Baan Jompra

ชื่อกระทู้: >> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (พระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่7) << [สั่งพิมพ์]

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-30 09:59
ชื่อกระทู้: >> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (พระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่7) <<
ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
(พระราชลัญจกรประจำรัชกาล พระเจ้าชัยวรมันที่7)

[attach]473[/attach]

    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ กล่าวกันว่าเป็นตราอาญาสิทธิ์จักรพรรดิ์ (ถ้าใครเคยดูหนังจีนคงเคยได้ยิน ผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้จะมีตราอาญาสิทธิ์เช่นเดียวกัน) ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ 7 ซึ่งพระองค์ทรงพระขรรค์อาญาสิทธิ์อยู่ภายในจักร ด้านข้างทั้งสี่ทิศ มีรูปเทพอสูร กาละกำลังคาบพญานาคคู่ พร้อมด้วยอุณาโลมทั้งแปดทิศ
ด้านหลังประกอบด้วยรูปแปดเหลี่ยมจำนวน มิติสามชั้นลดหลั่นลงไป ตรงกลาง เป็นพระพักตร์ของพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวรแต่ปรากฏเพียงสาม อีกพระพักตร์หนึ่งอยู่ด้านหลัง

    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ เสาหลักมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรบายน เป็นการจำลองจักรวาลและสระอนวตัปตา เป็นภาพเชิงซ้อนในดวงตราเดียวกัน ตามคติไตรภูมิขอมโบราณด้วยหลักการสถาปนาพระเจ้าศรีชัยวรมันขึ้นเป็นสมมติเทพ จอมจักรพรรดิ์ เป็นตราอาญาสิทธิ์ซึ่งสร้างในฐานะตัวแทนของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราชเป็นดวง ตราตัวแทนของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราชเป็นดวงตราตัวแทนของสาระแห่งราชอำนาจ ของพระองค์ท่าน

    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ ขนาดประมาณ 4 cm. ชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย โดยมีมวสารสำคัญคือผงอาถรรพณ์ของราชวงศ์วรมันสรรพสิทธิ์ ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ 7 แห่งอาณาจักรบายน ผงนี้เป็นผงที่นำมาจากหินศิลาอาถรรพณ์ที่ขุดได้จากปราสาทบายน ซึ่งลงอาถรรพณ์ราชาเวทไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน เป็นผงที่มีพลังมหัศจรรย์มากซึ่งคล้ายกับผง "โสฬสมหาพรหม" ซึ่งเคยมีคนนำไปให้พระที่มีอภิญญาสูงดูหลายท่านเอ่ยบากบอกว่าดีๆมากๆ บางองค์ถึงกับยกมือไหว้ท่วมหัวพร้อมกับกล่าวมา ผงนี้ดีมากๆนะเก็บไว้ให้ดี "มีฤทธิ์ตบะเดชะ อย่างสูงส่ง แรงกล้า"

         นอกจากนั้นยังมีผงของหลวงปู่ดี วัดเขากุเลน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ชื่น และผงจากผู้มีจิตศรัทธาได้ส่งมาร่วมอนุโมทนาในการสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ ด้วยอาทิเช่น คุณวรพัฒน์ มอบผงนะปัดตลอด หลวงปู่โต๊ะ/ผงธัมมวิกโก เจ้าคุณนรรัตน์/ผงขมิ้นหิน/ คุณนารายณ์/มอบผงกะลามหาอุด/ผงปูนพระพุทธรูปโบราณ/ คุณวรวิทย์มอบผงหลวงพ่อกวย และพระปรกโพธิ์ 9 ใบที่ชำรุดแตกหัก 1 ถุงใหญ่/ผงมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ /คุณจินดามอบผงสมเด็จวัดระฆัง/ ผงพระแตกหัก 1 ถุงใหญ่/ผงขุยนาคราช/ผงจินดามณี/ผงวิเวษต่างๆอีกมากจากหลายท่านที่ร่วม อนุโมทนา หลวงปู่ยังฝากบอกแก่ผู้ ศรัทธาบูชาวัตถุมงคลว่าคิดเป็นการซื้อขาย ให้คิดว่าเป็นที่ระลึกในการร่วมทำบุญ ถ้าทำได้อย่างนี้จะได้กุศลบุญมาก กว่า จะบูชาวัตถุมงคลถูกหรือแพงได้บุญเท่ากันหมด สำคัญที่จิตศรัทธามั่นคงจริงใจต่างหาก ในพิธีราชาภิเษกวัตถุมงคล รุ่นชัยมหานาถนี้ครูบาอาจารย์ที่ร่วมอธิฐานฤทธิ์ได้เล่านิมิตที่เห็นตรงกัน หลายท่าน วัตถุมงคลรุ่น ชัยมหานาถสำเร็จ ด้วยพระมหาบรมเดชา นุภาพ มหิธฤทธิ์ อันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราช ใครมีให้มั่นบูชาอย่าคิดว่าเป็นของใหม่แม้นแต่ ครูบาอาจารย์ที่มา ร่วม พิธีถึงกับการันตีถึงความแรงความขลังในพิธีนี้และหลังจากผู้นำวัตถุมงคลชุด นี้ไปบูชาก็ประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคลาภ บางบ้านฮวงจุ้ยไม่ดี นำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้านกิจการงานดีขึ้นทันตาเห็น บางรายก็ป่วยอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองค์ท่านก็อยู่รอดปลอดภัย อย่าง น่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-30 10:07

[attach]476[/attach]
หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน
ปฏิบัติธรรมที่สวนป่าสมุนไพร เพชรบูรณ์ ท่านมีพรรษาร้อยกว่าปี

             กล่าวยืนยันกับ คุณจิตติพล ทวีศรี ว่ารูปแบบดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ มีอยู่จริงซุกซ่อนอยู่ใจกลางปราสาทบายน ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงไม่สามารถนำออกมาได้

[attach]474[/attach]



             ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ดวงตราแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลวงปู่ชื่น ท่านเป็นผู้ค้นพบ และนำออกมาเปิดเผยเป็นท่านแรก

[attach]475[/attach]


        หน้ากาลที่ปรากฎอยู่ในพระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ทรงแสดงเห็นถึงบรมเดชานุภาพตลอดกาล

[attach]477[/attach][attach]478[/attach][attach]479[/attach][attach]482[/attach][attach]480[/attach][attach]481[/attach]


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-30 11:14
เจาะลึกประวัติความเป็นมาของ
ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ !!


ทราบหรือไม่??
ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ก่อนจะได้ชื่อนี้ เคยได้ชื่อว่า
ดวงตราอาถรรพ์ชัยตฎากะ

มาก่อน!!


[attach]483[/attach]

      เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับ สระชัยตฎากะ แน่ๆ ซึ่งปัจจุบันคือ ปราสาทนาคพันนั่นเอง แล้วจะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกัน ?? กับดวงตราอาถรรพ์ฯ โอ้ว ว้าว แค่คิดก็ดูน่าติดตามมากเลยใช่มั้ยคร๊าบ และดูแบบผิวเผินไร้ภูมิความรู้แล้ว ด้านหลังดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ช่างคล้ายแผนผังของปราสาทนาคพันเสียจริง!  เรื่องราวที่่แท้จริงจะเป็นเช่นไร ต้องรอผู้รู้มาชี้แจงแถลงไข เพราะผมรู้น้อยขอลงข้อมูลปูพื้นฐานก่อนแล้วกันครับ

[attach]484[/attach]




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 13:39
ปราสาทนาคพัน
ปราสาทนาคพัน (ศิลปะแบบบายน พ.ศ.1724-1780)


[attach]505[/attach]

          พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นกลางบาราย “ชัยตฏากะ” แต่ในปัจจุบันตื้นเขินหมดแล้ว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกเมืองพระนครหลวง
ชื่อเดิมของปราสาทแห่งนี้ปรากฏอยู่ในจารึกว่า “ราชัยศรี” ส่วนชื่อปราสาทในปัจจุบันเรียกว่า “นาคพัน” นั้นได้มาจากรูปนาคสลักจากศิลา 2 ตนพันกันล้อมรอบฐานล่างสุดของปราสาท

         
คำว่า “ราชัยศรี” ศ.ฌอง บวซเซอลิเย่ร์ ตีความว่าหมายถึง เครื่องเสริมพระราชอิสสริยยศ ตั้งอยู่ทางทิศมงคล คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง

ข้อมูลจาก :
http://accomtour.blogspot.com/2008/02/blog-post_8082.html





          “พระเจ้าชัยวรมันที่ 7”  โปรดให้ขุดสระน้ำขนาด กว้าง 0.9 กิโลเมตร ยาว 3.5 กิโลเมตร ขึ้นทางเหนือของบารายตะวันออก เรียกชื่อตามจารึกว่า “ชยฏฎะกะ” ตามชื่อเมืองพระนครหลวงที่สถาปนาขึ้นใหม่ “นครชยศรี” ที่ล้อมรอบด้วย คูน้ำชื่อ “ชยสินธุ” มีกำแพงชื่อ “ชยคีรี” และมี “มหาปราสาทไพชยนต์" (ที่ประทับแห่งผู้ครองสวรรค์) 54 ยอดปราสาท เป็นศูนย์กลางแห่ง “จักรวรรดิ (Empire)”

[attach]534[/attach]


        ที่กลางบารายชยฏฎะกะ สร้างเป็นเกาะแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีสระน้ำขนาดเล็กบนเกาะ 13 แห่ง ประกอบด้วยสระใหญ่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยสระขนาดเล็กกว่าทั้ง 4 ด้าน ด้านนอกมีสระ 8 สระแทนความหมาย "ดอกบัวแปดกลีบ” ล้อมรอบอยู่ชั้นนอก  บารายและสระน้ำทั้งหมดไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่แล้วในในยุคปัจจุบันครับ

[attach]533[/attach]


         ที่ตรงกลางสระใหญ่มีชื่อว่า “ราชยศรี”  มีปราสาทตั้งอยู่บนฐานรูปวงกลมทำเป็นรูปกลีบบัว ฐานล่างทำเป็นรูปนาคสองตัวพันหางล้อมรอบฐาน

     ก็เพราะที่มีนาคพันล้อมรอบนี่แหละ ปราสาทกลางบารายแห่งนี้จึงได้ชื่อใหม่ในยุคหลังว่า “ปราสาทเนียคเปรียง” หรือ “ปราสาทนาคพัน” ไงครับ !!!

         ด้านหน้าปราสาทในสระน้ำ มีรูปของม้า “พลาหะ” ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่กำลังช่วยเหลือมวลมนุษย์จากเรือล่ม (หรือจากกิเลส) หันหน้าเข้าสู่นิพพาน (ปราสาท)

        ปราสาทกลางบารายในยุคนี้ เปลี่ยนแปลงคติความเชื่อจากที่เคยเป็นเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับแห่งองค์พระศิวะ หรือ “ไวยกูณฐ์” ที่ประทับแห่งองค์พระนารายณ์  กลายมาเป็น “สระอโนดาต” สระน้ำศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาหิมาลัยในคัมภีร์พุทธศาสนาสายวัชรยาน อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อันได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสินธุและแม่น้ำพรหมบุตร


         เมื่อน้ำเต็มในสระใหญ่ น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ก็จะไหลผ่านออกมายังสระเล็กทั้ง 4 ทิศ ผ่านศีรษะของรูปสลักช้าง สิงห์ เทพเจ้าและม้า เชื่อกันว่าแทนความหมายของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หากผู้ต้องการน้ำเพื่อการรักษาโรค ก็ต้องเลือกช่องซุ้มน้ำให้ถูกโฉลกกับ ”ธาตุ” ของตน


ที่มา : คุณศุภศรุต  http://www.oknation.net/blog/voranai/2011/04/30/entry-1

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:12
            แผนผังของปราสาทนาคพันแสดงให้เห็นถึงรูปสัญลักษณ์ของสระอโนดาต หรือสระพนงต์ปตา หมายถึง สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาหิมาลัย

[attach]487[/attach]


           สระน้ำนี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา,แม่น้ำสินธุ และแม่น้ำพรหมบุตร สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนาว่าเป็นสระน้ำที่บริสุทธิ์เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง4 สายที่ไหลมาหล่อเลี้ยงมนุษย์โลก

[attach]490[/attach]


          น้ำในสระอโนดาตจะไม่เหือดแห้งตราบใดที่ยังไม่ถึงวาระสุดท้ายแห่งกัลป์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างรูปสัญลักษณ์แห่งสระอโนดาตขึ้นในราชอาณาจักรของพระองค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางจิตใจให้แก่ชาวเขมรว่า ราชอาณาจักรของพระองค์จะมีอายุยืนยาวนานเท่านานชั่วกัลป์

[attach]491[/attach]


         สัญลักษณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยแผนผังของศาสนสถานที่ประกอบด้วยสระน้ำ 5 สระ โดยมีสระรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 70 x 70 เมตรอยู่ตรงกลาง รอบสระกรุด้วยศิลาเป็นขั้นบันไดลงไปถึงก้นสระ และ มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเชื่อมต่อสระใหญ่ที่ด้านข้างตรงทิศ ทั้งสี่ที่ขอบสระใหญ่ตรงกลางทั้งสี่ทิศที่เชื่อมต่อด้านข้างนั้น มีซุ้มขนาดเล็กภายในซุ้มมีท่อน้ำและที่ปากท่อทำเป็นรูปต่างๆ กัน คือ

[attach]486[/attach]


ด้านทิศเหนือเป็นรูปเศียรช้าง (ธาตุน้ำ),
ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปหน้าคน(ธาตุดิน) ถ้าเป็นคติพราหมณ์ ทำเป็นรูปโค,
ด้านทิศใต้เป็นรูปสิงห์ (ธาตุไฟ) และ
ด้านทิศตะวันตกเป็นรูปม้า (ธาตุลม)

[attach]489[/attach]


       เชื่อกันว่าภายในซุ้มนี้ใช้สำหรับการอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีแท่นหินที่แกะสลักลงไปเป็นรูปรอยเท้ารองรับอยู่ที่พื้น และที่หน้าบันของซุ้มเล็กๆ เหล่านี้มีภาพสลักเล่าเรื่องในพระพุทธศาสนาตอนต่างๆ

[attach]492[/attach]


      กลางสระเป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดเล็กหนึ่งหลัง สร้างด้วยศิลาทรายตั้งอยู่บนฐานกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 14 เมตร ฐานกลมนี้สร้างลดหลั่นเป็นขั้นบันได ส่วนล่างสุดมีรูปนาคศิลาพันรอบฐาน 2 ตัว ถัดจากฐานกลมขึ้นไปเป็นฐานรูปดอกบัวขนาดใหญ่รองรับตัวปราสาทที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออกอีกสามด้านก่อเป็นผนังทึบสลักรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดับอยู่ที่หน้าบันแต่ละด้านสลักภาพเล่าเรื่องในพุทธประวัติทั้งหมด

ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปตอนพระพุทธเจ้าตัดเกศ
ทิศเหนือเป็นเรื่องเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ทิศตะวันตกเป็นเรื่องของพระป่าเลไลยก์ และ
ทิศใต้เป็นเรื่องมารวิชัย

ภายในสระใหญ่นี้ ยังมีประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่อีกด้วย ร่องรอยหลักฐานที่เหลือนั้นทำให้ทราบว่า
ด้านทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์
ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปม้า และ
ด้านทิศตะวันตกเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์
ส่วนทิศใต้นี้ไม่ทราบว่าเป็นรูปอะไรแน่

         ในปัจจุบันประติมากรรมรูปม้าได้รับการบูรณะจนสมบูรณ์ และตั้งอยู่ในสระ เป็นรูปม้ามีผู้คนเกาะห้อยอยู่ด้านข้างม้าตนนี้เป็นม้าวิเศษที่ชื่อว่า “ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)” ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำแลงลงมาเพื่อช่วยเหลือชาวเรือแตกที่ไปอาศัยอยู่เกาะที่เป็นที่อยู่ของนางยักษีแต่ก่อนที่จะถูกยักษ์จับกินชาวเรือพากันสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณาพระองค์ก็เสด็จลงมาช่วยเหลือในร่างของม้าพาชาวเรือแตกรอดมาได้

