Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ลึกลับ "คณะแดง" วัดบวร [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:31
ชื่อกระทู้: ลึกลับ "คณะแดง" วัดบวร
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2016-7-24 17:34

ผีภายในวัดบวรนิเวศฯ ที่มาปรากฏกายให้พระสงฆ์เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในอดีตนั้นเล่ากันมาว่ามีหลอกกันหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่มักมาปรากฏร่างให้เห็นแล้วก็แวบหายไป หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะให้เห็นแต่พระ เณรและเด็กวัดไปเห็นเองโดยบังเอิญก็มี ทำไมที่วัดนี้จึงเป็นต้นตำรับผีที่ร่ำลือกันว่ามีเยอะนัก และที่เห็นกันส่วนมาก ก็มาในรูปของหญิงสาวในชุดไทย และเด็กผมจุกแต่งตัวโบราณ


เหตุที่เป็นเช่นนี้คงเพราะที่แห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ของเจ้านายผู้มีเชื้อสายและขุนนางผู้ใหญ่มาแต่โบราณ เป็นวัดใหญ่ที่สร้างมานานจึงมีเสนาสนะมีพระอุโบสถ วิหาร เจดีย์ หมู่กุฏิพระ พระตำหนักต่าง ๆ และเรือนไทยอันสวยงามมากมาย ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมยุคเก่า สภาพภายในวัดร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มองดูร่มเย็น และสงบเงียบด้วยเหตุนี้ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีวิญญาณมาอาศัยเยอะ เพราะสถานที่สวยงามและน่าอยู่ ดังนั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี ๆ สาง ๆ" จึงมีตามมาต่าง ๆ นานา


มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นเรื่องของ "ผีสาวโบราณ" ซึ่งท่านเจ้าคุณอมรโมลี (จุนท์ พรหมคตโต) เล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า ในสมัยก่อนยังมี "คณะแดง" ซึ่งเป็นหมู่กุฏิพระเก่าแก่ซึ่งเล่ากันหนาหูว่า "ผีดุ" นัก มีพระเก่า ๆ หลายรูปรวมถึงเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในคณะแดง เคยเล่าให้ท่านเจ้าคุณอมรโมลีฟังว่า เคยเห็นผีสาว 3 ตน ที่กุฏิหลังหนึ่งในคณะแดง เป็นกุฏิหลังที่อยู่ติดกับคูน้ำในวัด ผีสาว 3 ตน ที่พระและเด็กวัดเห็นนั้นเล่าตรงกันว่า แต่งตัวแบบโบราณคือนุ่งผ้าซิ่น ห่มผ้าสไบเฉียง แต่งตัวคล้ายกัน
เวลามาปรากฏตัวค่อนข้างจะพิสดารคือ ทั้ง 3 ตน จะชอบไต่อยู่บนเพดานกุฏิ เวลาลงมาบนพื้นเธอทั้ง 3 จะค่อย ๆ ไต่จากเพดานลงมา และยังชอบมานั่งเล่นแถว ๆ ระเบียงกุฏิโดยไม่สนใจว่าจะมีคนมาเห็นหรือไม่ และดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรที่พวกเธอชอบทำอยู่เป็นประจำหรือบางทีราว ๆ โพล้เพล้ใกล้ค่ำ ผีสาวทั้ง 3 ก็ชอบที่จะไปนั่งที่กุฏิใกล้ต้นประดู่ของคณะแดง แถมบางวันอาจมีเด็กผมจุกปักปิ่นน่ารักในชุดไทยมานั่งเล่นอยู่ด้วย ภาพจากมิติวิญญาณเช่นนี้ทั้งพระ เณร และเด็กวัดบวรฯ ในอดีตเห็นกันจนชินตา จึงเล่าสู่กันฟังรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาววัดบวรฯ


มาในภายหลังคณะแดงได้ถูกรื้อลงโดยคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จเจ้าอาวาสในยุคนั้นเพื่อสร้างอาคารใหญ่ ภปร. แทนที่ แต่ก่อนที่จะรื้อ ทางวัดก็ได้ทำพิธีบวงสรวง อัญเชิญวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่กุฏิคณะแดง และที่ต้นประดู่ไปอยู่ที่อื่นก่อน เพื่อความสงบเรียบร้อยระหว่างก่อสร้าง จนเมื่ออาคาร ภปร.แล้วเสร็จก็ดูเหมือนเรื่องวิญญาณผีสาวโบราณ 3 ตน และเด็กผมจุกก็จะเงียบ ๆ ลงไป คาดว่าคงจะไปหาที่อยู่ใหม่ได้แล้วหรือไม่ป่านนี้พวกเธอคงจะไปเกิดใหม่ที่ไหนซักแห่งแล้วก็ได้


เรื่องต่อมานั้นเกิดขึ้นกับพระภิกษุชาวต่างชาติที่เข้ามาบวชและปฏิบัติธรรมภายในวัดบวรฯ ในราวปี พ.ศ. 2517 - 2518
พระภิกษุรายนี้ชื่อ ยอร์ช เป็นชาวอังกฤษ ท่านชื่นชอบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และเคยออกธุดงค์ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์สายกรรมฐานทางภาคอีสานมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และหากกลับจากธุดงค์ท่านจะมาพักที่วัดบวรฯอยู่เป็นประจำ โดยทางวัดจะจัดกุฏิที่ "คณะสูง" ซึ่งเป็นกุฏิ 2 ชั้น เอาไว้สำหรับพระชาวต่างชาติที่มาขอบวชพัก
และที่คณะสูงนี้เองเล่ากันว่า พระภิกษุยอร์ชท่านเจอดีอยู่เป็นประจำ นั่นคือวันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงหวีดร้องเป็นเสียงสูงตรงหน้ากุฏิอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติมานาน จึงเห็นเรื่องผี และวิญญาณเป็นของธรรมดา ท่านจึงไม่กลัว
พอได้ยินก็จะเปิดประตูออกมาดู จึงได้เห็นเป็นเงาคนดำ ๆ อยู่บนเฉลียงตึก แล้วพอท่านเดินไปดูใกล้ ๆ ร่างนั้นก็กลับกลายเป็นโครงกระดูกทั้งร่าง พระภิกษุยอร์ชพอเห็นเช่นนั้นท่านกลับขำ จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้โครงกระดูกนั้นค่อยเลือนหายไป คล้ายกับมาปรากฏร่างให้ท่านปลง ซึ่งพระภิกษุยอร์ชก็ได้ขอให้มาปรากฏเช่นนี้ทุกคืน คืนหนึ่งก็มาให้นานสักหน่อย เพื่อท่านจะได้เพ่งพิจารณา ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามแนวทางของพระสายวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็จะแบ่งส่วนบุญส่วนกุศลให้จะได้พ้นจากการเป็นเปรต แต่คงเพราะความที่ท่านหัวเราะเสียก่อน เปรตตนนั้นจึงไม่เคยมาปรากฏกาย แสดงร่างเป็นโครงกระดูกให้ท่านเห็นอีกเลย

วัดบวรฯ ในยุคสมัยต่อมา เรื่องของผีโอปปาติกะ หรือวิญญาณทั้งหลายที่เคยปรากฏให้พระรุ่นเก่า ๆ เห็นก็คงเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากต่อๆกันมา กลิ่นไอของความเขย่าขวัญในเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังจึงดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะวิญญาณหรือ "ผี" ทั้งหลาย ที่มาปรากฏตัวให้เห็นนั้นไม่เคยให้โทษหรือทำร้ายใคร "ผี" ก็อยู่ในภูมิของ "ผี" ซึ่งอาจจะซ้อนอยู่ในภูมิเดียวกับมนุษย์ในบางสถานที่และบางเวลา




ขอบคุณที่มา...เว็บพลังจิตดอทคอม

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:34
เรื่องที่  3  "หลวงตาปริศนา"
.....ท่านเจ้าคุณอมรโมลีได้เล่าให้คุณสนิทฟังอีกต่อไปว่า นั่นเป็นเหตุการณ์ครั้งแรก
ที่มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารใหม่ ๆ ซึ่งมีเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่เจอจัง ๆ หน้าคือ
เมื่อก่อนที่ทางวัดจะ รื้อกุฏิคณะขาบบวรสร้างใหม่  ในคืนวันหนึ่งเดือนหงายจึงออกมาเดินเล่นแถวหน้า
กุฏิ "ดารากร" ซึ่งเป็นที่พักของท่าน ....เวลาประมาณ ๕ ทุ่มเศษก็จะขึ้นกุฏิโดยเดินไปล้างเท้าที่ก๊อก
น้ำประปา จึงได้พบกับพระภิกษุหลวงตารูปหนึ่งยืนครองผ้าห่มคลุมอยู่ที่ก๊อกประปานั้น
ถาม ว่า ใคร ท่านก็ไม่ตอบจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าก็ไม่รู้จักเพราะไม่ใช่พระที่วัดนี้
จึงได้ถอยกลับออกไปแล้วไปปลุกเด็กลูกศิษย์มาดู แต่ปรากฎว่าพอมาถึง หลวงตาแก่ ๆ นั้นได้หายไป
เสียแล้ว  เมื่อเจ้าคุณอมรโมลีเล่าจบ ท่านเจ้าคุณเทพกวี (บุญธรรม จิณฺณธมฺโม) แห่งวัดบวรนิเวศ
วิหารก็เล่าถึงเรื่องหลวงตาแก่ให้ฟังบ้างว่า  เมื่อคราวที่ทางวัดนี้รื้อกุฏิไม้คณะเขียวบวรเพื่อสร้างใหม่
เช่นเดียวกับคณะขาบบวร ลูกศิษย์ของท่านก็เจอหลวงตาแก่ ๆ ในยามวิกาลเหมือนกัน
กล่าวคือ ในคืนหนึ่งประมาณ ๓ นาฬิกา ลูกศิษย์คนหนึ่งได้ลุกขึ้นดูหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบไล่
ขณะที่นั่งอยู่บนเฉลียงชั้นสองของคณะเขียวบวรนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินก๊อก ๆ อยู่รอบ ๆ
บริเวณตึกที่กำลังสร้างใหม่ได้สงสัยว่าเพราะเหตุใดผู้รับเหมาจึงมาตรวจงานแต่ดึกดื่นเช่นนี้
จึงชะโงกหน้าไปดู...ก็พบพระหลวงตาผู้มีอายุสูงผู้หนึ่ง มีร่างสูงศีรษะโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นชั้นสองที่ตน
นั่งอยู่   กำลังเดินดูโน่นดูนี่อยู่ แต่ไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร เพียงแต่เห็นชัดว่าไม่ได้โกนผม
ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานนี้เป็นวันโกน ขึ้น ๑๔ ค่ำซึ่งพระเณรทั้งวัดโกนผมกันหมด แต่หลวงตา
องค์นี้ไม่ได้โกนผมก็นึกว่าเป็นผี เลยผลุนผลันรีบกลับเข้าห้องภาวนา
และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มาเล่าให้ท่านเจ้าคุณเทพกวีฟัง


