|
เป็นกระทู้ที่คุณโอทำไว้ให้ครับ น่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่คิดจะเลี้ยงกุมารครับ
เป็นบทความที่ลงหนังสือพิมพ์ " เสรีชัย " โดย อาจารย์เล็ก พลูโต ได้เขียนถึงกุมารทองของหลวงปู่ชื่นเอาไว้ทั้งหมด 4 ตอน ( ขณะนี้ )
ดังนั้นผมขออนุญาต Copy มาลงไว้ให้ชาว คศช. ได้อ่านกันนะครับว่า กุมารทองของหลวงปู่ชื่นนั้นอีกหน่อย ชื่อเสียงมากกว่านี้แน่นอน ( ซึ่งตอนนี้ก็ดังพอควรแล้ว ) เพราะผู้ที่บูชาไปมีประสบการณ์กันทุกคนครับ
.......................................................................
กุมารทอง หลวงปู่ชื่น วัดตาอี (๑) โดย อ.เล็ก พลูโต
เอ่ยชื่อ “กุมารทอง” เชื่อว่าผู้อ่านน้อยรายนักที่จะไม่รู้จัก เพราะกุมารทองนั้นเป็น ๑ ใน ๓ ของวิเศษที่ “ขุนแผนแสนสะท้าน” นักรักนักรบในวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ต้องเสาะแสวงหาเพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้กับตนเอง หลังจากศึกษาเวทมนตร์คาถาจนเจนจบ เสกเป่าร่างกายให้อยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า หรือ “หนังเหนียว” มีมนต์สะกดหญิงสาวทั้งหลายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกได้ในพริบตาเดียว, ล่องหนหายตัวได้, เสกหุ่นพยนต์ เสกใบไม้ให้เป็นต่อแตน ทำร้ายข้าศึกได้ ฯลฯ แต่สิ่งที่ขุนแผนทำไม่ได้ก็คือ เหาะเหินเดินอากาศ หรือ ดำดิน แถมยังมีฝีมือการสู้รบทุกรูปแบบอย่างชำนิชำนาญอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ชายไทยหลายต่อหลายคน เคลิบเคลิ้ม เป็นปลื้มในตัวขุนแผน อยากเป็นขุนแผน หรือประพฤติตัวเลียนแบบขุนแผนไปตามกัน
ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นได้กล่าวถึง กำเนิดของกุมารทอง ไว้ดังนี้คือ ขุนแผนจับได้ว่านางบัวคลี่เมียของตน คิดวางยาพิษเพื่อจะฆ่าตน จึงได้ลงมือฆ่านางบัวคลี่ แล้วผ่าท้องของนางเพื่อเอาบุตรชายภายในท้องนั้นมาทำเป็นกุมารทอง โดยทำพิธีสุมไฟย่างศพเด็กในป่าช้า และปิดทองคำเปลวทั่วตัวจนเหลืองอร่ามดังทอง ใช้อาคมปลุกเสกวิญญาณให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือภูติผีปีศาจทั้งปวงจนกระทั่งกลายเป็น “กุมารทอง” แล้วใส่ห่อผ้าไว้ กุมารทองจัดได้ว่าสำคัญกับขุนแผนมาก เพราะกุมารทองนั้นก็เป็นบุตรคนหนึ่งของขุนแผนเช่นเดียวกัน เมื่อประกอบพิธีกรรมสำเร็จแล้ว ได้แสดงปาฏิหาริย์พาขุนแผนขี่คอ เหาะเหิน หายตัว ตีฝ่าวงล้อมกลุ่มโจรที่มีหมื่นหาญพ่อตา หรือบิดานางบัวคลี่เป็นหัวหน้าออกมาได้
เหตุที่กุมารทองนั้นถูกจัดให้เป็นของวิเศษอย่างหนึ่งนั้น สันนิษฐานได้ว่าได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยขุนแผน อันเป็นเรื่องแต่งมีเค้าโครงเรื่องจริงซึ่งอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยา และได้รับการสืบทอดวิชามาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ แต่การสร้างกุมารทองนั้นไม่สามารถทำแบบขุนแผนได้เนื่องจากผิดทั้งกฎหมาย และศีลธรรม
เมื่อไม่สามารถผ่าศพเด็กจากท้องแม่มาเป็นกุมารทองได้ ดังนั้น ครูอาจารย์ที่สิบทอดวิชา จึงกำหนดให้สร้างกุมารทองโดยอาศัยรูปปั้นเป็น รูปกุมารไว้ผมจุกปักปิ่น นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีสร้อยสังวาลย์ และกำไลข้อมือข้อเท้า ทั้งในอิริยาบถท่านั่งสมาธิพนมมือ และท่ายืนพนมมือ นั่งกวักมือ ถือพานเงินพานทอง ฯลฯ จากวัสดุอาถรรพณ์ต่างๆ เช่น ดินเจ็ดป่าช้า เถ้ากระดูกเจ็ดเมรุ ดินเจ็ดโป่ง ดินเจ็ดถ้ำ ดินเจ็ดท่าน้ำ ดินเจ็ดนา ดินเจ็ดสวน เถ้ากระดูกเด็กเจ็ดคน โกศเด็ก ๙ โกศ ตะปูตอกโลงผี ๑๐๐ ป่าช้า ไคลเสมาเจ็ดวัด ฯลฯ โดยเผาดิน หรือหล่อหลอมโลหะ และมวลสารตามฤกษ์โบราณ
