Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐ [สั่งพิมพ์]

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:12
ชื่อกระทู้: ๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐
๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

บทความที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง โดย อาจารย์สรายุทธ งามชื่น


[attach]3[/attach]


                 ต้นปี 2538 ได้มีพระภิกษุชาวเขมร ได้ชักชวนผมไปหาพระอาจารย์ของท่าน ชื่อเรียงเสียงใดก็ไม่ทราบ ท่านก็กล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านตลอดเวลา ว่าเก่งอย่างนั้นบ้าง เก่งอย่างนี้บ้าง  ทำนั้นก็ได้  ทำนี่ก็เป็น  ชักชวนผมไปกราบอาจารย์ท่าน  ทุกๆ ครั้งที่พบปะหน้ากัน " ใจ "  ผมตอนนั้น  มัน 50/50   พระเก่งๆ อย่างที่ท่านคุย  ยังมีหลงเหลืออีกหรือ !  แต่ใจอีกด้าน  มันก็บอกว่า  ลองไปดูไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน  อีกทั้งตั้งแต่รู้จักกับท่านมาท่านก็ไม่เคยมุสาเราเลย   " พรุ่งนี้กูต้องไป "    รุ่งเช้าผมขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดแต่เช้า  และแจ้งความจำนงประสงค์ ที่จะเดินทาง  ไปกราบอาจารย์ของท่านด้วยกัน ผมได้เรียนถามท่านว่า  หลวงพ่อครับ  อาจารย์ของหลวงพ่ออยู่วัดไหน ?  อำเภอ  จังหวัดอะไร ?   อยู่เกือบสุดชายแดนเขมร  ไปจากที่นี่ก็ร้อยกว่ากิโล  ถ้าไม่เชื่ออาตมาก็ไม่ต้องไปก็ได้น่ะ  อาตมาไม่ได้บังคับ (ตอนเราไม่อยากไป พูดเชิงบังคับ จะพาเราไปให้ได้ พอเราใจง่ายจะไป ก็เล่นตัวเสียงั้น)  ไปครับ  ไป     ผมร้องบอกท่าน  ถ้าไปก็รอหลวงพ่อก่อน  เดี๋ยวหลวงพ่อไปเอาของก่อน  สักครู่   ท่านก็เดินออกมาจากกุฏิ พร้อมเครื่องรางของขลัง  ต่างๆที่ท่านทำขึ้นเอง  เพื่อจะนำไปให้ ครูบาอาจารย์ของท่าน  " ประสิทธ เม "  ให้อีกที     และการเดินทางมุ่งสู่ชายแดนเขมร ก็เริ่มขึ้น  ณ  วินาทีนั้น    จุดหมายปลายทางที่จะไป  ผมไม่ทราบ  เพระท่านไม่ได้บอกทราบแต่เพียงว่า    ถ้าให้เลี้ยวซ้ายก็ต้องซ้าย  เลี้ยวขวาก็ต้องไป   ตรงไปก็อย่าขัด  การเดินทางในระยะแรก  พอถึงแยก ถึงซอย  ท่านคอยบอกเส้นทางตลอด พอสักพัก  ผมเห็นท่านขยันทำสมาธิอยู่บ่อยๆ  ผมต้องคอยสะกิดท่านทุกๆครั้ง ที่เจอทางแยกข้างหน้า   ตลอดระยะกาลเดินทางชั่วโมงกว่า  ผมก็พาท่าน หรือท่านก็พาผม   จะเดินทางเข้าสู่อำเภอบ้านกรวดในอีก 10 กิโลข้างหน้า  หลวงพ่อก็บอกให้ผมจอดรถข้างทาง  ซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่งนา  เมื่อรถจอดสนิท  ท่านเดินไปหลังพุ่มไม้สักพัก  ท่านเดินกลับมาที่รถ   ท่านได้ถามผมว่า  โยม...พระฆ่าสัตว์มันบาปไหม  บาปครับหลวงพ่อ... อาตมาไปยิงกระต่ายมาไม่เห็นจะบาปเลย     การเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่วัดตาอี   หลวงพ่อให้ไปจอดรถใต้ต้นไม้และพาผมเดินไปยังกุฏิไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง  เมื่อถึงหน้ากุฏิซึ่งปิดประตูอยู่  หลวงปู่  หลวงปู่   หลวงปู่   ในเมื่อประตูเปิดออกมา

โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:14
[attach]4[/attach]


          ประตูกุฎิที่กำลังจะเปิดออกมา  อีกไม่ถึง  " อึดใจ "   เบื้องหน้าผมจะได้  " ยลโฉมประสบพักตร์ "   พระภิกษุที่ผมได้ยิน ได้ฟังถึง  " คุณวิเศษ "   ที่หลวงพ่อพร่ำพูดให้ผมรบทราบ  มาโดยตลอดจนทำให้ผมต้องมายืนหน้ากุฏิท่าน  ณ  เวลานี้   เสียงการทำงานของหัวใจผมดูจะทำงานผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด   พิจารณาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นอาการ   " ตื่นเต้น ! "   ถ้าหากย้อนเวลากลับไป   " มันเหมือนสิบสี่อีกครั้ง "   และเมื่อประตูกุฏิเปิดจนสุดบานประตู  " เห็นสรีระเจ้าของกุฏิ "    ผมตกตลึง  น้ำตาแทบไหลพราก  มโนภาพที่จิตและสมองผมบรรจงสร้างถึงความยิ่งใหญ่ที่น่าจะเป็นไปอย่างที่จินตนาการ  แทบพังทลายหายสิ้น  พระภิกษุที่ปรากฏในสายตาเบื้องหน้าผม   "ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่พิการเป็นง่อย "   ท่านถามว่า  มาหาใครมีธุระอะไรกัน ?     ขณะที่ผมยืนจัดระบบความคิดที่กำลังสับสนให้เป็นระเบียบ   หลวงพ่อท่านหันมามองหน้าผม  ท่านคงจะนึกขำที่เห็นผม  " ต้องมนต์นะมหางง "  เมื่อสติกลับมาผมรีบทรุดตัวลงกราบท่านทันที  เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนเสมอว่า  คบคนอย่าดูหน้าให้ดูที่ใจ (แต่ใจมันดูยากชมัด)    พระอริยะสงฆ์ไม่ได้สำเร็จที่สิริโฉมเลอเลิศ แต่ท่านสำเร็จที่ใจ  คิดได้อย่างนี้ทำให้ความรู้สึกผมดูดีมากขึ้น   หลวงปู่ไม่อยู่หรือ ?   หลวงพ่อถามพระภิกษุสงฆ์องค์นั้น    หลวงปู่อยู่  ท่านไปขุดเผือกอยู่ในป่าข้างๆ กุฏิ    พระภิกษุสงฆ์องค์นี้ไม่ใช่อาจารย์ของหลวงพ่อ !    อาจารย์หลวงพ่อกำลังขุดเผือกอยู่ในป่า !     ( พระภิกษุสงฆ์ที่ผมพบองค์แรก ทราบต่อมาภายหลังว่าท่านชื่อ หลวงตาแรม ท่านเป็นพระลูกวัด พิการมาแต่กำเนิด แต่จิตใจท่านมิได้พิการเยี่ยงสังขาร หลวงปู่ท่านให้มาเฝ้ากุฏิของท่าน )   


