมากเหมือนกันหมด แสดงว่าเป็นคนละเผ่ากับชนชั้นปกครอง (ไทยเรายังมีภาษิตเหน็บแนมว่าห้ามคบ “เขมรขาว”)

ในที่สุดทาส ภายใต้การนำของ “แตงหวาน” (ตรอซ็อกปะเอม..ต้นตระกูลเขมร) ก็ไล่ฆ่าสยามวรมันเรียบในปีคศ. 1336 ล้มล้างระบบเทวราชา (กษัตริย์เป็นสมมติเทพ) เปลี่ยนชื่อเมืองพระนครเป็น “เสียมเรียบ” (สยามเรียบ)  

พวกเสียมที่เหลือตายก็หนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา (สร้างเสร็จเมื่อ คศ. 1350) นำระบบเทวราชาติดตัวมาด้วย  รวมทั้งภาษาพูดชนชั้นปกครอง ที่กลายมาเป็นราชาศัพท์ของสยามในที่สุด  ดังเห็นได้ว่าราชาศัพท์เป็นการผสมของภาษาขอมโบราณกับสันสกฤตนั่นเอง ส่วนเขมรก็ลอกเอาอักษรขอมไปใช้ แต่ภาษานั้นเป็นภาษาเขมร การนับเลขเป็นเครื่องยืนยัน

ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอู่ทองจะเอาคนสามแสนมาสร้างกรุงศรีฯได้จากไหน เพราะเมืองอื่นโดยรอบต่างมีพลเมืองระดับต่ำแสน รวมถึงทั้งเมืองอู่ทองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเมืองร้างมาสามร้อยปีก่อนหน้านั้น

ภาษาไทยที่อยุธยาแพร่เข้ามาพร้อมกับการอพยพของคนพูดไทยเพื่อพึ่งบารมีของพระเจ้าอู่ทอง ดังในวรรณกรรมยุคต้นอุยธยา จึงใช้ภาษาขอม ปนสันสกฤต ไทย และบาลี เช่น โองการแช่งน้ำ และลิลิตยวนพ่าย ภาษาขอมมีบทบาทจนแม้ถึงสมัยปลายอยุธยา ดังที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงสร้างแบบเรียนมูลภาษาไทยและขอมคู่กัน

กาลเวลาได้กร่อนกลืนภาษาขอมโบราณแห่งศรีอยุธยาจนปลิวละลายหายไปในกระแสหลักของภาษาไทยเสียเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ราชาศัพท์ของเทวราชาวรมันแห่งนครวัดนั่นแลฯ

....ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)



ขอบคุณที่มาบทความ..
http://www.gotoknow.org/posts/481788
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-3 09:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สรุปส่งท้าย


สิ่งที่ข้าพเจ้าเสนอมาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากทีเดียว เพราะหลักฐาน เหตุผล บริบทแวดล้อมมันลงกันได้อย่างเหลือเชื่อ หากเป็นจริงข้าขออุทิศความดีให้ชนชาติขอม สยาม  ไต ที่สละเลือดเนื้อก่อร่างสร้างชาติมาให้ข้าพเจ้ามีเผ่นดินยืนในวันนี้ หากไม่จริงข้าพเจ้าขอรับความอับอายขายหน้าและเป็นตัวตลกโดษดุษฎี

และอย่าเชื่อฝรั่งมากไป โดยเฉพาะเซเดส์ที่เป็นนักวิชาการฝรั่งเศสที่มีความลำเอียงเข้าข้างอาณานิคม นักวิชาการไทยต้อง”กล้า”คิดต่างอย่างอิสระกันเสียที
ในรายละเอียด ยังมีปัจจัยเสริมอีกมาก สนใจโปรดหาอ่านได้ในบทความอันหลากหลายของข้าพเจ้าโดยอาจเริ่ม



ที่  http://www.gotoknow.org/blogs/posts/454712


...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๑ มีค. ๒๕๕๕)
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้