ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

[คัดลอกลิงก์]
หลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ
วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่
   ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นลับหายตายจากไปหลายคน  ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุด ๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง  ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น
   ?หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย  ตรงกับปี พ.ศ. 2461  เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล  ประเทศกัมพูชา  โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร
   ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก  และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ๆ  พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน
   หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า ?ติคญาโณ? เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั่นเอง
   ?หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก?
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  มีศีลจารวัตรที่งดงาม  ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์  และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)
   ?หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้?
ได้อาจารย์เก่งวิชาทุกด้าน

   หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สายเขากุเลน ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ ?หลวงปู่เอื้อย และหลวงปู่ดี สุวรรณดี สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา
   หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า พรเวทวิทยาคม ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่าง ๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น
   ?หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ  โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น  หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร  ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน?  ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมาย  จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงปู่ดี  สุวรรณดี  บน ?เขากุเลน? ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูง  และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้
   ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ  ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
   หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า ?หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิด  ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้  และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้  ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้  ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย?  หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว  ท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟัง  ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง  ?การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้  ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย หลวงปู่ชื่นกล่าว
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียนคือท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์  หรือวิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ  เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน  จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า ดีจริง-เห็นผลจริง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในชณะนี้
   ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่น  เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่ชื่นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้น เพราะลูกศิษย์บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่  จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใด ๆ ก็ตาม  ผู้เขียนขอเป็นสื่อ  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่  หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้ว  ขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน  เพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไป  ตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง

พบสหธรรมิกเก่า   
   หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมาย  จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี  จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น ?สหธรรมิก? (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน
   หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้ว  ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน  หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกัน  หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว  ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน  แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้  หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน  จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า
   หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร
   หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที
   อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา
   หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วย  เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี  ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก  นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เพชรเริ่มทอแสง
   หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดา  แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี พลังจิต และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น  ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมาย  จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี ?พลังมหัศจรรย์? ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล  อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ  ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด  ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก  อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า
   ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์
   เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้น  ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ  ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไร  เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด
   ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า ห้ามลงอาบน้ำในสระ เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด
   หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง  และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ
   สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน
   เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด  ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้  และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย...
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์ ยอดพระเกจิอาจารย์สายเขมรที่มีสายพระเวทย์สุดเข้มขลังเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีพลังจิตญานขั้นสูง หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ สายวิปัสนากรรมฐาน ถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์สายเขากุเลนซึ่งเป็นสถานที่ ในการเจริญวิปัสสนากรรรมฐานและพระเวทย์วิทยาคมขั้นสูง และยังเคยฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้น้อยคนที่จะรู้จัก วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสก ล้วนแล้วแต่แรง เห็นผล และสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางมหาเสน่ห์ เมตตา-มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรายการที่สร้างออกมาแล้วสร้างประสบการณ์ใช้กับผู้ใช้บูชามากเป็นที่กล่าวขานกัน เช่น กุมารทองดูดรก(พรายขอดทรัพย์) พระปิดตามหาลาภลอยองค์ฝังตะกรุดทองคำ ฝังแร่  ที่มีประสบการณ์สูงทางด้าน โชคลาภ ค้าขาย และ ขุนแผนขุนแผนนาคเกี้ยว ของท่านก็เป็นที่นิยมสูง ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านอยู่ไม่ขาด เพราะว่าใช้แล้ว
พุทธคุณครอบจักรวาล เห็นผลทันที เมื่อลูกศิษย์ใช้บูชา ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ในประเทศ และ ต่างประเทศ มากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
metha ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 13:29
ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคน ...

ความเมตตาของอาจารย์ที่มีให้แก่ลูกศิษย์ สาธุ
MarcoReus ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 12:45
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน ...

ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคนครับ

ศิษย์บ้างคนที่ด่าอาจารย์ลับหลัง
ผมก็เห็นอาจารย์ยังรักยังเมตตาเค้าเลย
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน่าปลื้มใจมากๆครับ
มาแล้วๆ รอมาเป็นปี
สาธุครับ
พระกับผี

พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล

ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่


และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง

ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน


เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้

หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด

ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้


ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า..



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่

ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจ อีกต่อไปไว้ได้



จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


มี มือเด็กยื่นออกมาจากห้องของหลวงปู่ชื่น

พร้อมพระเครื่องที่กำอยู่ในมือ ส่งมาให้หลวงปู่



(ซึ่งจุดที่หลวงปู่ชื่นนั่งกับประตูห้องที่เปิดอยู่ ห่างกันไม่มาก)

จากคำบอกเล่า..รายงานว่าเห็นแต่มือยื่นออกมาเลยข้อศอกไปนิด

ซึ่งสีผิวจะขาวแตกต่างจากสีผิวคนทั่วไป

และชายหนึ่งในกลุ่มเกิดความสงสัยว่าหลวงปู่ชื่นเป็นพระ

เหตุใดจึงนำเด็กผู้หญิงมาไว้ในห้องจำวัตรของท่าน

จึงถือวิสาสะลุกขึ้นเดินไปดูที่ห้องทันที..

ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า  !!!

ห้องของหลวงปู่ชื่น ไม่ได้ใหญ่มาก

และไม่มีที่จะให้หลบซ่อนแต่ประการใด...

หรือเด็กจะกระโดนหนีทางหน้าต่างยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะหน้าต่างก็ปิด

และช่วงเวลาที่เห็นมือเด็กยื่นออกมา

กับช่วงที่ลุกขึ้นไปสำรวจห้อง ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10.วินาที

ไม่ท่านแรกที่เข้าไปสำรวจห้องของหลวงปู่ชื่น แต่ไม่เจอเด็กแต่ประการใด.

จึงร้องอุทานเสียงหลง ว่า...

ไม่เห็นมีเด็กเลย แล้วมือที่เห็นเป็นมือใคร  ???

เป็นเรื่องล่ะที่นี้..คณะศรัทธาที่มาด้วยกันก็จุลีกุจอลุกขึ้นมาที่ห้องของหลวงปู่ชื่นกันใหญ่

พร้อมกับช่วยกันกวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของมือปริศนา..ดังกล่าว

จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กัน อยู่ชั่วครู่

ก่อนที่จะตั้งคำถามกับหลวงปู่ชื่น เพื่อบีบเค้นหาความจริงให้ได้ว่ามือปริศนา

เป็นมือของใคร..???

หลวงปู่ชื่อท่านไม่ตอบ หรือ ให้ความกระจ่างอันใด

มีแต่รอยยิ้ม สลับกับ เสียงหัวเราะ แทนคำตอบ

เมื่อทราบว่าไม่ได้คำตอบจากหลวงปู่ชื่นแน่นนอน ทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวัตถุมงคลอีกครั้ง

และเมื่อได้วัตถุมงคลที่ทุกท่านต้องการ ตามตั้งใจและความปรารถนา

ตามที่ตั้งใจกันมาแต่แรก ครั้นเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว

จึงกราบลาหลวงปู่ชื่น เพื่อเดินทางกลับ

หลังจากทุกคนขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับ  


ขณะที่รถ
..กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากข้างกุฏิของหลวงปู่ชื่น



เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ถึงมือปริศนา ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ภายในรถตู้

คนขับรถ ก็พูดขึ้นมาว่าผมไม่เชื่อ พวกคุณอดหลับอดนอนมาทั้งคืน อาจจะตาฝาดกันก็ได้

พร้อมกับเสียงหัวเราะ ลั่น

ชั่วครู่..!!!เสียงคนในรถสามสี่ท่าน ก็ตะโกนเตือน คนขับรถตู้เกือบจะพร้อมๆกันว่า..

ตอไม้ พี่ ๆ ตอไม้  ระวังรถจะชน

แต่คนขับรถพูดตอบกลับมาว่า..
นั่นมันหมาไม่ใช่ตอไม้ครับ
พร้อมกลับเหยียบคันเร่งต่อไป

คงคิดว่าหมาคงจะวิ่งหนีไปเอง


พักเดียว..รถตู้เหมือนชนอะไรบางอย่าง เสียง..สปอยเลอร์หน้าแตกเสียงดังลั่น

เมื่อคนขับรถตู้ลงไปดู กลับเป็นตอไม้จริง ๆ ไม่ใช่หมาอย่างที่ตนเองเห็น


จึงเกิดความคิดว่าตนเองคงจะคิดดูถูกดูแคลนหลวงปู่แก่ๆ ในกุฏิไม้เล็กๆท่านนั้น

จึงขอนุญาติผู้ว่าจ้างถอยรถเพื่อไปกราบขมาหลวงปู่ชื่น

เมื่อกราบขอขมาเเทบเท้าหลวงปู่ชื่นแล้ว



หลวงปู่ชื่นท่านได้พูดขึ้นมาว่า..

สิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง





ภาพแห่งความทรงจำ "หาเงินซื้อมาม่าหลวงปู่ชื่นจะเอาไปให้คนจนที่เขมร"

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
อ่านแล้วน้ำตาไหลตอนที่หลวงปู่ไปเยี่ยมลูกศิษย์โดนขัง
พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล


ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่

และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน

เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้


หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด


ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้

ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่ ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที

เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจอีกต่อไปไว้ได้

จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


โปรดติดตามต่อ


morntanti ตอบกลับเมื่อ 2013-8-3 23:31
ใน หนังสือสวดมนต์ เลยจ้า...อิอิ

ร้องไห้ทำไมคร้าบพี่น้อง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้