ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3450
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่โทน กันตสีโล(พระครูพิศาลสังฆกิจ) วัดบูรพา ~

[คัดลอกลิงก์]


ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่โทน กันตสีโล (พระครูพิศาลสังฆกิจ)

วัดบูรพา บ้านสะพือ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี


โดย สุรสีห์ ภูไท นิตยสารโลกทิพย์ พ.ศ. ๒๕๒๙
โพสต์ในเว็บชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
โดย คนชอบพระ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔

   

ชาติกำเนิด

หลวงปู่โทน นามเดิมชื่อ โทน นามสกุล หิมคุณ
เกิดเมื่อเดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ ค่ำ วันจันทร์ ปีระกา
ตรงกับวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๐

ท่านมีพี่น้องด้วยกันเพียง ๒ คนเท่านั้น ท่านเป็นคนโต
เกิดที่บ้านสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี

ถึงแม้อายุของท่านจะมากถึง ๘๙ ปีแล้วก็ตาม (ขณะที่มีการบันทึกชีวประวัติ)
แต่ความจำต่างๆ ท่านยังจำได้แม่นยำ
ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่สุดที่ผู้มีอายุมากถึงเพียงนี้จะมีความจำเป็นเลิศเช่นนี้

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 10:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภูมิหลังครั้งเด็ก

หลวงปู่โทน ท่านมีเมตตาเล่าให้ฟังถึงในสมัยเป็นเด็กของท่านว่า

“อาตมาเป็นคนโต บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า โทน
ซึ่งที่แรกท่านคงคิดว่าจะมีลูกคนเดียว แต่ต่อมาก็ได้น้องเกิดขึ้นมาอีกคน”


“สมัยหลวงปู่เป็นเด็ก ได้เรียนหนังสือที่ไหนครับ”

“ในสมัยนั้นไม่ได้เข้าโรงเรียนหรอก เพราะอยู่บ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญมาก
วันๆ ก็เลี้ยงควาย ทำนา และหาปูหาปลามารับประทานกันตามมีตามเกิด
เพราะย่านนั้นมีแต่ความแห้งแล้งเป็นประจำ มีแต่ป่าแต่เขา
ถ้าจะเรียนรู้ การอ่าน การเขียนหนังสือ
ก็ต้องอาศัยพระเณรที่วัดใกล้บ้านนั่นแหละเป็นผู้สอนให้”


“หลวงปู่บวชมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“บวชมาตั้งแต่อายุได้ ๑๕ ปีโน่นแล้วบวชเป็นเณรที่วัดบ้านเกิดนั่นเอง
ไม่ได้ไปบวชที่ไหนหรอก บวชตามประสาบ้านนอก
ผ้าสบงจีวรก็ขอเอากับพระในวัด ไม่ได้ซื้อ
และท่านก็ให้มาชุดเดียวเท่านั้น”


หลวงปู่ท่านกล่าวตอบอย่างซื่อๆ


ได้เรียนรู้เมื่อบวช

หลวงปู่โทน ท่านเปิดเผยให้ฟังต่อไปอีกว่า

“ในสมัยนั้น พ่อแม่มักจะให้ลูกหลานของตนได้เข้าบวชเรียนเขียนอ่านกันในวัด
เพราะจะได้ร่ำเรียนมีวิชาความรู้
ซึ่งเมื่อสึกออกมาก็จะเป็นผู้ครองเรือนที่ประกอบด้วยศีลธรรม
แต่ถ้าไม่สึกหาลาเพศก็จะยิ่งดีใหญ่
เพราะพ่อแม่จะได้ชื่นชมว่าลูกตนมีบุญมีวาสนาได้ห่มผ้าเหลือง เป็นศิษย์ตถาคต
พลอยให้พ่อแม่ได้พ้นจากนรกไปด้วย
เพราะลูกฉุดดึงขึ้นไปตามความเชื่อถือกันมาแต่โบราณ”


“หลวงปู่บวชที่วัดไหนครับ”

“บวชอยู่ที่วัดบูรพา บ้านสะพือนี่แหละ
บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ อายุได้ ๑๕ ปีพอดี”


“หลวงปู่ได้ศึกษากับใครครับ”

“บวชแล้วก็ศึกษากับพระอุปัชฌาย์ในเบื้องต้น
คือท่านสอนหนังสือที่จารอยู่ในใบลาน ซึ่งเป็นตัวธรรมทั้งนั้น
เริ่มเรียนเป็นคำๆ ไป จนท่องขึ้นใจ

บางที่ใช้ความจำด้วยตาว่าตัวไหนเป็นตัวอะไร
มันหงิกๆ งอๆ อย่างไร ก็จำกันเอาไว้ให้ดี
แต่จำได้เพียงตัวที่ท่านสอนนะ ตัวอื่นถ้าไม่สอน ก็ยังอ่านไม่ออกเหมือนกัน”


หลวงปู่โทนท่านกล่าวอย่างอารมณ์ดี

จากวันเป็นเดือน การเรียนหนังสือธรรมที่อยู่ตามใบลาน
ก็ค่อยๆ ผ่านสายตาของหลวงปู่โทนเป็นลำดับ
เพราะท่านกล่าวว่าท่านเรียนเอาความรู้ให้ได้จริงๆ
มิได้หวังเอายศถาบรรดาศักดิ์ หรือหวังเอาชั้นอะไรทั้งนั้น

