ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 31110
ตอบกลับ: 35
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

[คัดลอกลิงก์]
๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

บทความที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง โดย อาจารย์สรายุทธ งามชื่น




                 ต้นปี 2538 ได้มีพระภิกษุชาวเขมร ได้ชักชวนผมไปหาพระอาจารย์ของท่าน ชื่อเรียงเสียงใดก็ไม่ทราบ ท่านก็กล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านตลอดเวลา ว่าเก่งอย่างนั้นบ้าง เก่งอย่างนี้บ้าง  ทำนั้นก็ได้  ทำนี่ก็เป็น  ชักชวนผมไปกราบอาจารย์ท่าน  ทุกๆ ครั้งที่พบปะหน้ากัน " ใจ "  ผมตอนนั้น  มัน 50/50   พระเก่งๆ อย่างที่ท่านคุย  ยังมีหลงเหลืออีกหรือ !  แต่ใจอีกด้าน  มันก็บอกว่า  ลองไปดูไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน  อีกทั้งตั้งแต่รู้จักกับท่านมาท่านก็ไม่เคยมุสาเราเลย   " พรุ่งนี้กูต้องไป "    รุ่งเช้าผมขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดแต่เช้า  และแจ้งความจำนงประสงค์ ที่จะเดินทาง  ไปกราบอาจารย์ของท่านด้วยกัน ผมได้เรียนถามท่านว่า  หลวงพ่อครับ  อาจารย์ของหลวงพ่ออยู่วัดไหน ?  อำเภอ  จังหวัดอะไร ?   อยู่เกือบสุดชายแดนเขมร  ไปจากที่นี่ก็ร้อยกว่ากิโล  ถ้าไม่เชื่ออาตมาก็ไม่ต้องไปก็ได้น่ะ  อาตมาไม่ได้บังคับ (ตอนเราไม่อยากไป พูดเชิงบังคับ จะพาเราไปให้ได้ พอเราใจง่ายจะไป ก็เล่นตัวเสียงั้น)  ไปครับ  ไป     ผมร้องบอกท่าน  ถ้าไปก็รอหลวงพ่อก่อน  เดี๋ยวหลวงพ่อไปเอาของก่อน  สักครู่   ท่านก็เดินออกมาจากกุฏิ พร้อมเครื่องรางของขลัง  ต่างๆที่ท่านทำขึ้นเอง  เพื่อจะนำไปให้ ครูบาอาจารย์ของท่าน  " ประสิทธ เม "  ให้อีกที     และการเดินทางมุ่งสู่ชายแดนเขมร ก็เริ่มขึ้น  ณ  วินาทีนั้น    จุดหมายปลายทางที่จะไป  ผมไม่ทราบ  เพระท่านไม่ได้บอกทราบแต่เพียงว่า    ถ้าให้เลี้ยวซ้ายก็ต้องซ้าย  เลี้ยวขวาก็ต้องไป   ตรงไปก็อย่าขัด  การเดินทางในระยะแรก  พอถึงแยก ถึงซอย  ท่านคอยบอกเส้นทางตลอด พอสักพัก  ผมเห็นท่านขยันทำสมาธิอยู่บ่อยๆ  ผมต้องคอยสะกิดท่านทุกๆครั้ง ที่เจอทางแยกข้างหน้า   ตลอดระยะกาลเดินทางชั่วโมงกว่า  ผมก็พาท่าน หรือท่านก็พาผม   จะเดินทางเข้าสู่อำเภอบ้านกรวดในอีก 10 กิโลข้างหน้า  หลวงพ่อก็บอกให้ผมจอดรถข้างทาง  ซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่งนา  เมื่อรถจอดสนิท  ท่านเดินไปหลังพุ่มไม้สักพัก  ท่านเดินกลับมาที่รถ   ท่านได้ถามผมว่า  โยม...พระฆ่าสัตว์มันบาปไหม  บาปครับหลวงพ่อ... อาตมาไปยิงกระต่ายมาไม่เห็นจะบาปเลย     การเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่วัดตาอี   หลวงพ่อให้ไปจอดรถใต้ต้นไม้และพาผมเดินไปยังกุฏิไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง  เมื่อถึงหน้ากุฏิซึ่งปิดประตูอยู่  หลวงปู่  หลวงปู่   หลวงปู่   ในเมื่อประตูเปิดออกมา

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 09:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประเดี๋ยวหลง"อิทธิฤทธิ์"จัดจะเป็นเหมือน"รถยางแตกเข้าให้อีก  ผมก็เลยยิงคำถามหาความกระจ่าง

หลวงปู่ท่านรอผม.....รึ..?   ใช่ !    เห็นหลวงปู่ท่านบอกแต่เช้าว่า โยมจะมาถวายอาหารเช้า  หลวงตาแรมตอบ   และย้อนถามกลับมาว่า  ไม่ได้นัดหลวงปู่ไว้หรืองัย ?   ผมยิ้มให้แทนคำตอบ  เมื่อขึ้นไปบนกุฏิ เห็นหลวงปู่ท่านรออยู่  และกำลังเตรียมถ้วยชามไว้สำหรับใส่อาหาร   ผมเลยรีบจัดแจงอาหาร  ประเคนหลวงปู่และหลวงตาแรม    เมื่อท่านฉันท์อาหาร และให้ศีล ให้พร เสร็จสรรพ   ท่านให้ผมไปรอที่แคร่ ใต้ต้นไม้ที่เดิม   ซึ่งผมมีปัญหาค้างคาใจหลายๆเรื่องที่อยากจะถาม  นั่งรออยู่สักพัก   ไม่นานหลวงปู่ท่านก็ตามมา ยังจุดนัดพบ  การสนทนาก็เริ่มขึ้น........