        ผมกับหลวงพ่อมานั่งรอหลวงปู่ใต้ร่มไม้  ผมได้มองไปที่กุฏิหลวงปู่ซึ่งเป็นกุฏิไม้หลังเล็กๆ  ยกพื้นสูงมีบันไดทางขึ้นไม่กี่ขั้น    ด้านหน้าของกุฏิมีโอ่งน้ำฝนที่ท่านกักเก็บไว้สำหรับดื่มกิน มีฝาปิดโอ่งอย่างเรียบร้อย ดูความเป็นอยู่ของท่านสมถะเป็นยิ่งนัก  บริเวณรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยต้นไม้ ดูสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยไก่บ้านและไก่ป่า  ขณะที่คิดอะไรต่าง ๆ  นานา  ก็ได้ยินเสียงกระแอมกระไอมาจากป่า เป็นสัญญานให้รู้ว่า  หลวงปู่ท่านกำลังเดินออกมาจากป่า   หัวใจของผมเริ่มทำงานผิดปกติอึกครั้ง  สายตาก็จับจ้องไปที่เงาลางๆ  ที่กำลังจะแทรกกายออกมาจากแมกไม้นานาพันธุ์  แทบไม่กระพริบสายตา ใจเต้นระทึกยิ่งกว่ากลองสะบัดชัย ประหนึ่งแม่ยกที่รอศิลปินในดวงใจ  กำลังออกจากหลังฉากก็ปานนั้น   ผ้าจีวรสีเหลืองเคลื่อนตัวตัดกับสีเขียวแห่งกิ่งและใบไม้   กำลังเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ เรือนร่างของหลวงปู่ก็ปรากฏเด่นชัดแก่สายตา    ท่านนุ่งผ้าสบงด้านบนเปลื่อยเปล่า  มีผ้าจีวรผาดบ่าซ้าย  มือซ้ายถือเสียม  ส่วนมือขวาถือถุงซึ่งบรรจุหัวเผือกแทบล้น  ผมละสายตาหันมามองหน้าหลวงพ่ออีกครั้งเพื่อจะขอคำ  " ยืนยัน "   ท่านพยักห้าแล้วพูดว่า   " นี่แหละหลวงปู่ "    ผมหันหน้าไปมองหน้าท่านอีกครั้ง   สายตาจับจ้อง สมองบัญชาการ จิตรายงานความรู้สึก     " แรกพบประสบพักตร์ "      ดูท่านมีเสน่ห์ เมตตาลุ่มลึก มีพลังตบะ อำนาจเดชา เร้นลับ แปลกมหัศจรรย์กว่า พระภิกษุ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์องค์อื่นที่เคยสัมผัสพานพบประสบ    หลวงปู่ท่านเดินไปที่โอ่งน้ำข้างกุฏิ  ก่อนที่จะวางเสียมและถุงเผือกไว้ข้างๆโอ่งน้ำ   ท่านเปิดโอ่งอ่างน้ำล้างมือ ล้างหน้า ก่อนที่จะเดินมาหา  หลวงพ่อและผมที่รอคอยท่านอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่เล็กๆ ใต้ร่มไม้  (ซึ่งคนที่เคยไปกราบท่าน จะทราบทันทีว่าเป็นดั่งห้องรับแขก V.I.P. ของหลวงปู่ )     มาหาอะไรกัน ?    เป็นประโยคแรกที่หลวงปู่ทักทาย    พาโยมมากราบหลวงปู่ครับ ส่วนผมเอาของมาให้หลวงปู่บรรจุให้ครับ  หลวงพ่อตอบคำถามและแจ้งความจำนงค์    " เอาไปไว้บนกุฏิเดี๋ยวจะทำให้ "  หลวงพ่อขอตัวนำวัตถุมงคลไปไว้ที่กุฏิ  ปล่อยให้ผมกับหลวงปู่อยู่กันตามลำพัง    หลวงปู่ถามผมว่า  แล้วโยมล่ะมาหาอะไร ?    ผมไม่ได้มาหาอะไรครับ ผมอยากมากราบหลวงพ่อครับ !   พระดังๆ เยอะแยะทำไมไม่ไปกราบมากราบอะไรกับพระป่า บ้านนอก ขุดเผือก ขุดมัน ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน   หลวงปู่กล่าวถ่อมตัวไว้อย่างน่ารัก น่าชัง เป็นอย่างยิ่ง   หลวงปู่ครับ   หลวงปู่ชื่ออะไรครับ ?     " ชื่น "  แล้วฉายาล่ะครับ   " ติคญาโณ"   (ติคญาโณ  แปลว่า ผู้มีญาณอันแก่กล้า)   หลวงปู่ครับถ้าผมไปกราบพระจะทราบได้อย่างไรว่า  ท่านเป็นพระอริยะ ครับ ?  ดูยากหน่อยน่ะ    ถ้าภูมิธรรมเราต่ำ  ท่านก็จะลดภูมิธรรม มาระดับเดียวกันกับเรา   ถ้าท่านแสดงธรรมสูงไป  เราก็ไม่เข้าใจ  นอกจากภูมิธรรมเสมอกันถึงจะรู้    แล้วหลวงปู่ให้องค์ภาวนาอะไรครับ ?    " สัมมาอรหัง "    ผมนั่งสนทนาอยู่กับหลวงปู่สักพักใหญ่  ท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิ  กลับมาพร้อมกับผ้ายันต์สีขาว ใส่กรอบไม้เรียบร้อยเบ็ดเสร็จ  ซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ท่านเขียนขึ้นเองกับมือ   ท่านส่งมาให้ผม  เอ๊า...หลวงปู่ให้    ใช้อย่างไรครับ ?  ผมถามหลวงปู่    " ปราถนาอะไร ก็จุดธูปขอเอา เขาเรียกผ้ายันต์สิวลี  จุดธูปบูชา 9 ดอก...เด้อ... "




โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:15
[attach]5[/attach]


         และนั่นอันเป็นวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าชิ้นแรกที่ผมได้รับจากมือหลวงปู่ชื่น   เราทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซักโน้น ถามนี่ ประหนึ่งญาติ พ่อแม่ พี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานานแสนนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ปิติสุขเหลือล้น  ความรู้สึกนี้ทั้งผมและหลวงปู่ไม่แตกต่างกัน  (จนหลวงปู่ท่านลืม ฉันเพล)  รู้สึกว่าวันนั้น  พระกาลจะทำงานรวดเร็วเหลือเกิน ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ย่ำสนธยา เหล่าวิหกนกกาบินมา  ไก่ขับขันตีปีก    " คืนรัง "  เป็นสัญญานเตือนว่า ควรค่าแก่เวลาที่จะต้องกราบลา  หลวงปู่ชื่นท่านจับมือผมไว้แน่น  พร้อมกับพูดว่า   " มาหา หลวงปู่อีกนะ "   พร้อมกับพูดเตือนผมอีกว่า  ขากลับถ้ามีใครโบกรถ ไม่ต้องจอดรับน่ะ  (ซึ่งก็เป็นจริงเหมือนที่ท่าน กล่างเตือนทุกอย่าง)   ครับ  ผมตอบรับ   " เอาเผือกไปกินซิ หลวงปู่ขุดไว้ให้ "   หลวงปู่เก็บไว้ทานเถอะครับ ผมเกรงใจ  " ให้แล้วไม่เอา วันหน้ามาก็ไม่ต้องเอาอะไรอีก "   หลวงปู่พูดจายื่นคำขาด   ผมเลยต้องรีบหิ้วถุงเผือกอย่างรวดเร็ว กลัวว่ามาวันหลังจะไม่ได้อะไรจากท่านอีก    หลวงปู่เห็นผมหิ้วถุงเผือก  ท่านมองและขำผมใหญ่เลย  ทางด้านหลวงพ่อ เมื่อเห็นผมจะลากลับ ท่านก็ลงมาจากกุฏิ  วันนั้นท่านเปิดโอกาสให้ผมได้   " สัมผัส "    หลวงปู่อย่างเต็มที่   ผมและหลวงพ่อกราบลาหลวงปู่และเดินไปขึ้นรถ  มือหนึ่งของผมหิ้วถุงเผือก  มืออีกข้างกอดผ้ายันต์แนบอก   ผมเดินผ่านพุ่มไม้  เห็นแม่ไก่กกลูกไก่  ลูกไก่ตัวหนึ่ง มุดหัวออกมาจากปีกแมไก่  ดูแล้วรู้สึกว่ามันมีความสุขเหลือเกิน  เมื่อเทียบกับผม ณ  เวลานั้น   ผมและลูกไก่ตัวนั้น " มีความปิติสุขอบอุ่นไม่ต่างกันเลยจริงๆ  "



โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:16
เมื่อลาหลวงปู่ชื่นกลับ   ผมได้แวะส่งหลวงพ่อที่วัด  หลวงพ่อองค์นี้ท่านเคยได้วิชา  "เสกเงี่ยงปลาดุก"   จากหลวงปู่ชื่น   ท่านทำได้ขลังไม่แพ้หลวงปู่ชื่นเลยครับ  ผู้ที่อยากได้ต้องนำเงี่ยงปลาดุกมา 1 คู่   ท่านจะบรรจุให้ เวลาจะใช้ให้เหน็บไว้กับฟัน ส่วนอีกชิ้นพกติดตัวไว้  ว่ากันว่า เวลาพูดคุยเจรจากับใครแล้วจะทำให้เขาคิดถึงเรา ร้อนลน ทนอยู่ไม่ได้ดั่งมีอะไรมาทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา    เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชื่น เคยเสกให้ผู้หญิงท่านหนึ่ง ที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติ  เมื่อกลับประเทศแล้วไม่ยอมกลับมาหาหญิงสาวท่านนี้อีกเลย ได้มาร้องห่มร้องไห้ มาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ หลวงปู่ได้เดินเข้าไปในกุฏิ และนำเงี่ยงปลาดุกที่บรรจุใส่ตลับเล็กๆ ให้หญิงท่านนั้น เหน็บไว้ที่ฟันแล้วให้โทรไปหาแฟน ต่อหน้าหลวงปู่  ผลปรากฏว่า  ไม่ถึง 3 วันแฟนก็กลับมา   วิชาเสกเงี่ยงปลาดุกเป็นมนต์คาถาที่ค่อนข้างรุนแรง มีทั้งคุณและโทษใช้ผิดทางครูบาอาจารย์ท่านสาปไว้แรงมาก  เป็นศาสตร์ที่มีอยู่จริง  จึงขอบันทึกไว้  ให้ทราบ หลวงปู่ชื่นท่านเคยทำให้ผมหนึ่งคู่  พร้อมกับไม้สาริกาหลงรัง  ไว้สำหรับติดต่อเจรจาเข้าหาผู้ใหญ่  ในการหา  ผ้าป่า  ซึ่งก็เห็นผลอย่างมหัศจรรย์  เหลือเชื่อ ต่อมาเพื่อนได้ยืมไปใช้  เพื่อนผมคนนี้ก็  "เหี้ยม"  ชนิดไม่มี ม.ม้า เอาไปใช้ผิดทาง จนหลายๆ คนเดือดร้อน ผู้หญิงบางคนหมดเนื้อหมดตัวเลยก็มี  สุดท้ายก็หนีเวรกรรมไม่พ้น ครอบครัวแตกแยก เมียก็เลิก ลูกก็หนี ทำงานใดๆ ก็หาความเจริญไม่เจอ   ผมไม่ได้ขายเพื่อนนะครับ   เพียงแต่อยากบันทึกไว้เป็น    "อุทาหรณ์"  