ในสมัยบวชเป็นสามเณร หลวงปู่โทนท่านมีความขยันขันแข็ง
ในการศึกษาหาความรู้ในด้านต่างๆ มาก เพราะที่วัดมีตู้หนังสือเก่าอยู่หลายตู้
ในแต่ละตู้ก็ล้วนแต่เป็นพระคัมภีร์และชาดกต่างๆ
ซึ่งบางผูกบางกัณฑ์ก็กล่าวถึงพระเวสสันดร พระสุวรรณสาม พระเจ้าสิบชาติเป็นต้น

“การเรียนรู้ทำให้หูตาสว่าง มีปัญญาทันคน ไม่หลงงมงาย”
หลวงปู่โทนท่านกล่าว


จากสามเณรเป็นภิกษุ

หลวงปู่โทน หรือ ท่านพระครูพิศาลสังฆกิจ
ได้เล่าให้ฟังถึงอดีตที่ผ่านมาของท่านต่อไปว่า

เมื่อเห็นว่าการบวช คือการชำระจิตใจให้หมดจดในกองกิเลสทั้งปวง
ทำให้มีจิตใจใฝ่ฝันที่จะไขว่คว้าหาวิชาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

อาตมาจึงได้บวชพระกับหลวงปู่สีดา หรือ ท่านพระครูพุทธธรรมวงศา
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ที่วัดบ้านเกิดนั่นเอง

หลวงปู่สีดา ที่หลวงปู่โทนกล่าวถึงนี้
ท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น
เป็นพระนักปฏิบัติที่มีลูกศิษย์ลูกหาอย่างมากมายทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย

ชื่อเสียงของหลวงปู่สีดาเป็นที่เลื่องลือไปว่า
ท่านมีความสามารถทุกอย่าง ไม่ว่าในทางปฏิบัติและในทางไสยเวท
ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ที่ใครๆ ก็นำบุตรหลานมาบวชกับท่านมิได้ขาด

สำหรับหลวงปู่โทนนั้น ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนกระทั่งอายุครบบวช
ท่านก็อุปสมบทต่อไปเลย โดยไม่ได้สึกออกมาผจญกับทางโลกแม้แต่น้อย
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 10:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กับ ๒ พระอาจาย์





“เมื่อบวชพระแล้ว หลวงปู่ไปที่ไหนบ้างครับ”

“อาตมาบวชได้หนึ่งพรรษา ก็ได้ไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่แพง
ที่วัดสิงหาญ อำเภอตระการพืชผล ศึกษาอยู่กับท่านระยะหนึ่ง
จึงได้ไปศึกษากับอาจารย์ตู๋ วัดขุลุ
ซึ่งทั้งสองพระอาจารย์นี้ท่านมีวิชาแก่กล้ามาก เป็นพระนักปฏิบัติเคร่ง”


หลวงปู่โทน ท่านกล่าวถึงในสมัยที่ไปศึกษาวิชาต่างๆ กับสองพระอาจารย์ว่า

ไม่ว่าหลวงปู่แพง หรืออาจารย์ตู๋ ล้วนแล้วแต่เป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิพร้อมสรรพ

ท่านทั้งสองมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงปู่สีดา
ผู้เป็นพระอุปัชฌย์ของหลวงปู่โทน
แต่ละท่านก็ได้ไปศึกษาหาความรู้กันจากฝั่งลาวมาก่อนทั้งนั้น

สมัยนั้นการข้ามไปข้ามมายังฝั่งลาวมีความสะดวกสบายอย่างยิ่ง
เพียงนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงก็ถึงกันแล้ว

ใครที่อยากจะไปยังฝั่งเขมร
เพื่อศึกษากับพระอาจารย์ทางฝั่งเขมรก็ไปกันได้เช่นกัน
ไม่มีใครมาห้าม แต่ส่วนมากพระอาจารย์ทางเขมร
ก็ชอบออกเดินธุดงค์มายังฝั่งไทยเสมอ จึงได้เจอกันอยู่บ่อยๆ

เมื่อเจอกันแล้วก็ได้ขอศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
โดยเฉพาะทางด้านปฏิบัติ ใครติดขัดอะไรก็สอบถามกันไป


ศิษย์หลวงปู่สำเร็จลุน (สมเด็จลุน)



ผู้เขียนได้กราบเรียนถามท่านถึงเรื่องหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และสำเร็จลุน
พระอาจารย์ผู้ล่องหนย่นระยะทางได้ว่า ท่านได้เคยพบปะ
หรือศึกษาธรรมอะไรกับท่านทั้งสองมาบ้าง ซึ่งหลวงปู่โทนก็ได้มีเมตตาเล่าให้ฟังว่า

“หลวงปู่สำเร็จลุนนั้น เป็นพระอาจารย์ของอาตมาเอง
เคยได้ไปอยู่ปรนนิบัติและศึกษาธรรมกับท่านมาแล้วที่วัดบ้านเวินไซ
ในนครจำปาศักดิ์ฝั่งประเทศลาว

ท่านสำเร็จลุนเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมสูง
มีเมตตตาจิต โอบอ้อมอารีต่อพระเณรผู้เป็นลูกศิษย์เสมือนพ่อปกครองลูก
ท่านมีวิชาแก่กล้ามาก ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนจะย่อแผ่นดิน (ย่นระยะทาง) อยู่เสมอ”


หลวงปู่โทน ท่านเปิดเผยต่อไปว่า
ความจริงแล้วท่านได้มีโอกาสไปปรนนิบัติหลวงปู่สำเร็จลุน
ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณรโน่นแล้ว

เมื่อท่านสำเร็จลุนว่างจากการปฏิบัติ
ท่านก็จะเรียกไปบีบแข้งบีบขาให้ท่านอยู่เสมอ
พร้อมกันนั้น ท่านก็จะกล่าวอบรมสั่งสอนธรรมะ
และข้อปฏิบัติให้นำไปปฏิบัติเป็นกิจวัตร