[attach]488[/attach]


         ในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ได้กล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้ประดิษฐานเทวรูป 14 รูป และศิวลึงค์อีก 1,000 องค์ ถึงแม้ว่าจะไม่พบหลักฐานดังกล่าวเหลืออยู่ในสมัยหลัง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญยิ่งของปราสาทนาคพันและสระน้ำนี้ว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประทับของเหล่าเทพเทวดาทั้งในศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธที่ทำให้ราชอาณาจักรกัมพูชาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มั่นคงไม่มีใครมาทำลายได้ ปัจจุบัน ปราสาทประธานประดิษฐานพระพุทธชัยนาคมุนี เป็นพระพุทธรูปนาคปรกที่นำมาประดิษฐานภายหลัง ส่วนองค์เดิมบวซเซอลิเย่สันนิษฐานว่า ถูกกองทัพสยามทำลายหรือยึดไปครั้งยกทัพตีนครธมในปีพ.ศ.1974


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:36
ปราสาทนาคพัน

        จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวถึงศาสนสถานหลายแห่งและก็มีอยู่หลายแห่งที่ไม่อาจทราบได้ว่าตั่งอยูี่ที่ใด อย่างไรก็ดีมีอยู่แห่งหนึ่งที่อาจทราบได้โดยง่ายคือเกาะราชัยศรี เกาะนี้ก็ตรงกับปราสาทนาคพันนั่นเอง ตั่งอยู่ตรงกลางสระนํ้าโบราณคือชัยตฏากะซึ่งจารึกได้กล่าวว่า เป็นกระจกเงาแห่งโชคลาภ มีสีสันจากศิลา ทองและพวงมาลัย ปราสาทนาคพันประกอบด้วยตัวประสาทซึ่งมีบัวรองรับอยู่ข้างใต้และตั่งอยู่เหนือฐานอีกต่อหนึ่ง มีนาคศิลา ๒ ตนวงล้อมรอบฐานนี้ ซึ่งก็เป็นต้นเค้าของชื่อ ปราสาทด้วย สระมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลื่ยมจัตุรัส ค่อนข้างลึก ล้อมรอบด้วยศิลาทรายก่อเป็นเขื่อนขั้นบันได เพื่อการอาบนํ้าได้มีการสร้างศาลาเล็กๆ ๔ แห่งเว้าเข้าไปในเขื่อนแต่ละทิศ ศาลาเหล่อนี้รองรับนํ้าโดยท่อสลักเป็นรูป

          หน้ามนุษย์ทางทิศตะวันออก หน้าสิงห์อยู่ทางทิศใต้ หน้าม้าทางทิศตะวันตก และหน้าช้างทางทิศเหนือ หลังจากไหลผ่านศาลาทั้งสี่ทิศแล้ว นํ้าก็ไหลลงไปยังสระ ๔แห่งซึ้งขุดขึ้นแต่ละทิศของสระใหญ่ตรงกลาง  

         ในพ.ศ. ๒๔๖๖ ศาสตราจารย์ฟีโนต์( L. Finot ) และโกลูเบฟ ( V. Goloubew) ได้แสดงความเห็นว่าปราสาทนาคพันนั้นก็คือรูปจําลองของสระอนวตัปตาหรืออโนดาต ซึ่งเป็นสระศักดิ์สิทธิแห่งภูเขาหิมาลัย จากสระนี้เป็นที่กําเนิดของแม่นํ้าทั้ง ๔ สายซึ่งไหลออกไปยังแต่ละทิศ ศาสตราจารย์บวสเซอลีย่ได้ศึกษาปราสาทนาคพันใหม่อีกครั้งเมื่อเร็วๆนี้ โดยได้ศึกษาจากจารึกปราสวาทพระขรรค์และตําราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสระอนวตัปตา ท่านได้ชี้ให้เห็นว่าปราสาทนาคพันแห่งนี้มีความสําคัญเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของเมืองพระนครหลวงและขอบเขตของเมืองนี้อย่างไร ณ ที่นี้เราจะกล่าวถึงแต่เฉพาะผลการค้นคว้าของท่านผู้นี้เท่านั้น จากตําราของอินเดีย ปรากฎว่านำ้แห่งสระอนวตัปตา จะบริสุทธิ์อยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะไม่ได้รับแสงโดยตรงจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นแสงสะท้อน จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวว่านำ้ในสระที่ปราสาทนาคพัน ได้รับแสงสว่างจากแสงสว่างแห่งปราสาททอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ใช่แสงสว่างที่ส่องลงมาโดยตรงจากดวยอาทิตย์ ในไตรภูมิทางพุทธศาสนา สระอนวตัปตาจะเป็นสระสุดท้ายที่แห้งขอดลงเมื่อถึงปลายแห่งกัลป์ ด้วยเหตุนั้นอาณาจักรที่มีสระนี้จึงคงจะมีอายุยืนยาวเท่ากับโลกนี้ นอกจากนี้นํ้าในสระยังมีความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เมื่อถึงเวลากระทําพิธีราชาภิเษกพระจักรพรรดิจะต้องมีการสรงนํ้าพระราชาด้วยนํ้าจากสระอนวตัปตา ศาสตราจารย์บวสเซอลีย่กล่าวว่า การสร้างสระนี้มีผลสองประการแก่ราชอาณาจักรขอม คือทําให้เป็นที่แน่นนอนว่าราชอาณาจักรจะมีอายุยืนนานในขณะเดียวกับที่พระราชาขอมจะมีพระราชอํานาจแผ่กว้างออกไปไกล

        ภายในสระซึ่งล้อมรอบปราสาทหลังกลางได้ค้นพบร่องรอยของปติมากรรมลอยตัว ๔ รูป ทางทิศใต้ได้ค้นพบเศษศิลาซึ่งไม่ทราบได้แน่ว่าเป็นรูปอะไร ทางทิศตะวันตกได้ค้นพบเศษรูปพระนารายณ์บรรทมสิทธิ์ ทางทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์ ทางตะวันออกได้สามารถได้สามารถประกอบเป็นรูปม้าพลาหะที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ม้าวิเศษตัวนี้เป็นรูปจําแลงของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เพิ่งทรงช่วยเหลือพวกที่เรือแตกพวกนี้ต้องอาศัยอยู่บนเกาะซึ่งเป็นไปด้วยนางยักษิณี และก่อนที่จะถูกพวกนางยักษิณีกลือกินเข้าไปพวกเรือแตกก็ได้สวดมนต์อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทีรงพระมหากรุณาพระองค์นี้

[attach]506[/attach]

         ไม่น่าแปลกประหลาดใจเมื่อแลเห็น รูปม้าพลาหะกําลังแหวกว่ายไปยังปราสาทหลังกลางซึ่งมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปรากฎอยู่พร้อมกับนําพวกเรือแตกซึ่งเกาะอยู่ข้างๆ ม้าไปด้วย แต่เราอาจแปลกประหลาดใจที่ได้ค้นพบประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์ ๒ รูปในสระซึ่งสมมุติว่าเป็นสระอนวตัปตา จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ทรงประดิษฐานเทวรูป ๑๔ องค์ ในเกาะชัยศรีซึ่งมีศิวลึงค์เป็นจํานวน 1000 องค์ ศาสตราจารย์มุส( P. Mus) ได้กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นการสมควรที่จะรวบรวมพิธีเคารพบูชาซึ่งเคยประกันอํานาจของราชอาณาจักรขอมมาตั่งแต่เริ่มแรกระบบกษัตริย์สมัยเมืองพระนคร และต่อมาได้ถูกล้มลงโดยการที่กองทัพจามเข้ายึดเมืองพระนครไว้ได้ใน พ.ศ. 1720 มาไว้รอบพระพุทธองค์ ศาสตราจารย์บอสเซอลีเย่คิดว่าเป็นการสมควรที่จะรื้อฟื้นการเคารพบูชาแบบเก่าโดยจัดให้เป็นแนวใหม่ ท่านเห็นว่าการมีรูปเทวดาในศาสนาพราหมณ์อยู่ล้อมรอบพระพุทธรูปนั้นเป็นการทําให้สระราชัยศรีศักดิ์สิทธํฺ์อย่างเต็มที่และทําให้สระนี้ เป็นสถานที่อันสูงส่ง ทําให้สัญลักษณ์ของสระอนวตัปตาคงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเหตุว่าในเมื่อเป็นที่ประทับของเทวดาด้วย สระนี้จะหลุดพ้นจากการทําลายของโลก


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:38
“ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)”

[attach]508[/attach]

         ในคัมภีร์การัณฑวยุหสูตร ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เขียนเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กล่าวถึง ม้าวลาหก หนึ่งในสี่ตระกูลของม้าที่อิทธฤทธิ์ ม้าวลาหกก็คือร่างจำแลงของพระโลเกศวรหรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงแปลงร่างลงมาช่วยลูกเรือที่เรือแตกกลางทะเล โดยแปลงเป็นม้าวลาหกนั่งแล้วเหาะขึ้นไปส่งฝั่ง มีตำนานเรื่องนี้ในของทางจีนทำนองคล้ายๆ กันว่าพระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเรือจากชาวเรือที่แพแตก พระองค์มองลงมายังโลกเห็นเข้า จึงลงมาทำการช่วยเหลือให้พ้นภัย ซึ่งชื่อ โลกิเตศวร/โลเกศวร (Lokeshvara) หมายถึงผู้มองเห็น หรือเรียกว่ากวนซียิน/กวนอิมนั่นเอง จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายชื่อ แปลว่าผู้ช่วยเหลือ ผู้ถือดอกบัว ฯลฯ

         ถ้าพบที่สระน้ำปราสาทนาคพัน และเป็น central sanctuary ประติมากรรมชิ้นนี้ก็น่าจะสร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 7 เพราะสมัยนั้นกษัตริย์เปลี่ยนมานับถือพุทธนิกายมหายาน ซึ่งเดิมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาวบ้านไม่ใช่ของกษัตริย์ เรื่องนี้จึงน่าจะเข้าเค้ามาก (พอเป็นชัยวรมันที่ 8 ก็ลบล้างศาสนาพุทธออกจากอาณาจักร โดยกลับมานับถือไศวนิกาย หรือไวษณวนิกายเหมือนเดิม แล้วก็เปลี่ยนพระพุทธรูปต่างๆ โดยลบเม็ดพระศกบนพระเศียรทิ้ง เติมตาเข้าไปให้มีสามตาบ้าง ทำให้ไม่รู้ว่ามีการนับถือศาสนาพุทธ กลายเป็นประติมากรรมเทพฮินดูแทน) ม้าตัวที่พี่เห็นน่าจะเป็นแบบจำลอง ของจริงน่าจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ตัวนี้ก็ถูกยกมา เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง  รูปประติมากรรมนี้ต้นแบบตัวจริงยังอยู่ที่ปราสาทนาคพัน ภายในสระใหญ่นี้ ยังมีประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่อีกด้วย ร่องรอยหลักฐานที่เหลือนั้นทำให้ทราบว่าด้านทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์ ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปม้า และด้านทิศตะวันตกเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ส่วนทิศใต้นี้ไม่ทราบว่าเป็นรูปอะไรแน่ ในปัจจุบันประติมากรรมรูปม้าได้รับการบูรณะจนสมบูรณ์ และตั้งอยู่ในสระ เป็นรูปม้ามีผู้คนเกาะห้อยอยู่ด้านข้าง ม้าตนนี้เป็นม้าวิเศษที่ชื่อว่า “ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)” ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำแลงลงมาเพื่อช่วยเหลือชาวเรือแตกที่ไปอาศัยอยู่เกาะที่เป็นที่อยู่ของนางยักษี แต่ก่อนที่จะถูกยักษ์จับกิน ชาวเรือพากันสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระองค์ก็เสด็จลงมาช่วยเหลือในร่างของม้าพาชาวเรือแตกรอดมาได้


ในวรรณคดีอินเดียกล่าวไว้ว่า พระพายหรือเจ้าแห่งลมพายุเป็นผู้สร้างบังเกิดม้า 4 ตระกูลคือ 1. ม้าวลาหก 2. ม้าอาชาไนย 3. ม้าสินธพ 4.ม้าอัสดร

          แต่จริงๆแล้วพาหนะทรงพระพายคือ มฤค หรือกวาง แต่เวลาทรงรถจะใช้ม้า กล่าวกันว่าเวลาหกจะเหินไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว จนมองแทบไม่ทัน เมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าจะเห็นแต่กลุ่มเมฆลอยละลิ่วไปนั่นแหละ คือองค์พระพายควบม้าวลาหกไปอย่างรวดเร็วในพริบตา ทิ้งควัน หรือกลุ่มเมฆไว้เบื้องหลังเราจึงแปลคำวลาหกว่า เมฆ

          อาชาไนยแปลว่า กำเนิดดี พันธุ์หรือตระกูลดี รู้รวดเร็ว ฝึกหัดมาดีแล้ว ม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้วเรียกว่า ม้าอาชาไนย คนที่ฝึกหัดมาดีแล้วเรียกว่า บุรุษอาชาไนย ม้าชนิดนี้มักจะใช้ในการศึกสงคราม

          สินธพคือม้าพันธุ์ดีเกิดที่ลุ่มน้ำสินธุ บางทีเรียกว่า สินธพมโนมัย คำว่านโนมัย แปลว่าไปเร็วดังใจนึก ม้าสินธพมโนมัยนี้จึงเป็นม้าใหญ่ล่ำสัน พ่วงพี คึกคะนอง แข็งแรง ใช้ในการทำงานและการศึกสงครามได้อย่างดีเลิศ

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:40
วลาหกัสสชาดก

[attach]507[/attach]

ม้าวลาหก ภาพแกะสลักหินทราบที่ปราสาทบาแค็ง


หญิงใดรัก แต่งกาย หมายงดงาม
ชายหลงตาม งามชั่ว ยั่วยวนใหญ่
พุทธองค์ ทรงสอน สั่งเอาไว้
หญิงนั้นไง ให้เรียก "ยักษิณี"

นางยักษิณี (วลาหกัสสชาดก)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ได้ตรัสถามภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังถูก กามราคะ กลุ้มรุมในจิตใจ

"ดูก่อนภิกษุ เธอเกิดจิตกระสันอยู่จริงหรือ"

"จริงพระเจ้าข้า เพราะได้เห็นมาตุคาม(หญิงสาว)แต่งตัวงดงามนางหนึ่ง จิตใจจึงเกิดความกระสันขึ้น ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา"

ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า

"ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงที่แต่งตัวงดงาม เล้าโลมชายด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของ มารยาหญิง กระทำให้ชาย ตกอยู่ในอำนาจ ของตน เขาเรียกว่า นางยักษิณี

นางยักษิณีจะเล้าโลมชายด้วยอาการกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะทำให้ถึง ความพินาศ แห่งศีล สร้างความพินาศ แห่งขนบประเพณีอันดีงาม

แม้แต่ในกาลก่อน พวกนางยักษิณีก็ได้กระทำเช่นนี้ ลวงฆ่าพวกพ่อค้าทั้งหลาย ได้เคี้ยวกิน หมุบหมับ ตามสบาย มีเลือดไหลอาบแก้มและคางมาแล้ว"

แล้วทรงนำเรื่องของนางยักษิณีมาตรัสเล่า

ในอดีตกาล ณ เกาะตามพปัณณิ มีเมืองชื่อ สิริสวัตถุ เป็นเมืองของเหล่านางยักษิณี อาศัยอยู่ จำนวนมาก

พวกนางยักษิณีเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ด้วยการจับมนุษย์ที่มาเรือแตกอยู่ใกล้ ๆ เกาะนั้น โดยพวกที่ถูกจับ มาใหม่ๆ จะทำให้เป็น สามีของพวกตน ส่วนพวกเก่า จะโดนล่ามโซ่ คุมขังไว้ รอถูกกินเป็นอาหาร ไปในแต่ละวัน