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:39
เรื่องที่ ๑ "ชายลึกลับ"

"ลุงสาย กรูแก้ว" อายุ ๘๐ ปี อยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารมาประมาณ ๒๖ ปีเศษ ได้เล่าให้ฟังขณะคุณสนิทบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดบวรฯ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าได้ถูกผีหลอกกลางวันแสก ๆ ที่หน้าโบสถ์วัดรังษีสุทธาวาส

คุณสนิทถามว่า "ถูกผีหลอกอย่างไร"

ลุงสายตอบว่า ในตอนเช้าของวันหนึ่ง เมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๕๒๑ ตนพักอยู่ที่กุฎิของท่าน "เจ้าคุณธรรมดิลก (วิชมัย ปุญญาราโม)"
เมื่อตื่นนอนแล้วก็แต่งตัวถือไม้เท้าออกมาเดินเล่น เพื่อยืดเส้นยืดสายแถวหน้าตึกมนุษย์นาคมานพ โรงเรียนบวรนิเวศ ตามปกติ

ขณะเดินผ่านหน้าโบสถ์วัดรังษีสุทธาวาสซึ่งเป็นโบสถ์เก่า สมัยที่ยังไม่ได้ยุบวัดมารวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบ ๙.๐๐ น. แล้ว ได้เห็นชายวัยกลางคนๆ หนึ่งนุ่งกางเกงสีเทาสวมเสื้อขาว ตัดผมทรงแบบโบราณก้มหน้าอยู่ ตนเห็นผิดสังเกตุว่า ชายคนนี้มายืนอยู่ทำไม จึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะมองดูหน้าให้ถนัด แต่ชายนั้นกลับหันด้านข้างให้แล้วก็เดินผ่านรั้วเหล็กซึ่งสูงประมาณท่วมศีรษะเหมือนไม่มีอะไรมาขวางกั้น แล้วหายเข้าไปทางหน้าประตูโบสถ์วัดรังษีสุทธาวาส

ลุงสายเล่าต่อไปว่า เมื่อเห็นชายคนนั้นเดินผ่านรั้วเหล็กเข้าไปเฉย ๆ โดยประตูรั้วเหล็กก็ไม่ได้เปิดและชายคนนั้นก็ไม่ได้ปีนข้ามเข้าไป จึงเอะใจตามไปดูทางเฉลียงโบสถ์ทั้งสองข้างแต่ก็ไม่ปรากฎร่างของชายคนนั้น จึงเข้าใจว่า คงจะเป็นโอปปาติกะที่อยู่ในอุโบสถนั้นแสดงกายหยาบออกมาเดินเล่นในยามเช้าเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในระหว่างปิดภาคเรียน ไม่มีเด็กนักเรียนเลยจึงได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้พระภิกษุและคุณสนิท

เรื่องที่ ๒ "เจ้าที่แรง"

คุณสนิท ธนรักษ์ ได้เล่าเพิ่มเติมถึงอุโบสถวัดรังษีสุทธาวาสว่า คณะกรรมการสภาการศึกษาที่ตั้งอยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารเคยดำริจะรื้อครั้งหนึ่ง โดยจะสร้างใหม่เป็นตึกสองชั้นให้คู่กับตึกอีกหลังหนึ่งที่คุณกวี เหรียญวีระ อุทิศเงินสร้างเป็นห้องสมุดของมหามกุฏราชวิทยาลัย จะได้ใช้ประโยชน์แก่สภามหามกุฏฯ มากขึ้น ดีกว่าจะทิ้งเป็นอุโบสถร้าง ซึ่งในการดำริครั้งนั้น เงินค่าก่อสร้างก็มีอยู่พร้อมแล้ว โดยมีผู้แสดงเจตนาบริจาคไว้อย่างมีเงื่อนไขว่า ถ้ารื้อสร้างใหม่จึงจะบริจาค ถ้าซ่อมของเก่าไม่บริจาค

ทางวัดบวรนิเวศโดยท่านเจ้าประคุณ "สมเด็จพระญาณสังวร" และคณะกรรมการวัดพิจารณาเห็นว่าฝ่ายที่ต้องการให้รื้อมีเหตุผลเพื่อการศึกษา จึงได้ทำหนังสือถึงกรมการศาสนาเพื่อขอให้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต แต่ไม่กล้าใช้คำว่ารื้อสร้างใหม่โดยตรง แต่ใช้คำว่าซ่อมสร้างตามแบบแปลนที่ส่งไปด้วยและให้คงเป็นอุโบสถเก่าตามเดิมเมื่อเรื่องราวไปถึงกรมศาสนาและกรมศาสนามีหนังสือไปถึง "ท่านราชเลขาธิการ" ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูล หนังสือของกรมการศาสนานั้น ย่อความหนังสือของทางวัดเป็น "ขอพระราชทานซ่อมสร้างตามรูปเดิม" (ซึ่งถ้าอ่านผ่านไปโดยเร็วก็น่าจะเข้าใจดังนั้น) จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ซ่อมได้ตามรูปเดิม จึงเป็นอันไม่ได้รื้อและผู้ที่แสดงเจตนาบริจาคก็งดบริจาค

ต่อมาทางวัดบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหมดตามรูปเก่า ด้วยทุนที่สมาชิก "ราชสกุลอิศรางกูร" บริจาคส่วนหนึ่ง กับทุนของวัดส่วนมาก ดังที่เห็นในปัจจุบันการที่มีเหตุขัดข้องดุจกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ ได้ยังความแปลกประหลาดใจแก่บรรดาพระเถระผู้ใหญ่และคณะกรรมการวัดเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีกรรมการวัดผู้หนึ่งไปเชิญผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนามาดูทางใน...ก็ได้รับคำตอบว่า เจ้าที่และเทวดาผู้รักษาอุโบสถหลังนี้มีแรง (เฮี้ยน) มาก ยังมีความหวงแหนรูปแบบของสถาปัตยกรรม ไม่อยากให้รื้อทิ้งจึงบันดาลให้เรื่องราวกัลตาลปัตรเสีย

อย่างไรก็ดีก่อนหน้าที่จะมีการซ่อมแซมอุโบสถหลังนี้ให้เหมือนเดิม คุณสนิท ธนรักษ์ อยากจะทราบว่า เจ้าที่และเทวดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถจะบันดาลเหตุการณ์ได้นี้เป้นใคร และใคร่ทราบเหตุผลด้วยว่าเหตุใดจึงมีความประสงค์ไม่ให้รื้อ จึงได้ไปเชิญ "อาจารย์พร รัตนสุวรรณ และ อาจารย์ศรีเพ็ญ จัตุทะศรี" แห่งสำนักค้นคว้าทางวิญญาณ เชิงสะพานบางลำภู มาเข้าสมาธิดูอีกครั้งหนึ่งซึ่งวันนั้นตรงกับเป็นวันตรุษไทย เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๖

เมื่ออาจารย์พรและอาจารย์ศรีเพ็ญ ได้มาถึงอุโบสถวัดรังษีสุทธาวาสแล้ว อาจารย์ศรีเพ็ญก็เข้าสมาธิไปดูและกลับออกมาบอกคุณสนิทว่า"พยายามจะเข้าไปในอุโบสถแต่พอถึงประตูมีทหารยามเฝ้าประตูอยู่ด้านละ ๒ คน ในมือถืออาวุธยื่นออกมากั้นไว้และบอกว่าเข้าไปข้างในไม่ได้.... เมื่อได้มองเข้าไปภายในอุโบสถ เห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูง มีท่าทางน่าเกรงขามมาก แต่งกายประดับด้วยเครื่องประดับของผู้สูงศักดิ์ในอดีต"

อาจารย์ศรีเพ็ญบอกด้วยว่า พยายามจะขออนุญาตทหารยามเข้าไปพบแต่ทหารไม่ยอมให้เข้าท่าเดียว เลยไม่ทราบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์ ที่นั่งอยู่ภายในอุโบสถอย่างสง่างาม นั้นเป็นใครอย่างไรก็ตาม

เมื่อคุณสนิทนำเรื่องนี้ไปถามพระเถระผู้ใหญ่ในวัดบวรนิเวศวิหาร ก็ได้รับคำสันนิษฐานจากพระเถระบางรูปว่า

ผู้ที่อาจารย์ศรีเพ็ญ จัตุทะศรี เข้าสมาธิไปเห็นนั้นน่าจะเป็น "พระวิญญาณเสด็จในกรมขุนอิศเรศรังสรรค์" ต้นสกุล "อิศรางกูร ณ อยุธยา" ซึ่งเป็นผู้สร้างอุโบสถวัดรังษีสุทธาวาสมากกว่าจะเป็นบุคคลอื่น



http://board.palungjit.org/f12/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0-548764.html


