ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

[คัดลอกลิงก์]
1#
โพสต์ 2013-9-18 00:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล


ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่

และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน

เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้


หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด


ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้

ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่ ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที

เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจอีกต่อไปไว้ได้

จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


โปรดติดตามต่อ


2#
โพสต์ 2014-10-1 08:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พระกับผี

พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล

ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่


และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง

ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน


เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้

หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด

ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้


ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า..



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่

ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจ อีกต่อไปไว้ได้



จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


มี มือเด็กยื่นออกมาจากห้องของหลวงปู่ชื่น

พร้อมพระเครื่องที่กำอยู่ในมือ ส่งมาให้หลวงปู่



(ซึ่งจุดที่หลวงปู่ชื่นนั่งกับประตูห้องที่เปิดอยู่ ห่างกันไม่มาก)

จากคำบอกเล่า..รายงานว่าเห็นแต่มือยื่นออกมาเลยข้อศอกไปนิด

ซึ่งสีผิวจะขาวแตกต่างจากสีผิวคนทั่วไป

และชายหนึ่งในกลุ่มเกิดความสงสัยว่าหลวงปู่ชื่นเป็นพระ

เหตุใดจึงนำเด็กผู้หญิงมาไว้ในห้องจำวัตรของท่าน

จึงถือวิสาสะลุกขึ้นเดินไปดูที่ห้องทันที..

ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า  !!!

ห้องของหลวงปู่ชื่น ไม่ได้ใหญ่มาก

และไม่มีที่จะให้หลบซ่อนแต่ประการใด...

หรือเด็กจะกระโดนหนีทางหน้าต่างยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะหน้าต่างก็ปิด

และช่วงเวลาที่เห็นมือเด็กยื่นออกมา

กับช่วงที่ลุกขึ้นไปสำรวจห้อง ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10.วินาที

ไม่ท่านแรกที่เข้าไปสำรวจห้องของหลวงปู่ชื่น แต่ไม่เจอเด็กแต่ประการใด.

จึงร้องอุทานเสียงหลง ว่า...

ไม่เห็นมีเด็กเลย แล้วมือที่เห็นเป็นมือใคร  ???

เป็นเรื่องล่ะที่นี้..คณะศรัทธาที่มาด้วยกันก็จุลีกุจอลุกขึ้นมาที่ห้องของหลวงปู่ชื่นกันใหญ่

พร้อมกับช่วยกันกวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของมือปริศนา..ดังกล่าว

จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กัน อยู่ชั่วครู่

ก่อนที่จะตั้งคำถามกับหลวงปู่ชื่น เพื่อบีบเค้นหาความจริงให้ได้ว่ามือปริศนา

เป็นมือของใคร..???

หลวงปู่ชื่อท่านไม่ตอบ หรือ ให้ความกระจ่างอันใด

มีแต่รอยยิ้ม สลับกับ เสียงหัวเราะ แทนคำตอบ

เมื่อทราบว่าไม่ได้คำตอบจากหลวงปู่ชื่นแน่นนอน ทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวัตถุมงคลอีกครั้ง

และเมื่อได้วัตถุมงคลที่ทุกท่านต้องการ ตามตั้งใจและความปรารถนา

ตามที่ตั้งใจกันมาแต่แรก ครั้นเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว

จึงกราบลาหลวงปู่ชื่น เพื่อเดินทางกลับ

หลังจากทุกคนขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับ  


ขณะที่รถ
..กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากข้างกุฏิของหลวงปู่ชื่น



เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ถึงมือปริศนา ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ภายในรถตู้

คนขับรถ ก็พูดขึ้นมาว่าผมไม่เชื่อ พวกคุณอดหลับอดนอนมาทั้งคืน อาจจะตาฝาดกันก็ได้

พร้อมกับเสียงหัวเราะ ลั่น

ชั่วครู่..!!!เสียงคนในรถสามสี่ท่าน ก็ตะโกนเตือน คนขับรถตู้เกือบจะพร้อมๆกันว่า..

ตอไม้ พี่ ๆ ตอไม้  ระวังรถจะชน

แต่คนขับรถพูดตอบกลับมาว่า..
นั่นมันหมาไม่ใช่ตอไม้ครับ
พร้อมกลับเหยียบคันเร่งต่อไป

คงคิดว่าหมาคงจะวิ่งหนีไปเอง


พักเดียว..รถตู้เหมือนชนอะไรบางอย่าง เสียง..สปอยเลอร์หน้าแตกเสียงดังลั่น

เมื่อคนขับรถตู้ลงไปดู กลับเป็นตอไม้จริง ๆ ไม่ใช่หมาอย่างที่ตนเองเห็น


จึงเกิดความคิดว่าตนเองคงจะคิดดูถูกดูแคลนหลวงปู่แก่ๆ ในกุฏิไม้เล็กๆท่านนั้น

จึงขอนุญาติผู้ว่าจ้างถอยรถเพื่อไปกราบขมาหลวงปู่ชื่น

เมื่อกราบขอขมาเเทบเท้าหลวงปู่ชื่นแล้ว



หลวงปู่ชื่นท่านได้พูดขึ้นมาว่า..

สิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้