แต่ถ้าหากไม่มีเรืออับปาง พวกนางยักษิณีก็จะตระเวนเที่ยวหาเหยื่อ ตามฝั่งสมุทร ตามเกาะอื่น ๆ เช่น เกาะไม้ขานาง ที่ฝั่งโน้นบ้าง เกาะไม้กากะทิง ที่ฝั่งนี้บ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง......มีพ่อค้า ๕๐๐ คน นำเรือใหญ่บรรทุกสินค้าผ่านมา เกิดพายุจัด เรือจึงอับปาง ใกล้เกาะนั้น พวกพ่อค้าทั้งหมด ช่วยพากัน แหวกว่ายน้ำ ขึ้นเกาะได้โดยปลอดภัย

ส่วนพวกนางยักษิณีพอรู้ว่า มีเรือมาอับปาง ก็พากันตกแต่งร่างกายให้งดงาม แล้วถือของกิน ของเคี้ยว มากมาย ทั้งยังอุ้ม ทารกน้อยไปด้วย เพื่อลวงให้เหล่าพ่อค้า ทั้งหลายคิดว่า

"พวกนี้ก็เป็นมนุษย์เช่นเรา มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นเดียวกับเรา"

เมื่อพวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกพ่อค้าแล้ว ก็จะกล่าวต้อนรับอย่างดีว่า

"เชิญดื่มน้ำใสสะอาดนี้เถิด เชิญกินของขบเคี้ยวนี้เถิด"

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและหิวกระหาย บรรดาพ่อค้าทั้งหมด ก็พากันกินอาหารเต็มที่ จนกระทั่ง อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ให้รู้สึกอยากได้ที่พักผ่อน คราวนี้พวกนางยักษิณี จะชวนคุย ซักถามว่า

"พวกท่านมาจากที่ไหนกันนี่ แล้วจะไปกันที่ใด มาทำอะไรกันถึงที่นี้"

พ่อค้าทั้งหลายก็จะตอบความจริงไปว่า

"พวกเราเป็นพ่อค้า เรือเกิดอับปาง ต้องติดเกาะอยู่ที่นี่"

เหล่านางยักษิณีได้ช่องได้โอกาส จะแสร้งวางเหยื่อล่อว่า

"ดีล่ะ! พ่อคุณเอ๋ย แม้แต่สามีของพวกเราทั้งหมด ก็เป็นพ่อค้าขึ้นเรือจากไปนาน นี่ล่วงสามเดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่กลับคืนมา ชะรอยพวกเขา คงจะตายหมดสิ้นแน่ พอดีกับพวกท่าน ก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราเป็นหญิง ต้องมีที่พึ่งพิง จึงขอเป็นผู้รับใช้ ของพวกท่านเถิด"

แล้วก็เข้าเล้าโลมพวกพ่อค้า ด้วยมารยาหัวเราะ และจริตของสตรี พาเข้าไปพักผ่อนในเมือง ตามบ้านของตน เป็นอันว่า นางยักษิณีได้ทำให้พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน ตกเป็นสามีได้สำเร็จ สมใจหมาย โดยหัวหน้า นางยักษิณี ก็ได้หัวหน้าพ่อค้า เป็นสามี นางยักษิณีที่เหลือ ก็ได้พ่อค้านอกนั้น เป็นสามี

ครั้นตกเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นนางยักษิณีหัวหน้า หรือนางยักษิณีอื่น ๆ มักรอให้พวกพ่อค้าหลับแล้ว ก็จะลุกไปฆ่ามนุษย์ ที่คุมขังไว้ พอกินเลือดเนื้อเสร็จแล้ว จึงค่อยกลับมานอน ร่วมกับพ่อค้าอีก และ ทุกครั้ง ที่ได้กินเนื้อมนุษย์แล้ว ร่างกายของพวกนางยักษิณี จะเย็นผิดปกติ



ด้วยเหตุนี้เองทำให้หัวหน้าพ่อค้าได้รู้สึกเกิดสงสัยยิ่งนัก จึงคอยเฝ้าสังเกตอยู่ จนมั่นใจว่า เป็นยักษิณีแน่ ทั้งมั่นใจว่า หญิงอื่น ๆ ก็เป็นยักษิณีด้วย ดังนั้น จึงแอบบอกกับเพื่อนพ่อค้า ทั้งหลายว่า "พวกเรากำลัง ตกอยู่ในอันตรายแล้วหนอ หญิงทั้งหมดนี้ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวก นางยักษิณีกินคน เร็วเถอะ พวกเราต้อง หาทางหนีกันไป จากที่นี่โดยเร็ว"

แม้จะบอกให้รู้ความจริงแล้ว แต่พวกพ่อค้าประมาณครึ่งหนึ่ง ก็ยังตอบว่า

"เราไม่เห็นว่าหญิงเหล่านี้จะดุร้ายอะไร ทั้งเราก็ไม่อาจละทิ้งพวกนาง ไปได้ด้วย พวกท่าน จงไปกันเถิด พวกเราจะไม่หนีไปไหนล่ะ"

ดังนั้น หัวหน้าพ่อค้าจึงพาพรรคพวกอีกครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อถือในถ้อยคำของตน พากันหลบหนี ออกจาก เมืองยักษิณี แต่ก็ยังหาทาง ออกจากเกาะนั้นไม่ได้

ขณะนั้นเอง....มีม้าบินตัวหนึ่ง เป็นม้าวลาหก สีขาวปลอด ศีรษะคล้ายกา มีผมเป็นปอย สามารถบินเหาะ ไปไหน ทางอากาศ ได้รวดเร็ว ปกติจะบินจากป่าหิมพานต์ ไปหาข้าวสาลีกิน ที่สระแห่งหนึ่ง บนเกาะตามพปัณณิ พอกินอิ่มดีแล้ว ก่อนจะบินกลับไป ทุกครั้ง จะต้องแผ่เมตตาจิต ด้วยการกล่าวถึง ๓ ครั้งว่า

"จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิด ผู้ปรารถนาจะไป สู่ฝั่งชนบท เราจะพาไป"

เป็นเวลาพอดีกับพวกพ่อค้า ได้ยินเสียงเข้า จึงพากันเข้าไปหา ม้าวลาหก ยกมือขึ้นไหว้ แล้วกล่าวว่า

"ม้าผู้ประเสริฐ พวกข้าพเจ้าเชื่อถือถ้อยคำของท่าน จึงต่างก็ปรารถนา ที่จะไปสู่ชนบท ฝั่งโน้น"

"ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงขึ้นขี่บนหลังเราเถิด เราจะพาไปให้ถึง อย่างรวดเร็ว"

พ่อค้าบางคนจึงขึ้นขี่บนหลัง บางคนก็จับหางม้าไว้แน่น บางคนก็ยืนประนมมือไหว้ รอให้ม้าวลาหก มารับ ในเที่ยวต่อ ๆ ไป ในที่สุด.....ม้าวลาหกก็พาพวกพ่อค้า ที่หนีมาทั้งหมด ให้กลับคืน สู่ชนบทของตน ได้โดยปลอดภัย

ฝ่ายพวกนางยักษิณี เมื่อมีคนเรือแตก มาติดเกาะอีก ก็หลอกไว้เป็นสามีใหม่ แล้วจับพวกพ่อค้าสามีเก่า ที่ไม่ยอมหนีไปนั้น กักขังไว้ฆ่ากิน เป็นอาหาร อันโอชะต่อไป

พระศาสดาทรงจบธรรมเทศนานี้ ด้วยคำตรัสว่า

"พวกพ่อค้าครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อคำของม้าวลาหกในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทของเรา ในบัดนี้ ส่วนม้า วลาหกตัวนั้น ก็คือเราตถาคตเอง"

แล้วทรงย้ำเตือนสติให้เกิดปัญญาว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดไม่ทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคต แสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะต้องถึง ความพินาศ ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ในอบาย ๔ (คือได้นรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย) เปรียบเสมือนพวกพ่อค้า ที่ถูกนางยักษิณี หลอกลวง ให้ตกอยู่ในอำนาจ ต้องสิ้นชีวิตไป ฉะนั้น

ส่วนผู้ใดทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคตแสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะไปถึง ฝั่งพระนิพพาน ดุจพวกพ่อค้า ที่เชื่อฟัง กระทำตามคำของ ม้าวลาหก ไปถึงฝั่งชนบท โดยสวัสดี ได้กลับคืน สู่ที่อยู่ของตน ฉะนั้น"

ครั้นจบคำตรัสนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจทันที เมื่อจบสัจธรรมแล้ว ภิกษุผู้กระสันนั้น ก็ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล ส่วนภิกษุอื่น ๆ อีกหลายรูป บ้างก็บรรลุเป็น พระโสดาบัน บ้างก็ได้เป็น พระสกิทาคามี บ้างก็ได้เป็น พระอนาคามี หรือแม้แต่ได้เป็น พระอรหันต์ก็มี


เชื่อผู้ใหญ่ เขาว่า หมาไม่กัด
เชื่อธรรมะ ปฏิบัติ ไม่กลัวผี
เชื่อพุทธองค์ หลุดพ้น ยักษิณี
เชื่อกรรมดี มีบุญ หนุนสุขใจ.



โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:43
“สระน้ำอโนดาต”

ในป่าหิมพานต์ เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยได้จริง


[attach]509[/attach]


        บ่อน้ำพุตามธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากใต้ดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนผู้คนก็มักเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ อย่างที่วัดปุราเตียร์ตาอัมปึล หรือ วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แห่งเมืองบาหลี ซึ่งก็มีบ่อน้ำพุผุดขึ้นจากใต้ดิน ชาวบาหลีเชื่อกันว่าพระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิด ใครได้อาบจะเป็นสิริมงคล ขับไล่สิ่งเลวร้าย และรักษาโรคต่างๆ ซึ่งสรรพคุณและความศักดิ์สิทธิ์จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ไม่ยืนยัน

       แต่ถ้าพูดถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในสมัยบรรพกาลแล้ว ก็จะชวนให้นึกถึง “สระน้ำอโนดาต” ในป่าหิมพานต์ ว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยได้จริง
ทั้งนี้ รอบๆ สระอโนดาตจะมีภูเขาล้อมรอบ 5 ลูก คือ “สุทัศนกูฏ” ซึ่งเป็นภูเขาล้วนไปด้วยทอง “จิตรกูฏ” ล้วนไปด้วยแก้ว “กาลกูฏ” ล้วนไปด้วยนิลมณี “ไกรลาส” ล้วนแล้วด้วยเงิน และ “คันธมาทนกูฏ” ล้วนแล้วด้วยแก้วมณีและพันธุ์ไม้หอมต่างๆ ซึ่งบางชนิดดอกหอม บางชนิดเปลือกหอม บางชนิดยางหอม บางชนิดรากหอม
โดยที่ที่เชิงเขานี้จะมีผาชะโงกเรียกว่านันทมูล ซึ่งเป็นที่อยู่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

       ทั้งนี้ที่สระอโนดาตจะมีท่าน้ำอยู่ 4 ท่า เป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของเทวดา เทพธิดาท่าหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าท่าหนึ่งฤๅษีวิทยาธรท่าหนึ่ง และพระอรหันต์อีกท่าหนึ่ง
ลักษณะของน้ำในสระอโนดาตจะใสสะอาดมากๆ และไม่มีมลพิษใดๆ เจือปน และว่ากันว่า น้ำในสระจะไหลออกไปจากซอกภูเขาที่อยู่รอบ 4 ทิศ โดยซอกภูเขานี้จะมีรูปปากช่องเป็นหน้าสิงห์ หน้าช้าง หน้าม้า และหน้าวัว

        ที่ไหลออกไปทางซอกเขาหน้าสิงห์ จะผ่านไปทางแดนตะวันออกของเขาหิมพานต์อันเป็นที่อยู่ของราชสีห์พันธุ์ต่างๆ

        ที่ไหลออกจากเขาหน้าวัวก็กลายเป็นแม่น้ำ 5 สาย เรียกว่าปัญจมหานที คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี

        ที่ไหลออกทางหน้าม้า เป็นน้ำสีเขียว ผ่านเป็นแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของม้าสินธพ

        ส่วนที่ผ่านด้านหน้าเหนือที่ไหลออกจากเขาหน้าช้าง น้ำเป็นสีเหลือง ผ่านแดนที่อาศัยของช้างตระกูล 10 ตระกูล

ถึงแม้ว่าน้ำจะไหลออกจากสระอโนดาต แต่น้ำในสระก็ไม่เคยพร่อง แต่กลับเต็มเปี่ยมเสมอ

“อโนดาต”
แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน
เมื่อสิ้นสุดกัลป์จะมีไฟบรรไลกัลเผาผลาญโลก




        สระอนวตัปตาจะเป็นแหล่งสุดท้ายที่จะถูกทําลายจากไฟบรรลัยกัลป์  หลวงปู่ท่านห่วงลูกหลานจึงได้สร้าง ดวงตราอาถรรพ์ฯ โดยการจําลองสระอโนดาต จึงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีอายุยืนยาวที่สุด ถึงจะเกิดอะไรขึ้นร้ายแรง ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือคลาดแคล้วจากภัยอันตรายทั้งปวง



       เคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า พระราชพิธีสรงน้ำราชาภิเษก พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีที่เกี่ยวกับพระมหาจักรพรรดิ์ ก็ล้วนแต่นำเอาสาระความเชื่อจากสระอโนดาตมาทั้งสิ้น

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 14:46
สระอโนดาต


[attach]510[/attach]

     ถัดจากเขาสุทัสสนะ หรือติดเขาสุทัสสนะ จะเป็นป่าหิมพานต์ ซึ่งป่าหิมพานต์ เป็นรอยต่อแห่งมิติ ส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์เป็นแดนทิพย์ ส่วนหนึ่งเป็นแดนมนุษย์ และส่วนหนึ่งเป็นแดนรอยต่อระหว่างโลกทิพย์กับโลกมนุษย์

     ในป่าหิมพานต์ จึงมีพืชพันธุ์แปลกๆ มากมาย สัตว์พันธุ์แปลกๆ มากมาย ทั้งสัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ ก็อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ นี่เอง

     ป่าหิมพานต์ ความจริงเป็นภูเขา เรียกว่าภูเขาหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต เมื่อมองลักษณะรูปร่างแล้ว เรียกภูเขาหิมพานต์ แต่เมื่อมองในลักษณะมีต้นไม้มากแล้ว ก็คือป่าหิมพานต์

     เขาหิมพานต์ ยังประกอบด้วยยอดเขาย่อยๆ อีกมากมาย
     เขาหิมพานต์ มีสระสำคัญๆ อยู่ ๗ สระ คือ

     ๑. สระอโนดาต  
     ๒. สระกรรณมุณฑะ
     ๓. สระรถการะ  
     ๔. สระฉัททันต์
     ๕. สระกุณาละ  
     ๖. สระมันทากินี
     ๗. สระสีหปปาตะ

     สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น  
รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอดเขาได้แก่

     ยอดเขาสุทัสสนะ (สุทัสสนกูฏ)
     ยอดเขาจิตตะ (จิตรกูฎ )
     ยอดเขากาฬะ (กาฬกูฎ)
     ยอดเขาคันธมาทน์ (คันธมาทนกูฏ)
     ยอดเขาไกรลาส  (ไกรลาสกูฏ)

     ยอดเขาสุทัสสนะ เป็นทองคำ รูปทรงโค้งตามแนวสระอโนดาต และปลายยอดเขา มีสัณฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ตรงๆ

     ยอดเขาจิตตะ เป็นรัตนะ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

     ยอดเขากาฬะ  เป็นแร่พลวง หินแห่งยอดเขาสีนีล รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

     ยอดเขาคันธมาทน์ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ (เหมือนภูกระดึง) อุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์  ทั้งไม้รากหอม  ไม้แก่นหอม  ไม้กระพี้หอม  ไม้เปลือกหอม  ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม  ไม้ใบหอม  ไม้ดอกหอม  ไม้ผลหอม  ไม้ลำต้นหอม  ทั้งยังอุดมไปด้วย ไม้อันเป็นโอสถนานาประการ  ในวันอุโบสถ(วันพระ) ข้างแรม ยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ ข้างขึ้น แสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม... ภายในเขาคันธมาทน์ มีถ้ำบนยอดเขาชื่อว่าถ้ำนันทมูล เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และถ้ำเงิน

     ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงิน  รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ วิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้

ยอดเขาทั้ง๕ ตั้งตระหง่านรายล้อมสระอโนดาตไว้ และมีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา ธารน้ำทั้งหลาย จากเขาหิมพานต์ ทุกสารทิศ จะไหลมาผ่านยอดเขา๕ลูกนี้ (ลูกใดลูกหนึ่ง) จากนั้น ก็จะไหลรวมลงสู่สระอโนดาต
(เหตุที่ได้ชื่อว่าอโนดาต ก็เพราะ มีเงื้อมผาโค้งงุ้มดังปากกา โอบบังแสงไว้ด้านบน ทำให้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้ำตรงๆ ได้ แสงเพียงลอดเข้าด้านข้าง ในแนวเหนือใต้ ตรงระหว่างรอยต่อยอดเขากับยอดเขา เท่านั้น สระนี้ จึงได้ชื่อว่า “อโนดาต”...แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน..)