ทำไมมาช้าจัง?  หลวงปู่ท่านถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก   ยางรถแตกครับ  ทำให้มาล่าช้าครับ แล้วหลวงพ่อไม่ได้มาด้วย..เหรอ ?   แวะไปรับที่วัดแล้วแต่ท่านไม่อยู่ครับ  ผมตอบ   แล้วมาหาหลวงปู่วันนี้อยากได้อะไร ?   อยากได้บุญกับวิชา ครับผม..!   ผมกราบเรียนจุดประสงค์ ให้หลวงปู่ท่านรับทราบ..! หลวงปู่ชื่นท่านนิ่งพร้อมกับมองหน้า  ผม  เหมือนกำลัง  เค้นหาอะไรบ้างอย่าง..!  ก่อนที่ท่านจะกล่าวขึ้นมาว่า..   หมายความว่าจะมาเป็นศิษย์..นี่ ?   ครับ..!   ผมตอบเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจ.. หลวงปู่ชื่นท่านได้กล่าวเป็นคำเตือนและคำสอนต่อไปว่า..  ก่อนที่...เอ็ง  จะฝากตัวเป็นศิษย์ใครต่อใคร... เอ็ง...รู้ความหมายของคำว่า  " ศิษย์กับอาจารย์ "  ดีแล้วหรือยัง..?  การเป็นศิษย์มันไม่ยาก... ดอก..!  แต่การปฏิบัติ   " ศรัทธาครู "   ด้วยใจมั่นคง.. ซิ..มันยากกว่า  ถ้าวันหนึ่งครูอาจารย์ ที่เอ็งนับถือตกต่ำ..เอ็งจะ..กล้ายอมรับ..ม่ะ  ว่านี่..ไง  อาจารย์ของกู    หรือถ้าเป็นอาจารย์เขา  วันหนึ่ง  ลูกศิษย์ชะตาตกต่ำ   เป็นโจร  เป็นคนไม่ดี  หรือเป็น ผู้หญิงขายตัว  อาจารย์..จะกล้ายืด อก รับ และกล้าบอกใครเขา ไหมว่า.. นั่น..ลูกศิษย์ของกู   หลวงปู่  น่ะ... ปรารถนาอยากให้ ลูกศิษย์มันได้ดีกันทุกคน ไม่อยากให้เจ็บ ไม่อยากให้อด และไม่อยากให้ใครมารังแก  อยากให้มันเป็นเจ้าฅนนายฅน  แต่ชะตาชีวิตฅนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน  "ถ้าเขาศรัทธาจริงมาบูชากราบไหว้น้อบจิตยอมรับเราเป็นอาจารย์เขาแล้ว"   เราก็ต้องเป็นอาจารย์จริง  จะชั่วจะดี ด้วยแรงแห่งกรรมก็ต้องดูแลสั่งสอนกันไป  ด้วยอยากให้ศิษย์ได้ดี นั่น...ล่ะ  ความหมายของคำว่า อาจารย์ที่ดี  เขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึง ความเป็นแบบอย่างอาจารย์ที่ดีของหลวงปู่ชื่น  อย่างเช่น
~.พระองค์ทม.~

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
ที่หลวงปู่ชื่นท่านแนะนำบอกให้ไปหามาบูชาขึ้นหิ้ง

พุทธคุณสุดยอด นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง พลิกฟื้นดวงชะตา นำพาชีวิตให้โชติช่วงชัชวาลย์ตลอดกาล


ในกาลก่อน..

มี หญิงสาวท่านหนึ่งได้เดินทางมากราบนมัสการ หลวงปู่ชื่น

พร้อม ผลไม้หลากหลายชนิด พร้อมซองถวายปัจจัย

ก่อนจะถวายหลวงปู่ชื่นท่านพูดว่า..

อีนาง. ถ้าอยากได้บุญใหญ่บุญมาก เองหัดถวายสิ่งของทำบุญกับ

พระองค์ทม นะ

พระองค์นี้ ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์
กว่าพระไหน ที่เองไปทำบุญอีก เองไปทำบุญเป็นร้อยวัด พระแสนรูป ซักแสนครั้ง
ก็ยังไม่สู้ เท่ากับทำบุญกับพระองค์ทม เพียงครั้งเดียว

(ทม ภาษาเขมร แปลว่า "ใหญ่" พระองค์ทมแปลว่า.

"พระองค์ใหญ่")

อีนาง เองรู้จักไหมพระองค์ทม ??

ไม่ทราบเจ้าค่ะอยู่ที่ไหนวัดไหนเจ้าค่ะ พระองค์ทม ?

อยู่ที่บ้าน อีนางมีอยู่องค์

อีนาง เองไปหาดีๆ ศักดิ์สิทธิ์มาก

เป็นพระปางไสยาสน์

เธอ นั่งคิดอยู่ซักครู่จึงตอบ หลวงปู่ไปว่า..

ที่บ้านไม่มีนะเจ้า พระพุทธรูป ปางไสยาสน์

มีแน่นอน.เชื่อหลวงปู่

เองกลับไปตั้งใจหาดีๆ มีแน่ๆ หลวงปู่เห็น ว่ามี
ไปเอามาล้างปัดฝุ่น ขึ้นหิ้งบูชา แล้วจะเจริญรุ่งเรือง
ผลไม้กับซองปัจจัยที่อีนางถวาย หลวงปู่
หลวงปู่ฝากไปถวาย
พระองค์ทม ด้วยนะ

หลวงปู่บอกพร้อมยื่นสิ่งของกลับไปให้

เธอรับสิ่งของกลับไปด้วยความ สงสัยแต่ก็ไม่ขัดหลวงปู่

และตอบหลวงปู่ว่า

ค่ะๆ กลับไปหนูจะลองหาดู  

หลังจากนั้น จึงสนทนากับหลวงปู่ เรื่องตนเองชอบเดินทางไปทำบุญที่นั้นที่โน่น ต่างๆนาๆ

เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน
ได้เดินค้นหา พระองค์ทม
ตามที่หลวงปู่ชื่นท่านบอก
ว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ทมปางไสยาสน์

ที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ

หาจนทั่วบ้านก็ หาไม่เจอ
จะเป็นด้วยบุญเก่าหรือหลวงปู่ท่านเปิดกุศลบุญในจิต ให้ พบให้เจอพระองค์ทม หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

อยู่ๆสายตาของเธอก็ไปสะดุด เข้ากับสิ่งๆ หนึ่ง..

?????
เธอทราบได้ทันที.ว่า

เป็นพระองค์ทมที่หลวงปู่ท่านบอก.