    ส่งหลวงพ่อเสร็จ  ผมก็รีบเดินทางกลับบ้าน  กว่าจะถึงบ้านก็เกือบ 21.00 น.  เมื่อถึงบ้านก็เก็บ ถุงเผือกและผ้ายันต์    รีบอาบน้ำแต่งตัว เข้าห้องพระ   "สวดมนต์ทำสมาธิ"   เพราะกำลังฟิตจากคำแนะนำการปฏิบัติกรรมฐานที่หลวงปู่ชื่นสอน   จะเป็นด้วยความอิ่มเอิบปิติสุขมาทั้งวัน จาก   "แรกพบประสบพักตร์"   หรือปล่าวไม่ทราบแน่ชัด วันนั้นนั่งสมาธิได้นานมาก จิตมีความสงบ ชุ่มชื่นปิติสุขตลอดเวลา  ก็เลยเอา  "สติมาพิจารณาสุข"  เกิดขึ้น ทรงไว้ และก็ดับไป ใดๆในโลกล้วน  "อนิจจัง"   ขณะที่กำลังซาบซึ่ง และดื่มด่ำกับรสพระธรรม ไม่รู้ว่ายุงเจ้ากรรมมาจากไหนไม่ทราบ ตก 10 กว่าตัวเห็นจะได้ บินมากัดซ้ายกัดขวา ซัดหน้า เจาะหลัง บางครั้งยังบินมาแถวๆ รูหู  เป็นของแถมให้อีก  ผมพยายามรวบรวมกำลังใจ ใช้สติเตือนตัวเอง   "เรากำลังทำหน้าที่ของเราคือการทำสมาธิ ยุงก็กำลังทำหน้าที่ของยุงคือดื่มเลือดเป็นอาหาร เราจะไม่ลุก เราจะไม่ขยับ เราจะไม่เลิก"     โอ้....แม่เจ้า !   มันอะไรกันนี่เกิดจากท้องแม่มา ไม่เคยมียุงหน้าไหนกัดได้ถึงทรวง สะท้านไปถึงใจแบบเร้าอารมณ์ขนาดนี้  "ทั้งแสบทั้งคัน"  อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต  จนใจอ่อนท้อแท้ แลจะยอมจำนน  เลยยกเอาคำสุภาษิตที่ว่า    "ยุงมันร้ายกว่าเสือ"   เพื่อจะได้เอามาเป็นข้ออ้างในการถอนสมาธิว่างั้นเถอะ  เพราะวันนั้นยุงทั้งหลายเขาทำหน้าที่ขยันขันแข็งกันเหลือเกิน   ประมาณเวลาก็เกือบครึ่งชั่วโมงที่ทนทุกข์ทรมานไปกับยุง (เวลาสุขนานเพียงไรก็เหมือนสั้น เวลาทุกข์สั้นเพียงใดก็เหมือนนาน)   ขณะที่กำลังจะ "ยอมยกธง"
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:17
อยู่ๆก็มีความรู้สึกว่า มีกระแสลมมาปะทะร่างกาย เหมือนมีใครมานั่งพัดให้ใกล้ๆ เพียงชั่วครู่อาการที่เสวยทุกขเวทนา ที่เกิดแห่งยุงก็หายไป จิตกลับมาทรงปิติสุขอีกครั้ง   "ที่น่าแปลก"   ยุงและอาการ  แสบ....คัน....โคตร....  มันหายอย่างปลิดทิ้ง ชนิดที่ว่ายาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยยี่ห้อใดๆ ในโลกายังต้องชิดซ้าย   เมื่อถอนจากสมาธิ ได้เข้านอน กว่าจะนอนหลับก็แทบแย่ เพราะจิตมันยังคิดถึง  "หลวงปู่อยู่มิจาง"  และตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปหาท่านอีก  

     รุ่งเช้าของวันใหม่  ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืด รีบอาบน้ำ แต่งตัว   เข้าตลาด   ไปหาซื้อกับข้าวอาหารผลไม้คาวหวาน   ตั้งใจจะไปถวายอาหารหลวงปู่ชื่น ให้ทันฉันท์เช้า  อยากให้หลวงปู่ได้ฉันท์อาหารดีๆ บ้าง และอีกอย่างถ้าเดินทางไปช่วงเช้าจะได้มีโอกาส อยู่สนทนากับหลวงปู่นานๆ   "เริ่มออกเดินทาง"  โดยไม่ลืมเด็ดขาดที่จะไปรับหลวงพ่อที่วัด แต่การเดินทางไปนมัสการหลวงปู่ชื่นในครั้งนี้ มิได้มีการนัดหมายกับหลวงพ่อไว้ก่อนล่วงหน้า  เลยไม่ทราบว่า ท่านจะอยู่วัดหรือมีกิจนิมนต์อย่างอื่น ก็มิอาจทราบได้ แต่ก็ต้องแวะเข้าไปดู ถึงผมไม่ใช่เลือดสุพรรณ แต่ก็ยังถือคติ  "มาด้วยกัน ไปด้วยกัน"  เมื่อรถมาถึงกุฏิหลวงพ่อ กุญแจกุฏิปิดสนิท สอบถามพระในวัด จึงทราบว่า ลูกศิษย์ของท่านมารับไป และไม่ทราบว่าจะกลับมาตอนไหนซะด้วย    เอาแล้วงัย!   มาด่านแรก    "แห้วรับประทาน"   ซะแล้ว!   ความคิดเลยบรรเจิด   เตลิด   เปิด   เปิง    ถึง    "แห้วถุงใหญ่"  ที่วัดตาอี  ถ้าไปแล้วไม่เจอหลวงปู่ชื่น.....ล่ะ ? ....  ดูที.... รึ !....เราคงโดนสองแห้ว เป็นแน่แท้  ใจหนีขวัญหาย....กำลังใจเหลือไม่ถึงร้อย  "คิดจะถอย"  แต่พอมองอาหารที่บรรทุกมาในรถ  "จิตมันคิดเห็นภาพ"   หลวงปู่ชื่นกำลังฉันท์อาหารเหล่านี้ !   ตัดสินใจเด็ดขาด เป็นงัยเป็นกัน ต้องรีบไปให้ทัน  "ฉันท์เช้า"    เดี๋ยวจะไม่ทันกาล  จึงรีบบึ่งรถออกจากวัดหลวงพ่อ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายปลายทาง ด้วยความเร็ว 140 ก.ม./ช.ม.   ตลอดเวลาที่ขับขี่  ในหัวสมองก็คงครุ่นคิด ถึงหลวงปู่ชื่นต่างๆ นานา  และไม่รู้ว่าท่านจะอยู่วัดหรือปล่าว !  ถ้าท่านไม่อยู่ เราจะจัดการกับอาหารนี้อย่างไร!  และที่สำคัญ เราจะไปทันฉันท์เช้าหรือไม่   (ก็พระทางชนบทท่านจะฉันท์เช้าเร็วกว่าพระในตัวเมือง) ได้แต่ตั้งจิตมั่น     "อธิฐาน"  ลึกๆในใจดังๆ ว่า  "ขอให้อยู่ทีเถอะ"  และด้วยศรัทธาอันแรงกล้า แห่งบุญในกาลครั้งนี้  สิ้นคำอธิฐานพักใหญ่ๆ รถที่ผมขับมามีอาการ  "โคลงไป โคลงมา"  อย่างน่าอัศจรรย์
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:17
ความคิดของผม  ณ  เวลานั้น  มันปิติมาก   หรือนี่!  จะเป็นกระแสแห่งพลังจิตของหลวงปู่ชื่น ที่รับรู้คำอธิฐานแห่งเรา  ยิ่งคิดถึงคำบอกเล่าจากหลวงพ่อว่า หลวงปู่ชื่น ท่านสามารถอ่านความคิดของคน และสัตว์ได้ ไม่ว่าไกล้หรือไกล  มันตอกย้ำ ศรัทธา แทบสนิท  ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งกิโลเมตร กระแสแห่งพลังจิต ยังคงแผ่มาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลงไปเลย  ตรงกันข้ามกลับทวีความรุ่นแรงขึ้นอีกมาก จนถึงขั้นพวงมาลัยรถสั่นเลยครับ!   ถ้าเป็นคุณเจอเหตุการณ์เช่นผม  คุณจะรู้สึกอย่างไร?  ผมลองชลอความเร็วลงจาก 140 เหลือ 80  การสั่นโคลงของรถ ก็ยังมีอยู่  ผมชักนึกแปลกใจ ว่าทำไม  "กระแส"  ถึงรุนแรง  ถึงเพียงนี้  เลยตัดสินใจขับรถชิดซ้ายไหล่ทาง เมื่อรถจอดสนิท อาการต่างๆ จึง  หยุด   กลับคืนสู่สภาพปกติ  แต่ยังครับยังไม่จบแค่นั้น

     เมื่อผมกดบานกระจกประตูรถลง   "ผมแทบผงะ"   กลิ่น....ครับ....กลิ่น....มันเหม็นมาก...ก...ก...ก...!!!!!!!  แถมกลิ่นมันยังคุ้นๆ  เหมือนเคยประสบพบเจอมันมาแล้ว แต่นึกไม่ออก  จึงตัดสินใจลงจากรถ เพื่อจะตามหาที่มาแห่งกลิ่น จนเมื่อผมพบ  "ต้นตอ"  ผมอยากจะร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน  พร้อมกับอุทานจนลั่นทุ่งนาข้างทางว่า  ปัดโธ่....เว้ย....!  ยางมันแตก   โถ...ๆ....ๆ  หลงนึกว่าอิทธิปาฏิหาร์ยมาตั้งนาน

     เอาล่ะ....!   ในเมื่อยางรถแตกเช่นนี้ จึงอยากจะลองวิชา ที่เคยร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์  ที่เคยทำได้ และได้ผลแทบทุกครั้ง จึงสำรวมจิต  ว่านะโม 3 จบ    ตามด้วยสุดยอดพระคาถา.....................
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:18
"อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ"  (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   เมื่อว่าคาถาจบ ได้ผลทันทีครับ!     ปัญญา คือ ปาฏิหารย์

