Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ~ หลวงพ่อจง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก ~ [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:06
ชื่อกระทู้: ~ หลวงพ่อจง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก ~
[attach]1829[/attach]
หลวงพ่อจง  พุทฺธสโร เทพเจ้าแห่งคาามเมตตา วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา

ชาติกำเนิด

หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชการที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415
นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรณ์เดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"

         1. เด็กชายจง  ต่อมาคือ  หลวงพ่อจง  พุทฺธสโร  เป็นบุตรคนโต
         2. เด็กชายนิล  เป็นคนรอง  ต่อมาคือพระอธิการนิล  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน
         3.  เด็กหญิงปลิก  เป็นน้องคนเล็ก และเป็นผู้หญิงคนเดียว


โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:07
เข้าสู่ร่มกาสาวกพัสตร์

                  จวบจนกระทั่งอายุของหลวงพ่อจงอายุได้ 12 ปี บิดามารดาของท่านเห็นถึงอุปนิสัยของท่านว่ามีความชอบวัด ติดวัด จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณรซะเลย ณ วัดหน้าต่างใน และก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าเมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่รุมเร้ามานานแรมปี ไม่ว่าจะเป็นโรคพยาธิ ที่ทำให้กิดอาการผอมโซ เซื่องซึม หูอื้อ นัยน์ตาฝ้าฟาง ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ท่านกลับกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพพลานามัยดีมาก และท่านก็มีความสุขในสมณเพศนั้น ดุดดั่งเป็นนิมิตรหมายให้รู้ว่า หลวงพ่อจงจะต้องครองเพศอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปจนชีวิตจะหาไม่ สมดังพุทธอุทานที่ว่า....สาธุ โข ปพพฺชชา...การบรรพชายังประโยชน์ให้สำเร็จ

ดังนั้น  เมื่ออายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ.2435  โยมบิดามารดาจึงจัดพิธีอุปสมบทให้ได้เป็นพระภิกษุต่อไป  ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างในที่พำนักอยู่ โดยมี พระอุปัชฌาย์สุ่น (หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ)  เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก  เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารโพธิ์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน  เป็นพระอนุสาวนาจารย์

         จากพิธีอุปสมบทในครั้งนั้น  พระภิกษุจงได้รับสมญานามตามเพศภาวะว่า "พุทฺธสโรภิกขุ"  และพำนักเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย  ตลอดจนวิชาการต่าง ๆ ที่พระภิกษุพึงจะต้องเรียนรู้เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น ณ วัดหน้าต่างในนั่นเอง

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:07
เรียนวิชาอาคม

        ชีวิตของหลวงพ่อจง  หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา พร้อมด้วยฝึกฝนในอักษรสมัยทั้งขอมและไทย จากพระอาจารย์เจ้าอาวาสจนมีความรู้ปราดเปรื่องชำนาญ จนใคร ๆ ก็อดสงสัยมิได้ว่า เอ๊ะ ทำไมหลวงพ่อจง มิยังงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญาดุจดั่งที่มีบุคลิกอันอ่อนแอ ส่อสำแดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบ หรือ อับ
หลวงพ่อจง พลิกความเข้าใจของโยมและวงศ์ญาติให้เป็นการกลับตาลปัตรไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากศึกษารู้แจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือจนแตกฉานแล้ว มิช้ามินาน ยังสามารถรับการถ่ายทอดวิทยาการในแขนงว่าด้วยคุณเวทย์วิทยาคมขลัง จากพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสไพศาลในยุคนั้น มาได้ขนาดว่าหมดสิ้นพุงความรู้ของพระอาจารย์ และก็มิได้หยุดยั้งแค่นั้น หลวงพ่อจงยังได้พากเพียรแสวงหาความรู้ไม่ขาด รู้ว่าที่ไหนมีพระอาจารย์ดี มีผู้เคารพนับถือมาก ในวิชาหรือเจนบจนในวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด ท่านเป็นเสาะแสวงหาหนทางนำตนไปนมัสการน้อมยอมเป็นสานุศิษย์ ศึกษาวิชาอย่างไม่มีท้อถอยไม่มีกลัวความลำบาก ในการต้องบุกป่าฝ่าหนามข้ามทุ่งไกล ๆ ซึ่งสมัยนั้นไปไหนต้องใช้พาหนะเท้าย่ำกันเป็นหลัก

ฝึกกรรมฐาน

ต่อมาจึงได้ไปศึกษาเรียนวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น เกจิอาจารย์ของวัดพิกุล ซึ่งท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์โด่งดังมากจนสมญาว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญญาวาสีผู้ยิ่งใหญ่รูปหนึ่งหมั่นศึกษาและพากเพียรด้วยอิทธิบาทอันแก่กล้าช้านาน จนในที่สุด "ทั่ง" ถูกฝนลงเป็นเข็มสำเร็จ กาลต่อมา หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท อสุภปฏิกูล โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:07
เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมสิกขา และปฏิบัติพระปริยัติธรรมศึกษาพระเวทย์และวิชาการคุณเวทย์วิทยาคม ซึ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีนิสัยส่วนตัวพอใจแล้ว ยังมีเหตุแวดล้อมจากความรู้สึกชมชื่นและศรัทธาของชาวบ้านชาวเมืองสมัยยุคนั้นให้ความนิยมต่อศาสตร์แขนงนี้ ดังจะเห็นจากมีผู้ถวายความเคารพศรัทธาต่อความเป็นพหูสูตร ความยิ่งยงเกรียงไกรในอำนาจฤทธิ์มนต์ขลังของท่านพระครูโพธิ ท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งครั้งกระนั้นเป็นต้นสังกัดของหลวงพ่อจงจนล่วงผ่านวันเดือนไปหลายรอบปีนักษัต ตราบจนพระอาจารย์โพธิได้ถึงมรณภาพไปเพราะโรคภัยเบียดเบียนตามอายุขัยของผู้ชราภาพ ประกอบด้วยหลวงพ่อจง เป็นผู้ขึ้นชื่ออยู่ในความรับรู้ของผู้ใกล้ชิด ทั้งใกล้ไกลตลอดมวลหมู่ผู้สนใจเฝ้าสังเกตว่า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการทางเวทย์วิทยาคมมาจากพระอาจารย์โพธิได้อย่างเต็มภาคภูมิ วุฒิที่พระอาจารย์โพธิมีอยู่ แต่นั้นมาบรรดาชาวบ้านก็ให้ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อหลวงพ่อจงอย่างท่วมท้น ทำให้ท่านต้องรับภาระหนักในการทำพิธีรดน้ำมนต์ ใช้เวทย์วิทยาคมกระทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้ฤกษ์งามยามดี บำบัดเหตุมิดีกาลีร้ายนานาประการ ตามแต่จะมีผู้มาอาราธนานิมนต์ให้โปรดจึงกระทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเงาตามตัว
ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อศุภะ

อศุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอศุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้งถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:08
หลวงพ่อจง ชอบเพ่งมองอสุภะ  คือรูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่อนเร้นมิให้ประเจิดประเจ้อต่อความรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดผู้คนเข้าห้องพิเศษ  พร้อมด้วยดวงเทียนหรุบหรู่  เข้าไปนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย  ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด  จะมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวย่น  หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด  ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง  เพ่งมองให้เป็นภาพติดตาจนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่งนี้  แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้  หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้น  ก็กระทำจิตให้บังเกิดอารมณ์สังเวชว่า รูปกายเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นเบียดเบียนให้เจ็บป่วย  ถูกทำร้ายหรือบังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย  ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา  เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ...ชีวิตหนอ...ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล

         เกี่ยวกับการพิจารณาซากอสุภะของหลวงพ่อจงนี้เคยมีผู้สงสัยถามว่า  เมื่อทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว  จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ  ทำให้ไม่หลงไหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา  มันเป็นแค่ชีวิตกายที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ารวมตัวกัน  ความคิดเห็นแก่ตนเองเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นจะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจให้ผ่องใสสะอาด

         หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมุติของกายเกิด ไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิดว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา  ดังนี้แล้ว  การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกัน  นั่นคือคำตอบอันเป็นการไขข้อสงสัยในกรรมฐานที่ท่านพิจารณาอยู่ทุกเมื่อของหลวงพ่อจง

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:08
เป็นเจ้าอาวาส

  
         ในขณะที่พระภิกษุจง ยังคงพำนักอยู่กับผู้เป็นอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์โพธิ์ ที่วัดหน้าต่างใน  ซึ่งมีบ้านเป็นครั้งเป็นคราวที่ท่านขออนุญาตจากผู้เป็นพระอาจารย์ ไปเรียนวิชายังสำนักอื่น แต่เมื่อเจนจบหลักสูตร เป็นต้องกลับคืนสู่วัดหน้าต่างในต้นสังกัด ทุกครั้งไป แม้ว่าเวลานั้น ท่นจะยังคงอยู่ในฐานะพระลูกวัดศิษย์เจ้าอาวาสท่านพระอาจารย์โพธิ์  แต่ชีวิตแห่งการบวชเข้ามาอยู่ในเพศบรรพชิตของพระภิกษุจงก็นับได้ว่า เป็นชีวิตที่ได้รับความสำเร็จผลสมความตั้งใจ  เป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานานุรูป  และการปฏิบัติกรรมฐานทำความเข้าใจในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อใช้ปฏิบัติจิตให้บังเกิดความสงบสุขและบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์  ตลอดจนเป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางเวทย์วิทยาคม  ซึ่งมีพระอาจารย์โพธิ์เป็นปฐมพระอาจารย์ประสาทวิชาให้

         วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา  นอกจากจะยังประโยชน์ให้บังเกิดเป็นความสุขสงบเย็นเฉพาะตนแล้ว  ยังสามารถใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป  ตามด้วยความเหมาะควรแก่กาละเทศะต่อปวงชนทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจด้วย

         ด้วยภูมิธรรมความรู้ อันเกิดจากความวิริยะพากเพียรที่หนุนเนื่องด้วยบุญบารมีเดิม  จึงทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมปวงชนทั้งหลาย  ซึ่งนับวันก็แต่จะมีจิตศรัทธาเลื่อมใสมากยิ่ง ๆ ขึ้น  ฉะนั้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่ออินทร์สิ้นบุญในอันที่จะครองเพศเป็นภิกษุ  ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกได้ต่อไป  ทำให้หน้าที่การดูแลวัดปกครองสงฆ์ของวัดหน้าต่างนอกว่างลง  ซึ่งจำต้องรีบหาและแต่งตั้งเป็นการด่วน

         ในความคิดความเห็นของบรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย  ต่างเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่มีการนัดแนะมาก่อนว่า  พระภิกษุจง  พุทธัสสโร ศิษย์ของท่านพระอาจารย์โพธิ์ วัดหน้าต่างใน  เพราะสมกว่าใครอื่นทั้งหมด ด้วยความเห็นนั้น  จึงได้ชักชวนกันไปหาท่านพระอาจารย์โพธิ์เพื่อขอพระภิกษุจงให้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหน้าต่างนอก  แทนท่านพระอาจารย์อินทร์  พระอาจารโพธิ์ได้รับรู้แล้ว พิจารณาเห็นถึงความเหมาะสมหลาย ๆ ประการ  เริ่มแต่ความศรัทธาของญาติโยมชาวบ้าน  ความเหมาะสมของผู้เป็นศิษย์  จึงเห็นควรตามที่ญาติโยมเขามาขอ เมื่อศรัทธาเรียกร้อง  พระอาจารย์เห็นชอบ  พระภิกษุจงจึงมาทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกนับแต่นั้นมา

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:08
หลวงพ่อจง ออกธุดงค์


         การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อจง  มิใช่จำเพาะอยู่แต่ภายในวัดหน้าต่างนอก ที่ท่านรับหน้าที่มาดูแลในฐานะเจ้าอาวาสเท่านั้น  แม้ยามว่างเว้นจากกิจอันเป็นภาระตามหน้าที่ที่ศรัทธาญาติโยมมอบหมายให้  ท่านจะปลีกตัวออกไปหาความสงบสงัดยังสถานวิเวก  ยังป่าเขาลำเนาถ้ำอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษา การเดินทางไปฝึกจิตภาวนาของหลวงพ่อจงนั้น มักจะนิยมไปเพียงลำพัง เพราะท่านว่าเป็นการตัดภาระไม่ต้องพะวักพะวงกับบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ร่วมเดินทาง  แต่ถ้ามีพระเณรประสงค์จะร่วมเดินทางด้วย  ท่านก็มิขัดข้องแต่อย่างใด  และในทุกสถานที่ทุกถิ่นฐานที่ท่านผ่านไป  หากมีสถานที่สำคัญทางศาสนา  ปูชนียวัตถุ  ปูชนียสถานต่าง ๆ ท่านมักจะต้องแวะเข้าไปกราบนมัสการน้อมรำลึกเป็นพุทธสังเวชเสมอ

         ฉะนั้น  ไม่ว่าสถานที่สำคัญใดในประเทศ  จะเป็นรอยพระพุทธบาทก็ดี  พระเจดีย์ธาตุก็ดี  หลวงพ่อจงท่านไปนมัสการมาจนหมดสิ้นแล้วทั้งสิ้น


ไปพม่า


         ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า  ข้ามภูเขาและห้วยละหานเหวไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท  และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว  หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่า  ประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่  คือ พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อปรารภเรื่องนี้ให้ญาติและเพื่อนภิกษุสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว  ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้งมิอยากให้ไป  ต่างอ้างเหตุผลว่า  หนทางมันไกลนัก  อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง  ประการสำคัญคือ  ถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเส้นสายแน่นอน  นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบหรือป่าเถาวัลย์ไม้พุ่มไม้เลื้อย นานาชนิด

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:09
ด่านแรก  สำคัญที่สุดคือจะต้องบุกฝ่าไปในพงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฏ  ยามร้อน ร้อนจัด ยามเย็น เย็นยะเยือกและชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสอง ซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร  มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึบจนมองไม่เห็นแสงแดด  เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืดเหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด  นอกนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลม  หินคม  โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย  เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง  ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า

         ยิ่งกว่านั้น  ในเรื่องมดหมอหยูกยา  หลวงพ่อจงก็ขาดปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน  ฉะนั้น  แม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บสัตว์จตุบาท ไหนเลยจะรอดจากโรคภัย  โรคเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬพญาเย็นพญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อลือกะฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น เปล่า...ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกันขัดคออย่างไรไม่เป็นผล  หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะหาเหตุผลใดเข้าหักร้างหักข้อแย้ง  เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ ตีหน้าตายเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งน่าสยดสยองน่ากลัวตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อยนิด คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัย  ซึ่งผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า  ลงพูดอย่างงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่  ท่านว่า  “ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไป จริง ๆ ด้วย”

         เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียง ไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใครในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้  การทักท้วงทัดทาน  มิว่าด้วยเหตุผลน่าหวั่นไหวอย่างใด  ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน  ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง  ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้  เพื่อกระทำไตรสรณาคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:09
กลางป่าพญาไฟ


         ดังนั้น เมื่อได้โอกาสที่กำหนด  หลวงพ่อจงท่านก็แต่งบริขารเท่าที่จำเป็น พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอนแบบธุดงค์  ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า  โดยลำพังรูปเดียวโดยเดี่ยวเอกา  เดินท่อม ๆ ออกจากอาวาสวัดหน้าต่างนอก  บุกฝ่าไปตามทางน้อยทางลัดมุ่งสู่สระบุรี ที่วัดพระพุทธบาท  ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาติดตามไปอีกสองรูป  จากนั้นเมื่อไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็นพญาไฟ  ก็ได้ภิกษุอีกสองรูปร่วมเดินทางไปด้วย  รวมเป็นห้ารูปทั้งหลวงพ่อจง  และทั้งห้ารูปไม่มีศิษย์แม้แต่สักคนติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

         เพราะดงพญาเย็นพญาไฟสมัยยุคนั้น  มีอาณาบริเวณซึ่งรกชัฏกว้างไพศาล เป็นอาณาเขตรกทึบ  มืดครึ้มไปด้วยดงไม้ใหญ่สูงชะลูด  เมฆบดบังแสดงอาทิตย์ไม่ให้ส่องต้องพื้นดินใบหญ้า  พื้นแผ่นดินก็ทึบมืดชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าของใบไม้และดินโคลน หอยทาก งูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง บรรดาสรรพสัตว์ร้ายยั้วเยี้ย เพ่นพ่านสลับสลอน สภาพภูมิพื้นที่เป็นเช่นนี้  เป็นธรรมดายากจะหาชาวบ้านคนใดไปทนทรมาน  ยกบ้านสร้างกระท่อมอาศัยอยู่  เพราะจะทำมาหากินทางกสิกรรมหรือป่าไม้และอื่นใดในบริเวณย่านนั้นก็ย่อมไม่เป็นผล  จะทำไร่ไถนาหาใส่ท้องก็ยิ่งจะไม่ได้  โดยสภาพปกติที่เป็นเช่นนั้นแล้ว  ใครเล่าจะนำตัวไปอยู่ในท้องถิ่นเปรียบเสมือนนรกได้ลงคอ

         ด้วยเหตุผลประการฉะนี้  ทุกย่างก้าวของระยะทางที่เดินเป็นวัน ๆ  ในท่ามกลางดงพงพีอันสงบสงัด  แต่วังเวงอย่างน่าสยองขน  ต้องระวังเขี้ยวเล็บสรรพจตุบาท ทวิบาท  โรคร้ายนานาชนิดจากพื้นดินแฉะตลอดกาล  ปราศจากชาวบ้านจะเกื้อกูลถวายกระยาหารบิณฑบาตร ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็นพญาไฟ  ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้  เพราะหนทางเดินแน่นอนก็คลำหายาก  มันเต็มไปด้วยดงหญ้ากับเถาวัลย์พันรกทึบเปิดทางเดินเล็กแคบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนหนทางมันก็ไปผ่านห้วยและหุบเหว  จนมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่าย  ว่าเป็นเส้นทางใช้เดิน  บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมทางน้ำ  ซึ่งมีรอยตีนเสือ ช้าง หมี รอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหว แม้จะไม่กริ่งกลัวของภิกษุจอมธุดงค์ทั้งห้าไม่น้อย  ซึ่งในการผจญและเผชิญกับการรุกเงียบอย่างโหดเหี้ยมต่อความรู้สึกทางจิตใจเช่นนี้ของธรรมชาติป่าเขา  การเดินทางจึงเป็นไปไม่สะดวก  เต็มไปด้วยความขลุกขลักเป็นอุปสรรค หลงทางบ่อย บางวันต้องหลงป่าหาทางใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งหน้าครั้ง  และบางวันเดิน ๆ ไปแล้วไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ถึงไหนแล้ว