แถมเป็นปางไสยาสน์อีกด้วย

ตรงเป๊ะ แม่นยำตามคำบอกของหลวงปู่ชื่น

ราวกับตาเห็น

นั่นคือ..แม่ของตนเอง
กำลังนอนบนเตียงเก้าอี้หวาย

กำลังนอนหลับในท่าปางไสยาสน์ พอดีเลย

เธอน้ำตาไหล นึกรู้ขึ้นทันทีว่า ..
พระองค์ใหญ่

พระองค์ทม ที่หลวงปู่ชื่น
ท่านบอก ก็คือแม่ของตนเอง นั่นเอง

นี่เราเที่ยวตามหาพระอรหันต์ทำบุญสาธารณะ

ไปทั่ว แต่กลับทอดทิ้งหลงลืม พระองค์ธม พระองค์ใหญ่ ประจำบ้านไปได้อย่างไรหนอ ?

กราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่ทำให้ อีนางน้อยคนนี้
ตาสว่างกระจ่างแจ้ง เสียที

... อันพ่อแม่ ท่านแก่เฒ่า

เฝ้ารักษา.. คุณบิดา
คุณมารดา ค่ามหันต์..
ใครตอบแทน คุณท่านได้ โชคอนันต์.. ไปสวรรค์ เพราะกตัญญู รู้แทนคุณ ...

เมื่ออ่านบทความจบ
อย่าลืมค้นหาพระองค์ธมในบ้านให้เจอนะครับ

เจอเเเล้วรีบ เอาไปสรงน้ำ ปัดฝุ่น นำขึ้นหิ้งบูชา เลยเสียตั้งแต่วันนี้

หลวงปู่ชื่นท่านการันตี
ว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงๆครับ

ผมเคยถามหลวงปู่ชื่นท่านว่า.

หลวงปู่ทราบได้อย่างไรว่าคนๆนี้ ไม่ค่อยสนใจใส่ใจดูแลบุพการี หรือใครเป็นอะไร
นิสัยเป็นเช่นไร ?

ท่านตอบว่า..

มองท้ายทอย มันก็รู้แล้ว

ตอนนั้นก็ยัง งงๆ
แต่ก็ไม่ได้ถามท่านต่อ

สืบมาได้ไปอ่านเจอมาว่า..

สมองกลีบท้ายทอย หรือ กลีบท้ายทอย (อังกฤษ: occipital lobe, lobus occipitalis)

เป็นกลีบสมองที่เป็นศูนย์ประมวล ผลของการเห็นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

จะเป็นด้วยแบบนี้ หรือไม่หนอ ???

***** บทความจาก อาจารย์สรายุทธ ******

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
หลังจากเกิดปัญญาเขาสามารถ ตัดขาดจากโลกิยะวิสัยของบุรุษได้อย่างเด็ดขาด

ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุเข้าป่าออกธุดงธ์ ไม่ทราบว่าอยู่ ณ.มุมหนึ่งแห่งใดของโลก

#### บทความจาก อาจารย์สรายุทธ ###
หลังจากเข้าสู่เดือนที่ 3

ได้มารายงานผลการปฎิบัติ
ต่อหลวงปู่ชื่น

ว่า ความสวยงามของแฟน
เนื้อหนังมังสาของแฟน

พอเอามาเป็นองค์ภาวนา
เห็นหน้าแฟน เนื้อหนังมังสาของสตรีที่ตนเองเคย
ชื่นชอบ กลับค่อยๆ เหี่ยวย่น และเริ่มเน่า หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

ต่อมาก็เหลือแต่กระดูก และแตกป่นเป็นผงกลับกลายเป็นธาตุดิน

หลวงปู่ท่านยิ้ม ปลื้มปริม
ท่านว่า..จิตมันเริ่มเกิดปัญญา เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงของมัน

ร่างกายมนุษย์ เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน
สุดท้ายแล้วเมื่อเราตายธาตุเราก็แตกสลายไม่เราอีกต่อไป

ลมก็คืนสู่ลม
ไฟก็คืนสู่ไฟ
น้ำก็คืนสู่น้ำ
ดินก็คืนสู่ดิน

สุดท้ายร่างกายที่เรา อุปาทานยึดมั่นถือมั่น

ว่าเป็นเราเป็นเขา ตอนจบมันก็คือดิน
ที่คนเขาเดินเหยียบย่ำนั้นเอง

ฆราวาสท่านนั้นบอก
หลงรัก หลงดูด หลงดม หลงชม มาตั้งนาน
ที่แท้ ก็ ดิน ทั้งนั้น
แต่ก็ใช่ว่า ท่านจะไม่สอนธรรมะโปรดศิษย์เสียเลยทีเดียว

ครั้งหนึ่ง.

มีศิษย์ฆราวาสมาปฏิบัติธรรมกับท่าน ต่อมาจึงทราบว่าที่มาปฎิบัติธรรมเพราะอกหัก ผิดหวังอย่างแรง

แถมตนเองก็เป็นคนมักมากในกามตัณหาราคะ มากเกินความพอเหมาะพอควร

หลวงปู่ชื่นท่านคงพิจารณาแล้วว่าคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง

ท่านเลยสอนการนั่งสมาธิกำหนดให้ ปฏิบัติต่อเนื่อง
ดังนี้

เช้า 1 ช.ม.
เที่ยง1ช.ม.
เย็น1ช.ม.
หัวค่ำก่อนนอน อีก 1 ช.ม.
1 อาทิตย์ผ่านไป

ได้มารายงานผลให้ท่านสอบอารมณ์

แกว่า.นั่งไปจิตมันไม่อยู่กับองค์ภาวนา จิตมันติดแต่ภาพแฟน คิดแค่เรื่องกาม เนื้อหนังมังสา

ลป.ชื่น ท่าน เมตตาสอนว่า.

