ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 33712
ตอบกลับ: 22
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~

[คัดลอกลิงก์]

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี

กำเนิด

หลวงปู่ท่านเกิดวันพุธ  เดือน 4 ปีกุน  อายุ 90 ปี 46 พรรษา  ถิ่นกำเนิดบ้านหนองบัว  แขวงคำม่วง  ประเทศลาว  บิดาชื่อคุณพ่อคินทะโนราช  มารดาชื่อคุณแม่นุ่น  มีพี่น้อง 5 คน  หลวงปู่เป็นคนที่ 3 ปัจจุบันได้เสียชีวิตหมดแล้ว

ชีวิตการครองเรือน

เมื่ออายุได้ 18 ปี  มีครอบครัว มีบุตรด้วยกัน 2 คน  เริ่มแรกทำงานเป็นหัวหน้ากรมโยธา  ทำอยู่ได้ 8 ปี  ก็เกิดเบื่อหน่ายหันมายึดอาชีพค้าขายประมาณ 6 ปี  ท่านเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตของท่านตั้งแต่เล็กเคยอยู่กับพ่อแม่พี่น้องได้รับทั้งความอบอุ่น  ความรัก  จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่มต้องออกมาต่อสู้กับโลกภายนอก  และความรับผิดชอบหน้าที่การงาน  ให้ความสุขเลี้ยงดูบุตรและภรรยา  เห็นชีวิตนี้ไม่มีความแน่นอน  เกิดเบื่อชีวิตคิดจะบวชเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา  ท่านจึงได้ไปปรึกษาภรรยาจะขอบวชเป็นเณรสัก 7 วัน  ภรรยาก็เห็นดีเห็นงามตกลงให้ท่านบวชทดแทนคุณพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงดูมา  ในระหว่างที่ท่านบวชเณรอยู่คืนหนึ่งท่านฝันไปว่าเห็นมารดามาบอกว่าอย่าได้สึกเลย  เพราะว่ามารดาที่ตายไปนั้นไปถูกจ่านิรยบาลคุมขังเอาไว้ได้รับความทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน  เพิ่งจะได้รับการพ้นทุกข์เพราะอานิสงส์ของการบวชเณรของลูกในคราวนี้เอง  ท่านตกใจตื่นนอนคิดทบทวนความฝันนั้นแล้วก็สังเวชสงสารมารดา  คิดในใจว่าจะบวชต่อไปอีก  แต่ภรรยากลับหาว่าท่านคิดเอาตัวรอดผู้เดียว  ไม่ยอมรับผิดชอบต่อครอบครัว  ซึ่งลูก ๆ ก็ยังเล็กอยู่  ท่านพยายามหาทางออกทุกอย่างโดยพูดกับภรรยาว่าจะหาสามีให้ใหม่  ทั้งสองตกลงกันไม่ได้ผลสุดท้ายท่านหมดหนทาง  เพราะทนการอ้อนวอนขอร้องจากภรรยาที่คอยติดตามไม่ไหวท่านจึงตัดสินใจสึกจากเณรมาทำมาหากิน  ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวอีกวาระหนึ่ง  แต่ถึงกระนั้นความตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรธรรมของท่านหาได้มีลดละความพยายามไม่

หลังจากท่านไปทำงานหาเงินทองเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว  ท่านจะมานอนที่วัดปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นประจำ  บ้านเรือนของท่านที่เคยอาศัยอยู่ก็ปล่อยให้ภรรยาและลูก ๆ อยู่กัน  เงินทองที่หาได้มาก็ส่งเสียเลี้ยงดูไม่ได้ให้ขาดแคลนเดือดร้อนอะไร  จนกระทั่งลูก ๆ ได้เติบโตพอที่จะช่วยแม่ทำงานทำการได้  เหตุนี้เองทำให้ภรรยาท่านเกิดควมเบื่อหน่ายหมดอาลัยตายอยากในตัวท่าน  จึงได้เอ่ยปากบอกกับท่าน  เมื่ออยากจะบวชก็ไป  ไม่ต้องมาห่วงทางครอบครัว  ลูก ๆ ก็โตแล้ว  พอจะช่วยทำงานทำการได้  ท่านจึงตัดสินใจไปบวชด้วยความหมดห่วงหมดใย

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชีวิตเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรธรรม

            หลังจากได้ตกลงใจจะบวชในครั้งที่สองนี้  ท่านก็ได้เป็นโยมอยู่ที่วัดอาจารย์สีทัดที่เมืองท่าอุเทน
กับเพื่อนอีก 2 คน  แต่แล้วก็ผิดหวัง  เพราะอาจารย์สีทัดกลับปฏิเสธ  ไม่ยอมรับเป็นศิษย์แต่กลับแนะนำให้เดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย  ท่านและเพื่อนร่วมเดินทางจึงกราบลาอาจารย์สีทัดเดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย ตามคำแนะนำ

                    พบอาจารย์เหม่ย  ผู้ทรงคุณวิชาอันแก่กล้า
                    

       เมื่อถึงที่อยู่ท่านอาจารย์เหม่ย  ท่านและเพื่อนทั้งสองก็เข้าไปกราบนมัสการกราบเรียนขอถวายตัวเป็นศิษย์  เล่าความเป็นมาให้ท่านอาจารย์เหม่ยทราบโดยตลอด  เมื่อท่านอาจารย์เหม่ยฟังความก็กล่าวว่า

