ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 17896
ตอบกลับ: 81
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คนอดทนคือคนโชคดี

[คัดลอกลิงก์]
1#
โพสต์ 2013-4-27 07:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด

"มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะพ่ายแพ้"



ผมเชื่อว่าเราหลายคนคงมีอาการอย่างที่ผมจั่วหัวไว้นะครับว่า "ท้อแท้ ท้อเทียม และท้อถอย" ไอ้อาการทั้งสามท้อดูจะเกิดกับเราได้ในทุกเมื่อเชื่อวัน


ทุกครั้งที่เกิดอาการเหล่านี้ แต่ละท่านมีวิธีจัดการกันอย่างไรบ้างครับ สำหรับผมแล้ว ผมมักใช้เวลาเงียบ ๆ นั่งไตร่ตรองในสิ่งที่ผ่าน ๆ มาแล้วดูว่าตัวเองจะเอาไงต่อไป


บางทีก็น่าแปลกนะครับที่ชีวิตจำเป็นต้องมี "อุปสรรค" เข้ามาทดสอบอยู่เสมอ หมดอุปสรรคนี้ก็มีอุปสรรคอื่นหยิบยื่นเข้ามาให้ขบคิดกันอยู่เรื่อย ๆ ดูเหมือนปัญหาที่ถั่งโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนนั้นคล้ายจะเป็นเครื่องทดสอบกำลังกายและกำลังใจของชีวิตว่า เราพอจะมีเรี่ยวแรงอดทนทำอะไรต่อไปไหวมั๊ย


ผมเคยนั่งพิจารณาอุปสรรคหรือปัญหาที่เข้ามาพร้อม ๆ กันหลายเรื่องแล้วนั่งไตร่ตรองดูว่าเรื่องไหนควรทำก่อน เรื่องไหนควรค่อยทำ เรื่องไหนอย่าเพิ่งทำ ซึ่งมันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการรับมือกับปัญหาได้ดี ทำนองเดียวกันการแยกแยะว่าอุปสรรคใดที่เราไม่สามารถแก้ได้คนเดียว บางทีก็จำเป็นต้องปล่อยให้ คนอื่นช่วยกันแก้บ้าง เท่านี้ก็หมดปัญหาแล้ว
แต่ที่ว่ามาเนี่ยเหมือนออกมาจาก "ทฤษฎี" ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภท How to ที่ขายกันอยู่เกลื่อนตลาด แต่พอเอาเข้าจริงเราจะ Can do ได้หรือเปล่าเนี่ยเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ


ไอ้อาการ "ท้อแท้" มักเกิดขึ้นเวลาที่เราเริ่มสิ้นหวังจากชีวิตครับ เข้าทำนองว่า "มืดแปดด้าน" แต่หากคิดให้ขำหน่อยก็ยังดีว่าเรายังมีด้านที่เก้าที่สิบอีกเยอะแยะไปหมดที่มันยังไม่มืด ด้วยเหตุนี้เราก็พยายามหาด้านอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในแปดด้านให้เจอสิจริงมั๊ยล่ะครับ


ส่วนไอ้อาการ "ท้อเทียม" เนี่ย ผมขอใช้คำว่า "ขี้เกียจจะทำ" หรือศัพท์วัยรุ่นหน่อย คือ "ไม่ไหวจะเคลียร์" ทำนองนั้น ไอ้อาการท้อเทียมมันเป็นอาการเซ็งจริตประเภทหนึ่ง เป็นความรู้สึกประมาณว่า "กรูเบื่อชิบหาย" อยากไปให้พ้น ๆ แมร่งแล้วล่ะ แต่เอาเข้าจริง ไอ้อาการท้อเทียมเนี่ย แก้ง่ายสุดครับ เพียงแคซื้อยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ มานั่งถูจั๊กกูแร้เบา ๆ ประมาณว่าสลัดความขี้เกียจให้สิ้นซากไป
แต่ไอ้อาการ "ท้อถอย" นี่แหละครับที่ผมว่าแก้ยากที่สุด เพราะคนเราจะท้อถอยก็ต่อเมื่อเราเริ่ม "หมดหวัง" ในชีวิตแล้ว แต่ข้อคิดอบ่างหนึ่งของการบอกตัวเองว่าเรายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ไม่ว่าจะในสภาพไหนก็ตาม คือ การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่มากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น



แต่ไอ้การพูดมันง่ายแหละ แต่พอลงมือทำเนี่ยมันโคตรยากเลย เพราะต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งและอดทนอย่างยิ่ง และที่สำคัญที่สุด "ทัศนคติที่ดี" ในการมองโลกเนี่ยนับว่าช่วยได้มากทีเดียว

เคยดูหนังเรื่อง Forrest Gump (1994) ของ Robert Zemeckis มั๊ยครับ???

หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของ Winston Groom ที่พูดถึงชีวิตคนที่ว่ากันว่า "ปัญญาอ่อน" แต่กลับกลายเป็น "อัจริยะบุคคล" ที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปเสียหมด โดยที่พี่แกก็ไม่ได้ "ยี่หระ" กับความสำเร็จใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสำหรับ Gump แล้วบางทีการได้ออกเดินทางกลับสำคัญกว่าเป้าหมายปลายทาง

บางทีเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าในช็อคโกแล็ตนั้นมันจะมีไส้อะไรอยู่บ้าง หรือบางทีอย่าไปเดาเลย


หนังทำให้เรามานั่งคิดว่าคนอย่างนาย Gump แกเคยเครียด กลัว โกรธ ท้อแท้ ท้อเทียม ท้อถอย มั๊ย เพราะถ้าแกมีอารมณ์เหล่านี้อยู่ผมว่าแกคงไม่สามารถวิ่งแบกเพื่อนหลายสิบคนหลบลูกระเบิดในสงครามเวียดนามได้ คงไม่สามารถวิ่งมาราธอนข้ามทวีปเป็นปี ๆ ได้ คงไม่บ้าพอที่จะไปออกเรือหากุ้งตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับเพื่อนรักได้ Gump คงไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้หาก Gump มีวิธีคิดแบบที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า rational Man หรือเป็นมนุษย์ที่มีเหตุมีผล


แต่สิ่งที่ Gump ทำกลับอยู่บนฐานของความจริงใจและความตั้งใจที่อยากจะทำมากกว่าที่จะมานั่งถามตัวเองว่าถ้ากรูทำแล้วมันจะได้อะไร ดังนั้นสิ่งที่ Gump จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนความคาดหวังกับผลของการกระทำเหล่านั้น



เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าไอ้ปรัชญาการทำอะไรโดยปล่อยวางและไม่คาดหวังในความสมบูรณ์แบบของผลงานนั้นกลับกลายเป็น "จุดสูงสุด" ที่ทำให้ใครหลายคนสามารถบรรลุอะไรบางสิ่งบางอย่างได้นะครับ



มิพักต้องพูดถึงไอ้อารมณ์ทั้งสามที่มาจากตระกูล "ท้อ" เพราะไอ้ท้อเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนความรู้สึก กำลังกายและกำลังใจซึ่งส่งผลถึงกันไปหมด



ท้ายที่สุดแล้วผมว่าคนเราเกิดมาเพื่อ "เรียนรู้" ที่จะมีชีวิตอยู่ให้ "รอด" เพราะถ้าอยู่ไม่รอดเราก็คงต้องยอมแพ้กับการมีชีวิตไป เหมือนที่ ป้าป้า เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ยอดนักเขียนรางวัลโนเบลไพรซ์เคยกล่าวไว้ว่า...


"มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะพ่ายแพ้"


หรือถ้าแปลเป็นภาษาปะกิตแบบชายเมืองสิงห์เขาจะพูดว่า Man was not born to be defeat !

แต่ตอนสุดท้ายป๋าเฮมแกเสือกยิงตัวตายซะงั้น




มนุษย์เรามีความสามารถทำอะไรได้อีกเยอะแยะเต็มไปหมดนะครับ ขอเพียงมีกำลังใจที่ดี กำลังใจที่ว่านี้มาจากทั้งคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย แต่กำลังใจที่สำคัญที่สุด คือ กำลังใจที่มาจากตัวเองครับ
โลกใบนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เรียนรู้ทั้งอารมณ์ทุกข์ สุข สิ้นหวัง อิ่มเอม หดหู่ ท้อแท้ ท้อเทียม ท้อถอย ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้ของคน ๆ หนึ่งที่เมื่อวันใดที่เราเริ่มเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เราจะรู้สึกปลดปล่อยและมีอิสรภาพกับชีิวิตอย่างแท้จริง ซึ่งคงไม่่ยากเกินไปนักถ้าเราคิดจะเริ่มทำชิมิครับ