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:39
เรื่องที่ ๓ "เด็กหัวจุก"

ในระหว่างปี ๒๕๐๔-๒๕๑๔ ซึ่งนับแต่ "ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร” เป็นเจ้าอาวาสครองวัดเป็นต้นมา คุณสนิทมักจะเข้าออกนอกในอยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารเสมอ โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการก่อสร้างโน่นนี่ เป็นการรับใช้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่เสมอ และมักจะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องผีในวัดบวรนิเวศมิได้ขาด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องผีเด็กซึ่งได้ยินบ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีใครบันทึกไว้นอกจากเล่ากันฟังเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ๆ พอนานไปก็ลืมเสียเช่นเรื่องของ "สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราชเจ้า" ที่ทรงสนพระทัยเรื่องผี ขนาดทรงบันทึกเรื่องของผู้อื่นที่เล่าให้ฟังแล้ว ยังมีเรื่องที่พระองค์ท่านประสบมาเองอีกด้วย โดยทรงเล่าให้พระที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาเข้าไปรับฟัง จึงขอนำคำบอกเล่าของ "ท่านเจ้าคุณอมรโมลี (จุนท์ พรหฺมคุตฺโต ป.ธ. ๙) แห่งวัดบวรฯ มาถ่ายทอดให้ทราบดังนี้

ท่านเจ้าคุณอมรโมลี เล่าว่าในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ท่านเคยเข้าไปอุปัฏฐากรับใช้เสมอ

ในวันหนึ่งสมเด็จฯ ทรงเล่าว่าในสมัยที่บวชใหม่ ได้พำนักอยู่ที่คณะสูง เวลากลางคืนก็ชอบเดินมาคุยกับเพื่อนพระที่คณะเขียวบวรเพื่อถกกันถึงเรื่องปัญหาธรรมะต่าง ๆ

มีอยู่คืนหนึ่งมัวคุยเพลินอยู่กว่าจะกลับกุฏิที่คณะสูงก็เป็นเวลาเกือบจะตี ๓

ครั้นเมื่อเดินมาถึงใกล้สี่แยกคณะบัญจบเบญจมา ได้ผ่านต้นโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่ง (เดี๋ยวนี้ตัดออกแล้ว) ได้ยินเสียงวัตถุหล่นลงมาจากยอดปะทะกิ่งโพธิ์ดังกราวใหญ่จึงเอาไฟฉายส่องแหงนหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นเด็กหัวจุกคนหนึ่ง แก้ผ้าล่อนจ้อนโหนกิ่งโพธิ์อยู่ จึงรีบเดินกลับกุฏิไปปลุกพระและเด็กศิษย์วัดให้มาดู แต่พอมาถึงก็ปรากฏว่าเด็กหัวจุกแก้ผ้าเปลือยกายนั้นหายไปเสียแล้ว

เรื่องที่ ๔ "เจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ก็เจอ"

รื่องโอปปาติกะเด็กหรือผีเด็กบริเวณคณะสูงนี้ ท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ (วิญญ์ วิชาโน) ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยอยู่ในอินโดนิเซีย (มรณภาพแล้ว พ.ศ. ๒๕๔๙) ก็เคยเจอ กล่าวคือ

ในขณะที่เป็นเลขาสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อยังมีสมณศักดิ์เป็นพระสาสนโสภณอยู่นั้น ท่านเจ้าคุณเป็นผู้ที่มีความขยันขันแข็งในการงานมาก แม้ในเวลากลางคืนดึกดื่น ถ้ามีงานจะต้องทำต้องติดต่อ ท่านจะไม่ปล่อยเวลาไห้ล่วงไป เล่ากันว่า ในคืนหนึ่งดึกมากแล้ว พระเณรก็จำวัดกันหมดแล้ว ท่านเจ้าคุรมีกิจธุระจะต้องออกจากุฏิตึกเขียวที่พักผ่อนไปทางคณะสูง ในขณะที่เดินงุด ๆ ไปนั้นก็ไปจังหน้าเอากับเด็กคนหนึ่งหน้าตาน่าเอ็นดู เกล้าผมจุก เดินเล่นอยู่ในบริเวณคณะสูงนั้น

ท่านเจ้าคุณวิธูรฯ ขยับปากจะพูดว่า ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอน ก็พอดีได้สตินึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่ศิษย์วัดที่มาอยู่ในปัจจุบัน เพราะสังเกตุเห็นการแต่งตัวเป็นแบบเด็กโบราณ ท่านก็เลยเงียบเสียแล้วรีบเดินหลีกไป

ครั้นเดินห่างไปพอสมควร ได้หันกลับมาดูปรากฏว่าเด็กน้อยหัวจุกน่ารักคนนั้นหายไปเสียแล้ว


เรื่องที่ ๕ "ผีเด็กพากันมาเล่นน้ำฝน"

เรื่องผีเด็กในวัดบวรฯ ชุกชุม รายไหน ๆ ก็ไม่เกรียวกราวเท่ารายที่เจอที่ตำหนักจันทร์ ถึงกับพระนวกะต้องนั่งภาวนาสวดมนต์ตลอดคืน เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๙ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๐ คุณสนิทก็ออกจะเลือน ๆ ไป จำไม่ได้แน่ชัด จำได้แต่เพียงว่าในเทศกาลเข้าพรรษาปีนั้น มีคนมาขออุปสมบทที่วัดบวรณกันมาก และในจำนวนนั้นก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งคือ "พล.ต.ต. ชิต อันพะเตมีย์" เมื่อบวชเป็นพระนวกะแล้ว ทางวัดได้ให้ให้พระภิกษุชิตไปพักประจำพรรษาอยู่ที่ตำหนักจันทร์โดยมี "พระมหาลาภ ธนสาโร ป.ธ. ๙ ซึ่งพำนักอยู่ที่ตำหนักนั้นเป็นพระพี่เลี้ยง

ตามระเบียบของวัด เมื่อมีพระเข้ามาบวชในระหว่างเทศกาลเข้าพรรษา ทางวัดจะกำหนดวิชาให้เรียนนักธรรม ซึ่งพระใหม่จะต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการศึกษาพระสูตร พระเวท และการปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา ๓ เดือน จนกว่าจะออกพรรษา

ดังนั้น เมื่อมีเวลาว่างในตอนกลางคืน พระภิกษุชิต อัมพะเตมีย์ จึงต้องค้นคว้าทบทวนวิชาที่เรียนมาในตอนกลางวัน

วันหนึ่งเวลาประมาณตีสอง ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักและก็ได้พรำอยู่ไม่ขาดเม็ด แต่พระภิกษุชิตก็ยังไม่จำวัด ได้นั่งอ่านหนังสืออยู่

ทันใดนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ เป็นจำนวนมากมาวิ่งเล่นกันอยู่ที่ลานหน้าตำหนักใกล้ต้นประดู่ใหญ่ ท่านก็นึกสงสัยว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว ทำไมยังมีเด็กนอกวัดมาวิ่งเล่นกันให้วุ่นวายเช่นนี้

ท่านจึงเดินไปเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นเด็ก ๆ เล็กบ้าง โตบ้าง ไม่น้อยกว่า ๑๐ คน กำลังวิ่งไล่จับกันและหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน

ครั้นเมื่อเพ่งพิจารณาดูก็เห็นว่าเด็ก ๆ เหล่านี้มีหน้าตาและการแต่งกายไม่เหมือนเด็กในปัจจุบัน ส่วนใหญ่โกนผม ไว้แกละสองข้างก็มี เกล้าจุกก็มี เด็กเหล่านั้นกำลังหยอกล้อกันโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมาจ้องมองดูอยู่เลย

พระภิกษุชิต อัมพะเตมีย์ เล่าให้ฟังว่า ได้มองดูเด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา จึงนึกได้ว่าเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่นี้คงจะไม่ใช่เด็กธรรมดาเสียแล้ว เพราะชาวบ้านร้านตลาดเขาหลับนอนกันหมด คงจะไม่มีใครปล่อยลูกหลานให้ออกมาเที่ยววิ่งเล่นน้ำฝนในบริเวณวัดเช่นนี้

พอนึกขึ้นได้ว่าถูกผีเด็กหลอกเข้าให้แล้วเท่านั้น ก็รีบลนลานปิดหน้าต่างแล้วตรงไปที่โต๊ะหมู่บูชาพระสวดมนต์เป็นการใหญ่ แต่จำไม่ได้ว่าสวดบทไหนบ้างเพราะเพิ่งเป็นพระบวชใหม่ รวมความว่า นึกถึงบทไหนก็สวดพึมไป ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ใจคิดก็ยังไม่หายสั่น จึงได้ไปเคาะประตูห้องพระมหาลาภให้ออกมา แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

ฝ่ายพระมหาลาภเมื่อได้ฟังพระภิกษุชิตเล่าแล้วก็ได้แต่ยิ้มฟันขาว บอกว่าไม่มีอะไรหรอก ให้พระภิกษุชิตจุดธูป "ตั้งจิตอธิษฐาน แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่เด็ก ๆ ที่เป็นโอปปาติกะที่อยู่ในวัดนั้นเสียก็หมดเรื่อง และเมื่อพระภิกษุชิตปฏิบัติตามคำแนะนำแล้ว เสียงเด็กที่วิ่งเล่นกันเกรียวก็เงียบเสียงลงทันที "

ในวันรุ่งขึ้นพระภิกษุชิต อัมพะเตมีย์ ก็ไปหาเจ้าอาวาสและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (ขณะนั้นยังเป็นที่พระสาสนโสภณ) ได้แนะนำให้ถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผีเด็ก ๆ