“สำเร็จลุนท่านสอนทางด้านวิชาอาคมอะไรให้หลวงปู่บ้างครับ”
ผู้เขียนเรียนถามท่าน ซึ่งท่านก็กล่าวตอบว่า

“ก็มีอยู่บ้าง เพราะท่านเก่งทางวิทยาคมเป็นเลิศอยู่แล้ว
ไม่ว่าวิชาไหนท่านรู้หมด จะเรียนวิชาอะไรก็เรียนได้
ถ้ามีความขยันในการเรียน โดยท่านจะสอนให้กับทุกคน
ไม่ปิดบังอย่างใดทั้งสิ้น”

“หลวงปู่ได้วิชาอะไรจากสำเร็จลุนบ้างครับ”

“วิชาหรือ ก็ได้ในแนวทางปฏิบัตินี่แหละ
ถ้าเราปฏิบัติดี มีศีลธรรม ตั้งอยู่ในศีลในธรรมความดี
อย่าให้บกพร่อง ของดีก็อยู่กับเรา”
หลวงปู่ท่านกล่าว
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 10:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม

ความจริงแล้ว หลวงปู่โทน ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากสำเร็จลุนมามาก
แต่ท่านไม่ยอมเปิดเผยให้ฟังโดยละเอียด
เพราะท่านกล่าวว่า จะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม
จะทำให้ครูบาอาจารย์ท่านเสีย เพราะท่านไม่เคยโอ้อวดใคร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนักปฏิบัติอย่างท่านนั้น
เมื่อมีใครไต่ถามอย่างไร ท่านก็จะตอบอย่างนั้น
ตอบอย่างสั้นๆ ไม่นอกเรื่องและไม่พูดมาก
ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ความจริงก็อาจจะเข้าใจผิด
คิดว่าท่านถือตัวหรือหยิ่ง พบยาก อะไรทำนองนี้

แต่ความจริงแล้ว พระนักปฏิบัติอย่างหลวงปู่โทน
ท่านมีเมตตาธรรมและคุณธรรมสูงมาก
เป็นผู้ให้ตลอด ไม่เคยเรียกร้องเอาอะไรจากใคร

เมื่อถามถึงเรื่องสำคัญในการศึกษาเล่าเรียนของท่าน
ท่านมักจะกล่าวว่า

“อย่าไปพูดถึงเลย เพราะจะทำให้ครูบาอาจารย์ท่านตำหนิเอา”

คำพูดของหลวงปู่ทุกคำ ท่านจะกล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านอยู่ตลอดเวลา
และท่านมีความเคารพในครูบาอาจารย์อยู่เสมอ


พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่โทน ท่านเล่าว่า สำหรับ หลวงปู่มั่นนั้น
ท่านได้พบกันในระหว่างออกเดินธุดงค์ป่าแห่งหนึ่ง เขตตระการพืชผล

“หลวงปู่มั่นท่านสอนธรรมะอะไรให้หลวงปู่บ้างครับ”

“ไม่ได้สอนอะไรให้ เพราะต่างคนก็ต่างออกไปหาความสงบกันในป่า
และไปคนละสาย คือไปคนละทางกัน
แต่ก็ได้อยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านมาร่วมเดือนในป่าแห่งหนึ่ง”


หลวงปู่โทน ท่านเล่าถึงเมื่อคราวที่ท่านได้พบกับหลวงปู่มั่น
ท่านก็มีความเคารพเลื่อมใสในตัวหลวงปู่มั่นเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า

“ถึงแม้อาตมาไม่ได้ติดสอยห้อยตามหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่แรก
แต่เมื่อได้มาพบกับท่านก็มีความนับถือท่าน เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ถือเคร่งมาก”


หลวงปู่โทนเล่าว่า หลวงปู่มั่นเคยสอบถามท่านถึงเรื่องการปฏิบัติอยู่เสมอ
และบางครั้งท่านก็ได้ชี้แนะแนวทางให้ด้วย

แต่เมื่อติดขัดจริงๆ ก็ให้ไปเรียนถามสำเร็จลุน
ซึ่งหลวงปู่มั่นมีความเคารพนับถือท่านอยู่มาก


ล้วนเป็นศิษย์อาจารย์ดัง

หลวงปู่โทนเล่าว่า ความจริงแล้วก่อนที่ท่านจะเข้ามาบวชเป็นสามเณรนั้น
ท่านได้เรียนวิชามูลกัจจายน์กับ พระอาจารย์หนู
ที่วัดบ้านเกิดของท่านมาก่อนจนกระทั่งเรียนจบ
เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน ใครอยากจะเรียนก็ไปเรียนกับพระที่วัด

“อาตมาเป็นเด็กวัดไปด้วย เรียนไปด้วย จนได้วิชามูล
แต่ไม่มีชั้นอย่างเช่นทุกวันนี้ ที่มี ป.๑ ป.๒ ป.๓ อะไรทำนองนี้”


ส่วนครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่โทนได้ไปศึกษาอยู่ด้วยนั้น
ท่านเล่าว่ามีอยู่มากมาย เช่นอาจารย์ตู๋ วัดบ้านขุลุ
อาจารย์แพง วัดสิงหาญ สำเร็จตัน และหลวงปู่สีดา เป็นต้น


ธุดงค์ไปภูโล้น (ที่ถูกคือ ภูหล่น)