     จากสระอโนดาต... จะมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ทิศละแห่ง คือ

     สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก)
     หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก)
     อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก)
     อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก)

เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ไหลล่อเลี้ยงรอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนลงสู่มหาสมุทร...


     ด้านทิศตะวันออก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันออก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศตะวันตก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันตก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศเหนือ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศเหนือ  ลงสู่มหาสมุทร  
(ที่แม่น้ำทุกสาย ไหลวนรอบสระอโนดาตเหมือนกัน แต่ไม่ข้องแวะกัน เพราะ ไหลลอดอุโมงค์หิน ไหลลอดภูเขา ออกไป)

     ด้านทิศใต้ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  แล้วไหลตรงไปทางใต้ประมาณ ๖๐ โยชน์  โผล่ออกมาใต้แผ่นหิน ตรงบริเวณหน้าผา กลายเป็นน้ำตกสูงใหญ่ยิ่ง ความสูงสายน้ำตกประมาณ ๖๐ โยชน์ สายน้ำตกอันรุนแรงนั้น ตกกระทบแผ่นหินเบื้องล่าง จนหินแตกกระจายออก  ในที่สุดกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รองรับสายน้ำตกนั้น  แอ่งน้ำนี้มีชื่อเรียกว่า “ติยัคคฬา”  เมื่อน้ำมากขึ้น ได้พังทำลายหินอันโอบล้อมอยู่ออกไปได้ทางหนึ่ง เจาะกระแทกหินที่ไม่แข็ง เป็นอุโมงค์ ไหลไป จนถึงส่วนที่เป็นดิน ก็เจาะทะลุดิน เป็นอุโมงค์ และไหลลอดตามอุโมงค์ดินนั้นไป  จนถึงภูเขาหินขวางอยู่ (ติรัจฉานบรรพต=ภูเขาขวาง) ภูเขานี้เรียกว่า วิชฌะ เมื่อน้ำกระทบหินเข้า ก็ไปต่อไม่ได้โดยง่าย แรงน้ำได้ดันจุดที่อ่อนแอที่สุดออกไปได้ ๕ จุด เกิดเป็นทางแยก ๕ แยก และกลายเป็นต้นน้ำสำคัญแห่งมนุษย์ ๕ สาย ด้วยกัน คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ และแม่น้ำทั้ง๕ นี้ นอกจากผู้ตาทิพย์แล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่า ของจริงอยู่ที่ไหน ...


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:12
ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
หรืออีกพระนามหนึ่งคือ
ดวงตราอาถรรพณ์ชัยตะฎากะ
ดวงตราอาถรรพณ์แท้ที่จริงแล้ว คือ การจำลอง สระอนวตัปตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแดนหิมพานต์
เคลื่อนแกนมิติลงมาสู่โลกมนุษย์ ในประวัติที่พอสืบทราบว่าในโลกนี้มีเพียงสามท่านเท่านั้นที่ทำได้

นั่น ก็คือ

พระเจ้าจักรพรรดิ์อโศกมหาราช
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (จักรพรรดิศรีราชาเวทย์)
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ (ผู้สำเร็จวิชาราชาอาถรรพ์)



สายวิชาอาถรรพณ์มีที่มาที่ไป สายสัมพันธ์ ตรัยราชา ทั้งสามอย่างไม่น่าเชื่อ




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:16
พระเจ้าอโศกมหาราช


[attach]511[/attach]

           จักรวรรดิโมริยะช่วงรุ่งเรืองที่สุดประมาณ พ.ศ. 278พระเจ้าอโศกมหาราช (เทวนาครี: अशोकः, อังกฤษ: Ashoka the Great; พ.ศ. 240 - พ.ศ. 312 ครองราชย์ พ.ศ. 270 - พ.ศ. 311) ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะ ผู้ปรีชาสามารถพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ ทรงปกครองแคว้นมคธ มีพระราชธานีชื่อว่า ปาฏลีบุตร (ปัจจุบันเรียกว่า ปัฏนะ Patna) ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าพินทุสารแห่งราชวงศ์โมริยะ พระมารดานามว่าศิริธรรม พระเจ้าอโศกมีพระโอรส และธิดา 11 พระองค์

           สมเด็จพระมหาจักรพรรดิอโศกมหาราช หรือพระเจ้าอโศกมหาราช เดิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่โหดร้าย ชอบการทำสงครามกับแว่นแคว้นต่าง ๆ จนได้รับสมญานามว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม) แต่หลังจากที่พระองค์หันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงกลายเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์ ผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายมากที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และจากพระราชกรณียกิจมากมายนานัปการที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญด้วยทศพิธราชธรรมอย่างแท้จริง ทำให้ภายหลังทรงได้รับการขนานพระราชสมัญญานามว่า ธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม)

            พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระพุทธศาสนาก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา มีความดุร้ายและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับฉายาว่า จัณฑาโศก แปลว่าอโศกผู้ดุร้าย ต่อมาเมื่อไปรบที่แคว้นกาลิงคะ (ปัจจุบันอยู่รัฐโอริสสา) มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จึงเกิดความสลดสังเวชในบาปกรรม และตั้งใจแสวงหาสัจธรรมและพบนิโครธสามเณรที่มีกิริยามารยาทสงบเรียบร้อย จึงทรงนิมนต์พระนิโครธโปรดแสดงธรรม พระนิโครธก็แสดงธรรม จึงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ต่อมาได้ฟังพระธรรมจากพระสมุทระเถระทรงส่งกระแสจิตตามพระธรรมเทศนาจนเข้าถึงพระรัตนตรัย พระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ หลักศิลาจารึก มหาวิทยาลัยนาลันทา ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ และเลิกการแผ่อำนาจในการปกครอง มาใช้หลักพุทธธรรม (ธรรมราชา) ปกครอง นอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงส่งสมณะทูตไปเผยแพร่ศาสนา โดยแบ่งเป็น 9 สาย สายที่ 8 มาเผยแพร่ที่ สุวรรณภูมิ โดยพระโสณะและพระอุตระเป็นสมณะทูต และพระองค์เป็นผู้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่3 ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร

            ต่อมาก็ทรงโปรดเกล้าให้สร้างบ่อน้ำ ที่พักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัดสาธารณูปโภคและสาธารณ ตามหลักพุทธธรรม ต่อจากนั้นก็เสด็จไปพบสังเวชนียสถาน4แห่ง เป็นผู้แรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และต่อมาพระองค์ทรงได้สมญานามว่า ธรรมมาอโศก แปลว่า อโศกผู้ทรงธรรม ทรงครองราชย์ได้41ปี

           หัวเสารูปสิงห์ 4 ทิศ ที่สารนาถ ซึ่งต่อมารัฐบาลอินเดียได้นำมาใช้เป็นรูปตราแผ่นดิน ดำเนินรัฐศาสนโยบายด้วยทรงถือหลักธรรมวิชัยปกครองแผ่นดินโดยธรรม ยึดเอาประโยชน์สุขของพสกนิกรของพระองค์เป็นที่ตั้ง ทรงส่งเสริมสารธารณูปการ และประชาสงเคราะห์ ทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในชมพูทวีปอย่างกว้างขวาง ได้เป็นบ่อเกิดอารยธรรมที่มั่งคงไพศาล อนุชนได้เรียกขานพระนามของพระองค์ด้วยความเคารพเทอดทูน ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์หลายองค์ที่พิชิตนานาประเทศด้วยสงคราม แม้พระนามของพระองค์ก็ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน
อัครศาสนูปถัมภกพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงเป็นพระอัครศาสนูปถัมภกทั้งฝ่ายมหายาน และฝ่ายเถรวาท ตามพระราชประวัติในคัมภีร์อโศกาวทาน ของฝ่ายมหายาน ใน อรรถกถาสมันตปาสาทิกา คัมภีร์ทีปวงศ์ และคัมภีร์มหาวงศ์ ของฝ่ายเถรวาท และทรงอุปถัมภ์ผู้ที่นับถือศาสนาเชน โดยการถวายถ้ำหลายแห่ง ให้แก่เชนศาสนิกชน เพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา

            ทรงเป็นหนึ่งใน 6 ในอัครมหาบุรุษเอช. จี. เวลส์ (H.G.Wells; 1866 – 1946) นักเขียนชาวอังกฤษ ก็ยกย่องพระเจ้าอโศกมหาราช ว่าทรงเป็นอัครมหาบุรุษท่านหนึ่ง ใน 6 อัครมหาบุรุษแห่งประวัติศาสตร์โลก คือ พระพุทธเจ้า โสเครติส อริสโตเติล โรเจอร์ เบคอน และอับราฮัม ลิงคอล์น

             พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช ในประเทศไทย บุรพกรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชกล่าวว่าด้วยเหตุอันที่พระเจ้าอโศกเป็นใหญ่ในชมพูทวีป เพราะได้เคยถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
กล่าวว่าด้วยเหตุอันที่พระเจ้าอโศกผูกพันกับนิโครธสามเณรเมื่อแรกพบ เพราะเมื่อชาติอดีตที่เป็นพ่อค้าขายน้ำผึ้ง เป็นพี่น้องกัน รวมทั้งพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ที่ลังกาทวีป

            หลังจากที่พระเจ้าอโศกมหาราชสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ได้ไปบังเกิดเป็นงูเหลือม เพราะก่อนพระองค์จะสวรรคตพระองค์ทรงพระดำริที่จะถวายพระราชทรัพย์ถวายไว้ในพระศาสนาอีก ได้มีขุนนางมาทัดทาน พระองค์จึงเกิดจิตโทสะ เมื่อสิ้นพระชนม์ จึงได้ไปเกิดสู่ทุคติภูมิ แต่หลังจากนั้นพระองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระมหินทเถระ พระราชโอรสซึ่งบรรลุพระอรหันต์แล้ว จนได้บรรลุพระโสดาบัน และ พองูเหลือมซึ่งก็คือพระเจ้าอโศกมหาราชได้ตายแล้ว ดวงวิญญาณของพระองค์ก็ได้ล่องลอยสู่สรวงสวรรค์ ด้วยผลบุญที่พระองค์ทรงเคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง

พระเจ้าอโศกมหาราช จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:19
พระเจ้าอโศกมหาราช

[attach]512[/attach]


         “มีกษัตริย์และจักรพรรดิมากมายหลายพันพระองค์ในประวัติศาสตร์โลก… ท่านเหล่านั้นปรากฏแสงอยู่เพียงชั่วขณะก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว แต่พระเจ้าอโศกยังคงสว่างเรืองรองไม่ต่างจากเดือนดารา แม้กระทั่งในยุคปัจจุบัน” – เอช. จี. เวลส์

พระเจ้าอโศก (304-232 ปีก่อนคริสต์ศักราช) คือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์โมริยะ ผู้ปกครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศในปัจจุบัน (269-232 ปีก่อนคริสต์ศักราช)  พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าพินทุสาร โดยมีพระอนุชาร่วมสายพระโลหิตเพียงพระองค์เดียว

เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าอโศกมีพระนิสัยแข็งกร้าวและคึกคะนอง พระองค์ทรงศึกษาเรียนรู้วิชายุทธ์และวิชาการทุกแขนง ความสามารถในการใช้ดาบของพระองค์นั้นเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว พระองค์ทรงเป็นนักล่าที่น่าพรั่นพรึง และเป็นนักรบชั้นเยี่ยมที่ไร้เมตตา

บนหนทางสู่การเป็นจอมทัพและจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าอโศกทรงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับบัญชากองทหารหน่วยต่างๆ ของอาณาจักร และทรงจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตามแคว้นต่างๆ ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ขจรขจายไปทั่ว บรรดาพระเชษฐาต่างพระมารดาจึงทรงวิตกกังวลว่าพระเจ้าพินทุสารจะทรงเลือกพระองค์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เจ้าชายสุสิมะซึ่งเป็นองค์รัชทายาทจึงทรงวางแผนให้พระเจ้าพินทุสารเนรเทศพระเจ้าอโศก แต่หลังจากพระองค์ถูกเนรเทศสองปี ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นที่แคว้นแคว้นหนึ่ง พระเจ้าพินทุสารจึงมีพระบัญชาให้พระเจ้าอโศกไปจัดการความวุ่นวายที่นั่น

ศึกครั้งนั้นพระเจ้าอโศกทรงได้รับบาดเจ็บ และได้รับการถวายการรักษาโดยพระและแม่ชี นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงได้สัมผัสกับคำสอนของพุทธศาสนา (ศาสนาเชนคือศาสนาหลักในสังคมยุคนั้น) ขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงได้พบกับพระนางเทวีซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพยาบาล ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะอภิเษกสมรสกันในเวลาต่อมา

ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าพินทุสาร เจ้าชายสุสิมะพยายามลอบสังหารพระนางเทวีซึ่งกำลังตั้งครรภ์ แต่แผนการล้มเหลว พระเจ้าอโศกจึงสังหารพระเชษฐา ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิ  ในช่วง 8 ปีแรกของการเป็นจักรพรรดิ พระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้กระหายสงคราม และทรงมุ่งมั่นที่จะขยายอาณาจักรของพระองค์ออกไปไม่หยุดหย่อน จนผู้คนเรียกขานพระองค์ว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม)  แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของพระองค์ก็เกิดขึ้น นั่นคือสงครามที่แคว้นกาลิงคะ (265 หรือ 263 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

กล่าวกันว่าสงครามครั้งนั้นเป็นการโจมตีที่ยิ่งใหญ่มโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินเดีย แคว้นกาลิงคะทั้งแคว้นราพณาสูร ตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่าผู้คนในแคว้นกาลิงคะเสียชีวิตประมาณ 100,000 คน ทหารของพระเจ้าอโศกเสียชีวิตประมาณ 10,000 คน และมีผู้ที่ต้องลี้ภัยหลายพันคน


หลังจากสงครามจบสิ้นลง สภาพบ้านเรือนที่ถูกเผาทำลายและซากศพจำนวนมหาศาลที่เกลื่อนกระจายไปทั่ว ทำให้พระเจ้าอโศกทรงได้สติ พระองค์ทรงไต่ถามตัวเองถึงความหมายที่แท้จริงของชัยชนะและผู้ปกครอง  หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงได้ฟังธรรมจากนิโครธสามเณรและพระสมุทระเถระ ก่อนที่พระองค์จะนำหลักการของศาสนาพุทธมาใช้กับการบริหารปกครองบ้านเมืองในที่สุด

พระองค์ทรงสร้างพระสถูปและพระวิหารหลายพันแห่งสำหรับชาวพุทธ ทรงนำเสนอนโยบายอหิงสา ไม่ทำร้ายทำลายทั้งชีวิตสัตว์และผู้คน โดยการฆ่าสัตว์จะได้รับอนุญาตเพื่อการบริโภคเท่านั้น ทรงสนับสนุนให้ประชาชนกินอาหารมังสวิรัติ ทรงสร้างมหาวิทยาลัย ทรงสร้างระบบการชลประทานเพื่อการค้าและการเพาะปลูก ทรงสร้างโรงพยาบาลทั้งสำหรับคนและสัตว์ ทรงปรับปรุงถนนสายหลักตลอดทั้งอินเดีย ฯลฯ โดยทั้งหมดนี้พระองค์มิได้ทรงคำนึงถึงศาสนา ความคิดทางการเมือง หรือชนชั้นของประชาชน  นอกจากนี้ พระเจ้าอโศกยังทรงส่งสมณะทูตออกไปเผยแพร่ศาสนา โดยแบ่งเป็น 9 สาย และสายที่ 8 ได้เดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิ

มรดกที่สำคัญอย่างหนึ่งที่พระเจ้าอโศกทรงทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลังคือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาพุทธกับรัฐ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับแนวคิดทางการปกครองที่พัฒนาขึ้นโดยพระเจ้าอโศกเข้ามาแทนที่แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับที่มาของผู้ปกครอง (เทวสิทธิ์)  ภายใต้รูปแบบการปกครองแบบศาสนจักร ความชอบธรรมของผู้ปกครองมิได้มาจากอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่มาจากการยอมรับของสังฆะ  ดังนั้น ผู้ปกครองจึงต้องปกครองบนพื้นฐานของหลักคุณธรรมจริยธรรม อันเกี่ยวโยงกับหลักการทางศาสนาอย่างแยกไม่ออก

พระเจ้าอโศกทรงปกครองอาณาจักรโมริยะ (ประมาณ 40 ปี) จนกระทั่งสวรรคต ก่อนที่ราชวงศ์โมริยะจะล่มสลายในอีกประมาณ 50 ปีต่อมา

ข้อมูลเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมาจากจารึกบนแผ่นหินและเสาหินที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาจักร ทั้งหมดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรักและความเมตตาที่พระองค์มีต่อประชาชน นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาที่สนับสนุนคุณธรรมจริยธรรมตามหลักพุทธศาสนา การไม่ใช้ความรุนแรง และการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมะ

เสาหินที่สารนาถคือเสาหินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่พระเจ้าอโศกทรงทิ้งเอาไว้ มันทำมาจากหินทราย จารึกบนเสาหินระบุการเสด็จพระราชดำเนินมาที่สารนาถขององค์จักรพรรดิในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ที่ยอดเสามีสิงโต 4 ตัวหันหลังชนกัน ซึ่งรัฐบาลอินเดียนำมาใช้เป็นตราราชการในปัจจุบัน

ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากในการระบุว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ถูกจารึกไว้นั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่อักษรเหล่านั้นก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระเจ้าอโศกต้องการให้โลกจดจำพระองค์เช่นไร


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:22

         [attach]513[/attach]

          เสาอโศก หรือ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช (อังกฤษ: Pillars of Ashoka, ฮินดี: अशोक स्तंभ, อโศก สฺตํภ) เป็นเสาหินโบราณที่สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช พระมหาจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมารยะ ที่ปกครองอนุทวีปอินเดียในช่วงยุคพุทธศตวรรษที่ 4 พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างเสาหินทราย (ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า "เสาอโศก") ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อระบุสถานที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

          เสาหินเหล่านี้สร้างโดยหินทรายจากเมืองจุณนา เมืองทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งถือได้ว่ามีคุณภาพดีที่สุดในสมัยนั้น โดยเสาทุกเสาจะมีหัวสิงห์แกะสลักประดิษฐานอยู่ เป็นสัญลักษณ์ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่องอาจดุจราชสีห์ และแผ่ไปไกลดุจเสียงแห่งราชสีห์ โดยตัวเสาจะมีคำจารึกถึงความสำคัญของสถานที่ตั้งเสาหรือประกาศพระบรม ราชโองการของพระเจ้าอโศกมหาราช

          เสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ที่อารามหลวงแห่งเจ้ามัลละในเมือง เวสาลี เมืองสำคัญในสมัยพุทธกาล แต่เสาอโศกต้นที่ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ เสาอโศกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เป็นเสาที่หักเป็นสี่ท่อน แต่ว่ารูปสลักรูปสิงห์สี่ทิศบนเสายังคงมีสภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้นำรูปสลักที่เสานี้มาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ รูปพระธรรมจักร 24 ซี่ ได้ถูกนำไปประดิษฐานในธงชาติอินเดีย และข้อความที่จารึกไว้โดยพระเจ้าอโศกว่า "สตฺยเมว ชยเต" (คำแปล: ความจริงชนะทุกสิ่ง) ได้กลายมาเป็นคำขวัญประจำชาติอินเดียในปัจจุบัน

          เดิมนั้น เสาอโศกมีอยู่ทั่วพระราชอาณาจักรของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ต่อมาได้ถูกทำลายลงทั้งจากมนุษย์และภัยธรรมชาติ คงเหลือเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้นที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ในปัจจุบัน

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:28
พระราชลัญจกรประจำองค์พระเจ้าอโศมหาราช

[attach]515[/attach]

ทรงใช้จตุราชสิงห์แทนพระบรมเดชานุภาพแห่งพระองค์

สังเกตุให้ดีที่ฐานสิงห์จะเห็นสัตว์ทั้งสี่อย่างที่ประจำทิศในสระอโนดาต

ท่านเป็นองค์แรกที่จำลองสระอโนดาตมาเสริมพระเกียรติ์บารมีให้ยั่งยืนนานคู่ฟ้าดินสลาย

ท่านเป็นพระมหาธรรมราชาที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยอมรับนับถือในพระปรีชาสามารถ

ทรงเอามาเป็นแบบอย่างในชีวิตและการปกครองตลอดจนอัครศาสนูปถัมภก

เจริญตามรอยแห่งพระองค์ท่าน แม้นแต่การสร้างประสาทนาคพัน ก็ได้แรงบันดาลใจจาก

พระเจ้าอโศกมหาราชอีกเช่นกัน

[attach]516[/attach]


    พระเจ้าอโศกมหาราชท่านมีบารมีมาก
ที่สามารถเคลื่อนแกนมิติสระอนวัปตตา
มาเสริมพระบารมีบรมเดชานุภาพ
ได้เป็นปฐม พระองค์แรก-

มหาจักรพรรดิ ธรรมาโศกราช

[attach]517[/attach]





........................................................................

[attach]514[/attach]


1. บนยอดเสาแกะสลักเป็นรูปสิงโต ๔ ตัว นั่งหลังชนกัน ซึ่งอยู่ในลักษณะคำรามหรือเปล่งสีหนาท แต่เดิมมีธรรมจักรตั้งอยู่บนหลังของสิงห์ทั้ง ๔ เป็นลักษณะสิงห์แบกธรรมจักร ซึ่งมี ๒๔ ซี่ ธรรมจักร คือ เครื่องหมายทางพระพุทธศาสนา
2. ใต้ฐานสิงโตมีรูปธรรมจักร ๔ ด้าน วงล้อธรรมจักรมี ๒๔ ซี่ เท่ากับจำนวนปฏิจจสมุปบาท ทั้งขบวนการเกิดและขบวนการดับ (ทุกข์)
3. ระหว่างรูปธรรมจักรแต่ละด้านมีรูปสัตว์สำคัญ ๔ ชนิด เรียงไปตามลำดับ คือ
      "ช้าง โค ม้า และสิงโต" ซึ่งล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งนักปราชญ์ได้ให้ความหมายดังนี้
      "ช้าง" หมายถึง การเสด็จลงสู่พระครรภ์ (พระมารดาสุบินเห็นช้างเผือก) หรือ ปัญญาชาญฉลาด สุขุมเยือกเย็น
      "โค" หมายถึง ทรงได้ปฐมฌาน (ขณะพระบิดาทรงทำพิธีแรกนาขวัญ) หรือ ความแข็งแรง อดทน
      "ม้า" หมายถึง การทรงม้าเสด็จออกผนวช หรือ ฝีเท้าอันรวดเร็ว
      "สิงโต" หมายถึง การแสดงธรรมจักร ซึ่งเปรียบเหมือนการเปล่งสีหนาท หรือการคำรามของพญาราชสีห์
.............................................................................................

    จากคำของนักปราชญ์ที่ตีความหมายข้างต้นผมยังไม่ปักใจเชื่อนัก ตามไตรภูมิพระร่วง ได้ระบุชัดถึงเรื่องราวที่เทวะนำน้ำอันบริสุทธิ์จาก สระอนัปวตตา ไปถวายพระเจ้าธรรมอโศก เพื่อเสริมพระบารมี จึงมีความเชื่อว่าสัตว์ประจำทิศทั้ง 4 ความหมายคือสัตว์จาก สระอโนดาตอย่าแน่นอน

Sornpraram

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:30
ผู้ที่มีพระบารมีองค์ที่สอง
ที่สามารถเคลื่อนแกนมิติสระอนวัปตตา
มาเสริมพระบารมีบรมเดชานุภาพ

[attach]518[/attach]

ก็คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั่น เอง
ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจน ก็คือ
ปราสาทนาคพัน ที่พระองค์ทรงสร้างไว้

[attach]519[/attach]


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:38
ผู้ที่มีพระบารมีองค์ที่สาม
ที่สามารถเคลื่อนแกนมิติสระอนวัปตตา
เพื่อมาช่วงสงเคราะห์บรรดาเหล่าลูกศิษย์

[attach]521[/attach]

ผ่าน ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ

[attach]520[/attach]

ก็คือ หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ นั่นเอง




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:46
[attach]522[/attach]

      คราวนี้พวกเราจะพอเข้าใจแล้วหรือยังว่าทำไม??
ดวงตราอาถรรพณ์ชัยตฎากะ
จึงรักษาโรคและล้างบาปทางกายและใจได้
จากการวมบารมีความศักดิ์สิทธิ์ ของสระอนัปวตตา
และแรงอธิฐานต่อเนื่องกันมาของ

พระเจ้าจักรพรรดิอโศกมหาราช-
พระเจ้าศรีชัยวรมัน-และล่าสุด
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ

และ ถ้าจะมองภาพ ดวงตราอาถรรพณ์ชัยตฎากะให้เด่นชัด
ตีความหมายออกต้องศึกษา
ไตรภูมิพระร่วง + สระอโนดาต+ ราชวงศ์ไศเลนทร์
เพราะทั้งสามสิ่งเป็นภาพเชิงซ้อนผนึกอยู่ในองค์เดียวกัน



โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-31 15:52
ในบรรดาจารึกที่ปราสาทจรุง ได้กล่าวว่า
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ทรงสร้าง

ชัยคีรี (ภูเขาแห่งชัยชนะ)
เสียดยอดฟ้าที่ส่องแสงสว่าง และ
ชัยสินธุ ( มหาสมุทรแห่งชัยชนะ)
ซึ่งด้วยความลึกอันไม่อาจคณาได้ ได้ลงไปถึงยังโลกแห่งนาค


[attach]523[/attach]


        ดังนั้น กําแพงของเมืองพระนครหลวง จึงมีลักษณะมากยิ่งกว่าการป้องกันเมือง แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์

        ด้วย กําแพง นั้นก็คือ ทิวเขาซึ่งล้อมรอบจักรวาลของโลกมนุษย์

และ

        คู ก็คือมหาสมุทรในโลกซึ่งติดต่อกับพระยานาค ๘ ตน ซึ่งรอบรับโลกอยู่



           นี่คือที่มาของ พญานาคแปดตน ที่ปรากฎอยู่บนดวงตราอาถรรพ์ ฯ นั่นเอง




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:31
                        
เขาสิเนรุ และ ทวีปทั้ง๔




             ทวีปทั้ง 4 ในมงคลจักวาลเรา คือ จักรวาลย่อย ล้อม รอบ ภูเขาสิเนรุ และ ตำแหน่งของทวีป คือ ดาว ทั้ง 4 ดวง รวมทั้งดาวโลก ด้วย แต่ อยู่ในระนาบเดียวกัน ตัดตามขวาง

            ที่เรียกว่าทวีปเพราะเกิดขึ้นท่ามกลางอากาศ.....เมื่อง้วนดินเกิดขึ้นลอยอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรจักรวาล(เหมือนเนยข้นลอยอยู่บนผิวน้ำคล้ายน้ำมัน)เวลานั้น ง้วนดินได้จับกลุ่มเป็นโลกขึ้น ไม่ใช่โลกเราโลกเดียว แต่เกิดเป็นถึง 4 ทวีปใหญ่

.......หลายทวีป = 1 จักรวาล(Universe)......หลายจักรวาล = 1 โลกธาตุ(Galaxy)........4 ทวีปใหญ่นี้คือ

1.อุตตครุทวีป คือ จักรวาลสัคเคดากา
2.บุพพวิเทหะทวีป คือ จักรวาลเทคเคอร์นากา
3.อปรโคยานทวีป คือ จักรวาล แคทเทอร์ราดา
4.ชมพูทวีป คือ จักรวาลสิทธัตถะเมดา



มนุษย์ 4 ทวีป ตามจักวาลพุทธ

[attach]526[/attach]


ภูเขาสิเนรุ
เป็นศูนย์กลางของมงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นเขาที่ละเอียดมองไม่เห็นด้วยตา

จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์
ส่วนที่เป็นพื้นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
โดยมีพื้นน้ำรองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์
น้ำนี้ตั้งอยู่บนลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์

เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล ยอดเขาสิเนรุ เป็นผืนแผ่นดินแห่งแรก ที่โผล่ขึ้นหลังจากโลกธาตุได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำ
ซึ่งทำลายขึ้นไปจนถึงเทวโลก และพรหมโลก คือ ถึง ชั้นสุภกิณหา (ตติยฌานภูมิ ๓)

แผ่นดินที่โผล่เป็นครั้งแรกนี้ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น ดาวดึงสาภูมิ ภูมิที่อยู่สูงขึ้นไป คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ต่อจากนั้นก็เป็นภูมิของ รูปพรหม ๑๖ ชั้น และ อรูป พรหม ๔ ตามลำดับ ภูมิเหล่านี้สถิตอยู่สูงขึ้นไป ต่อจากยอดเขาสิเนรุทั้งสิ้น ขุนเขาสิเนรุ สูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ จมอยู่ในมหาสมุทรสีทันดรครึ่งหนึ่ง คือหยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ วัดรอบเขาได้ ๒๕๒,๐๐๐ โยชน์ พื้นดินยอดเขาประกอบด้วย รัตนะ ๗ ตามไหล่เขา ๔ ด้าน...ด้านตะวันออกเป็น เงิน ด้านตะวันตก เป็น แก้วผลึก...ด้านใต้ เป็นแก้ว มรกต
ด้านเหนือเป็น ทอง...น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ ใบไม้ ที่อยู่ในด้านนั้น ๆ จะเป็น สีน้ำเงิน สีผลึก สีเขียว สีทอง ตามสีของไหล่เขานั้นด้วย


       กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้ ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย


       ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

รอบเขาสิเนรุ มีภูเขาล้อมรอบอยู่ ๗ รอบ
เป็นภูเขาทิพย์ เรียกว่า สัตตบรรพ์
รอบที่ ๑ ชื่อว่า ยุคันธร
รอบที่ ๒ ชื่อว่า อีสินธร
รอบที่ ๓ ชื่อว่า กรวิก
รอบที่ ๔ ชื่อว่า สุทัสสนะ
รอบที่ ๕ ชื่อว่า เนมินธร
รอบที่ ๖ ชื่อว่า วินัตตถะ
รอบที่ ๗ ชื่อว่า อัสสกรรณ

นอกจากนี้ ยังมีภูเขาจักรวาล ซึ่งเป็นภูเขาที่กั้นระหว่างจุฬโลกธาตุด้วย

ในสารัตถทีปนีฎีกา กล่าวไว้ว่า มหานรก ทั้ง ๘ ขุม และ อุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกบริวารของมหานรก ตั้งอยู่ที่ใต้พื้นดินธรรมดา ลึกลงไปตรงกันกับชมพูทวีป รวมเนื้อที่กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ สูง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม

จักรวาลหนึ่ง ๆ ซึ่งประดับด้วยทวีปใหญ่ ๔ ทวีป และ ทวีปน้อย ๒ พันทวีป อย่างนี้ คือ

๑. ปุพพวิเทหทวีป ซึ่งมีปริมณฑลถึง ๗ พันโยชน์
ซึ่งประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๒. อุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๘ พันโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๓. อมรโคยานทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๗ พันโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๔. ชมพูทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๑ หมื่นโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.