ครั้นเมื่อพระภิกษุชิต ได้ทำพิธีถวายสังฆทานแล้ว ผีเด็ก ๆ ที่หน้าตำหนักจันทร์ก็เงียบหายไปจนทุกวันนี้


http://board.palungjit.org/f12/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0-548764.html


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:40
เรื่องที่ ๖ "คณะแดงเก่าผีสาวมาก"

เจ้าคุณอมรโมลี (จุนท์ พรหมคุตฺโม) วัดบวรนิเวศวิหาร เล่าให้คุณสนิทฟังว่า

นานมาแล้ว เมื่อทางวัดยังไม่ได้รื้อคณะแดงเพื่อสร้างอาคารทรงไทย ภปร. ใหม่ ที่กุฏิคณะแดงหลังที่อยู่ติดกับคูน้ำก็เคยมีพระและศิษย์วัดบางคนเห็นผีผู้หญิงแต่งตัวแบบโบราณคือนุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าสไบเฉียง ๓ คน ไต่จากเพดานลงมานั่งเล่นที่ระเบียงกุฏิ

ท่านเจ้าคุณอมรโมลีเล่าว่าตัวท่านเองมิได้เห็นเอง แต่ฟังจากพระเก่า ๆ ที่เคยพักประจำอยู่ที่คณะแดงนั้นเล่าให้ฟังอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบางครั้งระหว่างออกพรรษา ไม่มีพระประจำอยู่ที่กุฏิใกล้ต้นประดู่ เวลาเย็นโพล้เพล้ ผีสาว ๆ หน้าตาจุ๋มจิ๋มก็มักจะออกมาปรากฏร่างให้เห็นเสมอและบางครั้งก็มีผีเด็กผู้ชายเกล้าผมจุกปักปิ่นมานั่งเล่นกับสาว ๆ ด้วย

เมื่อพูดถึงต้นประดู่ที่อยู่หลังคณะแดงนี้ ก่อนที่จะรื้อคณะแดงและตัดต้นประดู่เพื่อสร้างอาคารขึ้นใหม่นี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรได้ทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญเจ้าที่หรือวิญญาณโอปปาติกะที่ประจำที่กุฏิและที่ต้นประดู่ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยการทำพิธีบวงสรวงในครั้งนั้น อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้นำคณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากรพร้อมพิณพาทย์ลาดตะโพนไปรำถวายด้วย

ครั้นเมื่อรื้อกุฏิและขุดตอต้นประดู่ออกหมดแล้ว คุณสนิทก็เห็นตอประดู่ตอนนั้นมีรากค่อนข้างประหลาด กล่าวคือรากแต่ละรากที่หยั่งลงดินยาวประมาณศอกเศษจะขดเป็นปมกลมเกือบจะทุกราก ปกติ คุณสนิท ธนรักษ์ เป็นคนรักธรรมชาติอยู่แล้ว คิดว่าถ้าทิ้งไว้คนงานก่อสร้างก็จะนำไปเผาไฟเสีย รู้สึกเสียดายจึงขนเอาไปเก็บไว้ที่บ้านและทำเป็นชั้นสำหรับเป็นที่ตั้งโทรศัพท์

และจะเป็นเพราะมีนิสัยที่ชอบเก็บตอไม้รากไม้แปลก ๆ ไปตั้งไว้หรือเพราะอย่างไรไม่ทราบได้ จึงมีผู้เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาที่ได้ตาทิพย์หลายท่าน ทั้งที่เคยไปบ้านคุณสนิท และ ไม่เคยทักว่า ทำไมบ้านของคุณสนิทเต็มไปด้วยโอปปาติกะและวิญญาณไม่น้อยกว่าครึ่งร้อย ซึ่งส่วนมากเป็นหญิงโบราณสาวสวยเกือบทั้งสิ้น และมีเด็กไว้ผมจุกด้วย

และเมื่อท่านเจ้าคุณอมรโมลีมาเล่าถึงเรื่องผีสาวและผีเด็กที่กุฏิคณะแดงให้ฟังดังนี้ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ผีสาวและผีเด็กที่วัดบวรนิเวศวิหารคงจะตามตอไม้ไปอยู่ที่บ้านคุณสนิทหลายคน ซึ่งในบางครั้งได้เคยไปเข้าฝันแก่เด็กนักศึกษาที่มาอาศัยอยู่ที่บ้านให้เห็น แต่สำหรับคุณสนิทเองไม่เดยฝันและไม่เคยเจอ....

เรื่องที่ ๗ "วิญญาณพระ"

ต่อไปนี้จะขอเล่าถึงพระที่มรณภาพหรือสิ้นพระชนม์ไปแล้ว วิญญาณไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในชั้นเทพและชั้นพรหม เรื่องก็มีอยู่ว่า เจ้าคุณอมรโมลี อีกนั่นแหละเล่าให้ฟังว่าสมัยเมื่อท่านบวชเป็นพระใหม่ ๆ ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านเจ้าคุณอมรโมลีพร้อมด้วยท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ และพระมหาประยูร เวชปาน รวม ๓ องค์ด้วยกัน ได้ไปร่วมกันแปลหนังสือคัมภีร์ขอมที่กุฏิคณะ และการแปลหนังสือขอมมาเป็นไทยนี้ ต้องแปลกันอยู่หลายคืนจึงจะจบ

ในคืนวันหนึ่งจะเป็นเดือนอะไรจำไม่ได้ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. เศษ ขณะที่กำลังช่วยกันแปลอยู่ในห้องนั้น ก็ได้ยินเสียงคนเดินกุก ๆ อยู่บนเพดาน พวกเราพากันแปลกใจจึงหยุดแปลหนังสือเงี่ยหูฟัง ก็ยังมีเสียงเดินกุก ๆ อยู่บนเพดานอีก แต่คราวนี้เดินอยู่ตรงศีรษะ มีฝุ่นร่วงกราวลงมา เปื้อนจีวรไปตาม ๆ กัน

พระมหาประยูร เวชปาน อดใจไม่ได้ จึงร้องตะโกนขึ้นไปว่า "ถ้าเก่งจริงก็ลงมาซิ"

คราวนี้เงียบหายไม่มีเสียงเดินอีก

ในวันรุ่งขึ้น เวลากลางวันพวกเราอยากจะรู้แน่ว่าบนเพดานกุฎิมีอะไร พระมหาประยูรจึงปีนขึ้นไปดูก็เห็นมีจีวรเก่า ๆ อยู่ผืนหนึ่งกับไม้เท้าอีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของพระภิกษุรูปใดมาจนกระทั่งบัดนี้ เพราะที่คณะกุฏิเคยมีพระภิกษุมรณภาพมาหลายองค์”




โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:41
เรื่องที่ ๘ "หลวงตานั้นคือใคร ?"

ท่านเจ้าคุณอมรโมลี ได้เล่าให้คุณสนิทฟังอีกต่อไปว่า

นั่นเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารใหม่ ๆ ซึ่งมีเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่เจอจัง ๆ หน้าคือ

เมื่อก่อนที่ทางวัดจะรื้อกุฏิคณะขาบบวรสร้างใหม่ในคืนวันหนึ่งเดือนหงายจึงออกมาเดินเล่นแถวหน้ากุฏิ "ดารากร" ซึ่งเป็นที่พักของท่าน

เวลาประมาณ ๕ ทุ่มเศษก็จะขึ้นกุฏิ โดยเดินไปล้างเท้าที่ก๊อกน้ำประปา จึงได้พบกับพระภิกษุหลวงตารูปหนึ่งยืนครองผ้าห่มคลุมอยู่ที่ก๊อกประปานั้น ถามว่า ใคร ท่านก็ไม่ตอบ จึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้า ก็ไม่รู้จักเพราะไม่ใช่พระที่วัดนี้ จึงได้ถอยกลับออกไป แล้วไปปลุกเด็กลูกศิษย์มาดู

แต่ปรากฎว่าพอมาถึง หลวงตาแก่ ๆ นั้นได้หายไปเสียแล้วมื่อเจ้าคุณอมรโมลี เล่าจบ ท่านเจ้าคุณเทพกวี (บุญธรรม จิณฺณธมฺโม) แห่งวัดบวรนิเวศวิหารก็เล่าถึงเรื่องหลวงตาแก่ให้ฟังบ้างว่า

เมื่อคราวที่ทางวัดนี้รื้อกุฏิไม้คณะเขียวบวรเพื่อสร้างใหม่เช่นเดียวกับคณะขาบบวร ลูกศิษย์ของท่านก็เจอหลวงตาแก่ ๆ ในยามวิกาลเหมือนกัน กล่าวคือ

ในคืนหนึ่งประมาณ ๓ นาฬิกา ลูกศิษย์คนหนึ่งได้ลุกขึ้นดูหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบไล่ ขณะที่นั่งอยู่บนเฉลียงชั้นสองของคณะเขียวบวรนั้น ก็ได้ยินเสียงคนเดินก๊อก ๆ อยู่รอบ ๆ บริเวณตึกที่กำลังสร้างใหม่ ได้สงสัยว่าเพราะเหตุใดผู้รับเหมาจึงมาตรวจงานแต่ดึกดื่นเช่นนี้จึงชะโงกหน้าไปดู

ก็พบพระหลวงตาผู้มีอายุสูงผู้หนึ่ง มีร่างสูงศีรษะโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นชั้นสองที่ตนนั่งอยู่ กำลังเดินดูโน่นดูนี่อยู่ แต่ไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร เพียงแต่เห็นชัดว่าไม่ได้โกนผม

ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานนี้เป็นวันโกน ขึ้น ๑๔ ค่ำซึ่งพระเณรทั้งวัดโกนผมกันหมด แต่หลวงตาองค์นี้ไม่ได้โกนผมก็นึกว่าเป็นผี เลยผลุนผลันรีบกลับเข้าห้องภาวนาและในวันรุ่งขึ้นก็ได้มาเล่าให้ท่านเจ้าคุณเทพกวีฟัง หลวงตาแก่ ๆ ที่เจ้าคุณอมรโมลีเล่าก็ดี และที่เจ้าคุณเทพกวีเล่าก็ดี คุณสนิทได้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นโอปปาติกะวิญญาณของ "หลวงพ่อโอภาสี (ชวน โอภาสี) เพราะท่านเคยมีความผูกพันอยู่กับวัดบวรนิเวศวิหารมาก

ซึ่งแต่ก่อนที่ท่านจะไปดังอยู่ทางวัดปากน้ำภาษีเจริญนั้น ท่านก็ได้ประจำพรรษาอยู่ที่คณะแดงเป็นเวลานาน แต่มีเหตุการณ์ที่จะออกจากวัดบวรฯ ไปอยู่ที่อื่นนั้นก็เนื่องจากท่านเป็นพระขลัง ๆ อยู่ ข้างนิยมทางไสยศาสตร์บางอย่าง และมีการฝ่าฝืนพระวินัยบัญญัติบางข้อ เช่น การตัดต้นไม้ที่อยู่ในวัดทุกชนิด เอามาป่นละเอียดผสมกับวัตถุอื่นแล้วปลุกเสกเป็นพระเครื่องราง แจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปอย่างอึกทึกครึกโครม

ทางวัดบวรนิเวศ โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้าจึงนิมนต์ไปจำพรรษาอยู่วัดอื่น

ตามประวัติเล่ากันว่า เมื่อ "ท่านมหาชวน (หลวงพ่อโอภาสี)" ประจำอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น ท่านชอบเรียนเวทมนต์คาถาอาคมต่าง ๆ และเมื่อมั่นใจ ท่านก็ทำพิธีปลุกเสกของขลังต่าง ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนที่แตกตื่นพากันมาขอของดีจากท่านแน่นขนัดไม่เว้นแต่ละวัน การทำของขลังของหลวงพ่อโอภาสีนี้ หลายครั้งท่านได้ไปถากเอาเปลือก เอาแกนของต้นไม้ที่อยู่ในวัดมาสร้างเป็นพระเครื่องเพราะถือว่าต้นไม้ในวัดบวรฯ ศักดิ์สิทธิ์ทุกต้น เช่น ต้นประดู่ที่หน้าตำหนักจันทร์ ต้นพิกุล ต้นโพธิ์ ต้นไทรแม้กระทั้งต้นสาเกและต้นหว้า ฯลฯ ทำให้ต้นไม้บางต้นทรุดโทรมและแห้งตายไปก็มี วามเรื่องนี้ได้ทราบถึงสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราชเจ้า ทรงเกรงว่า ถ้าปล่อยให้มหาชวนตัดต้นไม้เอาไปทำของขลังต่อไป ต้นไม้ต่าง ๆ ที่ปลูกไว้ดั้งเดิมเพื่อความร่มรื่นของวัดคงจะตายหมดแน่ และกว่าจะปลูกโตขึ้นมาใหม่ได้ ก็ใช้เวลานานปี

ด้วยเหตุนี้จึงอ้างว่า ท่านมหาฃวนกระทำผิดวินัยบัญญัติของพระคือ ห้ามตัดทำลายต้นไม้หรือแม้จะทำให้ใบสีเขียวหลุดออกจากต้นเพียงใบสองใบก็ตาม

กันด้วยว่า ในการนิมนต์มหาชวนออกจากวัดบวรฯ นั้นทางวัดได้ขอให้ "พ.ต.ต. หลวงชาติตระการโกศล" (ยศสมัยนั้น) เป็นผู้มานิมนต์

"พระมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสี" ก็ไปแต่กายเท่านั้น ส่วนใจของท่านยังรักอาลัยวัดบวรนิเวศวิหารอยู่ตราบจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ ด้วยเหตุนี้ คุณสนิทจึงได้สันนิษฐานว่า วิญญาณของหลวงตาแก่ ๆ ที่เจ้าคุณอมรโมลีและลูกศิษย์เจ้าคุณเทพกวีเห็นคงจะไม่ใช่ใครอื่นเพราะเคยอยู่ที่คณะแดง ซึ่งมีกุฏิอยู่ใกล้ชิดติดกับคณะเขียวบวรและคณะขาบบวร





http://board.palungjit.org/f12/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0-548764.html

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:41
เรื่องที่ ๙ " เปรตวัดบวรฯ ก็มี"

ตามที่สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราชเจ้าได้ทรงเล่าว่า

พระสังกิจจคุณ แห่งวัดตรีทศเทพได้เคยได้ยินเสียงเปรตและเห็นเปรตที่วัดตรีทศเทพ ซึ่งปัญหาเรื่องเปรตนี้ เราท่านมักจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวกันบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยจะได้มีใครเห็นตัวมากนัก นอกจากจะได้ยินเสียงโหยหวนสูง ๆ ต่ำ แล้วก็นำมาเล่ามาวิจารย์ว่าเป็นเสียงเปรต

ที่วัดบวรนิเวศฯ นี้ก็เช่นเดียวกัน ในระยะหลัง ๆ นี้ พระเณรและบรรดาลูกศิษย์เล่าให้ฟังว่า ได้เคยได้ยินเสียงเปรตร้องที่คณะสูงและที่ตำหนักทรงพรตเสมอ ในวาระเทศกาลเข้าปุริมพรรษาว่ากันว่า เปรตมาขอส่วนบุญแก่พระภิกษุบวชใหม่ที่มาพักประจำอยู่ที่คณะนั้น ๆ

อันที่จริงถ้าจะแปลความหมายของคำว่า "เปรต" แล้วก็หมายความว่า คนที่ตายจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง แต่จะไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกายหรือเป็นโอปปาติกะนิรมิตรกายได้ ก็สุดแต่กรรมของคนผู้นั้นจะส่งผล

ถ้าไปเกิดเป็นเปรต ก็เรียกว่า "เกิดในภพเปรต" ซึ่งเป็นภพที่แห้งแล้ง ร้อนเป็นไฟ อดอยาก มีความหิวกระหายอยู่เป็นกำลัง และภพนั้นก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งเน่าเหม็นติดกายอยู่ตลอดเวลา

แต่ทว่าเปรตก็ยังแบ่งออกไปเป็นหลายจำพวก สมเด็จกรมพระวชิรญาณวโรรส ทรงประมาลจากคัมภีร์ไว้ว่า มี ๔ จำพวก แต่ในลัทธิลามะกล่าวว่า มี ๓๖ จำพวก ในพระมาลัยสูตรว่า มี ๑๒ จำพวก และบางจำพวก แม้บรรดาญาติจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ได้รับส่วนบุญนั้น บางพวกก็ได้รับส่วนบุญ เป็นต้น

คำว่า "เปรต" นี้ บางทีพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เรียกเฉพาะคนที่ตายเป็นผีเท่านั้น แม้คนที่ยังไม่ตายก็เรียกเปรตด้วย เช่นค่ำว่า "มนุสเปโต" หรือคำว่ "เปตมนุสสะ" เป็นต้น มนุษย์เปรตหรือเปรตมนุษย์ แปลความหมายว่า เป็นมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา มีความโลภ ความอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นในทางที่ไม่ชอบ รื่องเปรตที่มาร้องโหยหวนอยู่ที่วัดบวรนิเวศฯ นี้ ก็เช่นเดียวกัน คิดว่าคงจะมีความหิวกระหาย อดอยากเต็มประดา เมื่อทราบว่ามีญาติโยมหรือลูกหลานมาบวชเป็นสาวกพระตถาคต จึงมาครวญครางขอส่วนบุญ ซึ่งพระบวชใหม่บางรูปคิดเอาเครื่องบันทึกเสียงมาอัดเสียงเปรตไว้ก็มี เช่น "พระภิกษุ ม.ร.ว. ทองน้อย ทองใหญ่" ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งแห่งราชสำนัก ขณะมาประจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรฯ ได้ยินเสียงเปรตร้องในเวลาดึกสงัดหลายครั้ง จึงคิดจะจับเปรตหรืออัดเสียงเปรต

ครั้นเอาเทปมาคอยอัดเสียงตามเวลาที่เปรตเคยมาร้อง เปรตก็ไม่มาร้องโหยหวนให้ได้ยิน แต่พอไม่ได้เตรียมเทปอัดเสียง เปรตก็มาร้องอีก

พระบวชใหม่บางองค์ที่ตระหนักในบาปบุญคุณโทษ เมื่อได้ยินเสียงเปรตก็ไปขอคำแนะนำจากท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรเมื่อท่านให้คำแนะนำให้ถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ เสียงนั้นก็หายไป ไม่มาร้องโหยหวนคร่ำครวญขอส่วนบุญอีก...