หลวงปู่โทนเล่าว่า ในสมัยนั้นท่านจะออกเดินธุดงค์อยู่ตลอดเวลาไม่อยู่เป็นที่
เพราะครูบาอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอยมาอย่างนั้น
ก็ต้องปฏิบัติตามท่านสอน ต่อมาท่านได้ธุดงค์ไปถึงภูโล้น
ได้พบกับหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนี้อยู่ปฏิบัติธรรมได้นานถึงหนึ่งเดือน

ภูโล้นอยู่ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ (ที่ถูกคือ อ.ศรีเมืองใหม่)
เป็นภูเขาที่มีสัตว์ป่ามากเป็นพิเศษ เช่น ช้าง เสือ หมี งูเห่า และกระต่าย เป็นต้น

ในสมัยนั้น อาตมาบวชพระได้ ๘ พรรษาเท่านั้น
จึงคิดแสวงหาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์เอาไว้
เพราะมีครูบาอาจารย์มากในเขตจังหวัดอุบลฯ
ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินของนักปราชญ์โดยแท้

ระหว่างที่อยู่ปฏิบีติธรรมที่ภูโล้นนั้น
หลวงปู่โทนเล่าว่าได้ผจญกับความลำบากทุกอย่าง
แต่ก็ต้องอดทน ซึ่งบางครั้งท่านเล่าว่าต้องฉันข้าวเหนียวคลุกกับปลาร้า
ฉันก็ฉันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 10:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แลกเปลี่ยนวิชากัน

หลวงปู่โทนเล่าต่อไปว่า สำหรับ สำเร็จตันนั้น ท่านแก่กว่า
แต่ก็ยังถือว่าเป็นรุ่นเดียวกัน

“อาตมาเคยสอนวิชาสนธิให้ท่านหนึ่งพรรษา
ส่วนท่านก็สอนวิชาของท่านให้เช่นกัน
เพราะใครมีวิชาอะไรดี ก็แนะนำกันไป
เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน” หลวงปู่โทนกล่าว


ความผูกพันระหว่างหลวงปู่โทน และสำเร็จตันนั้น (น่าจะหมายถึงหลวงปู่มั่น)
หลวงปู่โทนกล่าวว่า เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งอยู่
ซึ่งจะเห็นได้จากในสมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์ไปพบกันที่ภูโล้น (ที่ถูกคือ ภูหล่น)
ในเขตอำเภอโขงเจียม และอำเภอศรีเชียงใหม่ (ที่ถูกคือ อ.ศรีเมืองใหม่) นั้น

ท่านเล่าว่า

“อาตมานั่งภาวนาห่างจากหลวงปู่มั่นเพียง ๕๐ เมตร
เวลามีสัตว์ป่ามาก็รู้กัน และการขบฉันก็ฉันข้าวโพดในเวลาหิวในตอนเช้าเหมือนกัน

ส่วนการถือว่าท่านสายนั้นสายนี้ ไม่เคยถือว่าเป็นสายอะไรทั้งสิ้น
เพราะถือว่าท่านเป็นพระปฏิบัติเช่นเดียวกัน"


หลวงปู่โทนท่านให้ข้อคิดในการปฏิบัติธรรมว่า

“เราได้เข้าไปสู่ถนนสายนี้แล้ว เป็นถนนที่ฆ่ากิเลสตายแล้ว
และไม่มีความดีใจเสียใจอะไร แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”



ต้องอดทนและอดกลั้น

หลวงปู่โทน ท่านได้เล่าถึงชีวิตของการออกเดินธุดงค์ของท่านในช่วงหนึ่งว่า
ไม่ว่าจะเป็นการขบฉัน หรือการปฏิบัติ จะต้องมีขันติ คือความอดทนให้มากที่สุด
เพราะในป่าบางแห่งไม่ได้ฉันน้ำเลยเป็นเวลาถึง ๙ วันก็ยังมี

เคยออกเดินธุดงค์ไปด้วยกัน ครั้งหนึ่งถึง ๑๑ รูป
บางรูปฉันเอกา (ฉันมื้อเดียว) ได้เพียง ๙ วันก็อดทนไม่ได้
ต้องขอกลับออกมาก่อน บางรูปก็อดทนได้ ๑๕ วันก็ทนไม่ไหว ก็ขอกลับ
เพราะทนต่อความลำบากไม่ไหว

บางครั้งได้ฉันแต่น้ำถึง ๔ วันก็ยังเคยมี
เพราะไม่พบหมู่บ้านของชาวบ้านเลย
แต่ถ้าพบเขาก็จะถวายข้าวโพด ให้พอประทังความหิวไปวันๆ เท่านั้น



หลวงปู่โทนเล่าว่า สำเร็จลุน ท่านได้เทศนาสั่งสอนอยู่เสมอถึงเรื่องการมีขันติ
คือความอดทน อดกลั้นไม่ให้ติดในลาภ ให้มุ่งสู่ป่า
เพื่อไปฆ่ากิเลสอันหมักหมมอยู่ในตัว
ส่วนการปฏิบัติธรรมนั้น ท่านให้ยึดคำภาวนาว่า
“พุทโธจิต ธัมโมจิต สังโฆจิต”
เพราะเป็นเครื่องหมายของการสำรวมให้มีความสงบอยู่ภายใน

“ท่านให้ยึดจิตตัวเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็อย่าให้ทิ้ง
พุทโธจิต ธัมโมจิต สังโฆจิต

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 11:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มหาเสน่ห์สำเร็จลุน



หลวงปู่โทนเล่าว่า ในสมัยที่ปรนนิบัติท่านสำเร็จลุนที่เมืองเวินไซ นครจำปาศักดิ์นั้น
ท่านให้ท่องจำพระคาถาอยู่บทหนึ่ง ซึ่งเป็นพระคาถาสั้นๆ ว่า