กุมารทองเป็นวัตถุบูชาที่รู้จักกันดีมาอย่างช้านานมาแล้วว่า มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายด้าน ใช้เพื่อปกป้องคุ้มครอง และให้โชคลาภแก่เจ้าของ เช่น ทำมาค้าขายดีขึ้น เรียกลูกค้า ดลจิตดลใจ เฝ้าสวนเฝ้าบ้าน เตือนภัย กันขโมย กันภูตผีปีศาจ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นไสยศาสตร์ในสายวิชาวิญญาณศาสตร์ ผู้สร้างต้องสำเร็จนิพพานสูตร สามารถควบคุมอำนาจจิตใจของดวงวิญญาณ หรือผีได้ มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากครูบาอาจารย์อย่างถูกต้อง ตามหลักของวิชานั้นๆ ไม่สามารถเรียน หรือสำเร็จได้ทุกคน
ดังนั้นกุมารทองจึงถือเป็นวัตถุมงคลที่มีอิทธิฤทธิ์ และความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นที่ต้องการของพ่อค้านักธุรกิจ ข้าราชการ วงการศิลปิน ดารา นักแสดง ตลอดจนอีกหลากหลายอาชีพ ด้วยประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ ที่แสดงฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ เรียกทรัพย์ เฝ้าบ้าน ค้าขาย ป้องกันภัย ฯลฯ ให้ปรากฎเล่าขานกัน จนเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไป ซึ่งถ้าไม่ดีจริงเป็นที่ประจักษ์แล้วนั้นคงจะไม่รุ่งเรือง และเป็นที่นิยมแสวงหากันมาสะสมบูชากัน จนทำให้มีมูลค่าที่สูงมากในยุคปัจจุบัน (กุมารทองหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก สวยสมบูรณ์ ราคาห้าหมื่นบาทขึ้นไป)
กุมารทอง เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ไม่เฉพาะของไทยเท่านั้น พวกเขมร แขก ลาว พม่า ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกัน และเชื่อกันมานานหลายร้อยปี หรือนับเป็นพันปีก็ได้ (มีการพบรูปปั้นกุมารทองในกรุต่างๆ หลายกรุ นัยว่าสร้างเอาไว้เพื่อเฝ้าทรัพย์สมบัติ) ที่มาของกุมารทองมาจากการเลี้ยงภูติผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะเป็นวิญญาณของเด็กผู้ชาย หากเป็นวิญญาณผู้หญิงที่คนเลี้ยงไว้จะเรียกว่า "โหงพราย"
กุมารทองนั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่ หรือที่เรียกว่า ตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก จากหลักฐานที่พบในเอกสารโบราณระบุถึงการทำกุมารทองสรุปว่า ต้องหาศพที่ตายทั้งกลม (ขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ที่ท้องแก่จวนคลอดจนเป็นผีตายทั้งกลม) แล้วประกอบพิธีกรรมเผา ไม้ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงต้องเป็นไม้มงคล ถูกต้องตามตำรา เช่น ไม้กันเครา ไม้เถากันภัย ไม้ชัยพฤกษ์ ฯลฯ เป็นต้น และต้องเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมารทอง
ต่อมาสภาพสังคม และวัฒนธรรมพัฒนาไปมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถสร้างกุมารทองจากศพทารกจริงๆ ได้ จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อน หรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง ๔ และเรียกอาการสามสิบสอง ให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา
|
|