                          แม่แรง คือ อิทธิฤทธิ์   

                          ไขควง คือ ความศักดิ์สิทธิ์   

                          ยางอะไหล่ คือ สิ่งมหัศจรรย์   

                          กำลังกาย คือ ความสำเร็จ
   
เรียบร้อยครับ!  ร่ายถาคาไปเสียยาวเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง  ธาตุไฟแทบแตก เสียเหงื่อไปไม่ใช่น้อย  จับจ้องมองนาฬิกา  เกือบจะ 08.00 น. อยู่ร่ำไร  มองระยะทางอีก 30 กิโลเมตร  ประมาณกาลถึงวัดตาอีไม่น่าเกิน 08.30 น. (ถ้าไม่มีเหตุอันใดมารบกวน)  รถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน  คนขับพร้อม  จะจอดอยู่ทำไมก็ไปต่อเลยครับ  รถได้แล่นต่อไปอีกชั่วระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงเป้าหมาย และคิดว่าคงหมดหวังที่จะถวายอาหารเช้าแน่ ถ้าไม่ทันก็ถวายเป็นอาหารเพลก็ได้นี่ !   ไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว  ขับรถอยู่ชั่วครู่ก็ถึงวัดตาอี    ได้นำรถเข้าไปจอด ณ จุดเดิม   แม้จะเคยพบหลวงปู่มาแล้วครั้งหนึ่ง  แต่อาการ   "ตื่นเต้น"    หาได้ลดน้อยถอยลงไปไม่  ยังคงรักษามาตรฐานอย่างคงเส้นคงวา..............และเมื่อสายตาแลเห็น พระภิกษุท่านหนึ่งกำลังล้างบาตร  นั้นหมายความว่ากาลแห่ง "ฉันท์เช้า"  ได้สิ้นสุดลงแล้ว   อาการร้อนรนผสมเสียใจเล็กๆ  มันแทรกแซง บดบัง อาการตื่นเต้นเสียมิดชิด เลยต้องรีบ หิ้วสัมภาระ  มุ่งสู่กุฏิหลวงปู่ชื่น    มองไปกุฏิก็เห็นกุฏิเปิดอยู่ ทำให้ใจชื่นขึ้นมาหน่อย  เห็นหลวงตาแรม เดินไปเดินมาหน้ากุฏิ  เมื่อท่านเห็นผมหิ้วของ เต็มสองมือ  ท่านเลยรีบเดินมาช่วยถือของ ทั้งๆ ที่ร่างกายสังขารท่านไม่ดี แต่น้ำใจของหลวงตาแรมต้อง  "ยกนิ้วให้ครับ"  ก่อนที่ผมจะอ้าปากถาม ว่าหลวงปู่อยู่ไหม ?  ยังไม่ทันได้พูด หลวงตาแรม ชิงพูดตัดหน้า  มันเป็นประโยคที่ทำให้ผมต้อง   ทึ่ง + งง    "ทำไมมาช้าจังหลวงปู่รอโยมอยู่"    จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรในเมื่อ  ไม่มีการนัดหมายในการมาครั้งนี้ แต่อีกใจก็คิดเผื่อไปว่า   สงสัยท่านคงนัดคณะศรัทธาอื่นมาถวาย อาหารเช้า
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:18
ประเดี๋ยวหลง"อิทธิฤทธิ์"จัดจะเป็นเหมือน"รถยางแตกเข้าให้อีก  ผมก็เลยยิงคำถามหาความกระจ่าง

หลวงปู่ท่านรอผม.....รึ..?   ใช่ !    เห็นหลวงปู่ท่านบอกแต่เช้าว่า โยมจะมาถวายอาหารเช้า  หลวงตาแรมตอบ   และย้อนถามกลับมาว่า  ไม่ได้นัดหลวงปู่ไว้หรืองัย ?   ผมยิ้มให้แทนคำตอบ  เมื่อขึ้นไปบนกุฏิ เห็นหลวงปู่ท่านรออยู่  และกำลังเตรียมถ้วยชามไว้สำหรับใส่อาหาร   ผมเลยรีบจัดแจงอาหาร  ประเคนหลวงปู่และหลวงตาแรม    เมื่อท่านฉันท์อาหาร และให้ศีล ให้พร เสร็จสรรพ   ท่านให้ผมไปรอที่แคร่ ใต้ต้นไม้ที่เดิม   ซึ่งผมมีปัญหาค้างคาใจหลายๆเรื่องที่อยากจะถาม  นั่งรออยู่สักพัก   ไม่นานหลวงปู่ท่านก็ตามมา ยังจุดนัดพบ  การสนทนาก็เริ่มขึ้น........

ทำไมมาช้าจัง?  หลวงปู่ท่านถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก   ยางรถแตกครับ  ทำให้มาล่าช้าครับ แล้วหลวงพ่อไม่ได้มาด้วย..เหรอ ?   แวะไปรับที่วัดแล้วแต่ท่านไม่อยู่ครับ  ผมตอบ   แล้วมาหาหลวงปู่วันนี้อยากได้อะไร ?   อยากได้บุญกับวิชา ครับผม..!   ผมกราบเรียนจุดประสงค์ ให้หลวงปู่ท่านรับทราบ..! หลวงปู่ชื่นท่านนิ่งพร้อมกับมองหน้า  ผม  เหมือนกำลัง  เค้นหาอะไรบ้างอย่าง..!  ก่อนที่ท่านจะกล่าวขึ้นมาว่า..   หมายความว่าจะมาเป็นศิษย์..นี่ ?   ครับ..!   ผมตอบเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจ.. หลวงปู่ชื่นท่านได้กล่าวเป็นคำเตือนและคำสอนต่อไปว่า..  ก่อนที่...เอ็ง  จะฝากตัวเป็นศิษย์ใครต่อใคร... เอ็ง...รู้ความหมายของคำว่า  " ศิษย์กับอาจารย์ "  ดีแล้วหรือยัง..?  การเป็นศิษย์มันไม่ยาก... ดอก..!  แต่การปฏิบัติ   " ศรัทธาครู "   ด้วยใจมั่นคง.. ซิ..มันยากกว่า  ถ้าวันหนึ่งครูอาจารย์ ที่เอ็งนับถือตกต่ำ..เอ็งจะ..กล้ายอมรับ..ม่ะ  ว่านี่..ไง  อาจารย์ของกู    หรือถ้าเป็นอาจารย์เขา  วันหนึ่ง  ลูกศิษย์ชะตาตกต่ำ   เป็นโจร  เป็นคนไม่ดี  หรือเป็น ผู้หญิงขายตัว  อาจารย์..จะกล้ายืด อก รับ และกล้าบอกใครเขา ไหมว่า.. นั่น..ลูกศิษย์ของกู   หลวงปู่  น่ะ... ปรารถนาอยากให้ ลูกศิษย์มันได้ดีกันทุกคน ไม่อยากให้เจ็บ ไม่อยากให้อด และไม่อยากให้ใครมารังแก  อยากให้มันเป็นเจ้าฅนนายฅน  แต่ชะตาชีวิตฅนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน  "ถ้าเขาศรัทธาจริงมาบูชากราบไหว้น้อบจิตยอมรับเราเป็นอาจารย์เขาแล้ว"   เราก็ต้องเป็นอาจารย์จริง  จะชั่วจะดี ด้วยแรงแห่งกรรมก็ต้องดูแลสั่งสอนกันไป  ด้วยอยากให้ศิษย์ได้ดี นั่น...ล่ะ  ความหมายของคำว่า อาจารย์ที่ดี  เขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึง ความเป็นแบบอย่างอาจารย์ที่ดีของหลวงปู่ชื่น  อย่างเช่น
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:18
ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ชื่นท่านหนึ่ง ไปทำผิดอะไรผมก็ไม่จำไม่ได้เสียแล้ว  โดนตำรวจจับ หลวงปู่ชื่นท่านทราบ ท่านได้เดินทางมาดูที่โรงพัก หลวงปู่ท่าน โดนตำรวจกล่าวติเตียนต่างๆ นาๆ หาว่าดูแลสั่งสอนลูกศิษย์ไม่ดี ทำเช่นนี้ มันติดคุกยาวแน่ หลวงปู่ท่านก็ก้มหน้ารับฟัง ก่อนที่จะย้อนถามตำรวจ ท่านนั้นไปว่า  "ถ้าเป็นลูกโยม โดนอย่างนี้ โยมจะมาดูไหม"  พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ลูกศิษย์ที่อยู่ในกรงทองว่า  "ไอ้...นั่นมันลูกศิษย์กู จะให้กูทิ้งมันได้อย่างไร มันเป็นลูกศิษย์กู กูว่าวันพรุ่งนี้มันต้องออกว่ะ  มึงเชื่อกูไหม?"   เมื่อลูกศิษย์ ได้ยินหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น  ปล่อยโฮ....ออกมาจนน้ำตาแทบท่วมกรงทอง และร้องตะโกนบอกหลวงปู่ว่า  "หลวงปู่ครับ ช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้วครับ"  หลวงปู่จ้องมองลูกศิษย์ด้วยความเวทนา    หลังจากนั้น หลวงปู่ได้เดินทางกลับวัด

     รุ่งเช้าวันใหม่   อยู่ๆ คู่กรณีเห็นว่าเป็นเด็ก ใจอ่อนอย่างไงไม่ทราบ เกิดยอมความกันเสียเฉยๆ เสียอย่างไง!  ลองเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงดังๆ สมัยนี้  ถ้าลูกศิษย์ป็นเช่นนี้  คงจะพูดว่า "มันไม่ใช่ศิษย์กู! กูไม่ได้รู้จักมัน!  และจะกล้าไปเยี่ยมลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น หรือปล่าว.....หนอ..!   ในโลกนี้....อาจารย์ที่รักลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น จะมีสักกี่คน?  เคยถามหลวงปู่ว่า  "หลวงปู่ครับ หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์ที่ถูกจองจำด้วยวิธีไหนครับ ?"  ท่านบอกว่า ก็ใช้คาถาบท   ".........."   การที่จะสำเร็จช้าหรือเร็ว อยู่ที่กรรมหนัก หรือเบา   หรือจะตอกย้ำอีกซักเรื่อง.....