ทวีปใหญ่ในทิศทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ แต่ละทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ทิศนั้น แลดล้อมด้วยทวีปน้อยเป็นบริวาร อีกทวีปละ ๕๐๐ รวมทวีปน้อยมี ๒๐๐๐ ทวีป

ทวีปใหญ่ หรือพื้นแผ่นดินทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั้น มีชื่อเรียกกันดังนี้คือ
      ๑. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ
๑) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองว่าเป็นของตน
๒) ไม่มีการยึดถือในบุตร, ภริยา, สามี ว่าเป็นของตน
๓) มีอายุยืนถึง ๑๐๐๐ ปี
มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล ๕ เป็นนิจ เมื่อตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลก แน่นอน ดังสารัตถทีปนีฏีกา แสดงว่า
คติปิ นิพฺพตฺถา มโต สคฺเคเยว นิพฺพตฺตนฺติ
แปลความว่า มนุษย์อุตตกุรุนี้ เมื่อตายแล้ว ย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอน
หมายความว่า เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้วย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกแต่ถึงเวลาที่จุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ ๔ หรือมนุษย์ในทวีปอื่นใดก็ได้ จะไม่ไปสู่อบายภูมิเพียงชั่วภพถัดไปจากที่กำลังเป็นมนุษย์อุตตรกุรุเท่านั้น

๒. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลงส่วนล่างคล้ายบาตร มีอายุยืนถึง ๗๐๐ ปี

๓. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ากลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปี

๔. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปไข่ กำหนดอายุขัยไม่แน่นอน โดยความยิ่งหย่อนในคุณธรรม สมัยใดคนชมพูทวีปมีกาย วาจา ใจ เพียบพร้อมยิ่งด้วยคุณธรรมสมัยนั้นคนชมพูทวีปมีอายุยืนถึงอสงไขยปี สมัยใด คนชมพูทวีป กาย วาจา ใจ ย่อหย่อนด้วยคุณธรรม สมัยนั้นมีอายุลดน้อยถอยลงมาเพียง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย
กำหนดเกณฑ์อายุขัยของผู้เกิดใน ๔ ทวีปนี้มาใน สังยุตตนิกายอรรถกถา ว่า
ชมฺพูทีปวาสีนํ อายุปฺปมาณํ นตฺถิ, ปุพฺพวิเทหานํ สตฺตวสฺสสตายุกา, อปรโคยานวาสีนํ ปญฺจวสฺสสตายุกา อุตฺตรกุรุวาสีนํ วสฺสสหสฺสายุกา เตสํ เตสํ ปริตฺตทีปวา สีนมฺปิ ตทนุคติกาล

ในมนุษย์ภูมินี้ มุ่งหมายเอามนุษย์ที่เกิดในชมพูทวีป เป็นมุขยนัย (โดยตรง) โดยสทิสูปจารนัย (โดยอ้อม) ได้แก่มนุษย์ในทวีป ทั้ง ๓ อีกด้วย คุณสมบัติของมนุษย์ชมพูทวีป มีแสดงไว้หลายนัย ตามวจนัตถะ ดังต่อไปนี้

๑. มโน อุสฺสนฺตํ เอเตสนฺติ = มนุสฺสา
คนทั้งหลาย ที่ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีใจรุ่งเรืองและกล้าแข็ง
หมายความว่า จิตใจของคนชมพูทวีปนั้น กล้าแข็งทั้งฝ่ายดีและไม่ดี คือฝ่ายดีนั้นสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, อัครสาวก, มหาสาวก, ปกติสาวก, สำเร็จอภิญญาลาภีหรือฌานลาภีบุคคล, ตลอดจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้างฝ่ายไม่ดีนั้น ให้กระทำการวิบัติตัดชีวิต บิดามารดา, พระอรหันต์, กระทำโลหิตุปบาท, และสังฆเภท
๒. การณากรณํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีความเข้าใจในเหตุอันควรและไม่ควร
หมายความว่า คนชมพูทวีป ย่อมมีความสามารถค้นหาเหตุผลของธรรมได้โดยเฉพาะ เช่นการเห็น เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยจักขุปสาท กับรูปารมณ์ กระทบกันเป็นต้น ตลอดจนรู้ภาวะของรูป




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:36
หน้ากาฬ  หรือ เกียรติมุข




พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า
เกียรติมุข (อ่านว่า เกียด-มุก) น. อมนุษย์บริวารพระศิวะ  ทำเป็นรูปหน้ายักษ์ปนหน้าสิงห์  ตากลมถลน  ไม่มีคาง  ปากแสยะ  ไม่มีขากรรไกรล่าง  ไม่มีร่างกาย  ไม่มีแขนขา  เชื่อกันว่า  เป็นเทพเจ้ารักษาธรณีประตู  เป็นเครื่องป้องกันบ้านเรือน  ขับไล่เสนียดจัญไร  และคอยคุ้มครองนับถือพระศิวะ  มักทำเป็นลวดลายแกะสลักหรือปูนปั้น  เช่นที่ทับหลังปราสาทหินบางแห่ง  ตามซุ้มปรางค์หรือเจดีย์และที่ฐานพระพุทธรูป , กาฬมุข หรือ หน้ากาฬ ก็เรียก.


      ประวัติ เกียรติมุข หรือหน้ากาฬ เป็นลวดลายปูนปั้นที่ใช้ประดับซุ้มหน้าบันของโบราณสถาน โดยทั่วไปมักทำคู่กับลายมกร โดยทำลายมกรออกมาทั้งสองข้างของเกียรติมุข ลักษณะของเกียรติมุขจะทำเป็นรูปหน้ายักษ์ปนหน้าสิงห์ หรือใบหน้าของอสูรที่ดุร้าย คิ้วขมวด นัยน์ตากลม และถลน ปากกว้างเห็นฟันและเขี้ยว ไม่มีฟันล่าง ไม่มีลำตัว มีแขนออกมาจากด้านข้างของศีรษะ



โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:37
[attach]527[/attach]

              คติความเชื่อเกี่ยวกับเกียรติมุข ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ทั้งในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ใช้เป็นสิ่งประดับตามเทวสถานและพุทธสถาน เพื่อแสดงความเป็นเกียรติและเป็นมงคล และขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้เข้ามาสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณภายใน

                ที่มาของเกียรติมุข เข้าใจว่ากำเนิดในประเทศอินเดียก่อน บางท่านกล่าวว่ามีการกำเนิดในประเทศใดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย อาจจะได้มาจากประเทศธิเบต บางท่านก็ว่ากำเนิดที่ประเทศจีน มีรูปแบบซึ่งเรียกว่า เต้าเจ้ ปรากฏอยู่ ภาชนะสำริดของจีน สมัยช่วง 850 - 880 ปีก่อนพุทธกาล เป็นทำนองเดียวกับเกียรติมุขของอินเดีย หมายถึงเทพเจ้าผู้ตะกละ จากนั้นได้แพร่ไปทางบกไปยังประเทศอินเดีย ปรากฏอยู่ในศิลปะอินเดียสมัยอมราวดีและคุปตะ

                ในประเทศไทย สันนิษฐานว่า เกียรติมุขคงแพร่เข้ามาในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย โดยได้พบหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทำเป็นรูปประดับลายกาบที่เชิงซุ้มเจดีย์ สำหรับที่สุโขทัย พบที่ทำเป็นลายประดับยอดซุ้มหน้าบัน วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:38
ตำนานความเชื่อ กำเนิดหน้ากาฬ


[attach]529[/attach]

หน้ากาฬ บนซุ้มประตูปราสาทบายน


                  ตำนานอินเดียเล่าถึงกำเนิดของหน้ากาฬนี้ว่า ครั้งหนึ่งมีพญายักษ์ชื่อชลันธรบำเพ็ญตบะแก่กล้า จนได้รับพรจากพระศิวะไม่ให้ผู้ใดต่อกรด้วยได้จึงเกิดความลำพองทำร้ายข่มเหงทั้งยักษ์ เทพ และมนุษย์ ต่อมา ยักษ์ชลันธรได้ให้พระราหูไปบอกพระศิวะให้มารบกับตน หากพระศิวะแพ้จะริบตัวนางปารพตีมเหสีเป็นของตน

                  พระศิวะได้ฟังดังนั้นก็พิโรธเกิดมียักษ์หน้าสิงห์โตกระโดดออกจากหว่างพระขนงจะกินพระราหู พระราหูเห็นดังนั้นก็ตกใจขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะทรงห้ามยักษ์ไม่ให้ทำร้ายพระราหู

                  ยักษ์กล่าวว่าถ้าอย่างนั้นขอให้กินสิ่งอื่นแทนพระราหู พระศิวะตรัสให้ยักษ์นั้นกินแขนขาของตัวเอง ด้วยความหิวโหยยักษ์ได้กัดกินแขนขาของตนหมดแล้วยังไม่อิ่ม จึงกัดกินท้องและอกจนหมดสิ้นเหลือเพียงส่วนหัว

[attach]528[/attach]


                   พระศิวะเห็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ตรัสให้พรยักษ์นั้นให้อยู่ที่ประตูวิมานของพระองค์ตลอดไป ผู้ใดไม่เคารพจะไม่ได้รับพรจากพระองค์ หลังจากนั้นพระองค์เสด็จไปปราบยักษ์ชลันธรได้สำเร็จ

                  สมัยโบราณถือว่าหน้ากาฬนี้เป็นสัญลักษณ์ของเวลาที่กินทุกสิ่งแม้แต่ตัวเอง รวมทั้งเป็นผู้ที่คอยดูแลฝูงปศุสัตว์เนื่องจากพระศิวะได้รับการยกย่องเป็นปศุบดี ผู้เป็นใหญ่ในฝูงสัตว์ หน้ากาลอันเปรียบเสมือนบุตรของพระองค์คงจะมีฤทธิ์ปกป้องสัตว์เลี้ยงได้ ลายหน้ากาลนี้สามารถพบเห็นได้ทั้วไปในเทวสถานของฮินดู และนิยมสร้างกันอย่างแพร่หลายในอินโดนีเซีย


ที่มาข้อมูล : http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=27&wpid=0037

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:40
[attach]530[/attach]

      ผมอ่านมาจากนิตยสารMBA May 2005 ซึ่งตอนนี้มีบทเรื่องของอารยธรรมทางตะวันออกด้วย บทความคัดมาจากweb www.goodmedia.co.th  เขียนโดย
สยามภูมิ สังวรชาติ

      "..กาล หรือ กาละ (Kala) อาจเป็นคำที่ไม่คุ้นหูเราๆ ท่านๆ เท่าใดนัก ในทางกายภาพ กาละ ถูกวาง Position ให้เป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมประดับอาคารชนิดหนึ่ง แต่ความหมายในด้านคติความเชื่อกลับลึกวึ้งเสียยิ่งกว่า นัยหนึ่ง กาละจะคอยทำหน้าที่พิทักษ์ คุ้มครองทางเข้าอาคารศักดิ์สิทธิ์ อีกนัยหนึ่ง กาละได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้กลืนกินตนเองเป็นอาหาร และเมื่อไม่อิ่ม "เวลา" คือโภชนะอันสุดวิเศษ !

      ดร. เพ็ญสุภา สุขคตะ อธิบายว่า กาละ เป็นรูปแบบหนึ่งในการทำลวดลายปูนปั้นประดับเหนือทางเข้าอาคารศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ทั้งของชาวตะวันตก และตะวันออก เรียกรวมๆ ได้ว่าคติการทำ "กีรติมุข" หรือ เกียรติมุข (Kirtimukha : Glory Mask) ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการถ่ายเททางวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยกรีก-โรมันเข้ามาเรืองอำนาจ หรือจะด้วยความบังเอิญกันแน่

      หากแปลตรงตัวแล้ว กีรติมุข จะมีความหมายว่า "ใบหน้าอันทรงเกียรติ" แต่ในอีกความหมาย "มุข" นอกจากหมายถึง "ใบหน้า" แล้ว ยังหมายถึง "ทางเข้าอาคารด้านหน้า" อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ กีรติมุข จึงแปลได้อีกว่า การให้เกียรติ หรือเคารพต่อทางเข้าอาคารสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

      ผู้รู้ด้านโบราณคดีชี้ว่า คติความเชื่อเกี่ยวกับกีรติมุขในโลกตะวันออกเด่นชัดมากในอินเดียโบราณ คนไทยสมัยโบราณเรียก "หน้ากาล" ใช้เป็นสิ่งประดับตามเทวสถานและพุทธสถาน เพื่อแสดงความเป็นเกียรติ เป็นมงคล และขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้เข้ามาสู่ศาสนสถาน มีลักษณะเป็นรูปอสูร หรืออมุษย์ หน้ายักษ์ปนหน้าสิงห์ดูดุร้าย คิ้วขมวด นัยน์ตากลม เบิกถลน ปากกว้างเห็นฟันและเขี้ยว ไม่มีฟันล่างและคาง ไม่มีลำตัว แต่มีแขนออกจากด้านข้างของศีรษะ

        ขณะเดียวกัน ที่มาของทั้งคติการทำ และรูปลักษณ์ของ กาละ ก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดเช่นกันว่า กำเนิดในประเทศอินเดียเอง หรือแพร่มาจากธิเบต และจีนกันแน่ เพราะในคติจีนเองก็มีการทำรูปซึ่งเรียกว่า หน้ากากเต้าเจ้ หรือ เต้าเที่ย อันเป็นความเชื่อตามหลัก "เฟิ่งซุ่ย" ปรากฏอยู่บนภาชนะสำริดของจีน สมัยช่วง 850-880 ปีก่อนพุทธกาล คล้าย กาละ ของอินเดีย ต่อมาด้วยอิทธิพลของศาสนาฮินดู และพุทธของอินเดียที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ดินแดนอุษาคเนย์ จึงทำให้พบเห็นคติความเชื่อนี้ได้แผ่ขยายทั่วภูมิภาคแถบนี้ด้วย

      ในประเทศไทย สันนิษฐานว่าคตินี้คงแพร่เข้ามาในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย โดยได้พบการทำกีรติมุขเป็นลายหน้ากาลหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทำเป็นรูปประดับลายกาบที่เชิงซุ้มเจดีย์ สำหรับที่สุโขทัย พบที่ทำเป็นลายประดับยอดซุ้มหน้าบัน วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย

      เรื่องราวของ กาละ ที่ต่อมาได้ถูกนำไปทำเป็นกีรติมุขประดับอาคารนั้น ตำนานว่าเป็นบุตรองค์หนึ่งของพระศิวะ (พระอิศวร) ถือเป็นเทพผู้ตะกละ กลืนกินแม้กระทั่งกาลเวลา มีตำนานอินเดียเล่าถึงกำเนิดของ หน้ากาล ไว้ว่า มีพญายักษ์ชื่อ ชลันธร บำเพ็ญตบะแก่กล้า จนได้รับพรจากพระศิวะไม่ให้ผู้ใดต่อกรได้ จึงเกิดความลำพองทำร้ายข่มเหงทั้งยักษ์ เทพ และมนุษย์ ต่อมา ยักษ์ชลันธร กำเริบเสิบสานให้ พระราหู ไปบอก พระศิวะ ให้มารบกับตน หากพระศิวะแพ้จะริบตัว นางปารพตี มเหสีไปเป็นเมีย พระศิวะได้ฟังก็พิโรธ จนเผลอลืมตาที่สามที่อยู่ระหว่างพระขนง (คิ้ว) ขึ้น เกิดมียักษ์หน้าสิงห์โต (คือกาละ) กระโดดออกมาจะกินพระราหู พระราหูก็ตกใจขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะทรงห้ามไม่ให้กาละทำร้ายพระราหู ยักษ์กล่าวว่าถ้าอย่างนั้นขอกินสิ่งอื่นแทน พระศิวะจึงสั่งให้ยักษ์กินตัวเอง ด้วยความหิวยักษ์ได้กัดกินตัวเองทีละส่วนๆ จนเหลือเพียงท่อนแขน กับใบหน้าที่ไม่เหลือกระทั่งคาง กรามล่าง และริมฝีปากล่าง พระศิวะเห็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ตรัสให้ยักษ์ไปให้อยู่ที่ประตูวิมานของพระองค์ตลอดไป ผู้ใดไม่เคารพจะไม่ได้รับพรจากพระองค์ หลังจากนั้นจึงเสด็จไปปราบยักษ์ชลันธรได้สำเร็จ