“พุทธจิตใจ ธัมมจิตใจ สังฆจิตใจ พุทโธจิต ธัมโมจิต สังโฆจิต”

เมื่อท่องได้แล้วได้ไปกราบเรียนถามท่านว่าเป็นพระคาถาอะไร
และใช้ในทางไหน ซึ่งสำเร็จลุนก็ตอบว่าเป็นคาถามหาเสน่ห์
มีประโยชน์มาก ควรรักษาไว้ให้ดี

สำหรับวิธีใช้นั้นใช้เสกใส่สีผึ้งเป็นเมตตามหาเสน่ห์ จึงได้เรียนเอาไว้
และเมื่อนำเอามาใช่ในปัจจุบันก็ได้ผลดี
แต่ต้องใช้ในทางดี ไม่ใช่ใช้เพื่อทำลายผู้หญิง

หลวงปู่ท่านเล่าว่า มีอยู่รายหนึ่งชื่อประยงค์ ทำงานอยู่ กรป. อุบลฯ
ใช้สีผึ้งไปทาไม่เลือกหน้า และทาผู้หญิง
จนผู้หญิงด่าคำหยาบคายที่ถูกลวนลาม แต่ในที่สุดกลับมาชอบ
และไปใช้ไม่เลือกจนมีโทษแก่ตัวเองในที่สุด

หลวงปู่ท่านกล่าวว่า

“ขอร้องให้ใช้ในด้านเมตตาก็พอแล้ว
ถ้ามั่นใจว่าชอบกันจริง ถ้าหากพร้อมทุกอย่างจึงทา
เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวอยู่แล้ว
ถ้าไม่รับเลี้ยงจะเป็นบาปเป็นกรรมมากกว่าจะได้ประโยชน์”

หลวงปู่โทน ท่านกล่าวว่า ส่วนมากท่านจะให้สีผึ้งของท่านแก่ผู้ที่ควรให้เท่านั้น
โดยเฉพาะหมอลำทางภาคอีสานนั้นไปขอกับท่านเป็นจำนวนมาก
และผู้ที่มีอาชีพ ซึ่งต้องติดต่อธุรกิจกับผู้อื่น เช่น ค้าขาย เป็นต้น

“ความมีเสน่ห์ของคนไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าเท่านั้น
ต้องงามด้วยกิริยาวาจาด้วย จึงจะเรียกว่างามพร้อมสรรพ
คือ มีบุคลิกอ่อนหวาน มีวาจาไพเราะเป็นต้น”



กลับคืนวัดบ้านเกิด



หลวงปู่โทนเล่าว่าหลังจากออกเดินธุดงค์เพื่อหาความวิเวก
จากป่าเขาลำเนาไพรต่างๆ ในเขตจังหวัดอุบลฯ แล้ว
ก็ได้เดินทางกลับมายังวัดบูรพา บ้านสะพือ
เพื่อมาเข้าพรรษาตามปกติ ซึ่งไม่ว่าจะเดินธุดงค์ไปแห่งหนตำบลใด
ก็จะกลับมาเข้าพรรษาที่วัดบ้านเกิดของท่านเสมอ

เมื่อกลับจากการเดินธุดงค์แล้ว
หลวงปู่โทนท่านได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม

“อาตมาต้องแยกเวลาเรียนคือเวลาหนึ่งทุ่มไปเรียนธรรมบท
ส่วนกลางวันก็เรียนนักธรรม ต้องเรียนควบคู่กันไป
อาตมาเรียนได้แค่ ป.๓ เท่านั้น เพราะสมัยนั้นมีแค่ ป.๓ ก็ว่าสูงสุดแล้ว
เรียกว่าเป็นครูสอนได้แล้ว” หลวงปู่ท่านกล่าว

การศึกษาของหลวงปู่โทนนั้น ท่านเล่าว่าต้องศึกษาด้วยการท่องจำทั้งหมด
มิใช่อ่านผ่านไปเฉยๆ ฉะนั้นเมื่อท่านศึกษาวิชาอะไร
ท่านจึงมีวิชาอย่างมั่นคงและใช้วิชาที่ได้ศึกษามาอย่างได้ผล

“เมื่อศึกษาจบ เขาก็เอามาเป็นครูสอน
โดยหลวงปู่สีดาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ตั้งเงินเดือนให้เดือนละ ๑๐ บาทเท่านั้น”

หลวงปู่ท่านกล่าว
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 11:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เสี่ยงทายได้พระโทน

ในสมัยที่หลวงปู่โทนบวชพระได้หนึ่งพรรษานั้น
ท่านเล่าว่าได้รับนิมนต์ไปประกอบศาสนกิจ ณ พระอุโบสถวัดป่าใหญ่
ร่วมกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่รวมทั้งหมด ๑๓ รูป โดยหลวงปู่โทนท่านนั่งเป็นองค์สุดท้าย

ระหว่างนั้นได้มีพระสุราษฎร์ภักดี รองเจ้าเมืองอุบลฯ ในสมัยนั้น
ได้มาทำบุญถวายเครื่องสังฆทาน ซึ่งเป็นอัฐบริขารกองใหญ่และได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

“ข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรธิดาได้นำเครื่องสังฆทานอันสมบูรณ์และบริบูรณ์ทั้งหลายเหล่านี้
ขอถวายแด่พระคุณเจ้าผู้วิเศษ ถ้าหากข้าพเจ้าจะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขึ้น
ก็ขอให้ถูกพระภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิปทาและจริยวัตรอันงดงาม และเจริญด้วยธรรมเทอญ”