Hesse004


http://www.oknation.net/blog/hesse004/2010/10/28/entry-1




2#
โพสต์ 2013-7-19 10:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
3#
โพสต์ 2013-9-5 09:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ผลเสียของการขาดความอดทน


ลองนึกภาพฉากเหตุการณ์ต่อไปนี้: ชายคนหนึ่งขับรถอยู่บนถนนสองช่องทางในช่วงที่ห้ามแซง. ผู้หญิงที่ขับอยู่ข้างหน้าขับในความเร็วที่กำหนด. แต่สำหรับชายที่ใจร้อนคนนี้ เขารู้สึกว่าเธอขับช้ามาก. หลังจากขับจี้ท้ายรถเธออยู่พักหนึ่ง เขาก็หมดความอดทนและขับแซงเธอไปอย่างรวดเร็ว. การทำเช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมายและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้.

ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคนใจร้อนต้องทำงานกับคนที่เชื่องช้าหรือไม่ฉลาดเท่าเธอ คุณคิดว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร? หรือผู้ชายที่ยืนรอลิฟต์กดปุ่มลิฟต์อยู่ตลอด อาการของเขาสื่อถึงอะไร? แล้วคุณล่ะ คุณมักหงุดหงิดกับพ่อแม่ที่สูงอายุไหม? หรือคุณเป็นพ่อแม่ที่มักหงุดหงิดกับลูก? คุณรำคาญใจไหมเมื่อคนอื่นทำผิดพลาด?

คงมีบางครั้งที่เราหมดความอดทน แต่ถ้าเกิดขึ้นทุกวันก็อาจก่อผลเสียหายร้ายแรงได้.

ปัญหาสุขภาพ

การขาดความอดทนมักทำให้คนเราหงุดหงิด รำคาญใจ และถึงกับโกรธง่าย. ความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ. การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้โดยแพทยสมาคมแห่งอเมริกา รายงานว่า การขาดความอดทนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แม้แต่ในกลุ่มหนุ่มสาว.

การขาดความอดทนอาจก่อปัญหาสุขภาพอื่นๆด้วย. การศึกษาเมื่อเร็วๆนี้บอกให้รู้ว่า คนที่ขาดความอดทนอาจเป็นโรคอ้วนได้. หนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า “นักวิจัยพบว่าคนที่ขาดความอดทนมักมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนที่รอคอยได้.” ในบางประเทศ ฟาสต์ฟูดมีราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย หลายคนที่ขาดความอดทนชอบซื้ออาหารแบบนี้

ผัดวันประกันพรุ่ง

การศึกษาโดยศูนย์เศรษฐกิจวิจัยนโยบายซึ่งมีฐานอยู่ที่ลอนดอนพบว่า คนที่ขาดความอดทนมักมีนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง. เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาเลื่อนงานที่ใช้เวลามากออกไปเพราะไม่อดทนพอที่จะทำงานนั้นให้สำเร็จ? ไม่ว่าจะอย่างไร แนวโน้มที่จะเลื่อนงานบางอย่างออกไปอาจก่อผลเสียร้ายแรงต่องานและต่อคนคนนั้น. ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือพิมพ์เดอะ เทเลกราฟ แห่งลอนดอน นักวิจัยชื่อเออร์เนสโต รูเบน บอกว่า “การผัดวันประกันพรุ่งส่งผลเสียร้ายแรงต่องานและทำให้คนอื่นต้องสูญเงินจำนวนมากเพราะ [คนที่ขาดความอดทน] มักมีนิสัยผัดเลื่อนงานเอกสารออกไปเรื่อยๆ.”

ดื่มจัดและใช้ความรุนแรง

หนังสือพิมพ์ของบริเตนเซาท์เวลส์ แอกโค ได้สรุปผลการสำรวจของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของชายหญิงหลายร้อยคนว่า “คนที่ขาดความอดทนมักดื่มจัดและมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง.”