     ครั้งที่ลูกศิษย์ของท่าน จะไปกราบท่าน  ลูกศิษย์ได้โทรศัพท์ไปบอกชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดว่า"จะไปหาหลวงปู่" ให้ไปบอกหลวงปูที แต่ชาวบ้านที่รับฟังโทรศัพท์ ยังไงไม่ทราบ  จากคำว่า "จะไปหา" กลายเป็นว่า "จะเปิดร้านอาหาร"  และด้วยพื้นฐานแห่งการรักลูกศิษย์เป็นทุนเดิม หลวงปู่ท่านได้นำผ้าขาวมาลงยันต์ เพื่อมอบให้ลูกศิษย์ไว้ติดร้านเพื่อเป็น  "ศิริมงคล"  แต่ยันต์ที่ท่านทำวันนั้น  อักขระเยอะมาก เมื่อลูกศิษย์เดินทางมากุฏิ  ภาพที่เห็น คือ หลวงปู่ท่านนอนหลับคาผ้ายันต์ มือข้างขวายังคงถือปากกาไว้แน่น..!  และเมื่อท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ท่านก็รีบเขียนมายันต์ต่อทันที (ทราบว่า วันนั้นหลวงปู่ท่านไม่สบาย) เมื่อลูกศิษย์เห็นเช่นนั้น จึงเรียนถามหลวงปู่ไปว่า "หลวงปู่ครับ ตั้งใจทำผ้ายันต์จัง  จะลงไว้ให้ใครครับ?"   หลวงท่านตอบว่า  "ลงไว้ให้เอ็งไง"   
ไหนเห็นอีแตนมันมาบอกว่า  "เอ็งจะเปิดร้านอาหาร"  ปล่าวครับ    ผมโทรศัพท์มาบอกว่า  "จะไปหา"  ไม่ใช่  "จะเปิดร้านอาหาร"  หลวงปู่ท่านมองหน้าลูกศิษย์ท่านนั้น  พร้อมกับอมยิ้ม และกล่าวคำว่า  "อ้าว...เป็นงั่น...รึ"   ก่อนที่ศิษย์กับอาจารย์จะสบตากัน แล้วพร้อมใจกันหัวเราะจนลั่นกุฎิ  (ศิษย์คนนั้น ก็คือฉันนี่เอง...ครับ) ผ้ายันต์ผืนนี้ ปัจจุบันผมเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมตั้งชื่อผ้ายันต์ผืนนี้ว่า  "ผ้ายันต์จะไปหา"  ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านเรียกว่า "ผ้ายันต์เปิดร้านอาหาร"
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:20
มาต่อกันครับ!   หลวงปู่ชื่นท่านได้ย้อนถามผมว่า  "ถ้าเอ็งมั่นใจแล้ว  คิดดีแล้ว  ศรัทธาดีแล้ว  จะมาเป็นศิษย์นี่  ก็ไม่ขัดศรัทธาเอง วันพฤหัสไหน ที่เอ็งว่าง ก็ให้เตรียม ฯลฯ มาจะครอบครูให้"  เมื่อผมได้ยินหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น   ว๊าว...ววววววววววววว (ขอยืมคำน้อง ab มาใช้หน่อย)  จิตใจมันเกิดปิติสุขยิ่งกว่า  "แรกพบประสบพักตร์"  อีกมากมายหลายเท่าตัวนัก เวลานั้น น้ำตามันแอบทำงาน โดยที่ผมไม่ทราบและไม่รู้ตัวเลย จริงๆ ครับ!....

         ครับหลวงปู่ ถ้าวันไหนผมว่าง...จะรีบมาเลยครับ ผมตอบหลวงปู่ชื่น...ด้วย.....อารมณ์ชุ่มชื่น  ว่าแต่วันไหนที่เอ็งมา  "ครอบครู" อย่าขับรถเร็วอย่างวันนี้อีกนะ!  เวลาเป็นอะไรมาหลวงปู่เอาแถบไม่อยู่!    หลวงปู่ทราบได้อย่างไรครับว่าผมขับรถเร็ว ?.......เงียบ!!! ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากหลวงปู่...นอกจาก...รอยยิ้ม...เมื่อหลวงปู่ท่านไม่ตอบ ผมก็เริ่มต้นคำถามใหม่(เพื่อหาคำตอบมาดับกิเลส ปัญหา ความใคร่รู้ หลายๆอย่างที่ค้างคาใจเกี่ยวกับหลงปู่)  หลวงปู่ครับ! หลวงปู่รู้ได้อย่างไร ว่าผมจะมาถวายอาหารเช้า ครับ?.....เงียบ.....ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากหลวงปู่เช่นเคย.....นอกจาก.....รอยยิ้ม   เอาแล้ว...ซิ... ผมชักเริ่มอึดอัด ประหนึ่งปัญหาค้างคาใจ ยังไม่ได้การชำระสะสาง  

         เมื่อหลวงปู่ชื่น ท่านไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม จะเป็นด้วยภูมิธรรมของผม ในวันนั้น ยังไม่พร้อมจะรองรับคำตอบก็เป็นได้ หรือจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็สุดแท้แต่จะคาดเดา  เมื่อท่านไม่พร้อมจะตอบในวันนั้นก็ไม่เป็นไร  หาเรื่องใหม่มาถามท่านดีกว่า (เรื่องนี้น่าสนใจกว่าเยอะ)

          เป็นเรื่องเล่าลือ เป็นหนึ่งแรงกระตุ้นที่เมื่อผมได้รับฟังแล้ว จิตใจฝัน "ถวิลโหยหา" ที่จะมาพบหลวงปู่ชื่น และทำให้วิถีแห่งชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ณ  เวลานั้นจนถึงปัจจุบัน!  ในหัวสมองคิดไว้แต่แรกแล้ว วันนี้จะต้องถามเรื่องนี้ให้จงได้  แต่จะเริ่มต้นตรงจุดไหนก่อนดี   ผมก็เลยแกล้งเฉไฉ แก้เก้อ และมุ่งประเด็นหลักไปที่ "สระน้ำ"  หลังกุฏิหลวงปู่ชื่น เพื่อจะปูพื้นไปสู่เรื่องเล่าของหลวงปู่ท่าน  "เสกก้อนหินเป็นงูใหญ่เฝ้าสระน้ำ" ซึ่งความจริงผมทราบมาก่อนแล้วจากปากหลวงพ่อ ที่มากันครั้งแรก)   ผมตั้งคำถามทันที  หลวงปู่ครับ.....สระน้ำนี้ขุดมานานแล้วหรือยังครับ?  หลวงปู่ท่านมองตาผม แววตาของท่านเหมือนท่านรู้ว่า ผมถามท่านเพื่อปราถนาสิ่งใด  ก่อนที่ท่านจะตอบออกมาว่า  "เมื่อก่อนมันเล็ก นี่เขาขุดลอกใหม่"(ได้ผลครับคร่าวนี้นึกว่าจะได้ความเงียบกับรอยยิ้มอีก) จะช้าอยู่ใย ผมก็รีบถามต่อทันที ซิ...ครับ!   หลวงปู่...ครับ...น้ำในสระลึกไหม...ครับ? ไม่รู้...ด๊อก! ไม่เคยลงไปอาบ!   เมื่อหลวงปู่ท่านเริ่มพูด ผมก็เริ่มรุกด้วยคำถาม เพื่อที่จะขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น   แล้วมีปลาตัวใหญ่ๆ เท่าคนไหม...ครับ?   ไม่รู้...ด๊อก   ไม่เคยไปดู! (คำถามครั้งนี้ผมคิดจะบรรจงถาม เพื่อหวังผลและน่าจะได้อะไรจากคำตอบ ของหลวงปู่ชื่นมากกว่านี้ )     แล้วที่ชาวบ้านเขาร่ำลือว่าเห็นเป็นปลาตัวใหญ่ๆ บ้าง เห็นเป็นงูใหญ่ๆ บ้าง แล้วแห่กันมาดูแทบล้นขอบสระล่ะ...ครับหลวงปู่ ? สรุปมันจริงเท็จประการใด ครับหลวงปู่..?
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:21
เห็นแต่ชาวบ้านมารุมดูกันมาก ถ้าล้อมผ้าเก็บเงินคงจะได้มาก! ฝรั่งมันยังมาดูเลย   หลวงปู่ท่านตอบ       โอ้..โห.. ดังไปไกลถึงเมืองนอกเลย..หรือ..ครับ ?  ไม่ใช่ด๊อก...ฝรั่งมันมาได้เมียแถวนี้ เมียมันพามาดู!  แล้วชาวบ้านเขาเห็นเป็นอะไรหรือครับ หลวงปู่?  เห็นเขาว่าเป็นงูใหญ่ๆบ้างเห็นเป็นปลาตัวใหญ่ๆบ้าง  

      เอ๊า...ไป!...เดี๋ยวหลวงปู่จะพาไปดูที่สระน้ำ หลวงปู่ท่านลุกขึ้น และเดินนำหน้า ซึ่งผมก็ลุกตามและได้เดินไปติดกับหลวงปู่ ไม่ถึง 2 นาที  หลวงปู่กับผม ก็มายืนที่ขอบสระ ในวันเวลานั้น น้ำในสระ "ใส...สงบ...นิ่ง"  กว่าปกติที่เคยเป็น จนสามารถมองทะลุลงไปเห็น ปลาแหวกว่ายในวารีได้อย่างถนัดตา เมื่อผมเห็นโอกาส ที่จะได้คำตอบมาเฉลยความใคร่รู้อยู่แค่เอื้อม ก็  "รุก"  ต่อทันที    หลวงปู่ครับ.....ที่ชาวบ้านเขาเห็นกัน เป็นงูโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำเลยเหรอ...ครับ?  ไม่...ด๊อก  เขาเห็นอยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นเงาลางๆ  แล้วสรุปว่าสิ่งนี้มีมานานแล้ว หรือว่ามีคนทำไว้ ครับ? (เป็นที่สุดแห่งคำถาม) และผมก็รอลุ้นคำตอบจากหลวงปู่  ท่านหันมามองหน้าผม อยู่สักพักก่อนที่จะย้อนถามผมขึ้นมาว่า  "แล้ว...โยมว่าเกิดขึ้นเอง หรือ ทำขึ้นมาล่ะ? ผมก็เลยรีบตอบหลวงปู่ไปว่า  ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นเอง แสดงว่า เขามีบารมีมากพอ ที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้อย่างน่า...ทึ่ง ครับ!   แต่ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา ต้องถือว่า คนๆ นั้น  ต้องไม่ธรรมดา ต้องเป็น  "คนเหนือเทวดา"  อย่างแน่นอน  ใช่..ไหมครับหลวงปู่!