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:10
ยิ่งกว่านั้น  มีโชคร้ายเข้ามารุกรานจิตใจ  ในตอนสายของวันที่สี่ ท่ามกลางดงพญาไฟตอนจะออกนครราชสีมา  โดยภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง  แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย  อาการรุนแรงดุเดือดทรุดเสื่อมอย่างรวดเร็ว คณะทั้งสี่ผู้ไม่อาพาธก็ต้องพักผ่อนเฝ้าดูแลอาการ  เพราะมาด้วยกันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า  โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นที่ราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งพำนักพักรักษาสหายภิกษุผู้อาพาธ   จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสายภิกษุรูปนั้นก็มิอาจทนทานพิษไข้  ก็มรณภาพต่างช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว  บ่ายวันนั้น จึงเดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็นพญาไฟ  ผ่านเขตลพบุรีย่างเข้าเขตนครสวรรค์


ฝ่าดงอสรพิษ


         ที่นครสวรรค์ ได้ภิกษุร่วมเดินทางไปอึกหนึ่งรูป  รวมเพิ่มจำนวนเป็นห้าอีกตามเดิม  แต่ระหวางนครสวรรค์ถึงพิษณุโลกก็ไม่ใช่ว่าเป็นพื้นที่ราบ  เป็นป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ  ไม่เหมือนในดงพญาเย็นดงพญาไฟก็จริง  แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย  โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้  มีน้ำท่วมเจิ่งและมีบริเวณกว้าง  ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำ ซึ่งต้องผ่าน  มีจระเข้นอนกันอยู่ยั้วเยี้ยอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง  เหล่างูเห่าและบ้างจงอางเลื้อยเพ่นพ่านไปมา  เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันไปรวดเร็วแผ่วเบา  สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ  มันต่างชูหัวสูงแผ่พังพานคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง และดังนั้น  แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี  โดยพระภิกษุทั้งห้าทุกรูป  ไม่มีรูปใดเกรงกลัวมัน  ต่างพยายามหลบหลีกเดินหนีมัน  ไม่มีเวรกรรมพยาบาทโกรธเกลียดมันด้วยประการใด  เจ้างูจงอางตัวหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่เวรจองผลาญมาแต่ครั้งใด กับภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรี  มันก็ได้มีโอกาสจู่โจมฉกกัดท่าน  กว่าจะพอกยาหาหมอได้ทันก็หมดเวลา  พิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้  ภิกษุรูปนั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:10
เดินเดี่ยว


          ผ่านถึงแดนพิจิตร  ที่วัดตะพานหินได้ภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย  ตกลงการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก  คงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้าตามเดิม  แต่จากพิจิตรระหว่างทางเข้าเขตพิษณุโลก  ภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพเสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่ง  ตอนเดินข้ามลำธารพงรกถูกจระเข้คาบพาไป  ทิ้งศพไว้ให้ช่วยกันฝังเพียงครึ่งเดียว จากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเพื่อทะลุขึ้นเชียงราย  โดยหมายเส้นทางเข้าแม่ฮ่องสอนและเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งชะเวดากอง  ภิกษุร่วมทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละรูปด้วยโรคไข้ป่า  และบ้างขาดอาหารเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) อีกทั้งในตอนระยะหลัง ๆ เมื่อผ่านแม่สอดจนถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว  ไม่มีภิกษุจังหวัดรายทางเข้าร่วมเดินทางธุดงค์เพิ่มด้วย  เมื่อหลุดจากแม่ฮ่องสอนเข้าสู่แดนพม่า  จึงคงเหลือหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว  บุกท่อม ๆ ไป  อย่างเอกากายแลโดดเดี่ยวเป็นเวลาอีกสองวัน  กว่าจะถึงพม่าได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง


ธรรมะประโลมใจ


         หลวงพ่อจง ยอมรับว่า  แรก ๆ เมื่อเห็นสหายร่วมทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตาย  รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช  แต่เมื่อได้ทบทวนหวนคิดได้ว่า  อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์  ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้  ที่ชีวิตตายเกิดทุกรูปนามพึงต้องประสบ รูปกายใด  มิว่าจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา  มิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด  จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชาผู้มีศักดานำขนพองสยองอำนาจ  รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณสัญญาณเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน  หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม  มฤตยูมิยอมยกเว้น  หรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อน  ประกันวันตายยืดออกไป

         เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้  จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวและหวาดเสียวแห่งมรณสัญญาณ  มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด  ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น  แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้บังเกิดเหตุเภทภัยย่ำยี  กลับทำให้บังเกิดเป็นเจโตวสี  คือเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:11
เพราะใจมั่นในธรรม


         ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในแรก ๆ แต่เมื่ออยู่ไป  การใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง  ใช้ภาษามคธและภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้  ก็ทำให้รู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ  ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด  และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร  เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด  จึงคิดเห็นว่าสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า ทั้งขาไปและกลับ  หลวงพ่อจง ได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 รูป ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น  หลวงพ่อจงเคยพูดว่า  ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด  ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี  แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน  นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร  จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ  ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากทุรกันดาร  ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล  หรือความอ้างว้างท่ามกลางหริ่งเรไรระงมกลางไพรที่สงัด

แม้รู้ก็ไม่หนี

          ภายหลังกลับจากธุดงค์เมืองพม่า  การนมัสการพระมหาเจดีว์ชะเวดากองแล้ว  ได้มีลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมมาสอบถามประสบการณ์จากท่านมากมาย  แต่วิสัยของชาวบ้านธรรมดาชอบถามเรื่องแปลก ๆ มากกว่าฟังธรรม  จึงได้มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อนายชด ได้ถามหลวงพ่อจงถึงตอนที่ไปธุดงค์เมืองพม่าว่า  ท่านปฏิบัติอย่างไรถึงรอดมาได้  ในเมื่อพระภิกษุบางรูปที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยถึงแก่มรณภาพกลางทาง หลวงพ่อจงท่านหยุดคิดนิดหนึ่งเห็นมีลูกศิษย์อยู่ไม่กี่คน  ท่านจึงเปิดเผยโดยนัยธรรมว่า

         การธุดงค์ การออกป่า ต้องทำใจกล้าพิสูจน์ถึงเรื่องกรรม  ถ้าเกิดตายขึ้นมาก็เป็นเรื่องกรรม  ไม่มีใครช่วยอะไรได้  คณะพระธุดงค์ที่เดินทางไปด้วยกันนั้น  ล้วนแต่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น บางรูปได้อภิญญาสมาบัติและมีวิปัสสนาญาณ  บางองค์มีอนาคตังสญาณที่แจ่มใสมาก  ล่วงรู้อนาคตได้  แต่ท่านไม่เคยคิดหนี  ยอมรับกรรมนั้น ๆ ด้วยการเดินธุดงค์ ในครั้งที่ท่านไปธุดงค์กับคณะได้มีพระรูปหนึ่งจำชื่อไม่ได้  ยังได้บอกว่า  เข้าป่าคราวนี้ไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว  เช้าวันหนึ่ง ท่านร่ำลาพระภิกษุในคณะพลางบอกว่า  บ่ายนี้ท่านจะเป็นไข้ป่าและมรณภาพ  พอตกบ่าย   พระทุกรูปต่างอยู่ในกลด ทำวัตรของตนจนเย็น  มีพระรูปหนึ่งมารายงานหลวงพ่อว่า  มีพระมรณภาพในกลด  จึงไปบอกให้พระรูปอื่น ๆ ทราบ แล้วชวนกันไปดู

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:11
พอเปิดกลดออกดู  ก็เห็นท่านนั่งมรณภาพในท่าสมาธิ  แสดงว่าท่านเตรียมตัวตายไว้แล้ว  และไม่หนีตายด้วย  ที่รอดมาได้อย่าดีใจ  เพราะกรรมเมื่อให้ผลแล้ว  หนีไม่พ้นการเชื่อเรื่องของกรรมจึงได้ชื่อว่าเป็นพระแท้  นับถือคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง

         เรื่องของกรรม  พระเก่งหรือไม่เก่งต่างก็หนีไม่พ้น  หากกรรมนั้นไม่เป็นอโหสิกรรมแล้ว  ไม่มีใครเก่งเกินกรรมไปได้

ปฏิบัติดีย่อมมีผู้สงเคราะห์


         นายชดถามหลวงพ่ออีกว่า  การเดินทางไปธุดงค์คราวนั้น  ทราบว่าเป็นการเดินทางเข้าป่าลึก  บางตอนไม่มีผู้อาศัย แม้ชาวป่าก็ไม่มี  การขบฉันจะทำอย่างไร หลวงพ่อจงท่านตอบว่า  การบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์  สงฆ์แม้จะอยู่ในที่ใดก็ตามก็ต้องบิณฑบาตตามปกติ  อยู่ในป่าก็บิณฑบาตกับชาวป่า   ชาวป่าบางคนดี ใจบุญใจกุศลเพราะกลัวพระจะลำบาก  อุตสาหก์ทำแคร่นั่งร้านให้พระอยู่  เราก็อยู่ฉลองศรัทธาและอนุโมทนาในบุญกุศลของเขา  เมื่อเข้าป่าลึก ๆ มากก็ต้องบิณฑบาตเหมือนเดิม