    บ้างก็เล่าเพี้ยนไปเล็กน้อยว่า พระศิวะลงโทษความดื้อรั้นของกาละ ด้วยการให้ไปทำหน้าที่เฝ้าประตูวิมาน โดยไม่มีสิทธิ์รับอาหารใดๆ ยามหิวจำต้องกลืนกินอวัยวะต่างๆ ทีละส่วน จนเหลือแต่หัวกับแขน ด้วยคำสาปแช่งของพระศิวะ "กาละ" จำต้องทำหน้าที่ปกปักรักษาศาสนสถาน โดยใช้ความน่ากลัวของใบหน้าอันดุร้ายของตนเองไว้ข่มขู่ ขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้กร่ำกรายเขามาได้ หน้ากาลยังทำหน้าที่เป็นผู้ที่คอยดูแลฝูงปศุสัตว์เนื่องจากพระศิวะได้รับการยกย่องเป็นปศุบดี ผู้เป็นใหญ่ในฝูงสัตว์ หน้ากาลอันเปรียบเสมือนบุตรของพระองค์คงจะมีฤทธิ์ปกป้องสัตว์เลี้ยงได้

[attach]531[/attach]


      แม้ปัจจุบันคติการทำรูปปูนปั้นของผู้พิทักษ์อาคารศาสนสถานตามประเพณี ดูจะอ่อนล้าลงไปมาก อาจเนื่องเพราะการปรับตัวทางศิลปสถาปัตย์ที่เรามุ่งเข้าหาตะวันตกมากขึ้น คติของช่างหรือเชิงศิลป์ที่เคยตีโจทย์โลกธรรม หรือจักรวาลวิทยาให้สัมพันธ์กับเรื่องราวทางศาสนาอย่างลึกซึ้งและรู้จริงจึงคลี่คลายไป ความร่วมสมัยและเข้าใจง่ายขึ้นกลายเป็นคำตอบใหม่

      ในอีกมิติหนึ่ง การมาถึงของคติ "พระภูมิเจ้าที่" ที่รูปลักษณ์ทางกายภาพแลดูสงบ ไม่ก้าวร้าว และเป็นมิตรกว่า ดูจะเข้าถึงชาวบ้านง่ายกว่า จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการพิทักษ์อาคารสถานต่างๆ ไปในความรู้สึกของผู้คนแทน
ถึงอย่างนั้น หน้ากาล หรือกาละ หรือเทพผู้กลืนกินเวลา และตนเองเป็นอาหาร ก็สะท้อนนานาทัศน์ของภูมิปัญญาตะวันออกที่เราเองเห็นค่า ฉุกคิด และคล้อยตาม...

      กาละ หรือกาลและเวลาสัมพันธ์กันชนิดแยกไม่ออก และใกล้ตัวเรากว่าที่คาด ถ้าปล่อยวันเวลาให้ล่วงไปๆ โดยไม่คิดจะสร้างสรรค์สิ่งดีงามใดๆ ขึ้นมาเลย ก็เท่ากับว่า เราเองก็กำลังปล่อยให้เจ้ากาละกลืนกินเวลาของเราให้หมดไปอย่างไร้ค่า  ผู้ใหญ่บางคนชอบเปรียบเปรยว่า กาลเวลากลืนกินทุกสิ่ง สมกับคำที่ว่า สายน้ำไม่เคยคอยท่า กาลเวลาไม่เคยคอยใคร หรือแม้แต่หนังสือ How to บริหารจัดการของฝ่ายตะวันตก When The Future Catch You ก็ดูจะมีฐานคิดที่ไม่ต่างกับการบริหารเวลาของอารยธรรมฝ่ายตะวันออกแต่อย่างใด หากแต่การบริหารเวลาแบบตะวันออก ความสุขกับผลิตภาพ (Happiness & Productivity) นั้นแยกกันไม่ออก และ Utilities หรืออรรถประโยชน์สูงสุดก็มิใช่คำตอบสุดท้ายที่สมบูรณ์ของคำว่า "ความสำเร็จ"

         อย่างไรเสีย แม้คนเราจะเกิดมาด้วยอะไรๆ ที่ต่างกันไป แต่เชื่อว่าพระเจ้าก็ประทานเวลามาให้เราเท่ากันทุกๆ คน ความต่างหนึ่งจึงมาจากการบริหารจัดการเวลาที่มีเท่ากัน แต่คุณภาพและความสุขต่างกันตามปัจเจกบุคคลนั่นเอง..."


ที่มาข้อมูล : http://www.amulet2u.com/board/q_view.php?c_id=3&q_id=1648

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-1 10:45
ทำไมดวงตราอาถรรพ์ ฯ ถึงมีสามสี ??

[attach]532[/attach]

ดวงตราอาถรรพ์ สีแดง หมายถึง ดวงอาทิตย์ แทนความหมายของ พ่อ

ดวงตราอาถรรพ์ สีขาว หมายถึง พระจันทร์ แทนความหมายของ แม่

ดวงตราอาถรรพ์ สีดํา หมายถึง โลก แทนความหมายถึง ลูก




โดย: sriyan3    เวลา: 2013-4-15 09:49
ขอบคุณครับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-4-16 00:12
ยังมีให้บูชาอีกหรือเปล่าครับ
อยากได้ อยากได้
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-4-16 21:25
โชคยังดีอยู่  หามาได้กับเขาองค์นึง

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-4-27 14:05
มีลูกศิษย์หลวงปู่เวกท่านนำพระคาถาหิรัญราชมาถวายหลวงปู่ชื่นพร้อมกับผงหิรัญราช
หลวงปู่ท่านสำเร็จแล้วจึงใช้คาถาได้เข้มขลังและเรียกผงหิรัญราชมาจากอากาศได้
ท่านเป็นอีกหนึ่งองค์ที่สำเร็จวิชาหิรัญราชแต่น้อยคนที่จะรู้
ผงหิรัญราชนี้อยู่ในทุกอณูเนื้อดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ จร้าพ่ิอแม่พี่น้อง

จ๊อ
โดย: Metha    เวลา: 2013-4-29 15:34
suandhon08 ตอบกลับเมื่อ 2013-4-16 21:25
โชคยังดีอยู่  หามาได้กับเขาองค์นึง

ดีใจด้วยครับ

บูชาเนื้ออะไรมาครับ
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-4-30 14:26
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-4-29 15:34
ดีใจด้วยครับ

บูชาเนื้ออะไรมาครับ

    เนื้อขาวคร๊าบผม  
โดย: Metha    เวลา: 2013-4-30 23:53
สวยมากๆๆ
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-5-3 23:39
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-4-30 23:53
สวยมากๆๆ

  ขอบคุณครับ  
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 08:36
suandhon08 ตอบกลับเมื่อ 2013-5-3 23:39
ขอบคุณครับ

โชว์บ้างครับ
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-5-4 08:59
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 08:36
โชว์บ้างครับ

ว้าวๆๆๆๆ องค์นี้ตะกรุด 4 ดอกหรือเปล่าครับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 09:24
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 08:59
ว้าวๆๆๆๆ องค์นี้ตะกรุด 4 ดอกหรือเปล่าครับ  ...

ใช้แล้วครับ
แต่สภาพปัจจับันไม่เงาแว๊บ
แบบนี้แล้ว
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-5-4 09:27
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:24
ใช้แล้วครับ
แต่สภาพปัจจับันไม่เงาแว๊บ
แบบนี้แล้ว ...

สวยมากๆครับ เนื้อมวลสารดูฉ่ำๆดี ของผมมี 3 องค์แต่ไม่มีตะกรุดอ่าครับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 09:32
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:27
สวยมากๆครับ เนื้อมวลสารดูฉ่ำๆดี ของผมมี 3 องค์แต่ไม ...

อยากบูชาเพิ่มอีกครับ
ตอนนี้ผมมีแค่องค์เดี่ยว
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-5-4 09:36
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:32
อยากบูชาเพิ่มอีกครับ
ตอนนี้ผมมีแค่องค์เดี่ยว ...

ไหว้ครูปีนี้จัดเลยซิครับ
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-5-4 09:38
[attach]2687[/attach]


โดย: chakpetch    เวลา: 2013-5-4 09:40

ผู้นำวัตถุมงคลชุดนี้ไปบูชากประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคมีลาภ


บางบ้านฮวงจุ้ยไม่ดีนำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้าน

กิจการงานก็ดีขึ้นทันตาเห็น

บางรายก็ญาติป่วยไม่สบายอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองค์ท่าน
ก็อยู่รอดปลอดภัยอย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก


และมีอีกหลายรายที่โทรศัพท์เข้ามารายงานอิทธิคุณ
ถึงบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เจ้า ต่อไปในภายหน้า
วัตถุมงคลชุดนี้จะเป็นวัตถุมงคลแถวหน้า
ภายใต้ชื่อ
" หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ "


[attach]2688[/attach]

[attach]2689[/attach]


โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 09:40
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:36
ไหว้ครูปีนี้จัดเลยซิครับ

แน่นอนครับ
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-5-4 09:42
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:40
แน่นอนครับ

หรือจะเอาตะกรุดสี่ดอกของพี่เมธมาแลกกับผมก็ยินดีนะคร้าบบบ
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 09:49
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2013-5-4 09:53
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:42
หรือจะเอาตะกรุดสี่ดอกของพี่เมธมาแลกกับผมก็ยินดีนะ ...


ฝันกลางวัน ฝันกลางวัน
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-5-5 01:17
  ผมมีองค์ที่เอามาโชว์นี่แหละครับ  ที่เหลือก็จะเป็นพิมพ์อื่น

ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแค่อย่างละองค์  
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-5 07:47
suandhon08 ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 01:17
ผมมีองค์ที่เอามาโชว์นี่แหละครับ  ที่เหลือก็จะ ...

ต้องเก็บเพิ่มน่ะครับ
เผื่อไว้ช่วยเหลือคนอื่น
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-5-5 14:52
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย suandhon08 เมื่อ 2013-5-5 19:46
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 07:47
ต้องเก็บเพิ่มน่ะครับ
เผื่อไว้ช่วยเหลือคนอื่น ...

  ต้องแล้วแต่โอกาสหละครับ  

  ช่วยขยายรายละเอียดเรื่องการเอาไปช่วยคนอื่นด้วยครับ  
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-5-5 17:58
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 07:47
ต้องเก็บเพิ่มน่ะครับ
เผื่อไว้ช่วยเหลือคนอื่น ...

ก็เพราะอย่างนี้แหละปัจจุบันเลยไม่เหลือ
โดย: suandhon08    เวลา: 2013-5-5 19:51
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 17:58
ก็เพราะอย่างนี้แหละปัจจุบันเลยไม่เหลือ ...

  จำนวนการสร้างก็น้อยอีกด้วยสิ  ถ้าดังระเบิดระเบ้อ

ป่านนี้คงเหลือแค่ไฟล์รูปให้เก็บ  

โดย: Metha    เวลา: 2013-5-6 07:32
suandhon08 ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 14:52
ต้องแล้วแต่โอกาสหละครับ  

  ช่วยขยายร ...

ใช่เหลือคนอื่น...ในกรณีที่เค้าเดือดร้อน
เช่น ดวงชะตาตกต่ำ เราก็สามารถห้อยบูชาแก้ดวงตกได้
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-6 07:35
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 17:58
ก็เพราะอย่างนี้แหละปัจจุบันเลยไม่เหลือ ...

วันไหว้ครูน่าจะมีให้บูชาในราคาพิเศษ
โดย: tao_kd    เวลา: 2013-5-22 19:15
อยากได้ ยังมะมีกะเขาเลยยยยยย
ใครมีเยอะขอแบ่งด้วยนะ
โดย: Metha    เวลา: 2013-5-23 17:15
tao_kd ตอบกลับเมื่อ 2013-5-22 19:15
อยากได้ ยังมะมีกะเขาเลยยยยยย
ใครมีเยอะขอแบ่งด้วยนะ ...

มีเยอะ...คงจะเป็นพี่จ๊อ ครับ
ติดต่อพี่จ๊อ ได้เลยครับ
โดย: wind    เวลา: 2013-7-23 06:47
กระทู้นี้สุดยอดข้อมูลเชิงลึกได้ ความรู้มากๆครับ

โดย: Metha    เวลา: 2013-7-23 07:55
wind ตอบกลับเมื่อ 2013-7-23 06:47
กระทู้นี้สุดยอดข้อมูลเชิงลึกได้ ความรู้มากๆครับ
...


อาจารย์ ของผมของจริงครับ
พี่ๆ คศช. หลายท่านก็มีข้อมูลจริง
เลยได้ข้อมูลที่เป็นจริง และเกิดจากความจริงใจต่อกัน
ของพี่น้อง คศช.ครับ เพื่อเป็นข้อมูลแก่ศิษย์รุ่นหลัง
โดย: assava    เวลา: 2013-8-6 14:42
เป็นวัตถุมงคลที่ใช้อยู่เป็นประจำ หากมีความไม่สบายใจใดๆ ก็จะมลายสิ้น หลังๆหยิบขุนแผนมาใช้ ยังไม่รู้สึกมีความสุขเท่ากับใส่ดวงตราอาถรรพ์เลย
โดย: matmee2550    เวลา: 2013-8-6 18:03
โชคดีมีทุกสี
โดย: Metha    เวลา: 2013-9-10 08:08

นอกจากคุ้มครองป้องกันภัย พุทธคุณยังเด่ดในด้ายรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
โดย: tanoros    เวลา: 2013-10-5 22:34
สอบถามเพิ่มเติม...ครับ
ตะกรุดที่ฝังแบบสิ่ดอก เป็นตะกรุดอะไรบ้างครับ ..
ยังพอหาได้ไหมครับที่มูลนิธิ หรือสมาชิก..
ขอข้อมูลให้น้องใหม่นะครับ(อ้อนวอน...)
โดย: morntanti    เวลา: 2013-10-5 23:31
ฝังตะกรุดก็ยังพอหาได้แต่ราคาค่อนข้างสูงครับ...สำหรับผมแค่แบบธรรมดาก็ต้องบอกว่า ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ...สำหรับผมช่วงไหนรู้สึกชีวิตวุ่นวายมีเรื่องคิดไม่ตกหรือตัดสินใจไม่ได้ก็จะเลือก ดวงตาอาถรรพ์ นี่หละครับใส่องค์เดียวเดี่ยวๆสักพักทุกอย่างก็จะค่อยๆคลีคลายเรื่องวุ่นๆก็จะมีทางแก้สติมาปัญญาเกิด....
ปล. ส่วนที่ถามว่าฝังตะกรุดอะไร คงรอใให้ผู้รู้ตอบดีกว่าครับ   
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-10-6 14:07
ถ้าอยากได้แบบมีตะกรุดสี่ดอก ลองสอบถามพี่จ๊อดูครับ แต่แบบไม่มีตะกรุดก็สุึดยอด เยี่ยมมากๆแล้วครับ เคยเห็นอาจารย์เอามาทำน้ำมนต์อาบให้ลูกศิษย์ ก็เป็นแบบไม่มีตะกรุดนี่แหละครับ
โดย: majoy    เวลา: 2013-10-6 17:27
ยืนยันครับ น้องผมเคยใช้แบบไม่มีตะกรุด ประสบการ์ณสูงครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-12-14 19:17
chakpetch ตอบกลับเมื่อ 2013-4-1 10:45
ทำไมดวงตราอาถรรพ์ ฯ ถึงมีสามสี ??