                          “  ได้  ถ้าจะมาเป็นศิษย์  แต่ว่าพวกเจ้าที่มาหาอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะต้องตายหนึ่งคน  มีใครกลัวตายไหม”

                  อาจารย์เหม่ยกล่าว  แล้วถามไปทีละคน  ปรากฏว่าเพื่อนทั้งสองที่มา  บอกว่ากลัวตายกัน  แต่หลวงปู่คำคนิงนิ่งเงียบไม่ตอบ  ท่านอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า

       “ แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวตายหรือ  ”
                           “ ไม่กลัวตาย ”  ท่านตอบ
                    

       ผลสุดท้ายเพื่อนที่มาด้วยกันสองคนถูกอาจารย์เหม่ยไล่กลับไม่รับเป็นศิษย์  ต่อมา  ก็มีโยมมาอยู่ร่วมอีกคนหนึ่ง  โยมคนนี้ไม่กลัวตายเหมือนกันกับหลวงปู่คำคนิง  ก็ได้อยู่ร่วมเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกัน  พระอาจารย์เหม่ยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนธรรมสมาธิกันอย่างหนัก  แม้เวลาจะนอนก็ไม่ให้หลับ  โดยให้ลูกมะพร้าวเป็นหมอนหนุนหัวแทน  ทั้งสองก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สั่งทุกอย่าง  การเพียรธรรมของศิษย์อาจารย์เหม่ยนี้ต้องลำบาก  แม้เวลาจะกินข้าวก็มีแต่ข้าวตากแห้งประทังชีวิตไปเท่านั้นการหลับนอนพักผ่อนก็น้อยร่างกายสังขารทนไม่ไหวในที่สุดเพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์สำนักเดียวกันต้องเอาชีวิตมาทิ้งในขณะนั่งทำสมาธิ

อาจารย์เหม่ยสอนอสุภกรรมฐาน
                    

         เมื่ออาจารย์เหม่ยทราบข่าวว่า  ลูกศิษย์อีกคนได้เสียชีวิตแล้ว  ขณะนั่งสมาธิ  จึงได้สั่งให้หลวงปู่คำคนิงนำศพไปในป่า  เดินข้ามเขาอีกลูกหนึ่งแล้วเอาศพนั้นไปผูกมัดไว้ในลักษณะท่ายืนติดกับต้นไม้  แล้วสั่งให้หลวงปู่เดินรอบต้นไม้ที่ศพมัดติดอยู่  โดยให้เพ่งศพไปด้วยตลอดวันตลอดคืนแต่ผู้เดียว
                            รุ่งเช้าหลวงปู่ท่านกลับมาหาอาจารย์  อาจารย์ก็ถามว่าเป็นยังไงท่านตอบว่าศพที่ตายไปนั้นเหมือนกับตัวท่านเอง  ไม่มีอะไรแตกต่างกันตรงไหน  อาจารย์เหม่ยถามอีกว่า

  “กลัวไหม”
                    ท่านก็ตอบว่า “ไม่กลัว เพราะเขาก็เหมือนเรา  เราก็เหมือนเขา”
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คราวนี้อาจารย์เหม่ยสั่งให้หลวงปู่ท่านเอามีดไปที่ศพมัดอยู่พร้อมกับสั่งให้ท่านแก้ศพที่มัดติดยืน 1 คืนออกจากต้นไม้  เอานอนลงกับพื้นดินให้หลวงปู่เอามีดผ่าท้องแล้วสั่งให้หลวงปู่  หยิบอวัยวะทุกชิ้นส่วนในร่างกายออกมาดู  แต่ละชิ้นขณะที่หลวงปู่หยิบหัวใจก็ดี  ตับก็ดี  ปอดก็ดี  ให้พูดเสียงดัง ๆ ด้วยว่าเป็นอะไร  แล้วนำไปกองรวมกันอีกมุมหนึ่ง  จนกระทั่งครบทุกอย่าง  แล้วทำการลอกเนื้อหนังทุกส่วนออกเช่นเดียวกัน  ให้นำไปเผาไฟ  คงเหลือไว้แต่กระดูก  จึงสั่งให้ท่านนำกระดูกไปต้มล้างให้สะอาด  แล้วนำกระดูกทั้งหมดมาร้อยด้ายเป็นโครงกระดูก  สั่งให้หลวงปู่นับด้วยว่ามีกี่ท่อน  ปรากฎว่าเมื่อหลวงปู่นำเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาร้อยด้ายจนครบหมดก็นับได้ 180 ท่อน
                     
                  ท่านอาจารย์เหม่ยจึงกล่าวว่าคนที่จะมาเพียรธรรมให้บรรลุนั้น  จะต้องมีกระดูกครบ 300 ท่อน  อาจารย์ก็สอนธรรมไปในขณะหลวงปู่ร้อยกระดูก  กระดูกคือพระวินัย  เนื้อหนังคือ  พระวินอกระเบียบ  คือ หู  ตา  จมูก  ปาก  มือ  เท้า

       หูไม่ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ตาไม่ให้เห็นทั้งรูปและนามในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ปากห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี  ใจให้ระลึกชอบ  ต้องคิดชอบ  ปฏิบัติชอบ  อยู่ชอบ  กินชอบ  วาจาชอบ  นอนชอบ  ให้ถูกต้องตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้  หลวงปู่ได้รับการสั่งสอนอบรมฝึกฝนเคร่งครัด  และเว้นความชั่วทุกประการ