พออธิษฐานเสร็จพระสุราษฎร์ภักดีก็ได้ทำสลาก
ให้พระคุณเจ้าทั้ง ๑๓ รูปจับเพื่อเป็นการเสี่ยงทาย
คือให้จับสลากได้ใบเดียว ถ้าพระคุณเจ้ารูปใดได้ก็จะถวายให้พระรูปนั้น

พระภิกษุที่ไปร่วมพิธีในวันนั้น
ล้วนแต่มีพรรษามากตั้งแต่ ๔๐ พรรษาลงมาจนถึง ๑ พรรษา

ปรากฏว่าผู้ที่จับสลากเครื่องสังฆทานจากพระสุราษฎร์ภักดีได้ คือ พระภิกษุโทน
ผู้มีเพียงหนึ่งพรรษาและนั่งอยู่ปลายแถวสุดนั่นเอง

ทำให้พระสุราษฎร์ภักดีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
และได้รับการปลอบใจจากภรรยาซึ่งเป็นคนจีนทางภาคกลาง แต่มาอยู่เมืองอุบลฯ นาน
ภรรยาของพระสุราษฎร์ภักดีได้มาปลอบขวัญว่า

“ไม่เป็นไรหรอก คุณพระ ไม่ต้องเสียใจเพราะเรามีเจตนาดีแล้ว
เพราะพระองค์นี้จะเป็นผู้รักษาศาสนาให้เจริญสืบต่อไป”

คุณพระจึงได้หันไปถามพระโทนว่า “อยู่ไหน”

พระโทนก็ตอบไปว่า “อยู่บ้านสะพือ อำเภอตระการพืชผล”

คุณพระได้ถามต่อไปว่า “มาเรียนอะไร”

พระโทนก็เจริญพรว่า “มาเรียนมูลกัจจายน์ ซึ่งขณะนี้ได้เรียนจบแล้ว
กำลังเรียน ป.๓ และนักธรรมอยู่”

ในปีต่อมาปรากฏว่า พระสุราษฎร์ภักดีก็ได้รับพระราชทาน
เลื่อนยศขึ้นเป็น “พระยาปทุมเทพภักดี” ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว

และจากมูลเหตุดังกล่าวนั้นเอง
ทำให้พระสุราษฎร์ภักดีบังเกิดความเคารพศรัทธาในพระโทน ถึงกับอุทานว่า

“ไม่คิดเลยว่าการได้ทำบุญกุศลกับท่านจะได้รับอานิสงส์ถึงเพียงนี้”

พูดจบได้ถวายเงินให้พระโทนไป ๕ บาท
พร้อมกับกล่าวขอโทษกับท่านที่ได้เข้าใจผิด
ซึ่งหลวงปู่ก็ไม่ติดใจอะไร เพราะท่านเป็นพระสงฆ์ย่อมมีเมตตาธรรมอยู่แล้ว

“คนเราอยู่ที่วาสนาบารมีที่ได้กระทำมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ซึ่งการสร้างความดีย่อมได้ผลแห่งความดีเป็นเครื่องตอบแทน
เพราะชีวิตเหมือนความฝัน สิ่งสำคัญคือความดี”
หลวงปู่ท่านกล่าว
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 11:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตั้งเป็นเจ้าอาวาส

ขณะที่หลวงปู่โทนท่านมีอายุพรรษาได้ ๘ พรรษานั้น
ได้มี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)
ออกตรวจตราความเป็นปึกแผ่นของพระพุทธศาสนา
และท่านได้ไปเห็นสภาพของวัดบูรพาซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ แต่ขาดผู้บริหาร
คือไม่มีเจ้าอาวาสรักษาการอยู่ท่านจึงได้ให้หลวงปู่โทนมาเป็นเจ้าอาวาส

“สมเด็จอ้วนท่านจับให้เป็นเจ้าอาวาสเลย
ท่านประทับตราแต่งตั้งให้ไม่ให้ไปไหน
ให้อยู่บูรณะวัดเก่าคือวัดบูรพาแห่งนี้ต่อไป”



คลิกอ่าน ประวัติและปฏิปทาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22704


วัดบูรพา เป็นวัดเก่าแก่ สร้างเมื่อ พ.ศ. ใด และใครเป็นผู้สร้าง ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
บริเวณวัดในปัจจุบันประมาณ ๘ ไร่เศษ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านสะพือ
มีชาวบ้านประมาณ ๑,๐๐๐ หลังคาเรือน

สันนิษฐานว่าตั้งทีหลังวัดสิงหาญ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านสะพือ
เพราะหมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่ ๒ วัด เป็นวัดเก่าแก่ทั้งคู่
ซึ่งเชื่อว่าสร้างมาพร้อมกับหมู่บ้านอย่างแน่นอน
แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดลงไปให้กระจ่างแจ้ง


สำเร็จลุนมรณภาพ

หลวงปู่โทนได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบูรพา บ้านสะพือ เป็นองค์ที่ ๒๐
ซึ่งเป็นปีที่สำเร็จลุน เทพเจ้าของชาวไทย-ลาว
พระอาจารย์ที่มีวิทยาคมสูงเป็นที่ยอมรับนับถือของหมู่ศิษย์ว่า
ท่านมีวิชาตัวเบา และมีความสามารถพิเศษเหาะเหินเดินอากาศได้
พร้อมทั้งย่นระยะทางได้ด้วย
ท่านได้ถึงแก่กาลมรณภาพลงที่เวินไซ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว

การมรณภาพของสำเร็จลุนยังความเศร้าโศกเสียใจแก่หมู่ศิษยานุศิษย์
และประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงเป็นอย่างยิ่ง
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 11:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศิษย์ร่วมอาจารย์