ตัดสินใจไม่รอบคอบ

นักวิเคราะห์กลุ่มหนึ่งที่ทำงานให้กับศูนย์วิจัยพิว วอชิงตัน ดี.ซี. พบว่า คนที่ขาดความอดทน “มักตัดสินใจเร็วเกินไปและไม่รอบคอบ.” ดร. อิลองโก พรนุสวามี ศาสตราจารย์และหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ที่มหาวิทยาลัยบาห์ราตีดาเซน ประเทศอินเดีย ได้ข้อสรุปคล้ายๆกัน. เขาอธิบายว่า “การขาดความอดทนมีแต่ทำให้คุณเสีย. คุณอาจเสียเงิน เสียเพื่อน ประสบความทุกข์ยาก หรือได้รับผลเสียหายอื่นๆเพราะการขาดความอดทนมักทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด.”


ปัญหาเรื่องเงิน

บทวิจารณ์การวิจัย จัดพิมพ์โดยธนาคารกลางของบอสตันสหรัฐอเมริการายงานว่า คนที่ขาดความอดทนมักมี “หนี้สูง.” ตัวอย่างเช่น คู่สมรสใหม่ที่ใจร้อนอาจอยากได้บ้านและเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างทันทีหลังจากแต่งงาน ทั้งๆที่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของเหล่านั้น. ดังนั้น พวกเขาจึงซื้อบ้าน เฟอร์นิเจอร์ รถ และสิ่งของอื่นๆ โดยใช้บัตรเครดิตหรือเงินผ่อน. การทำเช่นนี้อาจก่อผลเสียต่อชีวิตสมรส. นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “คู่สมรสที่เพิ่งแต่งงานและมีหนี้สินรุงรังจะมีความสุขน้อยกว่าคู่สมรสใหม่ที่แทบจะไม่มีหนี้หรือไม่มีหนี้เลย.”

ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ที่สหรัฐ บางคนโทษว่าเป็นเพราะคนที่ขาดความอดทน. นิตยสารด้านธุรกิจฟอบส์ กล่าวว่า “ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นผลจากนิสัยของผู้คนที่ขาดความอดทนและโลภมาก. การขาดความอดทนทำให้หลายพันคนหาซื้อบ้านที่มีราคาแพงกว่าที่พวกเขาจะซื้อได้. พวกเขาจึงต้องกู้เงินจำนวนมาก และขอผ่อนชำระเป็นเวลาหลายปีหรือบางรายก็ไม่สามารถใช้คืนได้เลย.”

เสียเพื่อน

การขาดความอดทนมีผลเสียต่อวิธีที่เราพูดคุยกับคนอื่น. ถ้าคนเราไม่อดทนพอที่จะพูดคุยในแบบที่เสริมสร้าง เขาก็จะพูดออกมาโดยไม่คิด. นอกจากนั้น เขาอาจรู้สึกรำคาญเมื่อต้องฟังคนอื่นพูด. คนแบบนี้ต้องการให้คนอื่นพูดเข้าประเด็นเร็วที่สุด เขาอาจพูดแทนคนนั้นหรือใช้วิธีอื่นเพื่อเร่งคู่สนทนาให้พูดจบเร็วๆ

คนแบบนี้อาจเสียเพื่อน. ดร. เจนนิเฟอร์ ฮาร์ตสไตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่อ้างถึงในบทความก่อนบอกว่า ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่แสดงอากัปกิริยาที่น่ารำคาญ เช่น คอยดูเวลาอยู่ตลอด. เพื่อนของคุณคงจะตีตัวออกห่างถ้าคุณเป็นคนใจร้อนและไม่มีความอดทน.

นี่เป็นผลเสียเพียงไม่กี่อย่างของการขาดความอดทน. บทความถัดไปจะพิจารณาว่าทำอย่างไรคุณจึงจะมีความอดทนมากขึ้น

ที่มา..http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102012443

4#
โพสต์ 2013-12-13 17:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ทนต่อไป.  
5#
โพสต์ 2014-1-22 09:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ความอดทน

ความอดทนตรงกับภาษาพระว่า ขันติ พระอรรถกถาจารย์กับโบราณาจารย์ไทย อธิบายแตกต่างกันนิดหน่อย ซึ่งก็ "เข้าท่า" และ "เข้าที" ทั้งสองนัย โบราณาจารย์ไทย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใคร ได้อธิบายไว้ว่า ขันติ หรือความอดทนนั้น มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ

ทนลำบาก ได้แก่ ทนทุกขเวทนาความเจ็บปวดต่างๆ ได้ ไม่บ่น ไม่ร้อง เช่น ป่วยเป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ทนเอาไว้ ไม่สำออยครางอูย ๆ จะตายให้ได้ หรือเจ็บมาก ๆ ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้

ทนตรากตรำ ได้แก่ ทนสู้ทำงานหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างตรากตรำ หนักเอาเบาสู้ไม่ท้อถอย ไม่ใช่คนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรจับจด

ทนเจ็บใจ ได้แก่ ทนต่อการว่าร้ายด่าทอจากปากคนอื่น ไม่เอามาเป็นอารมณ์ ใครเขาจะนินทาว่าร้าย หรือด่าเสียดสี อย่างไรก็สงบใจไว้ไม่โต้ตอบ จะทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันเปล่า ๆ

ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระอรรถกถาจารย์ท่านแยกความอดทนไว้ 2 ประการ คือ

อดกลั้น หมายถึงเวลาที่ได้รับความเจ็บปวดทางกายก็ดี เวลาตรากตรำทำงานหนักก็ดี เวลามีคนมาว่าร้ายด่าทอก็ดี พยายามอดกลั้นไว้ ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาใครมาฉอด ๆ ต่อหน้าก็เอาหูทวนลมเสีย นึกถึงเพลงของเบิร์ดเข้าไว้ "ลิ้นกับฟันพบกันเมื่อไหร่ก็เรื่องใหญ่" และโอกาสที่จะ "กัด" หรือ "ฟัด" กันก็คงไม่เกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่า อดกลั้น (อธิวาสนะขันติ)

อดทน สูงขึ้นไปกว่านั้น "อดกลั้น" นั้นเรายังเดือดอยู่ในใจแต่สู้ข่มไว้ไม่แสดงออกมา แต่ "อดทน" หมายถึง ไม่โกรธเลย ใครว่าอย่างไรก็เฉยไม่รู้สึกอะไร เป็นความเข้มแข็งของจิตที่ฝึกฝนมาจนทนทานแกร่งกล้าแล้ว (ตีติกขาขันติ)

สรุปง่าย ๆ คือ ความอดกลั้น นั้นใจยังโกรธอยู่แต่ไม่แสดงออก ส่วนความอดทนนั้น จิตใจสงบเย็น ไม่โกรธเลย ขอยกตัวอย่างขันติของพระอานนท์กับของพระพุทธเจ้า มาเปรียบเทียบเพื่อความกระจ่าง คนอันธพาลพวกหนึ่งได้รับสินจ้างให้มาด่าพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จไปไหน ไอ้พวกเวรห้าร้อยก็ตามไปด่าเสียๆ หายๆ พระอานนท์เดือดปุดๆ อยู่ในใจ แต่สู้อดกลั้นไว้ไม่ด่าตอบ ส่วนพระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินไปดังหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระอานนท์กราบทูลให้หนีไปที่อื่น พระพุทธองค์ตรัสถามว่าจะหนีไปไหน ก็กราบทูลว่าไปเมืองอื่น เมื่อทรงย้อนถามว่า ถ้าคนเมืองนั้นด่าอีกล่ะจะไปไหนอีก "ก็ไปเมืองอื่นอีก" พระพุทธอนุชากราบทูล พระองค์ตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้น เราคงหนีกันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะโลกนี้มีคนชั่วมาก ไปไหนก็ถูกด่าอยู่ดี อยู่ที่นี่แหละ มันเหนื่อยก็หยุดด่าเอง"


โดย..เสฐียรพงษ์ วรรณปก
6#
โพสต์ 2014-4-17 22:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
7#
โพสต์ 2014-10-3 20:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด
App_9109 ตอบกลับเมื่อ 2014-10-3 14:54
จะอดทนให้มากที่สุด...ถึงแม้บางครั้งจะขัดกับความรู้ส ...

เชื่อได้ป่าวเนี้ย
ขนาดศาลจีนด่าซะเทพกระจาย
8#
โพสต์ 2015-3-10 08:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
9#
โพสต์ 2015-4-4 07:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด

จริงๆ แล้ว


ความอดทนก็มีค่าในตัวของมันเอง
10#
โพสต์ 2015-11-8 07:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้