         การทำความเพียรของหลวงปู่มีจิตใจกล้าหาญ  กล้าเสี่ยงความตายสร้างพลังจิต  กระทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐานคือการเดินลมเข้าออกภาวนาพุทโธนั้นเอง  การฝึกจิตต้องฝึกอานาปานสติก่อน  เพราะเป็นกรรมฐานกองใหญ่และยากที่สุดในกรรมฐาน 40 กอง  หลวงปู่กล่าวว่าจะเพ่งกสิน 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 และอาหาเรปฏิกูลสัญญา  จตุธาตุวัฎฐานหรืออะไรก็ตาม  ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยไม่มีทางจะได้ผล  หลวงปู่คำคนิงมักจะบำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง  จนร่างกายชินเป็นธรรมดาไป  ร่างกายไม่อ่อนเพลียหิวโหยแต่อย่างใด
  
        หลวงปู่คำคนิงให้คำอรรถาธิบายว่า  ก่อนเข้าสมาธิภาวนาจะต้องกำหนดอธิษฐานไว้ก่อนว่า  จะเข้าสมาธิระดับฌานที่ 1 ถึงฌาน 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน  เมื่อกำหนดได้แล้วก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ  จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความพิจารณาได้  แล้วก็น้อมจิตอธิษฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วัน  หรือ 15 วัน  ก็อธิษฐานลงไปเลย  พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไปเป็นการทรมานตัว  หลวงปู่คำคนิงบอกว่า  เมื่อเข้าสมาธิลึกถึงขั้นอัปปนาฌานที่ 4 จะเลยขึ้นอรูปฌานก็ได้  แต่ต้องชำนาญฌาน 4 ก่อนเพียงแต่ว่าเพิกกสิณให้หายไปเสียแล้วยกเอาอรูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณาคือ

                    1. อากาสานัญจายตนะ
                    2. วิญญาณัญจายตนะ
                    3. อากิญจัญญายตนะ
                    4. เนวสัญญานาวัญญายตนะ
                              
        ทั้งหมดนี้เรียกว่าอรูปสมาบัติ  หรือสมาบัติ 8 ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจพลังจิตมหาศาลและมักจะได้  อภิญญา 5 ด้วย  ผู้ที่ได้สมาบัติ  8 แล้ว  ถ้าเจริญวิปัสสนาสืบต่อ  ใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็น พระอรหันต์  แต่หลวงปู่คำคนิงท่านปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในร่องรอยพระพุทธศาสนา
                  
     หลวงปู่ท่านเพียรธรรมกับอาจารย์เหม่ยจนแก่กล้า  และชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง  ท่านอาจารย์เหม่ยก็อนุญาตให้หลวงปู่เข้าป่า  เดินธุดงค์ตามลำพังแต่ผู้เดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมา  ถึงแม้กระนั้นหลวงปู่ท่านก็ยังไม่รู้ตัวว่าท่านได้ธรรมท่านก็ยังอุตส่าห์เที่ยวเดินธุดงค์ค้นหาครูบาอาจารย์  เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม  เพื่อจะได้พบโมกขธรรมแห่งการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เดินทางธุดงค์พบนาคกระเสน

เมื่อหลวงปู่คำคนิงออกเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาไปทางด้านเหนือของประเทศลาวเป็นเวลาแรมปี  จนกระทั่งพบดาบสผู้หนึ่งให้คำแนะนำไปหาพระนาคกระเสน  ซึ่งอยู่ในอุโมงค์บนเทือกเขา (พระนาคกระเสนนี้เห็นหลวงปู่บอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา  เป็นพระอรหันต์ลงมาโปรด)  ครั้งหลวงปู่คำคนิงไปถึง  ก็เข้าไปตามอุโมงค์นั้น  พอไปได้แค่ครึ่งทางก็พบพระนาคกระเสนพระนาคกระเสนจึงได้ถามการมาของหลวงปู่คำคนิง  ท่านก็ตอบพระนาคกระเสนว่าต้องการมาหาโมกขธรรม  พระนาคกระเสนจึงบได้ให้พระคำภีร์แผ่นทองคำแก่หลวงปู่  โดยได้สั่งให้หลวงปู่นำแผ่นทองคำพระคัมภีร์ของพระนาคกระเสนนี้ไปคัดลอกใส่ใบลานตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้แล้วให้หลวงปู่นำเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์นั้นกลับมาคืน

                           เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้กลับเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์ไปคืนพระนาคกระเสนแล้ว  ก็ได้ถามหลวงปู่คำคนิงว่า

        “ ท่านจะไปไหนต่อ ”
        “ จะไปหาโมกขธรรม ”    หลวงปู่ท่านก็ตอบ

                            พระนาคกระเสนจึงตอบว่า “โมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าแล้ว  เจ้ารู้ตัวไหม” แต่หลวงปู่คำคนิงกลับไม่เชื่อในคำบอกเล่า  หาว่าพระนาคกระเสนพูดโกหก
                                       