เรื่องที่ ๑๐ "โครงกระดูกเดินได้"

พระภิกษุแสวง (สนฺเตสโก) รามสูตร อายุ ๖๒ ปี วัดบวรนิเวศวิหาร เล่าให้คุณสนิทฟังว่า

ที่คณะสูงซึ่งเป็นกุฏิสองชั้นสำหรับให้พระชาวต่างประเทศมาพักอาศัยโดยเฉพาะ ก็เคยมีเสียงเปรตร้องและปรากฏร่างให้พระฝรั่งเห็นคือ

พระภิกษุยอร์ช (เป็นชาวอังกฤษหรือเมริกัน จำไม่ได้) ซึ่งพระภิกษุยอร์ชผู้นี้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก จึงมาขอบวชที่วัดบวรฯ และเมื่อบวชแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวจาริกธุดงควัตรไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานตามบรรดาสำนักอาจารย์กรรมฐานต่าง ๆ ทางภาคอีสานอยู่ ๑๐ กว่าปี นาน ๆ จึงจะกลับมาพักอยู่ที่วัดบวรฯ ครั้งหนึ่ง

และในคืนวันหนึ่ง เดือนอะไรจำไม่ได้ ราวพ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ ดึกมากแล้ว

พระภิกษุยอร์ชนั่งกรรมฐานอยู่บนห้องชั้นสอง เมื่อออกจากรรมฐานแล้วก็ได้ยินเสียงเปรตมาร้องเป็นเสียงสูงๆ อยู่ใกล้ ๆ หน้าห้อง จึงเปิดประตูออกมาดูว่าเป็นเสียงอะไร

เมื่อเปิดประตูออกมาดูแล้วก็เห็นเป็นเงาคนดำๆ ยืนอยู่บนเฉลียง (ซึ่งโดยปกติพระกรรมฐานไม่กลัวผี) จึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ แต่พอใกล้ประมาณ ๓ เมตร ร่างนั้นได้กลายเป็นโครงกระดูกทั้งร่างครบถ้วน

พระภิกษุยอร์ชก็เลยหัวเราะชอบใจ แล้วเดินเข้าไปใกล้อีก

แต่ผีที่มองเห็นเป็นโครงกระดูกนั้น กลับเดินถอยห่างออกไป

พระภิกษุยอร์ชก็เลยพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ แบบฝรั่งว่า

"เอ่อ เอ่อ โครงกระดูกเดินได้ ๆ สนุกดี...."

ทันใดนั้น ร่างโครงกระดูกที่ปรากฏก็หายไป ...!!!





โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:41
เรื่องที่ ๑๑ "ผีผู้หญิงในวัดบวรฯ"

ผีในวัดบวรฯนั้น กล่าวกันว่ามีมากมายหลายชนิด แต่คุณสนิท ได้เล่าถึงผีผู้หญิงในวัดบวร ฯ เอาไว้ว่า เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ หรือ ๒๕๑๐ (จำไม่ได้) "ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์" ได้บวชเป็นนาคหลวงและได้มาประจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพักอยู่ที่คณะตำหนักทรงพรต

เมื่อบวชอยู่ได้จวนจะออกพรรษา ในคืนหนึ่ง ดึกแล้ว ท่านพระภิกษุ ม.ล.เกษตรฯ กำลังนั่งแต่งกระทู้สอบนักธรรมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งภายในห้องนั้นได้เปิดไฟสว่างจ้าอยู่ และขณะที่กำลังนั่งคิดเขียนกระทู้เพลินอยู่ที่โต๊ะนั่นเอง รู้สึกว่าได้ยินคนเดินเบา ๆ อยู่ข้างหลังจึงเหลียวไปดู ก็เห็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบโบราณ กิริยาท่าทางเป็นคนเรียบร้อยมาก กำลังเดินอยู่รอบ ๆ เตียงนอนของท่านแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่ข้างเตียงนั้น

ท่านพระภิกษุ ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์ ขยับแว่นตาดูให้ถนัดอีกครั้งเพราะเกรงว่าจะมีอุปาทานหรือตาฝาดไป ก็ยังเห็นผู้หญิงสาวสวยนั้นเป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนเรานี่ ทุกประการ จึงคิดในใจว่า คงจะเป็นผีอย่างแน่นอนเพราะถ้าไม่ใช่ผีเหตุไฉนจะเข้ามาในห้องได้โดยที่ประตูปิดใส่กลอนอยู่

แต่ท่านพระภิกษุ ม.ล. เกษตร ฯ ไม่กลัวเพราะเป็นศาสตรจารย์สอนวิชาแพทย์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเห็นผีเห็นคนตายสด ๆ มามากต่อมาก ประกอบกับได้ศึกษาธรรมะเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณมาพอสมควร จึงได้ตั้งสมาธิจิตแผ่กุศลไปให้แก่หญิงสาวสวยโอปปาติกะนั้น

ครั้นแล้วร่างของหญิงนั้นก็อันตรธานไป

ในวันต่อมา ท่านพระภิกษุ ม.ล. เกษตร สนิทวงศ์ ไม่ลืมที่จะไปเล่าให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสทราบ

และเมื่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้แนะนำให้ถวายสังฆทานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่หญิงที่มาปรากฎร่างผู้นั้นแล้ว ก็ไม่เคยมาปรากฏให้เห็นอีกจนกระทั่งออกพรรษา รับกฐินพระราชทานแล้วจึงลาสิกขาไป

เรื่องที่ ๑๒ " ชุมนุมครั้งใหญ่"

คุณสนิท ธนรักษ์ ได้เล่าเรื่องเปรตวัดบวรฯ ที่มาชุมนุมครั้งใหญ่ว่า

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ระหว่างวันที่ ๑-๗ ซึ่งทางวัดได้จัดให้มีงานสัปดาห์อนุสรณ์ ๕๐ ปี นับแต่วันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระสังฆราชเจ้า นั้น ได้มีการบำเพ็ญพระราชกุศลเพื่อุทิศถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้าอย่างเอิกเกริก โดยมีการสวดมนต์ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณรที่มาในงานนี้ทุกวัน วันละหลายร้อยรูป นอกจากนี้ยังได้เปิดนิทรรศการต่าง ๆ ให้ประชาชนได้ชมกันทั่วทั้งวัด โดยเฉพาะที่อาคาร ภปร. ซึ่ง "คุณหญิงละมุน มีนะนันท์" มีจิตศรัทธาอุทิศเงินไม่น้อยกว่าสองล้านบาท สร้างอุทิศส่วนกุศลให้แก่ "คุณกวี เหรียญระวี" ผู้วายชนม์ไปแล้ว เพิ่งจะทำพิธีเปิดได้ไม่นาน ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ซึ่งเป็นอุบาสกของวัดนี้คนหนึ่ง ได้จัดให้มีการแสดงวิธีปฎิบัติกรรมฐานบนอาคารชั้น ๒

อันการแสดงวิธีปฏิบัติกรรมฐานนั้น "นายแพทย์อวย เกตุสิงห์" ได้จัดแสดงให้เห็นถึงอสุภกรรมฐานด้วย โยนำเอาเนื้อหนังมังสาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายคนหลายคนที่ใส่ดองมาให้พิจารณาให้เห็นของจริง การนำเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ ของคนมาดังกล่าว ท่านนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้นำมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาแพทย์

ครั้นตกยามดึก ก็ปรากฏว่ามีเปรตหลายตนพากันติดตามมาร้องด้วยเสียงเยือกเย็น รวมทั้งเปรตอีกจำนวนหนึ่งที่มาร้องขอส่วนบุญเนื่องจากทางวัดมีงานบำเพ็ญมหากุศลครั้งใหญ่ เปรตก็เลยเพ่นพ่านเต็มวัดบวรฯ ไปหมด

เรื่องเสียงร้องของเปรตในยามดึกดื่นคืนนั้น นอกจากจะมีพระภิกษุสามเณรและลูกศิษย์พระบางคนได้ยินแล้ว ม.ล.จิตติ นพวงศ์ อุบาสิกาของวัดวบร ฯ อีกผู้หนึ่งเล่าว่า มีเพื่อนฆราวาสเคยได้ยินอีกหลายคน แต่เมื่อทางวัดจัดให้มีการถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ เสียงเปรตที่อาคาร ภปร. ก็เงียบหายไป

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:42
เรื่องที่ ๑๓ "อีลุ้ย !!"

ท่านอาจารย์อั๋น (สลฺเลขิโต) แก้วประเสริฐ แห่งวัดบวรนิเวศ ซึ่งบวชมาได้ ๒๓ พรรษาแล้ว เล่าให้คุณสนิทฟังว่า เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมานี่ ท่านได้ติดตามพระอาจารย์เทสก์ (เทสโก หรือ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ไปประจำพรรษาอยู่ที่วัดหลังศาล อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต อยู่สามปี ทั้งนี้ก็เพื่อจะฝึกเรียนกรรมฐานกับท่านอาจารย์เทสก์โดยเฉพาะ และได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับเปรตที่วัดหลังศาลมาเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ

ในคืนวันหนึ่งได้มีพายุกระหน่ำอย่างหนัก จนเป็นเหตุให้มะม่วงตาลจีนเก่าแก่ต้นหนึ่ง ที่อยู่ในบริเวณวัดหลังศาล หล่นร่วงลงมามาก

"แม่ชีเตี้ยง" เป็นคนมีเชื้อจีนทางภาคอีสาน และได้ติดตามท่านอาจารย์เทสก์มาภูเก็ต เพื่อเรียนฝึกกรรมฐานพร้อมกับแม่ชีบุญชูอีกคนหนึ่ง เห็นว่ามีมะม่วงหล่นลงมาเกลื่อนกลาดเช่นนั้นก็รู้สึกเสียดาย เมื่อลมพายุสงบแล้วประมาณสองทุ่มเศษ จึงออกจากกุฏิไปเก็บมะม่วงเหล่านั้น

ขณะที่แม่ชีกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บมะม่วงมารวมกองไว้ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวประบ่านั่งบนมูลดินมองดูอยู่ แม่ชีเตี้ยงเข้าใจว่าเป้น "อีลุ้ย" คนสติฟั่นเฟือน บ้า ๆ บอ ๆ ที่อาศัยอยู่ข้างวัด จึงร้องสั่งด้วยความคุ้นเคยว่า "อีลุ้ย ไปเอากะชะ (ตะกร้า) มาให้ข้าที"

แต่ผู้หญิงคนนั้นหรืออีลุ้ยของแม่ชีก็นั่งเฉยเสีย แม่ชีเตี้ยงจึงพูดขึ้นอีกว่า "โธ่! อีลุ้ย! มัวนั่งซึมอยู่ได้ บอกว่าให้ไปเอากะชะมาให้ข้าที ได้ยินไหม"

แต่อีลุ้ยของแม่ชีเตี้ยงก็ยังนั่งเฉยอยู่อีก แม่ชีเตี้ยงขัดใจขึ้นมา เก็บมะม่วงได้ลูกหนึ่งก็ขว้างไปที่อีลุ้ย ได้ยินเสียงดัง "ปุ"

เมื่อแม่ชีเตี้ยงเห็นดังนั้น อาศัยที่ได้ฝึกกรรมฐานกับพระอาจารย์เทสก์มาก็นานพอสมควร ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเปรต ! จึงร้องบอกไปว่า "อ๋อ! นึกว่าอีลุ้ย เอาเถิดแล้วฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้ ขอแม่จงเป็นสุข ๆ เถิด"

พูดแล้วแม่ชีเตี้ยงก็รีบหอบมะม่วงกลับมาเพียงไม่กี่ผลและเมื่อเดินห่างออกมาแล้ว ได้หันหลับไปมองอีกครั้ง ก็ยังเห็นเปรตสาวนั่งหัวเข่าท่วมหัวโด่อยู่อย่างนั้น !