#ถ้าคิดถึงแฟนก็เอาหน้าแฟนมาเป็นองค์ภาวนา

#คิดเห็นนมมันก็เอานมมันมาเป็นองค์ภาวนา

#คิดเห็นของมันก็เอาของมันมาเป็นองค์ภาวนา


หลังจากนั้นการปฎิบ้ติอย่างต่อเนื่องตามตารางเวลาที่หลวงปู่ชื่นกำหนด
ได้เข้าสู่เดือนที่ 3

จะด้วยเป็นด้วยได้คำแนะนำการปฎิบัติที่ดี จากลป.ชื่น
หรือจะเป็นด้วยบุญเก่าของแก ก็ไม่ทราบแน่ชัด

การปฎิบัติธรรมได้ผลดีมาก

เมื่อมีศีล จะเกิด สมาธิ

เมื่อมีสมาธิจะเกิดปัญญา

เมื่อจิตสงบ นั่นหมายความว่า
จิตเราตัดนิวรณ์ให้เบาบางลงได้แล้วชั่วขณะเวลาหนึ่ง

(ตอนนี้จิตจะคิดอะไรปล่อยให้คิดไป เพราะคิดอะไรจะเป็นธรรมะไปหมด)

นิวรณ์(อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna) แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป

นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ

กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่พยาบาท 

ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่ถีน

มิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม


อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ

วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ

คำว่า "กาม" ในทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายแต่เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้นนะครับ

แต่หมายถึงอายตนะทั้ง 6 เลย นั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา --> ชอบเห็นภาพสวย ๆ ก็เป็นกามทางตา

หู --> ชอบได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็เป็นกามทางหู

จมูก --> ชอบได้กลิ่นหอม ๆ ก็เป็นกามทางจมูก

ปาก --> ชอบกินของอร่อย ๆ ก็เป็นกามทางปาก

กาย --> ชอบสัมผัสอ่อนนุ่ม ก็เป็นกามทางกาย

ใจ --> ชอบความสุข ชอบเล่นฌาน ก็เป็นกามทางใจ

ถ้าละกามเสียได้ คงลดความวุ่นวายไปเยอะทีเดียว จิตคง "ว่าง" ขึ้นอีกเยอะ
"การฆ่ากันก็เพราะกาม รักกันก็เพราะกาม ทั่วอากาศ ทั่วพื้นน้ำและบนบกเต็มไปด้วยกาม กามตันหน้า ภวตันหู วิภวตันใจ ถ้าจะขยายออกไป มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกกาม เพราะความพอใจและไม่พอใจก็เกิดจากกามทั้งสิ้น"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่



#.หลวงปู่ชื่น.#
~โปรดศิษย์ติดกามา~

หลายคนที่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสในวัตรปฎิบัติของลป.ชื่น
คงจะคิดและจินตนาการไปเอง จนเลยเถิดถึงขั้นปรามาสท่านเอาได้ว่า.
ท่านเป็นพระไสยศาสตร์
พระเสน่ห์มนต์ดำ

ยิ่งมีศูนย์พระมาสร้างเครื่องรางออกเเนวทะลึ่ง ตึงตัง
ตั้งชื่อออกไปในแนวโลกิยะ

ยิ่งตอกย้ำ ทำให้คนมองภาพลักษณ์ของท่าน
ในทางลบ มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก

ผมอยู่กับท่านมานานและ
รู้อยู่เต็มออกว่า..หลวงปู่ชื่น
ท่านชาญวิปัสนากรรมฐานไม่เป็นรองพระอาจารย์ท่านใดๆเลย

ท่านสำเร็จวิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณ ๙

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ

๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร

๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

แต่ท่านไม่ค่อยนำมาโปรดใครมากนัก
ท่านว่าสอนไปก็เสียเวลาเปล่า ด้วยคนที่มีบุญบารมีที่จะเห็นธรรมะตามท่านสอนมีน้อย เพราะในจิตเต็มไปด้วยแรงกามา มันมีมากจนอวิชชาครอบงำ

อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้แจ้ง คือ ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้องแจ่มแจ้ง มิได้หมายถึงความไม่รู้ศิลปะวิชาการต่างๆ หรือไม่รู้ร้อนรู้หนาวเป็นต้น แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะนำคำว่า อวิชชา ไปใช้เฉพาะกับวิชาในทางไสยศาสตร์เท่านั้น โดยเข้าใจกันว่า อวิชชาเป็นวิชาที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

เมื่อก่อนไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ต่อมาได้เป็นอาจารย์คน
จึงมีอภิสิทธิ์ในการสอดส่องดูแลความเป็นไปในชีวิตประจำวันของศิษย์
ทำให้เห็นภาพเลยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ของความร้อนแรงแห่งอำนาจอิทธิพลแห่งกามา ของเหล่าหมู่ศิษย์

ยากที่จะเอาดีในทางธรรมได้
ความเป็นศิษย์อาจารย์นี้.!!


มันมีความผูกพันเหนียวแน่น.....
ความเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกัน เป็นสหายธรรมกันมา ก็มีความผูกพันที่เหนียวแน่น.....


เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน.....


เป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน.....


ในทางโลกเราอาจจะนับสายสกุลกันที่ชาติกำเนิดโครตเหง้าความเป็นสายเลือดครอบครัวเดียวกัน.....


แต่ในทางธรรมเรานับสายสกุลกันที่ความผูกพันเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกันมา....


เป็นวงศ์วานของท่าน  อยู่ภายใต้ร่มเงาติคญาโณด้วยกัน


อยู่ในความเมตตาของหลวงปู่ชื่นท่านร่วมกันมา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-5-11 05:03

ใบไม้แห่งชัยชนะ

เรื่องนี้คณะครูโรงเรียนบ้านตาอี และ อ.บ.ต.ตึ๋ง เป็นพยานบุคคลเรื่องมีอยู่ว่า..เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านตาอีจะเดินทางไปแข่งขันกีฬาฟุตบอลโรงเรียนประจำจังหวัด คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬาเดินทางมากราบขอพรชัยจาก หลวงปู่ชื่น ท่านได้ให้นักกีฬาทุกคนลงไปเก็บ “ยอดใบไม้” มาคนละใบ เมื่อเก็บใบไม้เป็นที่เรียบร้อยครบทุกคนแล้ว ได้นำใบไม้มาถวายท่าน หลวงปู่ชื่น ท่านรับใบไม้แล้วนำไปใส่พานอธิฐานจิต บริกรรมพระเวทอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมอบใบไม้ให้เด็กติดตัว เวลาแข่งขัน ท่านบอกให้เอาใบไม้ทัดหู แต่เด็กกลัวใบไม้จะหล่น จึงเอาหนังยางมามัดใบไม้ใส่กับเสื้อ และแล้ววันแข่งขันจริงมาถึงขึ้น “ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น ได้สำแดงเดช พานักกีฬาชนะทุกรอบจนสามารถทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ คุณครู ท่านหนึ่งบอกว่า...ไม่น่าเชื่อนักกีฬาฟุตบอลทุกคนเล่นบอลไม่ค่อยเก่ง แข่งขันครั้งใดดูเป็นรองทุกครั้งไป แต่ก็สามารถเอาชนะมาได้ตลอดแปลกมากๆเรียกว่ามาถึงจุดนี้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว  ดังนั้นรอบชิงชนะเลิศ จะชนะ หรือ แพ้ก็ไม่เสียใจ และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเป็นวันที่นักกีฬาโนเนมม้ามืดที่โดนดูถูกดูแคลนทุกครั้งที่ลงแข่งขัน ซ้ำยังโดนสบปรามาสว่าที่ทะลุเข้ามาถึงรอบชิงเพราะโชคช่วย(ความจริงหลวงปู่ชื่นช่วย) ก่อนจะเดินทางไปแข่งขัน คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬามาขอพร ให้หลวงปู่ชื่น รดน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมคล ท่านยังพูดกระเช้าเด็กๆ ว่า “เอาถ้วยรางวัลมาให้หลวงปู่ดูหน่อยนะ...!!!”

“ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น จะสำแดงเดชอีกหรือไม่? นักกีฬาโรงเรียนบ้านตาอี จะได้เป็นแชมป์หรือเปล่า? จะแพ้หรือชนะ?เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
นักกีฬาคู่แข่งขันก็เป็นแชมป์ประจำจังหวัดมาหลายสมัย เรียกว่า “แชมป์ผูกขาด” ก็ว่าได้ ไอ้เรา... รือ!! ก็นักเตะบ้านนอกที่นักกีฬาในทีมบางคนยังเตะบอลผิดๆถูกๆเมื่อวิถีโคจรมาเจอ “แชมป์เก่า”  ก็ต้องสู้ถวายหัวประกาศเพลงเตะโรงเรียนบ้านตาอีให้จังหวัดบุรีรัมย์ “ตะลึง” เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่โรงเรียนบ้านตาอี คณะครูหลายๆท่านปากก็บอกว่า ถึงจะแพ้ก็ไม่เสียใจ เพราะมาไกลเกินฝันที่คาดไว้แล้ว แต่ในใจซิมันก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆอยากให้เด็กเป็นแชมป์ เฝ้าแต่ภาวนาทุกครั้งขอให้ “ใบไม้อาคม” ของ หลวงปู่ชื่น แสดงอิทธิฤทธิ์อีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ขอบารมีหลวงปู่ชื่น จงมาโปรดลูกๆด้วยเทอญ ผลการแข่งขันในวันนั้น...นักเตะโรงเรียนบ้านตาอี มี “ชัยชนะ” โค่นแชมป์เก่าลงอย่างราบคาบ ประกาศศักดาลบคำปรามาส นำถ้วยเกียรติยศและความภาคภูมิใจสู่โรงเรียนบ้านตาอี คณะคุณครูที่คุมทีมไม่ต้องพูดถึงดีใจกระโดดกอดกันจนน้ำตาไหลพราก นักกีฬาทุกคนนำใบไม้ใส่มือพนมเทิดไว้เหนือหัว “ใบไม้แห่งชัยชนะ ใบไม้อาคม ใบไม้แห่งเกียรติยศ” สำหรับใบไม้อาคมเคยขอร้องให้ท่านทำให้ หลวงปู่ชื่น ท่านบอกว่า ถ้าจะให้ดีต้องเอาใบไม้ที่เวลาลมหมุน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลมบ้าหมู หอบเอาใบไม้ขึ้นไป”  ถ้าเห็นให้วิ่งเข้าไปใช้ปากคาบใบไม้มา ถ้าเอาได้นำมาให้ หลวงปู่ชื่น ท่านจะทำให้ ทำเป็นตะกรุดอีกที่หนึ่ง ท่านว่ามีฤทธิ์เท่าหนุมาน แต่จนแล้วจนรอดก็คาบไม่เคยได้ซักที คิดถึงทีไรเสียดายทุกที


มนต์มหาสะกดจินดามณี


เรื่องนี้ขอเล่าบูชาคุณครูอีกสักเรื่อง เพื่อที่จะยืนยันถึงพลังจิตอันแก่กล้าพร้อมพลังเวทมหัศจรรย์ของ หลวงปูชื่น เรื่องนี้ อ.บ.ต. ตึ๋ง เป็นคนเล่าให้ฟังครับ ครั้งหนึ่ง อ.บ.ต.. ตึ๋ง ต้องการ ไก่ป่าที่อาศัยอยู่ในวัดนำไปเลี้ยง เพื่อนำไปผสมพันธ์ อนุรักษ์สัตว์ป่าไว้ จึงได้เตรียมอุปกรณ์จับไก่ป่าติดมือไปด้วย เมื่อเดินทางมาถึงวัดตาอี ได้เข้าไปขออนุญาต หลวงปู่ชื่น พร้อมกับชี้แจงว่าจะนำไปอนุรักษ์ เพาะพันธ์ไว้ เมื่อหลวงปู่ชื่น ท่านทราบเหตุผล ท่านถามมาว่า “แล้วจะจับอย่างไร?” อ.บ.ต. ตึ๋ง บอกว่า “เอาแหมากาง แล้วช่วยกันวิ่งต้อนไก่เข้าแห”  หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะใหญ่ ท่านนึกขำถึงวิธีจับไก่ป่า ของ อ.ต.บ. ตึ๋ง  สักครู่ ท่านจึงเดินลงมาจากกุฏิ พร้อมกับพูดบอก อ.บ.ต. ตึ๋ง ว่า “เองจะเอาตัวไหน?” อ.บ.ต. ตึ๋ง มองดูไก่ป่า พิจารณาอยู่พักหนึ่ง จึงชี้นิ้วไปยังไก่ป่าตัวหนึ่ง หลวงปู่ชื่น ถามกำชับเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย “เอาตัวนี้แน่นะ” ครับ...หลวงปู่ อ.บ.ต. ตึ๋ง ตอบ หลวงปู่ชื่น ท่านยืนสงบนิ่ง เพ่งสายตาไปทีไก่ป่า ซักครู่ไก่ป่าตัวนั้นได้เดินมาหา หลวงปู่ชื่น ท่านก็ก้มตัวลงจับไก่ป่าตัวนั้นส่งมอบให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง ท่านได้กล่าวกำชับว่า “อย่าฆ่ามันนะ” หลังจากส่งไก่ให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง แล้ว สักพักก็มีตะกวดเดิน เข้ามาหา หลวงปู่ชื่น มาเคลียคลอที่เท้าท่าน อาการเดียวกับไก่ป่าไม่มีผิด อ.บ.ต. ตึ๋ง ยังแซวหลวงปู่ชื่น ว่าตัวนี้ผมไม่ได้เอานะครับ สงสัยมันคงโดนลูกหลง หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่