            ดังนั้น  หลวงปู่จึงถูกพระนาคกระเสนด่าว่าต่าง ๆ ที่ไม่เชื่อพระนาคกระเสน  เลยบอกว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าโมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าละก็  จงเดินไปตายเสีย  แล้วพระนาคกระเสนก็ขับไล่ไม่ให้อยู่ออกจากที่นั้นทันทีทันใด   หลวงปู่เกิดความเสียใจ  คิดจะไปตายไม่ว่าจะเดินเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย  ก็จะไม่ยอมให้ผู้คนเห็นหน้า  หลวงปู่เดินธุดงค์อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง  หวังเบื้องหน้าเป็นที่ตาย  จนถึงเชียงค้อ  เชียงคาน  เชียงราย  เชียงแสน  จนกระทั่งเชียงแมน  ถึงเขตเชียงตุงในป่าทึบใหญ่
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่คำคนิง แสดงฤทธิ์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค



      เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านเข้าเขตเชียงตุงในเขตป่าใหญ่เทือกเขาแห่งหนึ่งเป็นภูเขาคิน  มีอุโมงค์พอที่จะเป็นที่พักพิง  หลวงปู่ท่านจึงคิดในใจว่าจะเอาที่ตรงนี้เป็นที่ตายโดยจะไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ซากศพของท่านเอง  หลวงปู่ท่านได้อยู่มาถึงหนึ่งพรรษา  หลังจากผ่านไปประมาณเดือนห้าหรือเดือนหก  หลวงพ่อปานวัดบางนมโค  อำเภอเสนา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พาคณะธุดงค์ผ่านมาในเขตเชียงตุง  มาพบหลวงปู่คำคนิงในป่าลึก

         ครั้นเมื่อพบกัน  หลวงพ่อปานก็พูดขึ้นว่า
         “ เออ...นี้พระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงได้ยิน  ก็เกิดโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที  แล้วพูดขึ้นว่า
         “ ได้พระนะมันอยู่ที่ไหน  เฮ้ย...พระมันอยู่ที่ไหนวะ ”
หลวงพ่อปานท่านก็ย้อนตอบว่า
         “ อ้าว...ก็เห็นผมยาว  ผ้าก็อีหรุปุปะสีเหลืองก็ไม่มี  แล้วใครเขาจะรู้ว่าพระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า
         “ พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ”  หลวงพ่อปานตอบว่า  ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อว่า
        “ พระมันอยู่ที่ผ้าเหลืองหรือวะ ”  หลวงพ่อปานตอบว่า  ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงก็ถามอีกว่า
       “ แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า ”
หลวงพ่อปานก็ตอบว่า
        “ พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาดนะซี ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็เลยหันมาตะคอกเข้าใส่เอาว่า
        “ ถ้าอย่างนั้นก็เสือกถามทำไมล่ะวะพระหรือคน ”
หลวงพ่อปานท่านก็เลยตอกกลับให้ว่า
        “ เห็นผมเผ้ายาวรุงรังอย่างนั้นนี่ใครจะไปรู้เล่า ”
หลวงปู่คำคนิงก็ยังไม่หายโมโห  เลยกระแทกให้ว่า
        “ ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม  ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้ว  เสือกมาถามทำไม  ทำไมไม่ดูใจคน  ไอ้พระบ้านพระเมือง  พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดีมันจะต้องเห็นดีกัน ”

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่คำคนิงพูดจบ  ท่านเดือดโมโหจัดก็เลยหันไปคว้าเอาหวายอันยาวร่วมวา  ขว้างผลุงไปตรงหน้าหลวงพ่อปาน      อัศจรรย์เป็นที่สุด  ไม้หายไปกลายเป็นงูตัวยาวใหญ่พุ่งฉกเข้าหากลุ่มพระธุดงค์หลวงพ่อปานแตกฮือหลบฉากไปแอบอยู่ข้างหลังพ่อปานกันหมด  ต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กันไม้ไหงกลายเป็นงู

      อัศจรรย์มาก  ใบไม้ของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเอางูของหลวงปู่คำคนิงหายไปทั้งงูแลนกใหญ่  พองูตกลงมาถึงพื้นดินงูนั้นก็กลายเป็นช้างใหญ่  ส่วนของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นเสือต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างก็บันดาลให้เป็นสัตว์ร้าย  ต่อสู้กันเต็มไปหมด  ยังไม่มีใครแพ้  ชนะ  ต่างคนต่างบันดาลลมพายุฝนเข้ากระหน่ำกันจนทำให้ฝุ่นตลบไปหมดในบริเวณนั้น  เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน  ก็หามีใครแพ้ชนะไม่  จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อน  ทำอะไรกันไม่ได้

      ในที่สุดหลวงปู่คำคนิงและหลวงพ่อปานต่างก็นั่งลงหัวเราะกันด้วยความขบขัน  หลังจากนั้นหลวงปู่คำคนิงก็บอกคณะธุดงค์ของพ่อปานว่าข้าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน  พระธุดงค์ลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบหลวงพ่อคำคนิง  ท่านก็เอามือลูบศรีษะพระทุกองค์ด้วยความเมตตา  หลวงพ่อปานก็บอกกับหลวงปู่คำคนิง  ว่าพระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริงก็เลยพาเขามาให้เห็นเสีย  พระพวกนี้เขาก็เป็นคนจริงเสียด้วย