         ก่อนที่จะบิณฑบาต  พระท่านจะเข้าสมาบัติเต็มตามกำลังเท่าที่จะทำได้  ได้ฌาน ได้สมาบัติแค่ไหนก็เข้าเต็มตามนั้น  แล้วถอยจิตออกมาแผ่เมตตา  มีพรหมวิหารเป็นอารมณ์  เมื่อถอยจิตออกมาแล้ว  ก็เดินถือบาตรไปเถอะ ที่ไหนก็ได้ มีคนใส่บาตรทั้งนั้น นายชดสงสัยว่า  ในป่าลึก ๆ ไม่มีคน  เหตุใด จึงมีคนใส่บาตร  หลวงพ่อจง หยุดไปครู่หนึ่งคล้ายไม่อยากพูดอะไรอีก  แต่เห็นนายชดศรัทธาในธรรม  จึงตอบว่า เทวดาเขามาสงเคราะห์น่ะ  เทวดาทั้งหญิงชายเขามา แต่งกายเหมือนกับเรานี่แหละ ผิวพรรณดีหน้าตาสวยงาม เทวดาเหล่านี้คือรุกขเทพ  มีใจบุญ ใจกุศล  กลัวพระจะอดอยาก  จึงมาเป็นโยมอุปัฏฐากสงเคราะห์ด้วยการใส่บาตรให้  บางทีในป่าเกิดฝนตก  เดินไปไหนมาไหนลำบาก  พระอุ้มบาตรไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เยื้องจากกลดไปหน่อยหนึ่ง  ประเดี๋ยวเขาก็มาใส่บาตรให้

         พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  เทวดาสงเคราะห์เป็นเรื่องปกติ  เป็นฆราวาสก็เช่นกัน  ถ้าทำดีเทวดาเขาก็จะสงเคราะห์เหมือนกัน  แล้วเทวดาเหล่านี้ชอบฟังธรรม  ทำวัตรสวดมนต์ในใจประเดี๋ยวเดียว  ท่านก็มากันเต็มหมด  มาบอกว่า “ท่านเจ้าขา  ท่านสวดมนต์จนเสียงสะเทือนไปทั่ว  จึงได้รู้ว่ามีพระมาโปรด  นาน ๆ ท่านจะมาสักครั้งหนึ่ง  ขอได้เทศนาโปรดด้วยเถิดเจ้าข้า” เราเป็นพระ เมื่อเขาอาราธนาแล้ว ก็ต้องเทศน์ให้เขาฟัง  เทวดาบางหมู่ชอบกรณียเมตตาสูตร  เทวดาบางหมู่ชอบอาฏานาฏิยะสูตร  เทวดาบางหมู่ชอบธัมมจักรกัปปวัตนสูตร  แล้วแต่นิสัย

         เวลาเทศน์จบ  เขาสาธุพร้อม ๆ กัน ดังสนั่นไปหมด  แต่กริยาเขางดงามมาก  นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขา นายชดผู้นี้เลื่อมใสหลวงพ่อจงมาก ต่อมาได้บวชในพระบวรพระพุทธศาสนา   เมื่อรับกรรมฐานจากหลวงพ่อจงแล้ว  ก็เข้าป่าไปไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:12
ต้องด้วยตาใน


         เมื่อพูดถึงผีสางเทวดาแล้ว  มีเรื่องเล่ากันอีกว่า  สมัยที่หลวงพ่อจงยังมีชีวิตอยู่  ลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดมักถามท่านเสมอว่า  ผีสาง เทวดา สวรรค์ นรก มีจริงหรือไม่

         ท่านยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า  “มีจริง”  แล้วท่านก็ชี้ไปที่ลูกตาของท่าน  พลางกล่าวว่า  “ลูกตาแบบนี้มองไม่เห็น  ต้องใช้ตาใน” ท่านนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วบอกกับลูกศิษย์ว่า  เรื่องอย่างนี้เป็นปัจจัตตัง  ปฏิบัติแล้วรู้เองเห็นเอง  บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ  เพราะมนุษย์ทุกคนมักมีนิสัยดื้อรั้นตามธรรมชาติ  ต้องเห็นเองจึงจะเชื่อ  โบราณท่านจึงสอนเรื่องกสิณเพราะเหตุนี้ กสิณเรียนแล้วเป็นแล้ว  จะรู้หมด เห็นหมด  เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ ไปเที่ยวได้ ไปพูดคุยกับเขาได้ ไปดูใครตกนรก ใครขึ้นสวรรค์ก็ได้ รู้อนาคตล่วงหน้าได้  คนเป็นกสิณ  ถ้าปฏิบัติวิปัสสนาญาณไปด้วย จะตัดตรงถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วมาก  เพราะการได้เห็นของจริง  ทำให้จิตใจไม่กล้าใฝ่ในความชั่ว มุ่งมั่นปฏิบัติแต่ความดี


เทวมนุษย์


         ลูกศิษย์ของหลวงพ่อจง อีกคนหนึ่งชื่อ นายเอี่ยม  นับถือหลวงพ่อจงมาก  นายเอี่ยมผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ก่อนนายชดไม่นาน   นายเอี่ยมศรัทธาและเชื่อตามที่หลวงพ่อจง ท่านสั่งสอนทุกอย่าง  นายเอี่ยมทราบดีว่า  หลวงพ่อท่านชอบเพ่งอสุภกรรมฐาน  ดูซากศพหรือโครงกระดูกคนตายเป็นอารมณ์เสมอ  นายเอี่ยมได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเป็นครั้งคราว  จิตใจรักพระพุทธศาสนา  ทำอะไร ๆ ก็หายใจเข้าออกเป็นพระไปหมด ก่อนนายเอี่ยมตายไม่นาน  ได้ปวารณาตัวกับหลวงพ่อว่า  ถ้าเขาตาย เขาขอถวายโครงกระดูกของเขาต่อหลวงพ่อ  เพื่อหลวงพ่อจะยังประโยชน์ในด้านอสุภกรรมฐาน  เมื่อปวารณาตัวเช่นนั้นแล้ว  นายเอี่ยมได้ก้มลงกราบหลวงพ่อด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น หลวงพ่อจงได้ฟังดังนั้น  ก็ยกมือลูกศีรษะนายเอี่ยมด้วยความเมตตา แล้วบอกว่า “ลูกเอ๋ย  แม้ลูกจะยากจนข้นแค้นในโลกสมบัติ  แต่ก็รวยล้นในธรรมสมบัติ  จนหาใครมาเทียบยาก  การถวายร่างของลูกแก่หลวงพ่อนี้  ถือเป็นสังฆทานอันสูงสุด  ผลบุญของลูกครั้งนี้ จะทำให้ชาติภพของลูกข้างหน้ามีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่ตกต่ำอีกแล้ว  ลูกประณมมือขึ้นนะ  หลวงพ่อจะโมทนา”

         เมื่อโมทนาเสร็จ  หลวงพ่อก็ให้นายเอี่ยมถือไตรสรณคมน์และศีลห้าเป็นหลักในชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่  นายเอี่ยมสาธุแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อร่ำลาไป  ต่อมาไม่นาน นายเอี่ยมก็ถึงแก่กรรม  บรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่น ๆ ที่ไปนมัสการหลวงพ่อที่กุฏิ  มักถามท่านถึงโครงกระดูกนายเอี่ยมซึ่งแขวนไว้ในห้อง  หลวงพ่อจงบอกว่า  เป็นโครงกระดูกของนายเอี่ยมเขา  เขาสบายแล้ว  เป็นเทวดาตั้งแต่ยังไม่ตาย

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:12
บารมีทางวิทยาคม


         หลวงพ่อเริ่มมีชื่เสียงรุ่งโรจน์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เมื่อราว พ.ศ.2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเป็นต้นมา  ซึ่งช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่บ้านเมืองต้องการทหารผู้กล้าหาญเข้มแข็ง  เพื่อรับสถานการณ์ของบ้านเมือง  ปัจจัยสำคัญในการปลุกใจทหารคือ เครื่องรางของขลัง

         ฉะนั้น  จึงปรากฎมีผู้ไปมากราบไหว้  ขอให้หลวงพ่อประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมให้มากขึ้นทุกที  ในด้านบรรพชิต ปรากฎว่า ได้มาเล่าเรียนกรรมฐานภาวนาจากหลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับ  กุฏิที่ท่านอยู่เดิมไม่สามารถจะเพียงพอแก่การต้อนรับแขกได้ หลวงพ่อนิล (พระอธิการนิล  ธัมมโชติ)  น้องร่วมสายโลหิตของท่าน  ในขณะนั้นยังช่วยบริหารการพระศาสนาอยู่วัด หน้าต่างนอก  พร้อมด้วยทายกทายิกา  จึงรวบรวมกัปปิยภัณฑ์ที่สาธุชนบริจาคถวายสร้างกุฏิใหญ่ขึ้นหลังหนึ่ง  เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2479  แล้วถวายเป็นที่อยู่อาศัยของท่าน

         ล่วงมาจนถึงปี พ.ศ. 2483  สงครามอินโดจีนอุบัติขึ้น  เกียรติคุณของหลวงพ่อได้เลื่องลือไปทั่วประเทศไทย  โดยได้จัดทำเสื้อแดงลงเลขยันต์ปลุกเสกด้วยวิทยาคม  แจกจ่ายให้แก่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนทั่ว ๆ ไป

         ด้วยอำนาจจิตตานุภาพอันทรงพลังของหลวงพ่อ  บันดาลอัศจรรย์บำรุงขวัญทหารให้เข้มแข็งกล้าหาญในการสงคราม  นับว่า หลวงพ่อได้มีส่วนในการบำรุงขวัญทหารไทยอยู่มิใช่น้อย


บรรเทาภัยในสงครามโลก


         เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นนั้น  ทางพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีประเทศไทยหลายครั้ง  จนเป็นที่หนักใจแก่ทางราชการของเรา  โดยเฉพาะกองทัพอากาศที่ไม่มีกำลังอาวุธพอที่จะต่อต้านได้