เรื่องพลังจิตตานุภาพ ของ หลวงปู่ชื่น ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องนัก เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะนำเสนอ ให้อ่านเป็นลำดับต่อไปครับ คราวนี้วกมาเรื่อง “ขุนแผนชมตลาด” อีกหนึ่งของดีที่หลวงปู่ชื่น ท่านได้แผ่พลังจิตสถิตมหาเวทมหามนต์ไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ครอบครอง วัตถุมงคลของท่านแทบทุกชนิด จะมีเทพเทวารักษาอยู่ ผู้มีความสามารถสำเร็จทางจิตหลายท่านนำวัตถุมงคลของท่านไปตรวจสอบ หลายท่านยืนยันตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ว่า อิทธิวัตถุมงคลที่หลวงปู่ชื่น อธิฐานจิตบรรจุมหาเวทมหามนต์ว่า “มีเทวดาที่เป็นบริวารพระสยามเทวาธิราชรักษาอยู่มีรัศมีสีทอง ใส่ชฎา ทรงพระขรรค์มีอิทธิฤทธิ์บารมีสูง ควรบูชาไว้ในที่สูง” ที่บอกกล่าวใช่ว่าจะชี้นำหรือชักชวนให้เชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณ เพราะเรื่องของทางจิต เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างหรือจับต้องได้ ถ้าอยากทราบ คุณต้องฝึกสมาธิเอาจิตเข้าไปดูกันเอาเองครับ เห็นว่ามันแปลกเพราะเมื่อตรวจสอบแล้วพูดตรงกัน ปกติแล้วพระปฏิมาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ทุกชนิด ท่านจะบรรจุด้วยมนต์อาถรรพณ์ราชาธิราช หรือ  อาถรรพณ์มหาจักรพรรดิ์ เป็นสายพระเวทที่สืบทอดมาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ใช้สวดบูชาเป็นประจำ ทำให้พระองค์มีชัยชนะไปทั่วสารทิศ ศัตรูที่คิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง และอีกบทที่เกี่ยวกับเทวดา คือ มนต์เทวา 4 ทิศครับ ท่านว่า เดินทางไปทิศไหน เทวดาที่ประจำทิศนั้นจะมาปกปักษ์ดูแลรักษา วัตถุมงคลของท่านมักจะบอกเสมอว่าให้เก็บไว้ในที่สูง วันพระควรถวายดอกมะลิหรือซื้อน้ำหอมมาฉีดถวาย ถ้าศิษย์หลายท่านที่เคยไปกราบท่านที่วัดในกุฏิท่าน ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นขวดน้ำหอม ซึ่งท่านจะฉีดวัตถุมงคล ศิษย์หลายท่านคงทราบดี “ขุนแผนชมตลาด” เท่าที่ผมจำได้ ท่านเคยบอกว่า “ดีทางเขาสังคม เด่นสง่ากว่าเขา” เคยมีศิษย์จากกรุงเทพ เดินทางไปหาท่านไปร่วมทำบุญสร้างอุโบสถกับหลวงปูชื่น ก่อนจะลากลับ หลวงปู่ชื่น ท่านได้มอบ “ขุนแผนชมตลาด” ให้ไป ศิษย์ท่านดังกล่าวได้ถามหลวงปู่ชื่นว่า “ดีอย่างไร?” หลวงปู่ชื่นบอกว่า “พรุ่งนี้เองลองพกไปตลาดดู” เมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ รุ่งเช้าก็ลองพกพระติดตัวไปซื้อของที่ร้านไหน แม่ค้าก็แถมของให้เป็นพิเศษ แต่ที่แปลกคือ เวลาซื้อของ แม่ค้าจะทอนเงินผิดแทบทุกร้าน “พระขุนแผนชมตลาด”ชุดนี้ท่านเสกจนต้นไม้ข้างกุฏิโค่นลงมาเลยครับ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องลองเอาไปใช้ดูครับ เพราะคืนนั้นผมไปนอนกับท่านที่กุฏิจึงได้เห็นเหตุการณ์แต่เรื่องบางอย่างพูดมากไปก็ไม่ดี เรื่องบางเรื่องมัน “เหนือคำบรรยาย”เป็นเรื่องยากที่จะบอกกล่าว เรื่องของจิตเรื่องของพระเวทย์หรือพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติ และค้นคว้าถึงจะบรรลุเป้าหมาย  ประเภทปฏิบัติแต่ไม่ยอมค้นคว้าศึกษา หรือ ศึกษาค้นคว้า แต่ไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไรจริงมั๊ยครับ


บทความผลงานการเขียนของ อ.สรายุทธ

~.อ้อมกอดสุดท้าย.~

หลวงปู่ชื่น ท่านเป็นพระเก่งมากบารมี
แต่ชอบเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

เรื่องความรักความเมตตาที่มีต่อศิษย์มากมายเหลือคณานับดั่งมหาสมุทรที่ไร้ฝั่ง

เคยมีเด็ก ญ. แถวๆวัด เกิดมาไม่ค่อยแข็งแรงนัก ทราบมาว่าเป็นโรคโปลิโอ

หลวงปู่ก็ใช้พระเวทพระมนต์ รักษาจนหาย

ไปแข่งตะกร้อโรงเรียนหลวงปู่ท่านก็เมตตาลงยันต์ที่เท้าให้จนได้แชมป์

เด็กคนนี้เมื่อก่อนมักจะมาส่งข้าวให้หลวงปู่อยู่เสมอ

หลวงปู่ท่านก็ให้เงินไปโรงเรียนเป็นค่าตอบแทน
ซื้อโทรทัศน์โทรศัพท์ให้

หลวงปู่ท่านไปไหนมาไหนกลับมาก็มีของมาฝากเสมอ

สืบต่อมาแม่เด็กคนนี้ล้มป่วยเป็นมะเร็ง หลวงปู่ท่านก็ให้ผมไปหาโน่นนี้นั่น ตามที่ท่านสั่งเพื่อจะมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้น

หลวงปู่ท่านว่า..แกหมดอายุขัยแล้ว ต่อไม่ติด

ฝ่ายทางลูกสาวผู้ป่วยก็วิ่งไปหาหมอดู ที่ร่ำลือกันเป็นยิ่งนักว่า..