      หลวงปู่คำคนิงก็เลยบอกว่า  ข้าน่ะไม่ได้เก่งอะไรหรอก  อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว  เมื่อพูดจบหลวงพ่อปานก็บอกว่าตัวท่านเองไม่เก่งหรอกสู้หลวงปู่คำคนิงไม่ได้  ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม  ให้ใครเป็นอาจารย์กันผลสุดท้ายตกลงเป็นเพื่อนกันในระหว่างพักแรมด้วยกัน  ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบถามธรรมะแก่กันทั้งฝ่ายถามฝ่ายแก้ก็หาได้แพ้ชนะกันไม่  สลับถามตอบกันไปกันมา  จนต่างฝ่ายเลิกถามกันไปเอง  หลวงพ่อปานและคณะธุดงค์ได้พักอยู่กับหลวงปู่คำคนิงหลายวันพอสมควร  จึงได้แยกย้ายจากกัน

         พบพระนาคกระเสนครั้งที่สอง

       หลวงปู่คำคนิงหลังจากได้แยกย้ายกับหลวงพ่อปานที่เชียงตุงแล้วท่านก็ออกเดินธุดงค์ลงมาทางใต้  ผ่านป่าเขาลำเนาไพรเป็นเวลาแรมเดือนจนกระทั่งมาถึงอุโมงค์ของพระนาคกระเสน  หลวงปู่ท่านก็ได้เข้าไปหาพระนาคกระเสน  เล่าเรื่องที่ได้พบ  หลวงพ่อปานให้พระนาคกระเสนฟังจนหมดในที่สุดพระนาคกระเสนจึงได้สรุปให้หลวงปู่คำคนิงฟังว่า  ทั้งหมดที่ท่านเล่ามานั้นแหละตัวธรรมที่เจ้าต้องการ

      เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้ฟังพระนาคกระเสนกล่าวเช่นนั้นก็ดีใจความไม่กลัวตายกลับทวีคูณขึ้น  หลังจากลาพระนาคกระเสนก็ได้ออกเดินธุดงค์จะเข้าถ้ำไหนป่าไหน  ความกลัวตายไม่มีในใจท่านเลย  ท่านเดินธุดงค์ผ่านหมู่บ้านใดก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง  หลวงปู่ท่านบอกว่าท่านไม่เคยเรียนหนังสือหนังหาทางด้านธรรมะมาเลย  แต่แปลกใจที่ว่าความรู้ที่ได้แสดงธรรมโปรดญาติโยมไม่รู้ว่ามาจากไหน  สามารถแสดงธรรมได้ จนเป็นที่เคารพนับถือ  จะไปทางไหนก็มีแต่ญาติโยมติดตามหลวงปู่  ท่านเกิดความเบื่อหน่าย  ก็ได้หนีความวุ่นวายเข้าถ้ำไปอีกวาระหนึ่ง
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พบเณรคำผู้วิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา

          เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านถึงภูเขาลูกหนึ่ง  เป็นภูเขาที่แปลกและอัศจรรย์ที่สุด  ไม่ว่าตัวหลวงปู่เองหรือต้นไม้ต้นไร่ดูเหลืองอร่ามไปหมดบนภูเขาลูกนี้  หลวงปู่ท่านแปลกใจมากเลยตกลงใจจะค้างแรมสักสองสามวัน  ในระหว่างที่พักแรมบนภูเขาลูกนี้หลวงปู่ท่านได้พบเณรองค์หนึ่งอายุราว ๆ 20 กว่าปี  ยังหนุ่มแน่นอยู่  แต่พอได้สนทนากันก็รู้ว่าเณรคำองค์นี้อายุได้ 220 ปีและพูดภาษามคธได้  สามารถพูดภาษากับสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้  เช่น  เสือ  ช้าง  สิงโต  และผีสางได้ด้วย  หลวงปู่คำคนิงก็ได้อยู่ร่วมกับเณรคำ

      วันหนึ่งเณรคำเรียกพวกสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ ในป่านั้นมา  พร้อมทั้งผีร้ายต่าง ๆ เช่น  ผีกองกอย  คือ  มีลักษณะพิเศษตรงที่ว่าเท้าของผีกองกอยด้านหน้าจะกลับไปอยู่ข้างหลัง  ข้างหลังจะกลับมาอยู่ข้างหน้า  เณรคำจะเรียกสัตว์ร้ายทั้งหมด  พร้อมผีดุร้ายต่าง ๆ มาหมอบก้มกราบ  แสดงธรรมเป็นภาษาสัตว์แล้วให้ศีลไม่ให้สัตว์ร้ายต่าง ๆ หรือผีก่อกรรมทำเวร  ให้อยู่ในศีลธรรม (เรียกว่าจับเอาสัตว์ทั้งหมดในป่าพร้อมทั้งผีมาบวชใจ)
           
        ส่วนหลวงปู่คำคนิงเอง  ตอนนั้นก็เพียงแค่ได้แต่ฟังภาษาสัตว์รู้เท่านั้นแต่พูดไม่เป็น  เวลาจะกินอะไรทำอะไรเณรคำก็มักจะเนรมิต  เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่หลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง  หลวงปู่คำคนิงและเณรคำได้อยู่ที่ภูเขาอัศจรรย์ลูกนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปด้วยกัน  จนกระทั่งมาถึงภูเขาแอ๋ว  มีลักษณะจะต้องเดินไต่ข้ามเหวไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งจะมีลูกหินลูกหนึ่งเป็นทางข้าม  หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า  มีพระกรรมฐานเอาชีวิตมาตายที่นี่เป็นจำนวนร้อยแล้ว  เณรคำยืนยันชี้ลงไปก้นเหวให้หลวงปู่ดู  หลวงปู่ก็ก้มลงไปดู  เห็นมีแต่กระดูกเต็มไปหมด

      หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า  ผู้ที่จะข้ามได้  จะต้องเป็นผู้ที่แก่กล้าในญาณสมาบัติ 4 เท่านั้น จึงจะข้ามได้  ต่อจากนั้นเณรคำก็เดินข้ามให้หลวงปู่ดู  แต่หลวงปู่กลับข้ามไม่ได้จึงได้นอนรอเณรคำอยู่อีกฝั่งหนึ่งเป็นเวลา 7 วัน  เณรคำจึงได้กลับมาหาแล้วบอกหลวงปู่ว่า  ญาณสมาบัติ 4 ของหลวงปู่ยังไม่แก่กล้าพอ
         
      หลังจากนั้นเณรคำกับหลวงปู่จึงได้ร่วมเดินทางธุดงค์ต่อไปถึงอ่างคำบนภูเขาหลวงนี้  ก็มีลักษณะแปลกคือจะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่  น้ำนี้จะใสมาก  สามารถมองเห็นกรวด  หิน  ดิน  ทรายถึงก้นหนองน้ำ  แต่กลับไม่มีกรวดไม่มีทรายเลย  มีแต่ทองคำจำนวนเป็นตัน ๆ จมอยู่ก้นหนองน้ำ  พร้อมทั้งกระดูกคนเต็มไปหมด  มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเอาทองคำ  แต่ต้องมีอันเป็นไปแม้แต่ฝรั่งก็เช่นเดียวกัน  ที่มีเครื่องมืออันทันสมัยลงไปเอากัน  เอาชีวิตไปทิ้งก็มี  ส่วนคนที่โชคดีกลับขึ้นมาพร้อมกับทองคำ  แต่แล้วทองคำก็กลายเป็นดินเป็นหินไป  นับว่าอ่างคำนี้แปลกและอัศจรรย์มาก  จากนั้นเณรคำก็พาหลวงปู่ออกธุดงค์ต่อไป
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พบเมืองมหัศจรรย์
                    
         เณรคำกับหลวงปู่ได้เดินธุดงค์มาถึงภูเขาช้างแฮ  เขตเมืองพระลานที่บริเวณตรงนี้แปลกอยู่ที่ว่า  มีบ้านเมืองรกร้างตั้งอยู่ประมาณ 50 หลังคาเรือน  และบ้านเรือนเหล่านี้เป็นหินไปหมดอยู่เชิงเขาหิน  และมีทางเดินขึ้นไปบนหินมีประตูหินปิดอยู่  เณรคำจึงเอามือตบประตูหินนั้น 3 ครั้ง  ทันใด  ประตูหินที่ปิดก็เปิดออก  เณรคำกับหลวงปู่ก็เดินเข้าไปในห้องอีก  ภายในห้องมีหีบเป็นหินขนาดใหญ่ 4-5 หีบ  เณรคำจึงเรียกหลวงปู่เข้ามาดู  แล้วต่อไปเณรคำจึงเอามือตบฝาหีบหินใบใหญ่ใบหนึ่ง 3 ที  ฝาหีบหินใบใหญ่นั้นก็เปิดออก  ภายในหีบนั้นมีแต่แก้วแหวนเงินทอง  ภาชนะของใช้เป็นทองคำหมด  หลังจากนั้นเณรคำจึงได้บอกหลวงปู่ค้างแรมอยู่ในห้องนั้น 3 วัน 3 คืน

                  พอรุ่งเช้าวันที่ 4 เณรคำและหลวงปู่ก็เห็นหญิงสาวแต่งตัวเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ออกมาปรากฏตัวให้เห็น  แล้วบอกให้เณรคำกับหลวงปู่รีบหนีออกไปจากที่นี่  อยากจะได้แก้วแหวนเงินทองอะไรก็เอาไป  พูดจบนางฟ้าองค์นั้นก็หายเข้าไปในประตูหินอีกด้านหนึ่ง
                    
      เณรคำกับหลวงปู่เดินตามไป  เณรคำได้เอามือตบประตูหินนั้น 3 ที  ประตูหินนั้นจึงเปิดออก  เณรคำกับหลวงปู่เดินผ่านประตูหินและใช้มือตบทำอย่างนี้จนกระทั่งผ่านเข้าไปถึง 7 ชั้น  พบนางฟ้ากำลังทอผ้าอยู่ (ผ้าทองคำ) เณรคำจึงเดินเข้าไปถามพร้อมหลวงปู่ว่า  ทอผ้าให้ใคร  และนางฟ้าชื่ออะไร  นางฟ้าองค์นั้นตอบว่าชื่อนางสีดาที่กำลังทอผ้าอยู่นี้จะเอาไว้  ให้พระศรีอาริยเมตไตรย  จะลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์  อีกไม่นานนี้  นางสีดาพูดจบก็บอกให้เณรคำและหลวงปู่รีบออกจากที่นี่  เพราะนางสีดากลังจะมีอันตราย
         
ผลสุดท้ายเณรคำและหลวงปู่จึงออกจากที่นั่น  มาพักอยู่ใต้ถุนเรือน (บ้านหิน 50 หลัง) ข้างนอก
         