         เมื่อหลวงปู่ท่านเห็นผมตอบเช่นนี้  ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่  ก่อนที่จะถามผม อย่างผู้รู้แจ่มแจ้งในฌานวิสัยอีกว่า "ในเมื่อเองรู้เรื่องทั้งหมดดีแล้วแต่ต้น แล้วจะมาถามหลวงปู่...ทำไม...อีก"  หมายความว่าหลวงปู่เป็นคนทำขึ้น หรือครับ?  หลวงปู่ท่านพยักหน้า แทนคำตอบ  ผมก็เลยโล่งอก ที่ความสงสัยได้ลดลงไปอีกข้อ  หลวงปู่ชื่นท่านได้มองลงไปในน้ำที่ใส สะอาด สงบ นิ่ง  ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า  "จิตกับน้ำ  ก็คล้ายๆกัน  จิตที่ยังไม่ได้ฝึก ก็เหมือนน้ำขุ่นที่เต็มไปด้วยคลื่น กำหนดดูอะไรก็มืดมัว  ส่วนจิตที่ฝึกมาดีแล้ว มันเหมือนน้ำใสในเวลานี้  จะกำหนดดูอะไร ก็รู้ ก็เห็น"  เป็นคำพูดลอยๆ ที่ออกมาจากปากหลวงปู่ แต่มิใช่คำพูดลอยๆ ที่ไร้สาระ มันแฝงธรรม ให้ผมรับรู้ และน้อมนำไปพิจารณา   หลวงปู่ท่านได้พูดขึ้นมาอีกว่า "เมื่อคืน  แปล๊ก...แปลก...เห็นเด็กใส่ชุดขาวมันนั่งสมาธิ โดนยุ่งเจ้ากรรม นายเวร มารุ่มกัด หลวงปู่สงสารมัน เลยเอาพัดไล่ยุ่งให้"

         หลวงปู่ท่านหันมามองหน้าผม พร้อมกับอมยิ้ม   ผมได้แต่ยืนนิ่งเงียบ ไร้คำพูด ใดๆ ในเวลานั้น   หลวงปู่กับผมสบตาอย่างรู้กัน "มันเป็นดั่งภาษาสวรรค์ ที่สองเรานั้นรู้กันก็พอ"
โดย: chakpetch    เวลา: 2013-3-18 09:21
หลวงปู่ครับ....วันนั้น  หลวงปู่จะทราบไหมครับ ว่าหลวงปู่ได้ "ตอกตรึง ตะปู แห่งศรัทธาไว้กลางใจผม สะจนมิดเล่ม"  และผมยังเชื่อสนิทใจว่า  "ตะปูแห่งศรัทธา" ของหลวงปู่ชื่น ยังไม่สิ้นมนต์ขลัง ยังคงความศักดิ์สิทธิ์

          ปัจจุบัน  ตะปูยังคงแผลงฤทธิ์ ลุกลามใหญ่โต ตอกตรึงดวงใจศิษย์อีกมากมาย ไปอีกนานแสนนานครับ ถึงแม้ ไม่เคยเห็นหน้าหลวงปู่ก็เถอะ ก็ไม่อาจหลีกหนี  ตะปูแห่งศรัทธา   นี้ไปได้  สักพักท่านก็ชักชวนผม กลับไปยังห้องรับแขก วี ไอ พี   ณ จุดเดิม   ระหว่างเดินกลับ  หลวงปู่ได้พูดขึ้นมาว่า   อีกไม่ถึง 10 นาที เดี๋ยวจะมีคนมาหา  มาอย่างไรครับ?   ผมถาม...มารถกะบะ...หลวงปู่ตอบ...สีอะไรครับ?  สีเขียว...หลวงปู่ตอบ   มากี่คนครับ...หลวงปู่มองหน้าผม  ท่านคงจะรำคาญ  ตอนนี้ท่านตอบเสียชุดใหญ่ไม่ต้องให้ผมถามอีก   มา 5 คน  ผู้หญิง 2  ชาย 3  หมายเลขทะเบียนรถ...........(จำไม่ได้)   จังหวัดนครราชสีมา   เมื่อมาถึงที่รับแขก หลวงปู่ท่านได้เดินขึ้นไปบนกุฏิ   ส่วนตัวผมก็นั่งรอลุ้นด้วยใจระทึกว่า  อีกไม่ถึง 10 นาทีข้างหน้า  คำพูดของหลวงปู่ชื่นจะเป็นความจริงไหมหนอ?  

         ครู่เดียว   รถ...ตามคำที่หลวงปู่ได้ทำนายไว้ ก็วิ่งเข้ามาในวัด ซึ่งก็เป็นดั่งที่หลวงปู่พูดไว้จริงๆ ครับ!   ผมก็เลยเดินเลี่ยง  เพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำ และให้โอกาส  ศิษย์ที่เดินทางมาไกล ได้กราบนมัสการหลวงปู่ได้อย่างเต็มที่  พักหนึ่ง  ชายคนขับรถก็ได้เดิน มาเพื่อจะเข้าห้องน้ำ  เมื่อออกจากห้องน้ำ ผมกับเขา  เลยได้พบปะพูดคุยกัน ถึงเรื่องราวต่างๆนาๆ   และทราบต่อมา  จากปากชายดังกล่าวว่า การมากราบนมัสการหลวงปู่ในครั้งนี้ ไม่ได้มีการนัดหมายกับหลวงปู่ชื่นไว้ล้วงหน้า    คุยกันสักพักเขาก็ขอตัวขึ้นไปหาหลวงปู่บนกุฏิ  ผมเดินมาหยุดที่ใต้ร่มไม้ ห่างจากประตูกุฏิประมาณ 10 เมตร ผมแอบมองดูหลวงปู่ด้วยความชื่นชม  ในความยิ่งใหญ่แห่งบารมีธรรมและบารมีแห่งความเมตตาซึ่งมีแก่เหล่าศิษย์  หวนคิดถึงคำสอนริมสระ  "จิตที่ฝึกดีแล้ว เหมือนน้ำใส กำหนดดูอะไร ก็รู้ ก็เห็น"
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-5-7 18:14
อ่านไปยิ้มไป มันลึกซึ้งดีแท้ สาธุ
โดย: tao_kd    เวลา: 2013-5-18 11:38
อ่านแล้วปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูกเลยอ่ะ

โดย: ดาหลา    เวลา: 2013-5-18 13:55
ปลื้มใจแทนจังค่ะ _/\_
โดย: morntanti    เวลา: 2013-8-3 23:31
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-7-4 04:49
จะมีภาคต่อหรือเปล่าครับ

ใน หนังสือสวดมนต์ เลยจ้า...อิอิ
โดย: Metha    เวลา: 2013-8-8 18:44
morntanti ตอบกลับเมื่อ 2013-8-3 23:31
ใน หนังสือสวดมนต์ เลยจ้า...อิอิ

ร้องไห้ทำไมคร้าบพี่น้อง
โดย: Sarayut    เวลา: 2013-9-18 00:23
พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล


ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่

และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน

เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้


หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด


ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้

ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่ ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที

เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจอีกต่อไปไว้ได้

จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


โปรดติดตามต่อ



โดย: Nui_nawa    เวลา: 2013-10-28 15:52
อ่านแล้วน้ำตาไหลตอนที่หลวงปู่ไปเยี่ยมลูกศิษย์โดนขัง
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-23 14:35
ภาพแห่งความทรงจำ "หาเงินซื้อมาม่าหลวงปู่ชื่นจะเอาไปให้คนจนที่เขมร"
[attach]8611[/attach][attach]8610[/attach]
โดย: Sarayut    เวลา: 2014-10-1 08:59
พระกับผี

พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล

ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่


และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง

ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน


เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้

หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด

ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้


ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า..



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่

ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจ อีกต่อไปไว้ได้



จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


มี มือเด็กยื่นออกมาจากห้องของหลวงปู่ชื่น

พร้อมพระเครื่องที่กำอยู่ในมือ ส่งมาให้หลวงปู่



(ซึ่งจุดที่หลวงปู่ชื่นนั่งกับประตูห้องที่เปิดอยู่ ห่างกันไม่มาก)

จากคำบอกเล่า..รายงานว่าเห็นแต่มือยื่นออกมาเลยข้อศอกไปนิด

ซึ่งสีผิวจะขาวแตกต่างจากสีผิวคนทั่วไป

และชายหนึ่งในกลุ่มเกิดความสงสัยว่าหลวงปู่ชื่นเป็นพระ

เหตุใดจึงนำเด็กผู้หญิงมาไว้ในห้องจำวัตรของท่าน

จึงถือวิสาสะลุกขึ้นเดินไปดูที่ห้องทันที..

ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า  !!!

ห้องของหลวงปู่ชื่น ไม่ได้ใหญ่มาก

และไม่มีที่จะให้หลบซ่อนแต่ประการใด...