หมอดูตาทิพย์ แม่นยำฉมังสุด

หมอดูแกว่า..

อีก 3 วัน ผู้ป่วยก็จะสิ้นใจ

ลูกสาวถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว การพลัดพรากศาสดาท่านว่า..

เป็นเรื่องธรรมดาไม่จากวันนี้ วันหน้าก็ต้องพราก

แต่คนสมัญชนคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้ถูกฝึกจิตถึงขั้นอริยะบุคคล

การสูญเสีย ของอันเป็นที่รักแห่งตน

จึงเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจเป็นยิ่งนัก

ดั่งวลีที่ว่า..

ไม่เจอกับตัวเอง ไม่รู้หรอก


เพื่อให้ผู้อ่านจิตตนาการให้เห็นภาพได้ชัดขอยกตัวอย่างสมมุติ..

วันเวลาดังนี้ครับ..

สมมุติว่า..ไปดูหมอวันอาทิตย์

หมอดูบอกว่า..

อีกสามวันแม่จะสิ้นใจ หมายความสมมุติว่า..

วันพุธแม่จะเสีย

เผอิญ วัน ศุกร์  จะเป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกสาว

ทางลูกสาวจะมาเล่าเรื่องราวที่ไปดูหมอมาเล่าให้หลวงปู่ฟัง

หลวงปู่ท่านว่า ..จริงของเขา

ให้อีนางทำใจนะ อย่างไงหลวงปู่ก็ไม่ทิ้งเอง


หลวงปู่เจ้าขา..อย่างไงหนูขอให้แม่มีอายุถึงวันเกิดหนูนะเจ้าค่ะ



หลวงปู่ท่านนั่งเงียบ

ไม่มีใครล่วงรู้และทราบได้ว่า..

ท่านกำลังคิดอะไรอยู่.

ก่อนที่ท่านจะพูดขึ้นมาว่า..

อีนางเอ็งกลับบ้านไปดูแม่เถอะ

คืนนี้หลวงปู่จะลองขอเขาให้


ค่ำคืนของวันพุธ

ตามกำหนดการ ที่พญามัจจุราชท่านกำลังทำหน้าที่ของท่าน อย่างเที่ยงตรง สมบูรณ์

อาทิตย์อัสดง นกหนูกาไก่ เริ่มกลับรัง


ล่วงเลยเวลามามากกว่า 3 ช.ม.

ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว

มีเพียงแสงจันทร์และเเสงไฟน้อยๆ
จากหลอดนิออนเล็กๆ ดวงหนึ่ง

ลอดแสงมาจากร่องกุฎิเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่มุนหนึ่งของป่าช้า

เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมมา ชมแสงจันทราว่าเพลานอน

แต่หลวงปู่ท่าน..นั่งรอเวลา

รออะไรสักอย่าง

เพื่อจะทำพิธีการสำคัญบางอย่าง

ด้วยอาการเตรียมพร้อมเสมอ


ราตรีนี้มีเราเพียงสองคน ผ่านความทุกข์ทน
ตรากตรําทํางาน เพื่อปลดปล่อยบ่วงทุกข์แก่เวไนยะ


นอนเถิดลูกหลานรัก พักผ่อนให้สบาย ...
หลวงปู่ชื่น จักปกป้องดูแล

ห้วงเวลาแห่งเวลาที่รอคอยก็บังเกิดขึ้น

เมื่อหริดหริ่งเรไร เงียบเสียงลงอย่างผิดปกติ

ซึ่งแปลกไปจากก่อนหน้านี้

ความสงบเงียบ วังเวง  จนรู้สึกได้

ไม่มีแม้นกระทั่งสียงลมกระทบใบไม้

ก่อนที่จะได้ยินแสงนกแสกร้องก้องอากาศ

บินตัดวัดมุ่งตรงไปทางบ้านผู้ป่วย

หลวงปู่ท่านรู้ฤกษ์พระกาฬจร
ท่านจึงทราบว่า.

วันไหน  เวลาใด พระกาฬจะจรมาจากทิศไหน

สิ้นเสียงร้องของนกแสก

อีกหนึ่งพญานกแห่งรัตติกาล
ที่โบราณเชื่อว่า เป็นพาหนะของพระกาฬเจ้า

หลวงปู่ชื่น ท่านจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

ก่อนจะนั่งสมาธิไม่ไหวติง

ทันทีทันใด วินาทีนั้นเอง

อากาศก็กลับพลันป่วนแปรอีกครั้ง

จากก่อนหน้าที่เงียบสงบ จนเเทบจะได้ยินเสียงหายใจของตนเอง

ก็บังเกิด กระแสลมดั่งพายุโหมกระหน่ำ
เสียงใบไม้ต้องสายลม ทอดเสียงดังเกรียวกราวไปตามทิศทางลม . สนั่น, ดังลั่น,

เสียงอื้ออึง หวีดลั่นเซ็งแซ่ ไปทั้งคุ้งป่าช้า

ประหนึ่งดั่งว่า..

พระกาฬทรงพิโรธ ที่มีใครมาขว้างภาระกิจอันเที่ยงธรรมของท่าน

ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านก็ยังคงนั่งสมาธิสงบนิ่ง เยือกเย็น แต่ดูทรงพลังกล้าแข็งดุจหินผา

เปลวเทียนต้องลม จากลมพายุที่ลอดผ่านเข้ามาในกุฎิ


ดูที..รึ..!!