      พอพักไปได้สักระยะหนึ่ง  เณรคำและหลวงปู่เห็นพวกยักษ์เดินก้าวมาเป็นกลุ่ม (ลักษณะยักษ์นี้ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก) เดินผ่านมาตรงเณรคำกับหลวงปู่พักอยู่ได้ยินพวกยักษ์พูดกันว่ากำลังเดินหาพวกมนุษย์ที่เข้ามาในบริเวณนี้  เมื่อยักษ์เดินผ่านไป  เณรคำกับหลวงปู่จึงได้พากันเดินลงจากเขานั้นมา  ระหว่างเดินลงเขาพบแต่กองกระดูกเรียงรายสองข้างทางไปหมด  เณรคำก็พาหลวงปู่ลงมาถึงเชิงเขา  พบพระกรรมฐานองค์หนึ่งปักกลดอยู่

                             เณรคำบอกกับพระกรรมฐานองค์นั้นว่า  ขอฝากโยมผ้าขาวคนนี้ด้วย  พอพูดจบเณรคำก็หายตัวไปอย่างอัศจรรย์
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์

                   เมื่อหลวงปู่คำคนิงอยู่กับพระกรรมฐานสักระยะหนึ่ง  ท่านก็ขอแยกทาง  หลวงปู่ท่านออกธุดงค์ไปในป่าลึกจนถึงภูเขาฤาษีหลวงปู่ท่านขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น  พบฤาษีตนหนึ่ง
         
            พระฤาษีถามว่ามาทำไมหลวงปู่  หลวงปู่ก็บอกว่าอยากรู้ธรรม  พระฤาษีบอกว่าให้ไปเอาคัมภีร์เล่มหนึ่ง  ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ของท่านเอง  ซึ่งตอนนี้ได้ให้พระองค์หนึ่งไปเรียนอยู่ที่ภูเขาอีด่างโน้น  ให้หลวงปู่ไปตามเอาหลวงปู่จึงลาพระฤาษีเดินธุดงค์มุ่งหน้าไปภูเขา  ถึงภูเขาอีด่างพบพระองค์นั้นที่ได้พระคัมภีร์ของฤาษีมา  แต่พระภิกษุบอกหลวงปู่ว่าท่านได้นำไปเก็บไว้ที่ถ้ำบนภูเขางา  ดังนั้น  หลวงปู่จึงต้องเดินธุดงค์กลับไปเอา
           
          เมื่อหลวงปู่ได้พระคัมภีร์นั้นแล้วเปิดอ่านดู  แต่ละบทมีความสามารถใช้ต่าง ๆ กัน  เช่น  สามารถย่นระยะทางได้  เดินบนผิวน้ำได้  เหาะเหินเดินอากาศได้  หายตัวได้  แต่พระคัมภีร์เล่มนี้แปลกและอัศจรรย์เป็นพิเศษมากที่ว่าใครมีพระคัมภีร์อยู่กับตัวเพียงแค่นึกคิดปรารถนาอะไร  ก็จะบังเกิดขึ้นโดยทันทีโดยไม่ต้องท่องบ่นพระคาถาในคัมภีร์เลย  แต่กลับตรงกันข้ามถ้าใครคิดจะท่องมนต์พระคาถาในพระคัมภีร์เล่มนี้เพื่อให้ขึ้นใจแล้วก็จะเกิดมืดฟ้ามัวดิน  มีลมฝนฟ้าผ่าทันที  เป็นอัศจรรย์ใจยิ่ง

พระมหากษัตริย์ลาวทรงถวายอุปสมบท

เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้มุ่งเดินธุดงค์  ลงมาทางใต้  เขตนครจำปาศักดิ์  หลวงปู่ท่านได้มาจำพรรษาที่เขาภูด่าง

      ความเลื่อมใสศรัทธาของคนในประเทศลาวเริ่มแผ่ขยายกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็วมาก  จากหมู่บ้านรู้เข้าถึงตำบล  จากตำบลเข้าถึงอำเภอเข้าถึงจังหวัดจากจังหวัดแผ่ขยายจนทั่วประเทศ  ประชาชนประเทศลาวรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่างมุ่งเดินทางมาทุกทั่วสารทิศ  มุ่งสู่จังหวัดนครจำปาศักดิ์

      ต่อมาความนี้ได้ทราบถึงพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา  ซึ่งเป็นเหนือชีวิตแห่งประเทศลาว  รวมทั้งญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้  จึงได้เสด็จมาที่เมืองปากเซ  บนภูเขาอีด่าง  แขวงเมืองจำปาศักดิ์  เมื่อเจ้าเหนือหัวศรีสว่างวัฒนาได้พบหลวงปู่จึงกล่าวคำว่า

“ ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไร ”
หลวงปู่ท่านว่า “ ไม่ ”
      เจ้าเหนือหัวแห่งลาวก็ถามอีกว่า
“ ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนลือเลื่อมใสไปทั่วประเทศ ”
      หลวงปู่ก็ตอบว่า
“ ใครเป็นคนพูด ”
      เจ้าเหนือตอบว่า
“ ก็ประชาชนทั้งประเทศ ”
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่านั้นคนอื่นพูด  แต่ตัวท่านไม่เคยพูด
                  
        ผลสุดท้ายเจ้าเหนือหัวชีวิตแห่งประเทศลาว  เกิดความเลื่อมใส  ขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่  และเอ่ยขอหลวงปู่สักอย่างหนึ่งจากหลวงปู่จะได้ไหม  หลวงปู่บอกว่าได้  เจ้าเหนือชีวิตแห่งประเทศลาวบอกว่า  ขอปลงผมซึ่งยาวจนจะถึงเอวออกจะได้ไหม
                    หลวงปู่บอกว่าได้  ต้องบวชเป็นพระก่อน        