หลวงปู่สำเร็จลุนท่านมีลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่าน
คือ สำเร็จตัน หลวงปู่แพง วัดสิงหาญ พระอาจารย์ตู๋ วัดขุลุ
หลวงปู่สีดา (พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่โทน)
หลวงปู่มั่น (แม่ทัพธรรมผู้มีศิษย์ทั่วประเทศ) และหลวงปู่โทน กนฺตสีโล

เมื่อสำเร็จลุนท่านมรณภาพลง
คณะศิษย์ของท่านดังกล่าวได้ร่วมกันทำการฌาปนกิจ
ผู้เป็นอาจารย์ของตนที่บ้านเวินไซ
ซึ่งหลวงปู่โทนก็ได้ไปในงานของบรมครูของท่านด้วย


มรดกสำเร็จลุน

สำหรับหลวงปู่โทนนั้นนับว่าเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดมาก
ทั้งยังได้รับความรักเป็นพิเศษจากสำเร็จลุน

ซึ่งจะเห็นได้จาก ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้น ท่านได้สั่งเอาไว้ว่า

“ถ้าอาตมามรณภาพไปแล้ว ขอให้เก็บไม้เท้าเอาไว้ให้ดีอย่าให้หาย”

“ไม้เท้าของสำเร็จลุนมีลักษณะอย่างไรครับ” ผู้เขียนเอ่ยถามหลวงปู่

“ลักษณะของไม้เท้าเป็นไม้แก่นที่ปลายเป็นงา”

“ตอนนี้อยู่กับหลวงปู่หรือเปล่าครับ”

“ไม่อยู่ เขาขอไปไว้บูชา”

“ใครขอไปครับ”

“โยมที่อุบลฯ เจ้าของร้านทองย่งเฮง”

“ทำไมหลวงปู่ให้เขาไปล่ะครับ ไม่เสียดายหรือ”

“เขาบอกขอบูชาเอาไว้เพราะป้องกันภัย ประเดี๋ยวเขาก็เอามาคืน”



หลวงปู่โทนท่านไม่ยินดียินร้ายต่อลาภสักการะใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านมุ่งปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แม้ทางคณะสงฆ์จะแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอ
ท่านก็ได้ปฏิเสธไป เพราะท่านชอบอยู่อย่างเงียบๆ

“อาตมาไม่มีเวลาที่จะไปทำงานให้คณะสงฆ์เขาหรอก
ขออยู่อย่างสงบๆ ดีกว่า เพราะเคยอยู่มาอย่างนี้ถูกกับจริตดี”



อุบายสอนศิษย์

หลวงปู่โทนท่านได้เล่าถึงเรื่องสำเร็จตันมาปรึกษาท่านว่าจะขอลาสึก
ซึ่งท่านก็ให้กำลังใจว่า

“อายุปูนนี้แล้วจะสึกไปทำไม สึกไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร
ตอนนั้นสำเร็จตันท่านมีอายุร่วม ๓๐-๔๐ แล้ว อาตมาก็ได้ห้ามไม่เห็นดีด้วย”

ต่อมาความทราบไปถึงหลวงปู่สีดา ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ใหญ่
ท่านก็ชักชวนสำเร็จตันเข้าไปในป่าเพื่อหาความสงบ
เป็นการขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงไป
เพราะในป่าเป็นที่ไม่มีสิ่งเย้ายวนให้เกิดกิเลส มีแต่ธรรมชาติให้ได้เห็น

“อุบายของพระอุปัชฌาย์ได้ผล เพราะพอออกจากป่า ก็ไม่คิดอยากจะสึก
จึงทำให้สำเร็จตันอยู่ครองสมณเพศจนกระทั่งมรณภาพในที่สุด”

หลวงปู่โทนท่านกล่าว

หลวงปู่สีดาท่านมีอุบายแปลกๆ ให้กับบรรดาลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอ
เมื่อใครชอบอะไร ท่านก็จะให้เลือกตามจริตของพระรูปนั้นๆ

เช่น บางองค์ก็ชอบอยู่วัดป่า แต่บางรูปก็ชอบอยู่วัดบ้าน
แต่การปฏิบัติก็ให้ยึดถือหลักปฏิบัติของครูบาอาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอนมา
“ใครจะชอบอะไรท่านไม่ว่า แต่อย่าให้ผิดศีลธรรม
คือใครจะอยู่วัดหรืออยู่ป่าก็ได้ ขอเพียงให้ปฏิบัติเคร่งอย่างเดียว”
หลวงปู่กล่าว


เห็นว่าเลื่อมใสจึงได้อยู่

หลวงปู่โทนเล่าว่า หลวงปู่สีดา ท่านเดินธุดงค์มาจากนครพนมเข้ายโสธร
ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นตำบลเล็กๆ อยู่ จนกระทั่งเดินธุดงค์มาถึงจังหวัดอุบลราชธานี
และมุ่งไปยังอำเภอตระการพืชผลเพื่อจะข้ามไปฝั่งลาว

เมื่อมาถึงบ้านสะพือ ชาวบ้านนิมนต์ท่านไว้ให้อยู่จำพรรษา
เพราะไม่มีพระเณรอยู่เลย ท่านจึงอยู่ตามคำนิมนต์

ต่อมาท่านได้เห็นขนบธรรมเนียมของชาวบ้าน
เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
ท่านจึงไม่คิดจะไปอยู่ที่อื่น เพราะชาวบ้านก็เคารพนับถือท่านมาก