หรือเด็กจะกระโดนหนีทางหน้าต่างยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะหน้าต่างก็ปิด

และช่วงเวลาที่เห็นมือเด็กยื่นออกมา

กับช่วงที่ลุกขึ้นไปสำรวจห้อง ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10.วินาที

ไม่ท่านแรกที่เข้าไปสำรวจห้องของหลวงปู่ชื่น แต่ไม่เจอเด็กแต่ประการใด.

จึงร้องอุทานเสียงหลง ว่า...

ไม่เห็นมีเด็กเลย แล้วมือที่เห็นเป็นมือใคร  ???

เป็นเรื่องล่ะที่นี้..คณะศรัทธาที่มาด้วยกันก็จุลีกุจอลุกขึ้นมาที่ห้องของหลวงปู่ชื่นกันใหญ่

พร้อมกับช่วยกันกวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของมือปริศนา..ดังกล่าว

จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กัน อยู่ชั่วครู่

ก่อนที่จะตั้งคำถามกับหลวงปู่ชื่น เพื่อบีบเค้นหาความจริงให้ได้ว่ามือปริศนา

เป็นมือของใคร..???

หลวงปู่ชื่อท่านไม่ตอบ หรือ ให้ความกระจ่างอันใด

มีแต่รอยยิ้ม สลับกับ เสียงหัวเราะ แทนคำตอบ

เมื่อทราบว่าไม่ได้คำตอบจากหลวงปู่ชื่นแน่นนอน ทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวัตถุมงคลอีกครั้ง

และเมื่อได้วัตถุมงคลที่ทุกท่านต้องการ ตามตั้งใจและความปรารถนา

ตามที่ตั้งใจกันมาแต่แรก ครั้นเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว

จึงกราบลาหลวงปู่ชื่น เพื่อเดินทางกลับ

หลังจากทุกคนขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับ  


ขณะที่รถ
..กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากข้างกุฏิของหลวงปู่ชื่น



เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ถึงมือปริศนา ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ภายในรถตู้

คนขับรถ ก็พูดขึ้นมาว่าผมไม่เชื่อ พวกคุณอดหลับอดนอนมาทั้งคืน อาจจะตาฝาดกันก็ได้

พร้อมกับเสียงหัวเราะ ลั่น

ชั่วครู่..!!!เสียงคนในรถสามสี่ท่าน ก็ตะโกนเตือน คนขับรถตู้เกือบจะพร้อมๆกันว่า..

ตอไม้ พี่ ๆ ตอไม้  ระวังรถจะชน

แต่คนขับรถพูดตอบกลับมาว่า..
นั่นมันหมาไม่ใช่ตอไม้ครับ
พร้อมกลับเหยียบคันเร่งต่อไป

คงคิดว่าหมาคงจะวิ่งหนีไปเอง


พักเดียว..รถตู้เหมือนชนอะไรบางอย่าง เสียง..สปอยเลอร์หน้าแตกเสียงดังลั่น

เมื่อคนขับรถตู้ลงไปดู กลับเป็นตอไม้จริง ๆ ไม่ใช่หมาอย่างที่ตนเองเห็น


จึงเกิดความคิดว่าตนเองคงจะคิดดูถูกดูแคลนหลวงปู่แก่ๆ ในกุฏิไม้เล็กๆท่านนั้น

จึงขอนุญาติผู้ว่าจ้างถอยรถเพื่อไปกราบขมาหลวงปู่ชื่น

เมื่อกราบขอขมาเเทบเท้าหลวงปู่ชื่นแล้ว



หลวงปู่ชื่นท่านได้พูดขึ้นมาว่า..

สิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง






โดย: majoy    เวลา: 2014-10-1 12:08
มาแล้วๆ รอมาเป็นปี
สาธุครับ
โดย: MarcoReus    เวลา: 2014-11-24 12:45
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน่าปลื้มใจมากๆครับ
โดย: Metha    เวลา: 2014-11-24 13:29
MarcoReus ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 12:45
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน ...

ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคนครับ

ศิษย์บ้างคนที่ด่าอาจารย์ลับหลัง
ผมก็เห็นอาจารย์ยังรักยังเมตตาเค้าเลย
โดย: MarcoReus    เวลา: 2014-11-24 14:06
metha ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 13:29
ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคน ...

ความเมตตาของอาจารย์ที่มีให้แก่ลูกศิษย์ สาธุ
โดย: Admin    เวลา: 2016-7-30 02:42
หลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ
วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่
   ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นลับหายตายจากไปหลายคน  ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุด ๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง  ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น
   ?หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย  ตรงกับปี พ.ศ. 2461  เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล  ประเทศกัมพูชา  โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร
   ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก  และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ๆ  พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน
   หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า ?ติคญาโณ? เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั่นเอง
   ?หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก?
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  มีศีลจารวัตรที่งดงาม  ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์  และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)
   ?หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้?
ได้อาจารย์เก่งวิชาทุกด้าน

   หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สายเขากุเลน ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ ?หลวงปู่เอื้อย และหลวงปู่ดี สุวรรณดี สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา
   หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า พรเวทวิทยาคม ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่าง ๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น
   ?หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ  โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น  หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร  ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน?  ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมาย  จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงปู่ดี  สุวรรณดี  บน ?เขากุเลน? ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูง  และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้
   ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ  ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
   หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า ?หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิด  ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้  และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้  ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้  ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย?  หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว  ท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟัง  ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง  ?การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้  ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย หลวงปู่ชื่นกล่าว
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียนคือท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์  หรือวิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ  เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน  จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า ดีจริง-เห็นผลจริง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในชณะนี้
   ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่น  เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่ชื่นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้น เพราะลูกศิษย์บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่  จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใด ๆ ก็ตาม  ผู้เขียนขอเป็นสื่อ  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่  หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้ว  ขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน  เพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไป  ตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง

พบสหธรรมิกเก่า   
   หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมาย  จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี  จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น ?สหธรรมิก? (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน
   หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้ว  ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน  หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกัน  หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว  ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน  แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้  หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน  จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า
   หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร
   หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที
   อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา
   หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วย  เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี  ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก  นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เพชรเริ่มทอแสง
   หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดา  แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี พลังจิต และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น  ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมาย  จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี ?พลังมหัศจรรย์? ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล  อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ  ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด  ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก  อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า
   ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์
   เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้น  ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ  ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไร  เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด
   ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า ห้ามลงอาบน้ำในสระ เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด
   หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง  และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ
   สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน
   เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด  ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้  และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย...
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์ ยอดพระเกจิอาจารย์สายเขมรที่มีสายพระเวทย์สุดเข้มขลังเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีพลังจิตญานขั้นสูง หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ สายวิปัสนากรรมฐาน ถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์สายเขากุเลนซึ่งเป็นสถานที่ ในการเจริญวิปัสสนากรรรมฐานและพระเวทย์วิทยาคมขั้นสูง และยังเคยฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้น้อยคนที่จะรู้จัก วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสก ล้วนแล้วแต่แรง เห็นผล และสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางมหาเสน่ห์ เมตตา-มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรายการที่สร้างออกมาแล้วสร้างประสบการณ์ใช้กับผู้ใช้บูชามากเป็นที่กล่าวขานกัน เช่น กุมารทองดูดรก(พรายขอดทรัพย์) พระปิดตามหาลาภลอยองค์ฝังตะกรุดทองคำ ฝังแร่  ที่มีประสบการณ์สูงทางด้าน โชคลาภ ค้าขาย และ ขุนแผนขุนแผนนาคเกี้ยว ของท่านก็เป็นที่นิยมสูง ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านอยู่ไม่ขาด เพราะว่าใช้แล้ว
พุทธคุณครอบจักรวาล เห็นผลทันที เมื่อลูกศิษย์ใช้บูชา ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ในประเทศ และ ต่างประเทศ มากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด
โดย: Nujeab    เวลา: 2019-3-31 23:58
~.อ้อมกอดสุดท้าย.~

หลวงปู่ชื่น ท่านเป็นพระเก่งมากบารมี
แต่ชอบเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

เรื่องความรักความเมตตาที่มีต่อศิษย์มากมายเหลือคณานับดั่งมหาสมุทรที่ไร้ฝั่ง

เคยมีเด็ก ญ. แถวๆวัด เกิดมาไม่ค่อยแข็งแรงนัก ทราบมาว่าเป็นโรคโปลิโอ

หลวงปู่ก็ใช้พระเวทพระมนต์ รักษาจนหาย

ไปแข่งตะกร้อโรงเรียนหลวงปู่ท่านก็เมตตาลงยันต์ที่เท้าให้จนได้แชมป์

เด็กคนนี้เมื่อก่อนมักจะมาส่งข้าวให้หลวงปู่อยู่เสมอ

หลวงปู่ท่านก็ให้เงินไปโรงเรียนเป็นค่าตอบแทน
ซื้อโทรทัศน์โทรศัพท์ให้

หลวงปู่ท่านไปไหนมาไหนกลับมาก็มีของมาฝากเสมอ

สืบต่อมาแม่เด็กคนนี้ล้มป่วยเป็นมะเร็ง หลวงปู่ท่านก็ให้ผมไปหาโน่นนี้นั่น ตามที่ท่านสั่งเพื่อจะมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้น

หลวงปู่ท่านว่า..แกหมดอายุขัยแล้ว ต่อไม่ติด

ฝ่ายทางลูกสาวผู้ป่วยก็วิ่งไปหาหมอดู ที่ร่ำลือกันเป็นยิ่งนักว่า..