          ดังนั้น  ทางทหารอากาศจึงไปนิมนต์หลวงพ่อจง  ถึงวัดหน้าต่างนอก โดยขอให้ท่านขึ้นเครื่องบินไปโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้ ลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง  เพื่อพรางตาข้าศึกที่ส่ง บี 29 มาทิ้งระเบิด และเป็นที่น่าประหลาดอย่างที่สุดว่า  จุดที่หลวงพ่อโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้นั้น  แคล้วคลาดจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรอย่างน่าอัศจรรย์  ไม่มีสถานที่ใดถูกระเบิดทำลายแม้แต่น้อย  นี่คือกิตติคุณที่แสดงว่า  ท่านเก่งในทางแคล้วคลาดจริงโดยปราศจากข้อสงสัย

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:12
เน้นหนักด้านเมตตา

         เมื่อกล่าวถึงวิทยาอาคมของหลวงพ่อที่มีผู้นิยมและต้องการนั้น  เท่าที่ทราบมีสามสาขา คือ

             1.  วิทยาคมทางด้านคงกระพันชาตรี
             2.  วิทยาคมทางด้านเมตตา
             3.  วิทยาคมทางน้ำมนต์

         ในบรรดาวิทยาคมทั้งสามสาขาที่ประมวลมานี้  วิทยาคมทางเมตตาเป็นที่เลื่องลือมากกว่าอย่างอื่น  หลวงพ่อจงท่านเฝ้าสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน  อย่าเบียดเบียนกันเป็นนิตย์  แสดงว่าท่านให้ทั้งที่พึ่งพาทางกายและทางใจพร้อมกันไป  แทนที่จะมุ่งให้ทุกคนยึดมั่นในวัตถุเช่นอาจารย์อื่น ๆ การกระทำของหลวงพ่อจง และวิทยาคมทางเมตตาของท่านจึงมุ่งเสริมสร้างสังคมให้รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข  อันเป็นยอดปรารถนาของคำสั่งสอนทั้งมวลอันเป็นโลกียะ  ถ้าจะกล่าวว่าหลวงพ่อจงท่านเป็นนักสงเคราะห์ก็ไม่ผิดมิใช่หรือ


เมตตาธรรม

         หลวงพ่อจง ท่านเป็นผู้หนักในการปฏิสันถาร  ที่เรียกว่า ปฏิสนฺถารคารวตา ทั้งในการต้อนรับ ความอามิส และการต้อนรับด้วยธรรมที่เรียกว่าโอภาปราศรัย จะเห็นว่าไม่ว่าท่านผู้ใด  เมื่อมาถึงหลวงพ่อแล้ว  ท่านจะให้ความสนใจเท่าเทียมกัน  เมื่อทราบธุระที่มาหาแล้ว  หลวงพ่อจะจัดทำให้ในทันที โดยที่สุดแม้การรดน้ำมนต์  หลวงพ่อจงท่านจะรดน้ำพระพุทธมนต์ให้อย่างทั่วถึง  บางครั้งผู้ที่มีโรคภัยใจไม่สงบ  เมื่อถูกน้ำพระพุทธมนต์เข้าแล้ว  แสดงอาการดิ้นรนต่าง ๆ  ร้องครวญครางเป็นที่น่าเวทนา หลวงพ่อจงท่านกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความว่องไว  คล่องแคล่ว  แม้การเดินทาง  หลวงพ่อจงก็เดินเร็ว  คนหนุ่ม ๆ เดินตามท่านไม่ทัน จะขึ้นรถลงเรือ  หลวงพ่อไม่ชักช้า

         ในการสนทนา  หลวงพ่อจงเป็นผู้พูดน้อย  มักจะเป็นผู้ฟังมากกว่า  ท่านไม่เคยโต้แย้งหรือแสดงอาการไม่พอใจใคร  แสดงถึงส่วนลึกของจิตใจของหลวงพ่อจงว่า  ท่านมีเมตตาและมีความปรารถนาดีต่อทุกคน  คำที่หลวงพ่อจงใช้ในการสนทนา พวกเราจำได้อยู่เสมอ คือ  จ๊ะ...อ้อ...ดี....จ๊ะ

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:13
ไปทุกที่ที่นิมนต์


         เพราะความที่ท่านมีเมตตากรุณานี่เอง  จนบางครั้ง มีผู้นิมนต์ท่านไปในที่ต่าง ๆ คลาดกำหนดกลับอยู่เสมอ ใครนิมนต์ไปที่ไหนหลวงพ่อจงท่านไม่ขัด  ไปได้ทุกที่และไปได้กับทุกคน  หลวงพ่อจงถือว่ากิจเช่นนั้นมีปรากฎอยู่แล้วในพระวินัย  ที่เรียกว่าการขัดนิมนต์ และท่านกล่าวว่า  “ถ้าเขานิมนต์แล้วเราไม่ไป  ศรัทธาของเขาจะเสียหาย” นับได้ว่า หลวงพ่อจง ปฏิบัติตามพระวินัยนิยมแล้วทุกประการ  เข้าหลักว่า โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่หมอง  ถูกต้องตามพระวินัยอย่างแท้จริง

โปรดมิจฉาเป็นเนื้อนาบุญ


         พูดถึงการเสียสละของท่านแล้ว  ใคร ๆ ได้ฟังก็ถึงแก่น้ำตาคลอเบ้า ด้วยปลื้มปิติ  ไม่คิดว่าสุปฏิปันโนภิกษุเช่นท่านนี้ ยังมีอยู่ในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ มีเรื่องของท่านอีกเรื่องหนึ่ง  เล่ากันว่า  ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่  การเดินทางไปไหนมาไหนมักจะต้องไปทางเรือ  เพราะสะดวกกว่าทางอื่น  เรือแจวของวัดจึงต้องมีประจำ  และเรือแจวลำนี้ผูกติดกับสะพานหน้าวัดอยู่เป็นประจำ ตกดึกคืนหนึ่ง  ขโมยมาย่องหมายจะลักเอาไป  หลวงพ่อท่านนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ  ท่านทราบดี  ท่านก็รีบลงมาแก้เชือกให้ขโมยคนนั้น  แล้วบอกว่า “เอาไปเถอะนะ  ฉันหาใหม่ได้  ถ้าไม่มีสตางค์ คืนนี้ตีสี่ไปที่พระพุทธฉายจำลอง  เทวดานางไม้ตรงนั้นเขาจะสงเคราะห์ให้ จงเอาไปเถิด  จะได้ตั้งตัว  แล้วเลิกเป็นโจรเสีย  เพราะการอทินนาของวัดเป็นบาปหนัก  หลวงพ่อไม่อยากให้บาปตกแก่เธอเลย” ขโมยคนนั้นได้ยินท่านพูด  ถึงกับร้องไห้แล้วก้มลงกราบถวายเรือคืนแต่โดยดี

         ต่อมาไม่นาน  ขโมยคนนี้ได้มาขอบวชกับหลวงพ่อจง  และมานะพยายามปฏิบัติจนสำเร็จอภิญญา  ภายในเวลาพรรษาเดียว หลวงพ่อจงได้เรียกมาพบแล้วบอกว่า “โลกีย์วิชาเธอได้แล้วถึงอรูปพรหม  และมีอภิญญา 4  นับจากนี้  เธอจะอยู่ในหมู่ฝูงชนไม่ได้  ขอให้เธอจงเข้าป่าไป  ให้ชาวป่าและรุกขเทวดาท่านสงเคราะห์  จงทำวิปัสสนาญาณประหารกิเลสให้แจ้งชัด  จงอยู่เอกาอย่าวิตกกังวล  ตกดึกจะมีครูที่ไม่ใช่มนุษย์มาสอนเธอ  ชาติภพของเธอจะสิ้นสุดลงในสามพรรษาข้างหน้า  ไปเถิดลูกเอ๋ย” พระทรงอภิญญารูปนั้นฟังแล้วน้ำตาไหลอาบแก้ม  ปลื้มปิติในความเมตตาของหลวงพ่อ  และตื้นตันใจที่ตนเลือกพระอาจารย์ร่ำเรียนกรรมฐานไม่ผิดองค์เลย หลังจากกราบลาหลวงพ่อจงแล้ว  พระอภิญญาองค์นั้นก็เข้าป่าไป  และไม่ได้ออกมาอีกเลยจนบัดนั้น

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:13
ฤทธิ์ยักษ์เฝ้าทรัพย์


         เมื่อราวปี พ.ศ.2470  ท่านสมภารวัดหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกับวัดหน้าต่างนอก  ไปรื้อวิหารของวัด  ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ มีลายแทนใบหนึ่งระบุว่า มีสมบัติพระทองคำซ่อนอยู่ใต้วิหารนี้  สมภารเกิดความโลภ จึงสั่งให้พระลูกวัดช่วยกันรื้อพระวิหาร  เพื่อหวังขุดเอาพระทองคำไปขาย  พอวิหารถูกรื้อเสร็จ ท่านสมภารวัดก็ถึงกับล้มป่วยมีอาการเพียงหนักมาก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของสมภารรูปนั้นก็พากันมากราบไหว้  หลวงพ่อจงถึงวัดหน้าต่างนอก  พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า  สมภารวัดมีอาการประสาทหลอน ร้องโวยวายคล้ายถูกผีหลอกตลอดเวลา  หลวงพ่อจงจึงรีบเดินทางไปยังวัดนั้น  ขณะยังเดินไปไม่ถึงวัดดี  หลวงพ่อจงก็บอกแก่พระลูกวัดที่มาตามท่านว่า “สมภารไม่ได้โดนผีหลอกดอก  ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรด้วย  แต่ยักษ์ที่เฝ้าพระวิหารทำเข้าแล้ว   ไปรื้อวิหารโดยไม่ประสงค์จะสร้างให้ดีกว่าเก่า  เป็นเพราะอยากได้สมบัติใต้วิหาร  มันถึงเป็นเช่นนี้”