พระเพลิงบนยอดเทียนส่ายไปเอียงมา แสง ไฟ ริบ ห รี จะ ดับ แหล่ มิ ดับ แหล่ ฉาย ไป จน เห็น

ร่างของหลวงปู่ชื่น ที่ต้องแสงเทียน สว่าง สลัว สลับกันไปมา ตามแสงของไฟเทียน

ที่บางทีก็ริบรี่ บางทีก็สว่าง ด้วยกำลังของลม

ดูช่างน่าระทึกเป็นยิ่งนัก

เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่ได้จดจำ

ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง

เสียงหรีดหริ่งเรไร ก็เริ่มส่งเสียงขานรับกันไปมาอีกครั้ง

จากน้อยไปหามาก จนเสียงดังลั่นไปทั่ว อีกครั้ง

เปลวเทียนที่ไหวไปมาก่อนหน้าก็สว่างสงบ ลุกโชติช่วง ดั่งเดิม

ให้ความรู้สึก อบอุ่นขึ้นมามากโข

หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็ถอดสมาธิ ก็ที่จะเข้าห้องจำวัตร

รุ่งเช้าของวันใหม่

ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับท่านแม้นจะมีคำถามมากมายในหัวสมอง จากเหตุการณ์เมื่อคืน

ของบางอย่างเราต้องรู้กาลรู้วาระที่เหมาะสม

บางที บางเรื่อง บางครั้งบางคราว

เราก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ในทันทีทันใดก็ได้

หลวงปู่เป็นพระที่แปลกอยู่อย่าง

เวลาอยากรู้  บางครั้งท่านก็ไม่บอก

แต่พอหมดอยาก ท่านกลับเล่าให้ฟัง

ผมอยู่กับหลวงปู่ตลอดไปไหนไปกัน ทำไมจะไม่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี

ตอนนั้นผมคาดการณ์เอาเองว่าต้องสำเร็จแน่

ผลคือผู้ป่วยไม่หมดลมตามที่หมอดูตาทิพย์ทำนายไว้

ล่วงเลยมาถึงวันครบรอบคล้ายวันเกิดของ เด็ก ญ.

เค้าได้มีโอกาสอยู่กับมารดา
ได้กอดมารดาอย่างมีความสุข

ถึงจะเป็น..

อ้อมกอดสุดท้ายของคนทั้งสอง
มันช่างมีความสุขเป็นล้นพ้นเกินจะบรรยาย

ก่อนที่รุ่งเช้าวันต่อมามารดาจะลาลับอย่างไม่วันหวนกลับ


ความลับเรื่องนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่า.

ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ของการขอบิณฑบาตต่อรองกับพญามัจจุราชไว้

มีผมเท่านั้นที่ทราบว่าแผ่นทองเปลวแห่งเมตตา

ที่ปิดหลังพระครั้งนี้


ใครเป็นคนปิด


#.ขอให้เจ้านั้นสุขใจ หลวงปู่ก็มีความสุขแล้ว.#


สัจธรรม  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เป็นธรรมดา.
   

“พักผ่อนเสียบ้าง เพราะว่า ถึงเราจะทำไปมากมายสักเท่าใด ก็เท่านั้นแหละ เมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สักชิ้นเดียว เราต้องทิ้งไว้ในโลกนี้เท่านั้น จึงควรมีการพักผ่อน.”
หลักพิจารณา ๕ ประการ: “ อภิณณหปัจจเวกขณะ ”.

       เรามีความแก่เป็นธรรมดา...หนีความแก่ไปไม่พ้น.

       เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา...หนีความเจ็บไปไม่ต้น.

       เรามีความตายเป็นธรรมดา...หนีความตายไปไม่ต้น.

       เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก  ที่ชอบใจ เป็นธรรมดา...เราหนีจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ไปไม่พ้น.

       เราทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว...เราจะหนีจากผลที่เราได้ทำไว้ไม่ได้เด็ดขาด.

“การทำตามคำสอนของตถาคต ก็คือ ไม่โกรธในการประทุษร้ายของโจรคนนั้น  แม้เขาจะเลื่อยขาเราก็ยังไม่โกรธ  เรามีความควบคุมจิตใจได้  เราอดได้ เราทนได้ เรายิ้มรับกับเหตุการณ์ได้  นั่นแหละชื่อว่าได้  ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.”

“เธออย่าไปยินดี ยินร้าย กับคำพูดของคนใดๆ เขาพูดชมเราก็อย่ายินดี พูดติเราก็อย่ายินร้าย.”

“พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ดีนา  บอกว่า ใครมาด่าใครคนหนึ่ง  แล้วใครคนนั้นโกรธ ด่าตอบอีกคน  คนที่ด่าทีหลังเลวกว่าคนแรก .”

“อุดมการณ์ของชีวิตไว้ว่า  เราเกิดมาเพื่อความดี  เราอยู่เพื่อความดี  เราจะคิดแต่เรื่องดี  จะพูดแต่เรื่องดี จะทำแต่เรื่องดี  เราจะไม่คิดเรื่องชั่ว เรื่องร้าย  เพราะสิ่งนั้นมันจะทำให้เรามีราคาน้อยลงไป จนกระทั่งหมดราคาการเกิดมาแล้วทำให้ตนหมดราคานั่นเขาเรียกว่า เสียชาติที่ได้เกิดมา ไม่ได้เรื่องอะไร.”

“ความจริงแท้นั้นไม่มี  พระพุทธศาสนาสอนเรื่องไม่มี  ส่วนลึกเรื่องไม่มี คือ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีอะไร ทั้งนั้น

(ต้องคิดอย่างละเอียด)”.

“ ไปเก็บเอามานั่งกลุ้มใจเล่นๆ เรื่องเก่า ๗ วันแล้ว ๓ เดือนแล้ว ๓ ปีแล้ว เอามานั่งคิดให้กลุ้มใจเล่น เหมือนไม่มีงานทำ เป็นคนว่างงาน  เลยหาเรื่องให้กลุ้มใจเล่น มันเรื่องอะไร? ”

การเข้าถึงแก่นแท้ของพระรัตนตรัย
      การทำอะไรที่เป็นวัตถุนั้น  ทำแต่น้อยพอสมควร  แต่ว่าการทำตนให้เข้าถึงเนื้อแท้ขององค์พระพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ. เราอย่าไปยึดถืออะไร แต่ให้เรารู้ว่าเรามีกายมีใจ  ใจเรานี้จะต้องปฏิบัติเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง คือ “ความพ้นทุกข์”.

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้