ท่านอาจารย์อั๋น เล่าต่อไปว่า ในวันรุ่งขึ้น แม่ชีเตี้ยงก็ขึ้นไปหาท่านอาจารย์เทสก์และเล่าถึงเรื่องเห็นเปรตที่ใต้ต้นมะม่วงตาลจีนให้ท่านฟังซึ่งท่านอาจารย์อั๋นก็นั่งอยู่ด้วย

เมื่อแม่ชีเตี้ยงเล่าจบ ท่านอาจารย์เทสก์ได้แสร้งพูดว่า "ตาฝาดไปละมั้ง ที่นี่มีผีเปรตที่ไหนกัน"

ครั้นแม่ชีสบถสาบานเสียงแข็ง ยืนยันว่าได้เห็นมากับตาจริง ๆ มิได้เอาเรื่องตลกที่ไหนมาเล่าเลย ท่านอาจารย์เทสก์จึงยิ้มออกมาแล้วบอกว่า "ถูกต้องแล้วละโยม ! เมื่ออาตมามาอยู่วัดนี้ใหม่ ๆ ก็เคยเห็นบ่อย ซึ่งแต่เดิมเปรตทั้งหมดก็ยังติดอยู่ที่วัดนี้ ๑๐ ตนด้วยกัน ขณะนี้ยังเหลืออีกตนหนึ่ง มีหลุมฝังศพข้างใต้ถุนกุฏิแดง แต่ที่อาตมาไม่เคยบอกไม่เคยพูดก็เพราะถ้าพูดออกไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อก็ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น ๆ "

เรื่องที่ ๑๔ "หลวงตามาเตือน"

ครั้งที่ พระมหาหน่วย ปุณณตฺโถ ยังบวชเป็นสามเณรอยู่ ได้มีโยมชีของสามเณรหน่วยมาเยี่ยม ณ ที่พักตึกพัตรพิมลพรรณ

ในวันนั้นเป็นเวลาค่ำ สามเณรหน่วยไม่อยู่ ได้ออกไปกิจธุระนอกวัด โยมแม่ชีซึ่งมาจากจังหวัดอุดร ฯ พักรออยู่ในห้องชั้นล่าง เมื่อเห็นสามเณรลูกชายยังไม่กลับมา ได้ถือวิสาสะขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงนอนของสามเณร พอนอนไปได้สักครู่ใหญ่ ๆ โดยไม่ได้หลับหรือเคลิ้มแต่ประการใด ก็ได้ยินเสียงประตูห้องที่กั้นฝาไว้เปิดออกดังแอ๊ด !

จึงรีบลุกขึ้นนั่งมองดู ก็แลเห็นพระภิกษุผู้สูงอายุรูปหนึ่งห่มจีวรสีกรักเดินเข้ามา แม่ชีเห็นเป็นพระก็รีบทรุดตัวลงกราบกับพื้น ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร หลวงตารูปนั้นก็ยกมือขึ้นชี้หน้า พูดด้วยเสียงดุ ๆ ว่า "ทำไมขึ้นไปนอนบนเตียงของเณร"

แม่ชีโยมสามเณรหน่วยจึงตอบว่า "ก็อีฉันเป็นมารดาของสามเณรเพราะอะไรจึงนอนไม่ได้"

พระหลวงตารูปนั้นจึงชี้แจงเป็นเชิงอบรมว่า "สามเณรเป็นผู้มีศีล แต่แม่ชีเป็นผู้หญิง แม้จะเป็นแม่หรือเป็นชีก็ตาม ก็ไม่สมควรจะขึ้นไปนั่งหรือนอนบนที่นอนของสามเณร ต่อไปอย่ากระทำเช่นนี้อีก"

พระหลวงตากล่าวแล้วก็หันหลังเปิดประตูกลับออกจากห้องไป

เหตุการณ์ที่เกิดในคืนนั้น เมื่อสามเณรหน่วยกลับมาแล้ว โยมแม่ก็เล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่งทำให้สามเณรแปลกใจมาก เพราะที่คณะบัญจบเบญจมาไม่มีพระหลวงตาแก่ ๆ ประจำอยู่เลย

ทั้งนี้เมื่อสอบถามพระผู้งอายุในคณะอื่นก็ไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง จึงไม่มีใครรู้ว่า พระหลวงตานั้นเป็นใคร ?


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:42
เรื่องที่ ๑๕ "พระวิญญาณสมเด็จ ฯ"

พระสุชาติ ชาติสุโภ วัดบวรนิเวศวิหาร เล่าให้คุณสนิท ธนรักษ์ ฟังว่า

สำหรับตัวท่านเองเคยได้รับการยืนยันจากน้องสาวว่า เคยเห็น "สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราชเจ้า" ที่หอสหจรมาแล้ว โดยเล่าให้ฟังว่า

เมื่อประมาณปี ๒๕๑๙ นั้น ท่านพักอยู่ที่คณะหอสหจร ได้มีน้องสาวร่วมบิดา-มารดาเดียวกันมาเยี่ยมที่กุฏิ ก็เลยนั่งสนทนากันอยู่นานถึงเรื่องต่าง ๆ จนกระทั่งเกือบ ๔ โมงเช้า ก่อนที่น้องสาวจะลากลับ น้องเกิดปวดท้องจึงขออนุญาตเข้าห้องน้ำ ท่านสุชาติบอกกับน้องว่า ห้องน้ำอยู่ชั้นบน ขึ้นไปเถอะ

ครั้นน้องของท่านขึ้นบันไดไปชั้นบนจะเข้าห้องน้ำ ก็สวนทางกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ห่มครองจีวรสีกรัก น้องของพระสุชาติรีบนั่งยกมือไหว้ สังเกตุเห็นใบหน้าท่านยิ้ม ๆ แล้วหลีกทางไปอีกทางหนึ่ง

เมื่อเธอเสร็จธุระแล้วก็กลับลงมาข้างล่างและถามพระพี่ชายว่า "หลวงพี่ข้างบนมีพระผู้ใหญ่แก่ ๆ มาพักอยู่ด้วยหรือ ?"

พระสุชาติตอบปฏิเสธว่า ไม่มีใครหรอก น้องก็ยืนยันว่า "ก็หนูเห็นมากับตานี่นา หนูยังยกมือไหว้ท่านเลย" พระสุชาติได้รับการยืนยันอย่างแข็งขันเช่นนั้น นึกขึ้นมาได้ก็เลยชี้ให้น้องสาวดูภาพถ่ายของพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่แขวนบ้าง ตั้งบ้างอยู่ในห้อง แล้วถามว่า องค์นี้ใช่ไหม ? น้องก็ตอบว่า ไม่ใช่, องค์นั้นล่ะ? น้องก็บอกอีกว่า ไม่ใช่ พระสุชาติถามเกือบทุกองค์ทั้ง ๆ ที่บางองค์ยังมีชีวิตอยู่และบางองค์ก็มรณภาพหรือสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

น้องสาวก็ตอบว่า ไม่ใช่ทั้งสิ้น แต่ครั้นพระสุชาติชี้ไปที่พระรูปของ "สมเด็จกรมหลวง วชิรญาณวงศ์" น้องก็รีบบอกทันทีว่า "องค์นี้แหละ องค์นี้แหละหนูจำได้แน่นอน แก้มของท่านยุ้ย ๆ หน้าตาท่านยิ้ม ๆ เหมือนคนใจดี"

เมื่อพระสุชาติทราบเช่นนี้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีกและไม่ได้บอกกับน้องด้วยว่า พระรูปนั้นเป็นใครเพราะเกรงว่าน้องจะกลัว

คุณสนิท ธนรักษ์ บอกว่า เมื่อพระสุชาติเล่าจนจบก็ทำให้ท่านคิดว่า พระหลวงตาแก่ ๆ ที่ไปอบรมโยมแม่ของสามเณรหน่วยที่ตึกพักตรพิมลพรรณ (เรื่องที่ ๑๔) นั้นน่าจะเป็นพระวิญญาณของ "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ" เพราะโดยปกติพระองค์ท่านประทับอยู่ที่ตึกบัญจบเบญจมา ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดี มักจะเข้าใจว่าเป็นตึกหลังเดียวกัน (กับตึกพักตรพิมลพรรณ) แต่ที่แท้เป็นคนละหลัง และสร้างคนละคราว หากแต่ทางวัดได้ต่อเฉลียงชั้นบนให้ถึงกันได้ในภายหลัง

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-7-24 17:43
เรื่องที่ ๑๖ "อย่างนี้เป็นเทวดา"