         พอไปถึงวัด  ท่านเห็นสมภารเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์  มีอาการดิ้นพรวดพราด  หลวงพ่อจงเดินเข้าไปใกล้แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง  สมภารวัดรูปนั้นถึงกับล้มตึงแน่นิ่งไป  บรรดาพระลูกวัดเห็นดังนั้น  ก็รีบเข้าไปประคอง  ปากก็ละล่ำละลักขอให้หลวงพ่อช่วย  ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ฟื้น  พอจะเอ่ยปากพูดต่อ  หลวงพ่อจงท่านเอามือป้องคล้ายจะบอกว่าไม่ต้อง ท่านหยุดนิดหนึ่งจนสมภารฟื้น  แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เช้าตั้งเครื่องสังเวย  ขอขมาลาโทษเขาเสียนะ  เขาเอาจริง  เวลานี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย  เขาถามฉันว่า  ท่านรื้อวิหารต้องการขุดสมบัติใช่ไหม  เขาให้ท่านรับปาก  ท่านต้องเลิกหาสมบัติ  และวิหารนั้นจะต้องสร้างใหม่ให้สวยงามและใหญ่กว่าเก่า  ท่านทำได้ไหม  ถ้าท่านทำไม่ได้  เขาจะเอาชีวิตท่าน”

         สมภารวัดหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม  รีบพยักหน้าหงึก ๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเป็นเม็ดโต ๆ รีบรับปากแต่โดยดี  พอวันรุ่งขึ้นก็รีบจัดตั้งเครื่องสังเวยขอขมาลาโทษ  แล้วจัดการสร้างวิหารให้งามใหญ่กว่าเดิม

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:13
หลวงพ่อจง เดินไปวัดบางนมโค


     เรื่องหลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโคนี้ บันทึกโดยพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อปานท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบางนมโคได้จัดงานฉลองศาลาและมีสวดมนต์เย็น พระอื่นก็มากันครบแล้ว ขาดแต่หลวงพ่อจง หลวงพ่อปานท่านจึงให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำผู้เป็นศิษย์พาคนเรือนำเรือเร็วไปรับหลวงพ่อจงมาจากวัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึง ปรากฏว่ามีแขกมารอพบหลวงพ่อจงเพื่อขอให้ท่านรดน้ำมนต์ ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้นำเรือกลับไปก่อน อีกสักพักหนึ่งหลังจากท่านรดน้ำมนต์ให้ญาติโยมแล้ว ท่านจะเดินมาที่วัดบางนมโคเอง

         หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เห็นว่าระยะทางจากวัดหน้าต่างนอกไปวัดบางนมโคก็ประมาณสี่กิโลเมตร เรือเร็ววิ่งประมาณสิบนาทีเศษ แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อีกทั้งใกล้เวลาจะเริ่มพิธีแล้ว ท่านจึงจอดเรือรอ แต่หลวงพ่อจงบอกให้ท่านไม่ต้องรอ ให้กลับไปก่อน แล้วท่านจะรีบเดินตามมาให้ทันพิธี

         เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำกลับมาถึงวัดบางนมโค ก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปาน รายงานท่านว่าหลวงพ่อจงกำลังรดน้ำมนต์อยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง

         พอหลวงพ่อปาน ได้ฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่านี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้ว แกไปดูบนศาลาสิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพบหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าไปกราบ ท่านจึงถามว่ามานานแล้วรึ ก็กราบเรียนท่านไปว่าเพิ่งมาถึง ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีแล้วก็ขึ้นมาบนศาลานี่  เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงท่านเดินยังไง คนหนุ่ม ๆ ยังเดินตั้งเกือบชั่วโมง ก็เมื่อไปถึงวัดหน้าต่างนอกตอนนั้น หลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ แต่ท่านมาถึงวัดบางนมโคก่อนเรือเร็วของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเสียอีก ขณะที่กำลังคิดสงสัยอยู่นั้น หลวงพ่อจงก็ถามว่าแปลกใจรึ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติถึงขั้นก็เดินเก่งทุกคน ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงก็ยังเดินไม่เก่ง

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:14
พบผีนางไม้

อีกคราวหนึ่งทางวัดไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย อยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี เขาจะฝังลูกนิมิตในโบสถ์ คราวนั้นก็นิมนต์อาตมาไปด้วย หลวงพ่อจงท่านก็ไป อาตมาไปในฐานะลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน ทีนี้เวลารับแขก รับแขกกันที่ศาลาการเปรียญ หลวงพ่อจงท่านเป็นคนลง "นะหน้าทอง" นะอะไรต่ออะไรก็ตาม อาตมามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือคุย เพราะว่ามีคนมาหาหลวงพ่อจงเต็มศาลาการเปรียญทั้งวัน ท่านก็ลงนะหน้าทองให้ สำหรับบาตรทางวัดเขาก็ตั้งไว้ ได้เงินเท่าไรก็เรื่องของวัด ตัวท่านเอง ท่านไม่มีราคา ใครจะนิมนต์ไปไหนก็ตามไม่เคยมีราคา และหากว่าว่างก็ไม่รังเกียจ ทำได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

ทีนี้ตกดึกเวลากลางคืน ถึงเวลาพักผ่อนก็เป็นเวลาที่มหรสพเลิกแล้ว เป็นเวลาสักหกทุ่ม เขาก็จัดกุฏิให้พัก หลังหนึ่งเป็นกุฏิ ๒ ชั้น อาตมากับหลวงพ่อจงพักอยู่ด้วยกัน ทีนี้เวลาประมาณตี ๒ อาตมาไม่รู้ว่าฉันอะไรเข้าไป อยากจะไปส้วม ไอ้ส้วมวัดนั้นก็อยู่ไกลเหลือเกิน เป็นส้วมสมัยเก่า ต้องเดินจากกุฏิไปในป่าช้า ก็ไป ในเมื่อมันปวดท้องส้วมนี่ก็ทนไม่ไหว ถ้าขืนทนมันก็ต้องเกิดการขายหน้าขึ้นมา

ก็ไปส้วมกลับมา แล้วก็งานวันขนาดนั้นไฟฟ้าก็สว่างเต็มวัด ตานี้พอเดินผ่านกุฏิหลังหนึ่ง ปรากฏว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางแสดงถึงความเจ็บปวด ก็เดินหันกลับเข้าไปดู คิดว่าผู้หญิงป่วย หรือมีคนมานอนป่วยอยู่ในกุฏิหลังนี้ ก็ปรากฏว่ากุฏิหลังนั้นใส่กุญแจเรียบร้อย พอเข้าไปใกล้กุฏิหลังนั้น เสียงครวญครางนั้นก็เงียบหายไป แล้วเดินอ้อมไปดูด้านหลัง หน้าต่างปิด ไปเคาะประตูเรียกก็ไม่ปรากฏว่ามีคน เดินกลับออกมาอีกห่างประมาณ ๔ - ๕ วา ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องครวญครางอีก แสดงถึงความเจ็บปวดอีกวาระหนึ่ง ก็กลับเข้าไปดูใหม่ อีคราวนี้เข้าไปดันประตูก็ไม่เข้า ตะกายขึ้นไปเปิดหน้าต่างบานใดบานหนึ่งก็เปิดไม่ออก ก็กลับถอยออกมา

พอถอยออกมาสัก ๓ - ๔ วา ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางอีก คราวนี้เอาใหม่ เข้าไปดูหน้าต่างบานหนึ่งรู้สึกว่าจะอ่อนแอมาก เลยเอาไม้กระทุ้งเสียกลอนหัก เปิดเข้าไปเดินเข้าไปดูกุฏิหลังนั้น ปรากฏว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย มืดไปหมด เอาไฟฉายส่องดู จะหาคนหรือสัตว์หรือแมวสักตัวก็ไม่มี ปรากฏว่าเป็นกุฏิร้าง ก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ร้องนี้ต้องเป็นเสียงของผี เรื่องผีนี่เป็นเรื่องธรรมดาที่อาตมาพบมามากแล้ว ไม่รู้สึกหนักใจ เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องของผีก็เลยเดินกลับ เสียงร้องก็หายไป พอกลับมาถึงกุฏิชั้นบนที่พักกับหลวงพ่อจง เมื่อขณะที่ไปปรากฏว่าหลวงพ่อจงจำวัด เมื่อกลับขึ้นมาปรากฏว่าหลวงพ่อจงลุกขึ้นนั่ง อาตมาขึ้นไปหาท่าน ก็ยิ้มกวักมือ เรียกให้เข้าไปหา ก็นอนอยู่คนละมุม คนละด้าน

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:20
ท่านถามว่า " ...เจอะนักเลงโตเข้ารึ...?"
ก็ถามว่าอะไรล่ะขอรับหลวงพ่อ ท่านก็ว่าเมื่อกี้เธอไปส้วมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ไม่ใช่คนหรอก นางไม้ ถามว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรขอรับ เพราะกุฏิหลังนั้นอยู่ห่างไปสัก ๒๐ วา แล้วเสียงร้องครวญครางก็ไม่ดังนัก หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ฉันรู้ รู้ตั้งแต่เธอเดินไปแล้วว่าเวลาขากลับเขาจะแกล้งร้อง ถามว่าเขาร้องทำไม บอกเขาแกล้งร้องหลอกเธอน่ะซิ แล้วถามถึงความประสงค์ ท่านบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเขารู้ว่าเธอไม่กลัวผี ก็เลยถามว่าผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นอะไร ท่านก็เลยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยู่ที่กุฏินั้น ฉันดูแล้วเพราะเห็นเสาตกน้ำมัน เสาด้านทิศตะวันออกมุมด้านทิศเหนือนั่นละนะ แต่อยู่แถบตะวันออก เป็นเสาตกน้ำมัน เมื่อทราบแล้วก็มานอนกัน ต่างคนต่างนอน ตอนเช้าก็ถึงเวลาฉันเช้า

ถามเจ้าอาวาสว่า "...กุฏิมีใครอยู่หรือเปล่า...?"
ท่านก็ตอบว่า "...ไม่มีใครอยู่หรอกขอรับ ทั้งนี้เพราะกุฏิหลังนั้นมีเสาตกน้ำมัน ใครอยู่ไม่ได้ พระองค์ไหนก็อยู่ไม่ได้ ถูกหลอกเสียจนอยู่ไม่ได้..."