ในที่สุดหลวงปู่สีดาจึงได้ปักหลักอยู่ที่วัดสิงหาญ บ้านสะพือ
ซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่ที่อยู่ใกล้กับแก่งสะพือ
อันเป็นหนองน้ำใหญ่เหมือนกับหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
                                                                                       

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 11:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่มาของสะพือ

หลวงปู่โทนเล่าว่า แก่งสะพือ กับบ้านสะพือนั้นอยู่คนละที่กัน
แต่อยู่ในเขตเดียวกัน และมีความเชื่อมโยงกันมาแต่อดีต

ในสมัยก่อนนั้นได้มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานสืบกันมาว่า
สาเหตุที่เรียกพะพือ หรือ สะพือนี้ มีเรื่องเล่าว่า
ได้มีพ่อค้าเรือสำเภาจำนวน ๗๐๐ คน ล่องเรือไปตามมหาสมุทร

แต่พอล่องเรือไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น เรือสำเภาก็แตก
น้ำได้พุ่งขึ้นมาบนเรือ ทำให้พวกพ่อค้าที่อยู่บนเรือต่างก็กลัวความตายกัน
ต่างคนต่างก็วุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะโกลาหลไปหมด

บางคนก็ยกมือกราบไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ
บางคนก็กล่าวบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ให้มาช่วยเหลือในยามคับขันเช่นนั้น

ในจำนวนพ่อค้าทั้ง ๗๐๐ คนนั้น ได้มีอยู่คนหนึ่ง
ซึ่งก่อนที่เขาจะลงเรือล่องมาตามมหาสมุทร เขาได้รับศีล ๕ จากพระสงฆ์ก่อน
และได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้าว่าจะขอตั้งตนอยู่ในกรอบของพระไตรสรณคมน์
คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

พูดง่ายๆ ก็คือเขาจะขอยึดเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทุกลมหายใจ ไม่คิดเป็นอย่างอื่น

เมื่อเรือสำเภาแตก พ่อค้าผู้มุ่งมั่นอยู่ในศีลธรรม
เขาก็ตั้งจิตตั้งใจเจริญภาวนา
พิจารณาซึ่งศีลและทานที่เขาได้เคยกระทำมา
อย่างไม่สะทกสะท้านและกระวนกระวายใจเหมือนเช่นคนอื่นๆ


เหตุเพราะใจเป็นศีล

ในบรรดาพ่อค้าด้วยกัน เมื่อมองเห็นอากัปกิริยาของพ่อค้าคนนั้น
ไม่มีความเดือดร้อนอะไรเมื่อภัยมาเช่นนั้น เขาจึงเอ่ยถามไปว่า

“เป็นเพราะอะไรท่านจึงไม่กลัวความตาย”

พ่อค้าคนนั้นก็ตอบเพื่อนพ่อค้าด้วยกันว่า

“เป็นเพราะเรามีจิตใจบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในศีล ๕ ประการ
ถึงแม้จะตายไปก็คงจะไปสู่ชั้นเทวโลก
ฉะนั้น เราจึงไม่หวั่นต่อภัยที่กำลังเกิดขึ้น”


พ่อค้าในเรือสำเภาสงสัยจึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า

“ศีล ๕ นั้นเราจะรักษากันอย่างไร ช่วยแนะนำด้วย”

พ่อค้าผู้มีศีล ๕ ก็ตอบเพื่อนพ่อค้าในเรือสำเภาที่แตกว่า

“รักษาได้ ถ้าหากตั้งใจจริง”

พูดจบพ่อค้าผู้มีศีลจึงได้แนะนำให้ทุกคนรับศีลจากเขา
และได้จัดคนทั้งหลายเป็น ๗ พวกด้วยกัน
คือจัดให้รวมกลุ่มเป็นพวกๆ ละ ๑๐๐ คนคือ

พวกที่ ๑ เมื่อรับศีล ๕ แล้ว น้ำได้ท่วมขึ้นมาเพียงข้อเท้าเท่านั้น

พวกที่ ๒ เมื่อได้รับศีล ๕ แล้ว น้ำได้ท่วมขึ้นมาเพียงเข่า

พวกที่ ๓ เมื่อรับศีล ๕ แล้วน้ำได้ท่วมขึ้นมาเพียงต้นขาเท่านั้น

พวกที่ ๔ เมื่อรับศีล ๕ แล้วน้ำได้ท่วมขึ้นมาเพียงบั้นเอว

พวกที่ ๕ เมื่อรับศีล ๕ แล้วน้ำได้ท่วมขึ้นมาเพียงหน้าอก

พวกที่ ๖ เมื่อรับศีล ๕ แล้วน้ำได้ท่วมขึ้นมาถึงคอ

พวกที่ ๗ เมื่อรับศีล ๕ จากผู้มีศีลแล้ว น้ำทะเลได้ท่วมสูงขึ้นแค่ปาก

เมื่อพ่อค้าทั้ง ๗๐๐ คนได้รับศีลแล้ว
พ่อค้าผู้มีศีลอยู่ก่อนแล้วก็ตั้งตนเป็นอาจารย์ และได้ประกาศออกไปว่า

“ศีล ๕ นี้เป็นที่พึ่งของเรา ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเป็นที่พึ่งแล้ว
ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศีลกันเถิด”


หลังจากจบคำประกาศแล้วก็ได้พากันจมลงไปยังก้นมหาสมุทรในทันที
และเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดอยู่ในชั้นสวรรค์พร้อมกันทั้งหมด

ทั้งนี้เป็นเพราะอานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ เมื่อใกล้จะถึงเวลาตายเท่านั้น
ซึ่งถ้าเราได้ปฏิบัติกันก่อนก็จะยิ่งดีใหญ่
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้