ขอบคุณครับ
โดย: ธุลีดิน    เวลา: 2013-12-14 20:34
มีตะกรุด หรือไม่ตะกรุด พุธทคุณสุดยอดเหมือนกันครับ ผมเคยมาเล่าประสบการณ์ที่ให้น้องสาวไปตอนคลอดลูก เป็นรุ่นที่ไม่มีตะกรุด พอกลับถึงบ้านก็เอาไว้บนหัวที่นอนลูกชาย แต่สุดท้ายมีมือดีเอาไป คงเพราะได้ฟังเรื่องเล่าจากน้องสาวผม... รุ่นตะกรุบสี่ดอกให้น้องชายติดตัว เพราะต้องไปทำงานประจำการอยู่ที่เสี่ยง...
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-15 10:38
พระทุกองค์ที่หลวงปู่สร้างไม่มีคำว่าธรรมดาหรอกครับ
โดย: sritoy    เวลา: 2014-4-7 21:25
ขอบคุณครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-4-7 22:02
อีกหนึ่งชิ้นที่ให้เขาไปเเล้วยังเสียดาย
โดย: sritoy    เวลา: 2014-4-24 19:24
รุ่นนี้ท้าวเวสสุวรรณ
ยังไม่เคยสัมผัส
คงแล้วแต่วาสนา
โดย: Metha    เวลา: 2014-4-26 00:36
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2014-4-24 19:24
รุ่นนี้ท้าวเวสสุวรรณ
ยังไม่เคยสัมผัส
คงแล้วแต่วาสนา ...

คงได้แต่มองแล้วครับ
หายากแถมราคาค่าเช่าบูชาก็แพงเหลือกำลัง
โดย: sritoy    เวลา: 2014-5-1 15:02
เห็นด้วยครับเมธ
โดย: Metha    เวลา: 2014-5-1 19:13
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2014-5-1 15:02
เห็นด้วยครับเมธ

ใช้วิธิผมสิ...Copy รูปเก็บไว้



โดย: sritoy    เวลา: 2014-5-4 16:14
ใกล้แล้ว..รูปธรรมนามธรรม
โดย: toywater    เวลา: 2014-5-4 21:15
ส่วนตัวแขวนร่วมกับ ตะกรุดพระขรร (อาจารย์จัดสร้าง)  
เป็นการเสริมอาวุธ ผ่านวิกฤต  ไปให้ได้ครับ
โดย: Metha    เวลา: 2014-5-5 01:56
toywater ตอบกลับเมื่อ 2014-5-4 21:15
ส่วนตัวแขวนร่วมกับ ตะกรุดพระขรร (อาจารย์จัดสร้าง)  
เ ...

ชุดนี้เป็นไง มี
ดวงตราฯ
พระเจ้าชัย
ตระกรุตพระขรรค์ชัยศรี
ล็อกเก็ดตาเรียก
หนุมาน

โดย: toywater    เวลา: 2014-5-5 08:59
metha ตอบกลับเมื่อ 2014-5-5 01:56
ชุดนี้เป็นไง มี
ดวงตราฯ
พระเจ้าชัย

แบบนี้ก็ Full Option ไปไหนก็สบายใจล่ะครับพี่เมธ

โดย: Metha    เวลา: 2014-9-18 02:58
คาถาดวงตราอาถรรพ์ รูปหล่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 น้ำมันบายน ตะกรุดพระขันแสงชัยศรี

ตั้งนะโม 3 จบ

พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ

นะโมพุทธายะ พุทโธโพธิสัตโต อวโลกิเตศวร

มหาจักรพรรดิราชันชัย เสด็จพ่อศรีชัยวรมัน

พุทธราชะ จตุรโชค ศรีมหาราช พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถ

นะโมพุทโธ คุณแก้วโสภะคะวา สะระณัง อะ ยะธาพุทโมนะ

3-5-7-9 จบ



โดย: majoy    เวลา: 2014-10-5 07:04
สำหรับสมาชิกใหม่ๆ ครับ
ความลึกซึ้งในการออกแบของหลวงปู่
โดย: MarcoReus    เวลา: 2014-12-8 12:31
เรื่องราวรายละเอียดครบมากครับ ขอบคุณครับ ได้ความรู้อย่างดีเลย
โดย: majoy    เวลา: 2014-12-8 19:27
แฝงความหมายลึกซึ้ง
โดย: nobnob    เวลา: 2014-12-10 11:21
อยากทราบว่า ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ มีฤทธิทาง "กลับร้าย กลายดี" ได้ด้วยรึเปล่าครับ???
โดย: Metha    เวลา: 2014-12-11 10:03
nobnob ตอบกลับเมื่อ 2014-12-10 11:21
อยากทราบว่า ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ มีฤทธิทาง "กลับร้ ...

น่าจะได้น่ะครับ
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-12-11 11:16
nobnob ตอบกลับเมื่อ 2014-12-10 11:21
อยากทราบว่า ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ มีฤทธิทาง "กลับร้ ...

ปรับแก้อาถรรพ์ ล้างสิ่งไม่ดี แน่นอนครับคือ กลับร้าย กลายดี
โดย: nobnob    เวลา: 2014-12-11 23:59
ขอบคุนคำตอบจากพี่ๆครับ  อย่างนี้ต้องเริ่ม "กลับร้ายกลายดี "กะเค้ามั้งละ
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-12-12 12:55
nobnob ตอบกลับเมื่อ 2014-12-11 23:59
ขอบคุนคำตอบจากพี่ๆครับ  อย่างนี้ต้องเริ่ม "กลับร้ายก ...

จัดให้ครบทุกสีเลยครับคุณหมอ
โดย: ธี    เวลา: 2014-12-12 16:04
ผงหิรัญราช เด่นด้านใดครับ....ผมมีดวงตราอาถรรณ์สีดำและสีขาว
โดย: MarcoReus    เวลา: 2014-12-12 17:41
อยากได้ทุกแบบเลยครับ
โดย: nobnob    เวลา: 2014-12-13 01:47
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2014-12-12 12:55
จัดให้ครบทุกสีเลยครับคุณหมอ

ตอนนี้มีแดงกะดำละคร้าบบบบบ เหลือแต่ขาว  ถ้าแถมมีตะกรุดสัก  4 ดอก 9 ดอก ข้างๆด้วยก็คงจะดี 55555
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-12-13 12:17
nobnob ตอบกลับเมื่อ 2014-12-13 01:47
ตอนนี้มีแดงกะดำละคร้าบบบบบ เหลือแต่ขาว  ถ้าแถมมีตะก ...

จัดเนื้อสีขาวเพิ่มอีกองค์พอละครับ แค่นี้พอครับ ส่วนแบบมีตะกรุด ไว้รอจังหวะโอกาสดีๆครับ สักวันๆ
โดย: majoy    เวลา: 2014-12-28 22:07
ใครดวงไม่ดี ชง ก็บูชาชิ้นนี้นะครับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-3-18 07:37
สุดยอดของดี ล่าสุดก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตแล้ว เยี่ยมมากๆ หาอ่านได้จากห้องประสบการณ์ครับ กระทู้ "เที่ยงคืนปุ๊ป หมาหอน"
โดย: majoy    เวลา: 2015-3-23 23:37
มีเข้าฝันลูกสาวผมว่ากรอบแตกด้วย บารมีแห่งเทวะโพธิสัตว์

แขวนไว้ตรงรางม่านหน้าต่างนานแล้ว ไม่ได้คิดอะไร อยู่ๆ ลูกสาวตัวแสบบอก เมื่อคืนฝันว่าพระป๊ากรอบแตก ป๊าเลยเปลี่ยนใหม่ พระอะไรไม่รู้ กลมๆ ขาวๆ นวลๆ

กลับจากต่างจังหวัด รีบเอามาดู กรอบแตกจริงๆ ร้างเลย เดี๋ยววันหยุดต้องรีบไปเปลี่ยนกรอบ


โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-7-17 05:30
ธี ตอบกลับเมื่อ 2014-12-12 16:04
ผงหิรัญราช เด่นด้านใดครับ....ผมมีดวงตราอาถรรณ์สีดำและสีขาว

โภคทรัพย์ ครับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-7-17 19:31
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-7-17 05:30

ล่าสุดเปลี่ยนกรอบใหม่ แต่เอาสีดำไปแขวนที่หน้าต่างแทน สีขาวลูกเดิม เอามาแขวน สลับกันบ้าง
โดย: Admin    เวลา: 2015-8-3 18:43
>> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ <<
"ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ" ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราช ๗ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบายน ย้อนอดีตพลิกฟื้นตำนานอาถรรพณ์เวทย์ หลวงปู่ชื่นท่านได้ทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกบรรจุราชาเวทย์ อาถรรพณ์เวทย์ต่างๆ ทำการปลุกเสกเดี่ยวยาวนานหลายเดือน อีกทั้งหลวงปู่ชื่นท่านได้นำดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ นี้ไปปลุกเสกบนปราสาทเขาพนมรุ้งอีกด้วย และได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสุดท้ายใน วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๙.๐๐ น. บวงสรวงเชิญบารมีบรรจุอาถรรพณ์ราชาเวทย์ ณ อุโบสถวัตตาอี โดยมีหลวงปู่ชื่น และพระมหาเถระ และพระเกจิ คณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านอาทิ พระมหาเถระอย่างหลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทพนมดิน และพระเกจิชื่อดังเช่น หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด , หลวงปู่หงส์ วัดเพชรบุรี , หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทาน , หลวงปู่คีย์ วัดศรีลำยอง , หลวงปู่ธีร์ วัดจันทร์ทราวาส และคณาจารย์ต่างๆ อีกมากมาย หลังจากพิธีพุทธาภิเษก หลวงปู่ชื่นท่านเล่าว่า พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ ทรงเสด็จลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วย ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถนี้ พุทธคุณครอบจักรวาลดีครบถ้วนทุกด้าน
พุทธคุณ : ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
วัตถุมงคล รุ่น ชัยมหานาถ นี้พระมหาเถระ และเกจิคณาจารย์ที่ร่วมอธิฐานฤทธิ์ รวมถึงหลวงปู่ชื่นท่านได้เล่าถึงนิมิตที่เห็นตรงกันว่า วัตถุมงคล รุ่น ชัยมหานาถสำเร็จ ด้วยพระมหาบรมเดชานุภาพ มหิทธิฤทธิ์ อันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราช พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ ลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วย หลังจากผู้นำวัตถุมงคลชุด นี้ไปบูชาก็ประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคลาภ เป็นเมตตามหานิยม ขจัดปัญหาอุปสรรคบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญรุ่งเรือง เป็นตบะเดชะมหาอำนาจ คุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวง ขจัดปัดเป่า ป้องกัน ถ่ายถอน สิ่งชั่วร้าย อำนาจของคุณไสย และเสนียดจัญไรทั้งปวง บ้านใดร้านใดฮวงจุ้ยไม่ดี ทำเลตรงทางสามแพร่ง นำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้าน หรือร้านค้ากิจการงานดีขึ้นทันตาเห็น ป่วยอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองศ์ท่านก็อยู่รอดปลอดภัย อย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่ง เป็นดั่งอำนาจของพระพุทธคุณและ เทพเทวาปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง
มวลสาร : ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ นี้ หลวงปู่ชื่นได้จัดสร้างมาจากผง "ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ" ผงนี้เป็นผงที่มีพลังมหัศจรรย์มากซึ่งคล้ายกับผง "โสฬสมหาพรหม" สำหรับผง "ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ" หลวงปู่ชื่น ท่านใช้หินศิลาอาถรรพณ์ที่ปราสาทบายน ที่ลงอาถรรพณ์ราชาเวทไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน มหาราช นำมาบดเป็นหัวเชื้อ และยังมีดินใจกลางปราสาททุกปราสาท และวัตถุอาถรรพณ์ต่างๆ อีกมากมายที่หลวงปู่เดินทางไปนำมาสร้างวัตถุมงคลด้วยตัวเอง เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นยัง ได้ผงต่างจากหลวงปู่ดี และผงจากศิษยานุศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาได้มอบมวลสาร เช่น ผงนะปัดตลอด หลวงปู่โต๊ะ , ผงธัมมวิกโก เจ้าคุณนรรัตน์ , ผงขมิ้นหิน , ผงกะลามหาอุด , ผงปูนพระพุทธรูปโบราณ , พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลวงพ่อกวย ที่ชำรุดแตกหัก ๑ ถุงใหญ่ , ผงมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ , ผงสมเด็จวัดระฆัง ที่แตกหัก , ผงขุยนาคราช , ผงจินดามณี , ผงพุทธคุณ และผงวิเศษต่างๆ อีกมากมาย
ปีที่จัดสร้าง : ๒๕๔๖
จำนวนการจัดสร้าง : ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (เนื้อสีน้ำตาล) เนื้อพิเศษ (บูขาครู) จำนวนการสร้าง ๑๙ องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (เนื้อสีน้ำตาล) ฝังตะกรุดทองคำ ๔ ดอก จำนวนการสร้าง ๒๑ องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (เนื้อสีน้ำตาล) ฝังตะกรุดทองคำ ๒ ดอก จำนวนการสร้าง ๕๖ องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (คละสี ขาว , แดง และดำ) จำนวนการสร้าง ๒,๐๐๐ องค์
คาถาบูชา : ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
นะโม ๓ จบ
อาถรรพณ์โธ โมสิตัง วะคะริงคะรัง อิสะวาสุ
อิ อาถรรพณ์โธ โมสิตัง วะคะริงคะรัง สุสะวาอิ
ชะยะ ชะยะ วะระมัตตะ โพติสะโต ปุตะโร นะโมเยอ
สะมุฮะคะโต สัมมา สัมพุทเธนะ
ชะยะ วะระมัตตะโช โพติสะโต วะระมัตตะโชติ
เสด็จพ่อศรีราชาเวท ประสิทธิ ภะวันตุเม


โดย: majoy    เวลา: 2015-8-4 06:59
สุดยอดของระดับท๊อป ของหลวงปู่
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-8-7 18:14
ไปเลี่ยมมาแล้วคับพี่ๆๆๆ
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-8-7 19:28

ก่อนที่...เอ็ง จะฝากตัวเป็นศิษย์ใครต่อใคร... เอ็ง...รู้ความหมายของคำว่า
" ศิษย์กับอาจารย์ " ดีแล้วหรือยัง..? การเป็นศิษย์มันไม่ยาก... ดอก..!

แต่การปฏิบัติ " ศรัทธาครู " ด้วยใจมั่นคง.. ซิ..มันยากกว่า

ถ้าวันหนึ่งครู อาจารย์ ที่เอ็งนับถือตกต่ำ..เอ็งจะ..กล้ายอมรับ..ม่ะ ว่านี่..ไง อาจารย์ของกู

หรือถ้าเป็นอาจารย์เขา วันหนึ่ง ลูกศิษย์ชะตาตกต่ำ เป็นโจร เป็นคนไม่ดี

หรือเป็น ผู้หญิงขายตัว อาจารย์..จะกล้ายืด อก รับ และกล้าบอกใครเขา

ไหมว่า.. นั่น..ลูกศิษย์ของกู หลวงปู่ น่ะ... ปราถนาอยากให้.........

ลูกศิษย์มันได้ดีกันทุกคน ไม่อยากให้เจ็บ ไม่อยากให้อด

และไม่อยากให้ใครมารังแก อยากให้มันเป็นเจ้าฅนนายฅน

แต่ชะตาชีวิตฅนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน

"ถ้าเขาศรัทธาจริงมาบูชากราบไหว้น้อบจิตยอมรับเราเป็นอาจารย์เขาแล้ว"
เราก็ต้องเป็นอาจารย์จริง จะชั่วจะดี ด้วยแรงแห่งกรรมก็ต้องดูแลสั่งสอนกันไป

ด้วยอยากให้ศิษย์ได้ดี นั่น...ล่ะ ความหมายของคำว่า อาจารย์ที่ดี

โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-8-8 19:20
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย padiphatbeer เมื่อ 2015-8-8 19:24

ขอบคุณพี่sonpraram มากๆๆคับ ขอบคุณพี่จ๊อ ขอบคุณอาจารย์สรายุทธมากคับๆๆ  สำหรับวัตถุมงคลทั้งรอบแรก และรอบสอง ถ้าไม่มีวัตถุมงคลที่พี่sonpraram พีีจ๊อและอ่าจารย์สรายุทธ ส่งมาให้ ผมอาจไม่มีวันนี้คับ ขอบคุณมากๆคับ
โดย: Nujeab    เวลา: 2015-8-10 12:03
ยินดีด้วยนะครับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-8-13 22:45
ช่วงนี้เหมือนหัวใจร่ำร้อง คิดถึงดวงตราฯ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2