อิทธิเครื่องมงคล


         หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก  ได้สร้างอิทธิเครื่องมงคลไว้มากมายหลายชนิด  มีทั้งเหรียญ  ผ้ายันต์  ตะกรุด  แผ่นยันต์มหาลาภ และกันไฟ ดังนี้

         1. เสื้อยันต์แดง  เสื้อยันต์ของท่านมีชื่อเสียงมาก   เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน  ท่านได้สร้างขึ้นไว้แจกแก่ทหารที่ออกสู่สมรภูมิ  ในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน เสื้อยันต์ของท่าน ได้ปรากฎเกียรติคุณในสนามรบมาแล้วอย่างโด่งดัง  จนกิตติศัพท์แพร่หลายไปทั่วประเทศ และด้วยเหตุนี้  จึงมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปรับแจกที่วัดหน้าต่างนอก ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามอย่างไม่ขาดสาย

         2. ผ้ายันต์สิงห์มหาอำนาจ  สร้างกันมาแต่สงครามโลกครั้งที่สอง  และสร้างต่อมาอีกหลายรุ่น  ผ้ายันต์ของท่านนี้มีคุณวิเศษครบเครื่อง  ใช้ได้สารพัด ไม่ว่าคลาดแคล้ว  คงกระพัน  และทางด้านโชคลาภ  เป็นต้น

     ประสบการณ์จากทหารและตำรวจชายแดนหลายท่านยืนยันว่า  ผ้ายันต์ของหลวงพ่อจงเป็นมหาอุดชั้นหนึ่ง

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:20
3. แผ่นยันต์  พิมพ์ด้วยกระดาษสองสี  คือตัวยันต์และตัวหนังสือเป็นสีดำ รูปหลวงพ่อบริเวณจีวรพิมพ์ด้วยสีเหลือง แผ่นยันต์นี้สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ.2490  เมื่อคราวสร้างเจดีย์ข้าวเปลือก  หลวงพ่อท่านสร้างแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่จะมาร่วมงาน ปรากฎว่าแผ่นยันต์นี้ อำนวยโชคลาภแก่เจ้าของบ้านที่นำไปบูชา  ท่านจึงสร้างแจกอีกต่อมาหลายรุ่น  บางรุ่นเป็นสีเดียว  เช่น  สีฟ้า  สีดำ  แผ่นยันต์นี้นิยมกันมากเมื่อหลังสงครามโลกสงบ ๆ ใหม่ ๆ  เพราะนอกจากจะอำนวยโชคลาภดังกล่าวแล้ว  ยังป้องกันไฟไหม้ได้ชะงัดนัก

         4.  ปลาตะเพียนเงิน-ตะเพียนทอง  ปลานี้หลวงพ่อจงท่านสร้างเป็นคู่ ตัวเมียกับตัวผู้  เดินอักขระขอม ปั๊มนูนไม่เหมือนกัน  ท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ.2490 เศษ ๆ ได้มีผู้เคยพบปลาตะเพียนคู่นี้ในกุฎิท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์)  วัดสุทัศนฯ ซึ่งท่านมรณภาพเมื่อปี  พ.ศ.2495  เข้าใจว่า หลวงพ่อจงมอบให้แก่ท่านเจ้าคุณโดยเฉพาะ ปลาตะเพียนคู่  เป็นเครื่องรางที่ชาวจีนนับถือกันอย่างมากมายมาช้านาน เครื่องถ้วยชามของชาวจีนเก่า ๆ มักจะทำเป็นปลากลับหัว  อันหมายถึง บ่อเกิดของชีวิตแห่งโชคลาภ  การปลุกเสกปลาตะเพียนของหลวงพ่อจงนี้  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน  กล่าวคือ ท่านปลุกเสกแล้วให้ลูกศิษย์ปล่อยลงที่ท่าน้ำหน้าวัดคู่หนึ่ง ปรากฎว่า  ปลาตะเพียนที่เป็นโลหะตั้งตัวตรงแบบปลาจริง ๆ และไม่จมน้ำด้วย   และที่น่าประหลาดไปกว่านั้นก็คือ  ปลาตะเพียนของหลวงพ่อจง ลอยทวนน้ำ ไม่ใช่ลอยตามน้ำ  และเป็นที่ร่ำลือกันว่า  ปลาตะเพียนของท่านว่ายน้ำได้


ทุกงานพิธี


         เนื่องจากคุณธรรมอันวิเศษที่หาได้ยากของหลวงพ่อจง  มีกิตติศัพท์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง  งานปลุกเสกเครื่องมงคลในกรุงเทพที่ใหญ่ ๆ ทุกงาน  หลวงพ่อจงจะต้องได้รับนิมนต์มาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป  และถือว่าเป็นพระเถราจารย์ที่ขาดเสียมิได้ ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของท่านดังนี้  วิทยาคมที่ปรากฎชัดส่วนมากคือ แคล้วคลาด  คงกระพัน เมตตามหานิยม และมหาลาภ แม้กระทั่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ)  จะสร้างเครื่องมงคลครั้งใด  ก็ต้องมีบัญชาให้ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) นิมนต์หลวงพ่อจงมาร่วมปลุกเสกด้วยทุกครั้งไปมิเคยขาด

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:21
มนต์กำกับ

วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง
บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา
เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้าของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตย์อยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:21
เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย
สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง
หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...
จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ
เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด
สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย
สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก
บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป
ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้
ตั้ง นะโมสามจบ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า
พุทธัง อาราธนานัง
ธรรมมัง อาราธนานัง
สังฆัง อาราธนานัง
จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:21
ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้
จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที
หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้
พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ
แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้
อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ
(ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)
การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตึ้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่
หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจันบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดพระตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน
แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูปพระตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย
ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดพระตะกรุดไว้ใต้สะดือ แลเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน
ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธัสสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:22
เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี
พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)
พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)
พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)
ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)
พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอก แต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)
รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง
พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว
เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)
ลักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)
ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)
โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า
เศกขาธัมมา อเศกขาธัมมา เนวเศกขาธัมมา ธัมมาเศกขาธัมมา จากนี้เอามือลูกแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:22
เหนือยอดฉัตร


         มีเรื่องเล่าลือกันมาเรื่องหนึ่งซึ่งพูดถึงกันมาก  เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง  บรรดาเกจิอาจารย์มากหลาย  มีท่านโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน  หลวงพ่อเจิ่น  ท่านพระอาจารย์ฟ้อน  หลวงพ่อเดิม  หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ฯลฯ  ได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ ในงานพิธีนั้นเขาได้เอาไม้ไผ่มาจักตอกสลับเป็นรูปฉัตรเจ็ดชั้น  รูปลักษณ์คล้ายเจดีย์ยอดสูงเรียว  สูงราวสักสองวาเห็นจะได้ เจ้าของบ้านผู้นิมนต์พระสงฆ์ไป  ได้เกิดกระทำพิธีขึ้นอย่างหนึ่ง  แล้วอาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร  ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพรให้เจ้าของพิธี อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร  เมื่อเขาอาราธนานิมนต์ สงฆ์เหล่านั้นท่านก็อีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้ เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้นมีลักษณะแบบบาง  ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบไม่มั่นคง  อาจงอหักหรือล่มล้มลงมา มีอันตรายโดยง่ายด้วย

         ซึ่งต่างองค์ต่างก็ปฏิเสธ  มีหลวงพ่อเดิมเห็นว่าควรรับนิมนต์ ไม่ควรขัดอัธยาศัยของเจ้าของบ้าน  แต่ดูเหมือนติดจะคิดลองดีหลวงพ่อจง  ซึ่งขณะนั้นต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน  พร้อมกับถามหลวงพ่อจงว่า “หากท่านเห็นด้วย  เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้แทนสงฆ์อื่นเสียด้วยก็จะดี   จะได้เสร็จกิจไป  เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเยี่ยม”
พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญานว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น  ส่วนหลวงพ่อเดิมเอง ยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้าตั้งท่าป่ายปีนขึ้นไป
ควรทราบเสียก่อนว่า  อันฉัตรที่ทำด้วยไผ่สานนี้ไม่มีที่เกาะจับ  แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่าอะไร หัวร่อ หึ หึ หึ  ออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันที

         หลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้ารู มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไปท่ามกลางผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น  พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึง เพราะหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก  หลวงพ่อจงขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:23
ดับไฟป่า


         เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ  แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้  ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมาก หลายกระทงความ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจง ท่านไปปัตตานี  และสงขลา  ตามคำอาราธนาให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา  มีกลุ่มคนนอกศาสนาสติไม่ใคร่เรียบร้อย  มักชอบตลบตะแลงลิ้นพ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง  (ไม่รู้วาในทางใด  แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นในทางสำแดงอิทธิพลอย่างใดอย่างหนึ่ง)  กล่าวท้าทายกระทำว้าวุ่นหลายครั้งครา ต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ วันที่เกิดกรณีนี้  พอดีหลวงพ่อจง ต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณทางที่รถกำลังจะต้องหยุด  เห็นมีไฟป่าลุกลามปามเข้าหาสวนยางกำลังคุโชนระบาด  ส่วนตัวมนุษย์นอกศาสนานั้นก็เดินทางไปในรถโดยสาร  (รถขนหินของกรมทางฯ)  ขบวนนั้นไปด้วย เขาร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานา ว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่

         หลวงพ่อจง เห็นเป็นการน่าเวทนา  จึงพูดว่า  ไม่ฉิบหายน่า  พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปขนยอดกอไผ่จีนข้างที่ทำการกรมทาง  เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ..ดับ...ดับ..  ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา  ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์  ทำให้มนุษย์นอกศาสนาตะลึงจังงัง และแต่นั้นมา หมอนั่นไม่กล้ากระทำวุ่นวาย ท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก  พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต

โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:24
สอนสั่งครั้งสุดท้าย


         ครั้นต่อมาในวันที่ 14  มกราคม  พ.ศ.2508  หลวงพ่อจงได้ล้มป่วยลงเป็นอัมพาตทางด้านขวาของร่างกายหมดความรู้สึก  แต่ใบหน้าของท่านยังอิ่มเอิบ  ผิวพรรณผ่องใสมาก  ท่านมีอาการยิ้มแย้มเหมือนไม่รับทราบความเจ็บป่วยนั้น ลูกศิษย์ลูกหาพากันห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง  ได้ตามนายแพทย์จากกรุงเทพฯไปรักษา  ท่านพยายามห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ท่านบอกแก่ลูกศิษย์ว่า “ตามหมอมาก็ไม่มีประโยชน์  ป่วยคราวนี้ไม่มีวันหาย  อย่าห่วงเลยนะ  มันจะเจ็บ  มันจะป่วย  มันจะตาย  ไปห้ามมันไม่ได้ ลูก ๆ  ทุกคนจงจำไว้  เวลาจะเจ็บ เวลาจะป่วย เวลาจะตาย อย่าเอาจิตไปเกาะเกี่ยวเวทนา  จะได้ไม่เกิดทุกข์”

         นี่คือคำสั่งสอนครั้งสุดท้ายของ หลวงพ่อจง  พุทฺธสโร  ที่ให้ลูกศิษย์เห็นถึงคุณวิปัสสนาญาณชั้นสูง  ถึงสังขารุเปกขาญาณ จากนั้นมา  ท่านก็นอนนิ่ง  นาน ๆ จะหายใจสักครั้ง  ทราบจากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดว่า  ท่านเข้าสมาบัติอนุโลมปฏิโลมตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันอังคาร  ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง อันเป็นวันมาฆบูชา

         ตรงกับวันที่  19  กุมภาพันธ์  พ.ศ.2508  เวลา 01.55 น.  ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบเหมือนคนนอนหลับ  ท่ามกลางความโศกสลดในมวลหมู่ลูกศิษย์ที่นั่งเฝ้าโดยใกล้ชิดทั้งหลายนั่นเอง.........

ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ท่าน  ขอนำมาเผยแพร่เกียรติคุณหลวงพ่อเพื่อศึกษาต่อไปครับ


โดย: kit007    เวลา: 2013-4-17 08:25
มีเรื่องเล่าของหลวงพ่อจงที่ผมประทับใจมากเรื่องหนึ่งครับ
ในงานพุทธาภิเษกแห่งหนึ่ง  ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน  ซึ่งเจ้าของภาพจำ
ได้ว่า 2 องค์ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ  1.พ่อท่านคล้าย  วัดสวนขันธ์
2.หลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก  สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้
แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้  ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด
ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น  ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง  นั่งพักอยู่ใกล้ๆกันก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง  มาขอให้
พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้  พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า  ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้  โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์
           พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร  จากนั้น
พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้นพรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
            หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า  “จ้ะ....ฉันก็ทำได้  ” แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ  โยมคนนั้นก็ดีใจ  เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน และที่สำคัญวิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก  จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง   หลวงพ่อท่านไม่
เอาน้ำ  รับไว้เพียงขวดเปล่า
จากนั้นท่านก็เอามือประสานกันบนปากขวดก็ปรากฏมีแสงสว่างขึ้นและมีน้ำไหลจากมือหลวงพ่อไหลลงไป
ในขวด ดังภาพ   ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้น  ก็รีบยกมือไหว้แล้วกกล่าวว่า
ท่านจง ผมยอมแพ้ท่านแล้ว
          หลังจากนั้นเมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ใด  ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วย  ก็จะให้ลูกศิษย์ท่านอุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง  ( เนื่องจากขาท่านไม่ดี )
ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่าเสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน  แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วย จึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้  พอหลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวดเขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้  
มีภาพถ่ายด้วยครับแต่เสียดายผมใส่รูปไม่เป็น ถ้าใครอยากดูรูปก็ช่วยสอนวิธีโพสท์รูปหรือดูในเว็บเอาก็ได้ครับ

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-jong-hist-03.htm

โดย: sriyan3    เวลา: 2013-4-18 13:07
กราบนมัสการหลวงพ่อครับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-4-18 20:02
คุ้นๆๆๆว่าอาจารย์เคยพาไปเอามวลสารที่วัดหน้าต่างนอก นี้น่า
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-11 19:00

กราบนมัสการครับ

ขอบพระคุณข้อมูลครับ

โดย: oustayutt    เวลา: 2015-2-14 14:15
หลวงพ่อจงทำน้ำมนต์...
โพสท์ใน http://krabentongnam2511.spaces.live.com


เกี่ยวกับประวัติภาพถ่ายนี้ คือ ในงานพุทธาภิเษกที่วัดสุทัศน์  ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน ซึ่งเจ้าของภาพจำ  ได้ว่า 2 รูป ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ
1.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์
2.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้  แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้  ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด  ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง นั่งพักอยู่ใกล้ๆกัน  ก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง มาขอให้ พ่อท่านคล้าย ช่วยทำน้ำมนต์ให้  พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วย  ท่านจะทำน้ำมนต์ให้ โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์  พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร จากนั้น  พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่ม แต่ไม่ได้ดื่ม  เพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า “จ้ะ....ฉันก็ทำได้ ” แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ โยมคนนั้นก็ดีใจ  เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน  และที่สำคัญวิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก  จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง หลวงพ่อท่านไม่เอาน้ำ รับไว้เพียงขวดเปล่า  จากนั้นท่านก็เอามือประสานกันบนปากขวดก็ปรากฏมีแสงสว่างขึ้นและมีน้ำไหลจาก  มือหลวงพ่อไหลลงไปในขวด ดังภาพ ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้น  ก็รีบยกมือไหว้แล้วก็กล่าวว่า "ท่านจง  ผมยอมแพ้ท่านแล้ว"
หลังจากนั้นเมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ใด  ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วย ก็จะให้ลูกศิษย์ท่านอุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง (  เนื่องจากขาท่านไม่ดี ) ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่า  เสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน  แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วย จึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้  พอหลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวดเขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้
ขอบคุณที่มา: Best one - Best/หลวงพ่อจงทำน้ำมนต์

โดย: oustayutt    เวลา: 2015-2-14 14:28
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdPREl3TVRJMU13PT0=

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปเที่ยววัดหน้าต่างนอก เจอกับ "หลวงพ่อแม้น" เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านเล่าให้ฟังว่าสังขารของหลวงพ่อจง ได้ฌาปนกิจไปเมื่อปี 2509 ก่อนเผาลูกศิษย์ 2 คน ได้แอบใช้ปากกัดนิ้วชี้ทั้งซ้ายและขวาของหลวงพ่อจงเก็บไว้ หลังจากนั้นก็นำไปเลี่ยมบูชาในคอ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผ่านมาหลายปี เจ้าคนทั้ง 2 เดินทางมาที่วัดหน้าต่างนอก นำนิ้วทั้งซ้ายและขวามามอบให้ที่วัดเก็บรักษา  

"นิ้วมือข้างซ้ายของหลวงพ่อจง" นั้น หลวงพ่อแม้นนำไปบรรจุไว้ในมณฑปเจดีย์ ส่วน "นิ้วมือข้าวขวา" บรรจุไว้ในผอบแก้ว ตั้งบูชาไว้ด้านหลังรูปเหมือนหลวงพ่อจง เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาบูชาขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคล

น่าอัศจรรย์นิ้วมือหลวงพ่อจงยังคงสดใสเหมือนนิ้วมือคนธรรมดา

แถมเล็บงอกยาวออกมาด้วย


โดย: oustayutt    เวลา: 2015-3-10 19:16
สาธุครับ
ครั้งนึงได้ฝันเห็นท่าน
โดย: Sornpraram    เวลา: 2019-8-12 07:21


โดย: Sornpraram    เวลา: 2019-9-7 08:56





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2