พระภิกษุที่เจริญภาวนากรรมฐานและสำรวมในศีลวัตรหรือที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมสมบูรณ์สม่ำเสมอ แต่ยังไม่สำเร็จญาณขึ้นพระอรหันต์นั้น คุณสนิทบอกว่า จากคำบอกเล่าของอาจารย์ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่และคฤหัสถ์ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาว่า เมื่อท่านถึงกาลมรณภาพหรือสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ด้วยบุญกุศลที่ประกอบไว้อย่างดีเกือบทุกองค์จะไปเกิดเป็นพระในรูปเดิมในภูมิเทวดา เป็นชั้นเทพบ้าง ชั้นพรหมบ้าง เช่น สมเด็จหลวงปู่ทวด สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) หลวงพ่อปาน หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อศุข หลวงพ่อแดง หลวงพ่อฉิม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ (ม.ร.ว. ชื่น) และพระเถระผู้ใหญ่อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เป็นต้น

พระที่ได้บำเพ็ญกุศลและบารมีจนได้เป็นพระอริยะไปเกิดเป็นเทวดาในโลกสวรรค์ชั้นสูงนี้ โดยปกติก็จะเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก เว้นแต่บางองค์ที่ยังมีความผูกพันกับโลกมนุษย์ ก็จะเสด็จลงมาโปรดสัตว์ช่วยเหลือให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ยาก เป็นบางครั้งบางคราว

ก็นี่แหละที่คุณสนิทแน่ใจว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์" อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระองค์หนึ่งที่อยู่ในอันดับเทพชั้นสูง ก็เพราะในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพรรพชิตอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงประกอบกุศลกรรมบท ๑๐ และบุญกิริยา ๑๐ อย่างครบถ้วน เช่น การรักษาศีลบริสุทธิและการมีความเห็นอย่างเที่ยงตรง ฉะนั้นเมื่อพระวิญญาณละจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ก็ต้องไปสู่สุคติอย่างแน่นอน

แต่ในการที่พระองค์ยังมาปรากฏร่างให้น้องสาวพระสุชาติ หรือโยมแม่ของสามเณรหน่วยได้เห็นอาจจะเป็นเพราะ เมื่อออกจากสมาธิ พระวิญญาณคงจะมาเยี่ยมวัดบวรนิเวศวิหารอยู่เนือง ๆ และเมื่อพิจารณาเห็นว่า สิ่งใดที่บุคคลภายนอกไม่รู้ในกฏและพระวินัยของพระภิกษุ พระองค์ท่านก็จะมาปรากฏร่างให้เห็นเป็นการเตือนผู้นั้น

สำหรับพระภิกษุสามเณรที่ปฏิบัติพระวินัยย่อหย่อนก็เช่นกัน คุณสนิทได้ทราบจากผู้เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาว่า พระองค์ท่านมักจะดลบันดาลใจให้เกิดความมีสติ เช่น ให้เกิดความรู้สึกว่า เรามีเพศที่แตกต่างจากคฤหัสถ์แล้ว เราควรจะมีกิริยาอาการให้สมกับความเป็นสมณะอย่างใด และสมณะต้องเตือนตัวเองด้วยศีลอยู่เสมอ เพราะเมื่อได้เข้ามาบวชเป็นพระเป็นสมณะแล้ว การล้วงละเมิดศีลนอกจากจะถือว่าเป็นการบั่นทอนทำลายพระพุทธศาสนาแล้ว เมื่อตายไปก็จะไปตกนรกอยู่ในขุมที่ร้ายแรงกว่าคฤหัสถ์หลายเท่า สมณะจึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไปวันหนึ่ง ๆ ตนได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่วัด แก่สังคมของมนุษย์และแก่พระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าบ้าง ด้วยสมณะที่แท้จริงย่อมไม่เข้ามาบวชเพื่อหลอกลวงตนเองหรือหลอกลวงผู้อื่น อันเป็นการผลาญข้าวสุกชาวบ้านให้สูญเปล่า

เรื่องที่ ๑๗ "พระชั้นสูง"

อย่างไรก็ดีเกี่ยวกับวิญญาณเทพชั้นสูงที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์นั้น คุณสนิทได้เคยขอร้องให้ "อาจารย์พร รัตนสุวรรณ และอาจารย์ศรีเพ็ญ จัตุทะศรี" ทำพิธีอัญเชิญมาในงานสำคัญครั้งหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ คุณสนิทพร้อมด้วย "ท่านศาสตราจารย์ ม.ล. เกษตร สนิทวงศ์" ได้ร่วมกันคิดสร้างพระเครื่องชื่อว่า "พระศรีศาสดา" ขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อถวายแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรให้แจกจ่ายแก่ลูกศิษย์และสาธุชนทั่วไป ที่มาแสดงมุทิตาจิตเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของท่านที่ครบ ๖๐ ปี ในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเดิมทีก็คิดและปรึกษากันเงียบ ๆ สองคนเท่านั้น แต่ต่อมาได้มีการเชิญบุคคลอื่นที่ใกล้ชิดกับวัดบวรนิเวศเข้ามาร่วมอีกหลายคนเพราะต้องใช้ทุนเป็นจำนวนมาก แต่ได้กำชับเป็นการภายในว่า ให้ถือเอาเรื่องนี้ "ลับมาก" อย่าให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทราบเป็นอันขาด และในการทำพิธีนั้น คุณสนิทได้ทำหนังสือขอให้ "ท่านศาสตราจารย์ ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์" นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาพระราชทานผงศักดิ์สิทธิจาก ๗๒ จังหวัดที่พระองค์ได้เคยสร้าง "พระเครื่องจิตรลดา" หรือที่เรียกว่า "หลวงพ่อภูมิพล" มาแล้ว โดยเอามาเป็นชนวนสำหรับสร้าง

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผงศักดิ์สิทธิ์แล้ว คุณสนิทก็นำผงนั้นไปมอบให้ "ม.ร.ว. ประสมศักดิ์ จรูญโรจน์" อธิบดีกรมธนารักษ์สมัยนั้น เป็นผู้ดำเนินการจัดแกะพิมพ์และจัดหาผงที่เป็นส่วนผสมดั้งเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เป็นแบบฉบับและในการพิมพ์พระศรีศาสดาที่กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ก็ให้ถือเป็นความลับด้วย เมื่อเสร็จแล้ว ก็ได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานมหามกุฏราชวิทยาลัย

ต่อเมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษาก็เอาพระเครื่องนั้นเข้าไปประจำพรรษาในพระอุโบสถด้วย จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๖ อันเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ "สมเด็จกรมพระยาปวเรศ ฯ" อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ ซึ่งทางวัดได้จัดให้มีพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปที่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงหล่อสร้าง "พระพุทธรูปชัยวัฒน์" อีกองค์หนึ่ง คุณสนิทพร้อมด้วย "ท่าน ม.ล. เดช สนิทวงศ์" องคมนตรีซึ่งรับช่วงงานสร้างพระศรีศาสตาจาก ศาสตราจารย์ ม.ล. เกษตร สนิทวงศ์ ซึ่งเดินทางไปรักษาหลอดเสียงลำคอในต่างประเทศ ได้นำเอาพระเครื่องและเหรียญทั้งหมดที่ซุ่มสร้างไว้เงียบ ๆ มาเข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ด้วย เนื่องจากความตั้งใจที่จะให้พระที่ทำการพุทธาภิกเษกครั้งนี้มีความขลังเป็นพิเศษ คุณสนิทจึงได้ขอให้ "อาจารย์ศรีเพ็ญ ติดต่อกับวิญญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)" ช่วยนิมนต์วิญญาณพระอื่น ๆ ที่อยู่บนสวรรค์ทุกชั้นให้ลงมานั่งปรกด้วย

ซึ่งได้ทราบจากอาจารย์ศรีเพ็ญในภายหลังว่า "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) รับว่าจะช่วยเรื่องนี้ด้วยความเต็มใจ และยังบอกอาจารย์ศรีเพ็ญว่า "จะเป็นเจ้าภาพไปนิมนต์พระที่อยู่ในโลกสวรรค์ให้มาในงานนี้ถึง ๑๐๘ องค์ ด้วยตัวท่านเอง เพราะในโลกสวรรค์นั้น วิญญาณพระในอดีตมีการพบปะและไปมาหาสู่กันเสมอ"ถึงกำหนดวันทำพิธีพุทธาภิเษก คุณสนิทได้รับคำบอกเล่าจาก "อาจารย์ศรีเพ็ญ จัตุทะศรี" ว่า

"สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มาคอยรับวิญญาณและพระวิญญาณของพระเถระอยู่ที่วัดบวร ฯ ตั้งแต่เช้าทีเดียว

เมื่อถึงเวลา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร จุดเทียนชัย พระที่เป็นเทพชั้นสูงมาครบ ๑๐๘ องค์พอดี และในจำนวนนี้ อาจารย์ศรีเพ็ญบอกว่า

"สมเด็จกรมพระยาปวเรศวิริยากรณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์" ก็เสด็จมาด้วย นอกจากนี้ ก็มี "อดีตพระสังฆราชอีกหลายองค์ รวมทั้งหลวงพ่อวัดพระแก้ว หลวงพ่อครูบาศรีวิชัย และหลวงพ่อโอภาสี" ก็มา แต่ไม่มีวิญญาณของ "สมเด็จพระสังฆราช (จวน) วัดมกุฏกษัตริยาราม และ ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี (ผิน) อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารซึ่ง "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ค้นหาวิญญาณไม่พบ

มีบางคนว่า สำหรับวิญญาณของ "ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี (ผิน) นั้นได้ไปเกิดแล้ว ส่วนวิญญาณของ "สมเด็จพระสังฆราช (จวน) ไม่ทราบว่าไปอยู่ภูมิใด อาจจะขัดข้องเพราะยังไม่ออกจากสมาบัติ ก็เป็นได้




โดย: ธี    เวลา: 2016-7-24 21:27

โดย: Nujeab    เวลา: 2016-7-25 10:24





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2