         ในที่สุดวันกำหนดอุปสมบทซึ่งทางสำนักพระราชวังได้จัดขึ้นโดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้  พร้อมด้วยข้าราชการประชาชนแห่กันไปที่วัดหอเมืองเก่งแขวงจำปาศักดิ์  ในระหว่างที่ปลงผมหลวงปู่นั้น  ทั้งฝ่ายสำนักราชวังก็ดี  ข้าราชการประชาชนก็ดี  ต่างก็เอาผ้าไหมแพรทองมาปูรองรับเส้นผมของหลวงปู่กันแน่นไปหมดทั่วบริเวณในวัดและนอกวัด  ในวันนั้นต่างคนต่างแย่งผมที่หลวงปู่ปลงแทบจะฆ่ากันเลย  จนเจ้าหน้าที่รักษาบ้านเมืองวุ่นวายไปหมดครั้งเมื่อเวลาอุปสมบทก็มีพระสงฆ์ราชาคณะพร้อมทั้งพระสังฆราชเสด็จมาเป็นปรานฝ่ายสงฆ์รวมทั้งหมด 24 รูป  เมื่ออุปสมบทเสร็จ  หลวงปู่ได้อยู่ที่ภูเขาอีด่างอีกระยะหนึ่ง  เห็นความวุ่นวายจึงเกิดความเบื่อหน่าย  ท่านจึงแอบหนีออกมาโดยไม่มีใครรู้เลยว่าท่านไปอยู่ที่ไหน
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ก่อนนี้คือ..ฤาษี



           แม้วัยของท่านจะ  82 และ  42 พรรษาแล้วก็ตาม  ยังนั่งเอวตรง  แผ่นหลังตรงดุจดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก  บ่งบอกถึงความเข้มแข็งเปี่ยมพลังภายในลึกล้ำ  แม้ท่านจะบอกกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า  ท่านไม่สบายป่วยเรื้อรังมาสองปีแล้ว  เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มรณะภาพไปสามวันสามคืน  ญาติโยมจะเอาไปเผาแล้วซี  แต่ท่านก็ฟื้นขึ้นมาอีก  ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าคล้ายไม่ป่วยไข้เลย  แสดงว่ากำลังใจของท่านเข้มแข็ง  และมีบุญญานุภาพอย่างลึกลับ

หลวงปู่คำคนิง  จุลมณี  เป็นชาวคำม่วน  แขวงคำม่วน  ประเทศลาว  ปีนี้ (2523) อายุเต็ม 86 ปี

         หลวงปู่คำคนิงได้อนุญาตให้คณะเราสัมภาษณ์ท่านและบันทึกเสียงได้อัธยาศัยของท่านเปี่ยมเมตตาจิตและเปิดเผยปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร  ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งสมมติ  ชีวิตคนเราเหมือนตัวละครที่แสดงไปตามบทบาท  ไร้สาระแก่นสาร  มีแต่มรรคผล  นิพพานเท่านั้นเป็นสารธรรม  อันจริงแท้แน่นอน  บริสุทธิ์  สะอาด  สงบ  ศานติ  ชั่วนิรันดร์

     ก่อนจะเข้าสู่ร่วมผ้ากาสาวพัสตร์นั้น  ท่านมีลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน  แต่พออายุได้ 30 ปี  ก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนจึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤาษีดาบส  ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร  เป็นเวลานานถึง 15 ปี  ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย  อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร  ถือสัจจะเคร่งในศีลฤาษีโยคีฝึกตนอย่างเคร่งครัด  ละเว้นความชั่วทุกประการ 7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วัน  ขบนั้นอาหารครั้งหนึ่งเป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า  เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่ามีความกล้าตายไหม  อาลัยไยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน

        จากการปฏิบัติตนแบบฤาษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง  ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก  มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ  เป็นพระฤาษีแก่กล้าฌานสมาบัติ  สามารถเข้าฌานนานวันโดยไม่อ่อนเพลีย  ไม่หิวโหยร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ  สามารถเดินธุดงค์  ขึ้นเขาลงห้วยได้เท่าคนหนุ่มฉกรรจ์  เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน  ร่างกายผอมเกร็ง  แขนขามือกำได้รอบแต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตร  ไม่กล้าทำอันตราย  ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกจากฌานสมาธิ

        อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว  เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย  เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์  ไปสู่มรรคผลนิพพาน  หลวงปู่คำคนิงจึงได้ลาเพศฤาษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อปฏิบัติธรรมสู่ทางพ้นทุกข็อันถูกต้องร่องรอย  เมื่อบวชแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐาน  คืออยู่ในป่าในถ้ำเป็นวัตร  ไม่ยอมเข้าอยู่ในหมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์  และวัดวาอารามใด ๆ เป็นเด็ดขาด  มุ่งถือพระธรรมคือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่  ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามเทือกเขาต่าง ๆ ในแดนลาว  ปีแล้วปีเล่า  ตราบจนกระทั่งเวลานี้ได้ 27 พรรษา  ถ้ารวมเป็นพระฤาษีด้วยก็เป็น 42 พรรษา

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้