หมอดูตาทิพย์ แม่นยำฉมังสุด

หมอดูแกว่า..

อีก 3 วัน ผู้ป่วยก็จะสิ้นใจ

ลูกสาวถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว การพลัดพรากศาสดาท่านว่า..

เป็นเรื่องธรรมดาไม่จากวันนี้ วันหน้าก็ต้องพราก

แต่คนสมัญชนคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้ถูกฝึกจิตถึงขั้นอริยะบุคคล

การสูญเสีย ของอันเป็นที่รักแห่งตน

จึงเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจเป็นยิ่งนัก

ดั่งวลีที่ว่า..

ไม่เจอกับตัวเอง ไม่รู้หรอก


เพื่อให้ผู้อ่านจิตตนาการให้เห็นภาพได้ชัดขอยกตัวอย่างสมมุติ..

วันเวลาดังนี้ครับ..

สมมุติว่า..ไปดูหมอวันอาทิตย์

หมอดูบอกว่า..

อีกสามวันแม่จะสิ้นใจ หมายความสมมุติว่า..

วันพุธแม่จะเสีย

เผอิญ วัน ศุกร์  จะเป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกสาว

ทางลูกสาวจะมาเล่าเรื่องราวที่ไปดูหมอมาเล่าให้หลวงปู่ฟัง

หลวงปู่ท่านว่า ..จริงของเขา

ให้อีนางทำใจนะ อย่างไงหลวงปู่ก็ไม่ทิ้งเอง


หลวงปู่เจ้าขา..อย่างไงหนูขอให้แม่มีอายุถึงวันเกิดหนูนะเจ้าค่ะ



หลวงปู่ท่านนั่งเงียบ

ไม่มีใครล่วงรู้และทราบได้ว่า..

ท่านกำลังคิดอะไรอยู่.

ก่อนที่ท่านจะพูดขึ้นมาว่า..

อีนางเอ็งกลับบ้านไปดูแม่เถอะ

คืนนี้หลวงปู่จะลองขอเขาให้


ค่ำคืนของวันพุธ

ตามกำหนดการ ที่พญามัจจุราชท่านกำลังทำหน้าที่ของท่าน อย่างเที่ยงตรง สมบูรณ์

อาทิตย์อัสดง นกหนูกาไก่ เริ่มกลับรัง


ล่วงเลยเวลามามากกว่า 3 ช.ม.

ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว

มีเพียงแสงจันทร์และเเสงไฟน้อยๆ
จากหลอดนิออนเล็กๆ ดวงหนึ่ง

ลอดแสงมาจากร่องกุฎิเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่มุนหนึ่งของป่าช้า

เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมมา ชมแสงจันทราว่าเพลานอน

แต่หลวงปู่ท่าน..นั่งรอเวลา

รออะไรสักอย่าง

เพื่อจะทำพิธีการสำคัญบางอย่าง

ด้วยอาการเตรียมพร้อมเสมอ


ราตรีนี้มีเราเพียงสองคน ผ่านความทุกข์ทน
ตรากตรําทํางาน เพื่อปลดปล่อยบ่วงทุกข์แก่เวไนยะ


นอนเถิดลูกหลานรัก พักผ่อนให้สบาย ...
หลวงปู่ชื่น จักปกป้องดูแล

ห้วงเวลาแห่งเวลาที่รอคอยก็บังเกิดขึ้น

เมื่อหริดหริ่งเรไร เงียบเสียงลงอย่างผิดปกติ

ซึ่งแปลกไปจากก่อนหน้านี้

ความสงบเงียบ วังเวง  จนรู้สึกได้

ไม่มีแม้นกระทั่งสียงลมกระทบใบไม้

ก่อนที่จะได้ยินแสงนกแสกร้องก้องอากาศ

บินตัดวัดมุ่งตรงไปทางบ้านผู้ป่วย

หลวงปู่ท่านรู้ฤกษ์พระกาฬจร
ท่านจึงทราบว่า.

วันไหน  เวลาใด พระกาฬจะจรมาจากทิศไหน

สิ้นเสียงร้องของนกแสก

อีกหนึ่งพญานกแห่งรัตติกาล
ที่โบราณเชื่อว่า เป็นพาหนะของพระกาฬเจ้า

หลวงปู่ชื่น ท่านจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

ก่อนจะนั่งสมาธิไม่ไหวติง

ทันทีทันใด วินาทีนั้นเอง

อากาศก็กลับพลันป่วนแปรอีกครั้ง

จากก่อนหน้าที่เงียบสงบ จนเเทบจะได้ยินเสียงหายใจของตนเอง

ก็บังเกิด กระแสลมดั่งพายุโหมกระหน่ำ
เสียงใบไม้ต้องสายลม ทอดเสียงดังเกรียวกราวไปตามทิศทางลม . สนั่น, ดังลั่น,

เสียงอื้ออึง หวีดลั่นเซ็งแซ่ ไปทั้งคุ้งป่าช้า

ประหนึ่งดั่งว่า..

พระกาฬทรงพิโรธ ที่มีใครมาขว้างภาระกิจอันเที่ยงธรรมของท่าน

ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านก็ยังคงนั่งสมาธิสงบนิ่ง เยือกเย็น แต่ดูทรงพลังกล้าแข็งดุจหินผา

เปลวเทียนต้องลม จากลมพายุที่ลอดผ่านเข้ามาในกุฎิ


ดูที..รึ..!!

พระเพลิงบนยอดเทียนส่ายไปเอียงมา แสง ไฟ ริบ ห รี จะ ดับ แหล่ มิ ดับ แหล่ ฉาย ไป จน เห็น

ร่างของหลวงปู่ชื่น ที่ต้องแสงเทียน สว่าง สลัว สลับกันไปมา ตามแสงของไฟเทียน

ที่บางทีก็ริบรี่ บางทีก็สว่าง ด้วยกำลังของลม

ดูช่างน่าระทึกเป็นยิ่งนัก

เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่ได้จดจำ

ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง

เสียงหรีดหริ่งเรไร ก็เริ่มส่งเสียงขานรับกันไปมาอีกครั้ง

จากน้อยไปหามาก จนเสียงดังลั่นไปทั่ว อีกครั้ง

เปลวเทียนที่ไหวไปมาก่อนหน้าก็สว่างสงบ ลุกโชติช่วง ดั่งเดิม

ให้ความรู้สึก อบอุ่นขึ้นมามากโข

หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็ถอดสมาธิ ก็ที่จะเข้าห้องจำวัตร

รุ่งเช้าของวันใหม่

ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับท่านแม้นจะมีคำถามมากมายในหัวสมอง จากเหตุการณ์เมื่อคืน

ของบางอย่างเราต้องรู้กาลรู้วาระที่เหมาะสม

บางที บางเรื่อง บางครั้งบางคราว

เราก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ในทันทีทันใดก็ได้

หลวงปู่เป็นพระที่แปลกอยู่อย่าง

เวลาอยากรู้  บางครั้งท่านก็ไม่บอก

แต่พอหมดอยาก ท่านกลับเล่าให้ฟัง

ผมอยู่กับหลวงปู่ตลอดไปไหนไปกัน ทำไมจะไม่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี

ตอนนั้นผมคาดการณ์เอาเองว่าต้องสำเร็จแน่

ผลคือผู้ป่วยไม่หมดลมตามที่หมอดูตาทิพย์ทำนายไว้

ล่วงเลยมาถึงวันครบรอบคล้ายวันเกิดของ เด็ก ญ.

เค้าได้มีโอกาสอยู่กับมารดา
ได้กอดมารดาอย่างมีความสุข

ถึงจะเป็น..

อ้อมกอดสุดท้ายของคนทั้งสอง
มันช่างมีความสุขเป็นล้นพ้นเกินจะบรรยาย

ก่อนที่รุ่งเช้าวันต่อมามารดาจะลาลับอย่างไม่วันหวนกลับ


ความลับเรื่องนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่า.

ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ของการขอบิณฑบาตต่อรองกับพญามัจจุราชไว้

มีผมเท่านั้นที่ทราบว่าแผ่นทองเปลวแห่งเมตตา

ที่ปิดหลังพระครั้งนี้


ใครเป็นคนปิด


#.ขอให้เจ้านั้นสุขใจ หลวงปู่ก็มีความสุขแล้ว.#


สัจธรรม  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เป็นธรรมดา.
   

“พักผ่อนเสียบ้าง เพราะว่า ถึงเราจะทำไปมากมายสักเท่าใด ก็เท่านั้นแหละ เมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สักชิ้นเดียว เราต้องทิ้งไว้ในโลกนี้เท่านั้น จึงควรมีการพักผ่อน.”
หลักพิจารณา ๕ ประการ: “ อภิณณหปัจจเวกขณะ ”.

       เรามีความแก่เป็นธรรมดา...หนีความแก่ไปไม่พ้น.

       เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา...หนีความเจ็บไปไม่ต้น.

       เรามีความตายเป็นธรรมดา...หนีความตายไปไม่ต้น.

       เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก  ที่ชอบใจ เป็นธรรมดา...เราหนีจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ไปไม่พ้น.

       เราทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว...เราจะหนีจากผลที่เราได้ทำไว้ไม่ได้เด็ดขาด.

“การทำตามคำสอนของตถาคต ก็คือ ไม่โกรธในการประทุษร้ายของโจรคนนั้น  แม้เขาจะเลื่อยขาเราก็ยังไม่โกรธ  เรามีความควบคุมจิตใจได้  เราอดได้ เราทนได้ เรายิ้มรับกับเหตุการณ์ได้  นั่นแหละชื่อว่าได้  ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.”

“เธออย่าไปยินดี ยินร้าย กับคำพูดของคนใดๆ เขาพูดชมเราก็อย่ายินดี พูดติเราก็อย่ายินร้าย.”

“พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ดีนา  บอกว่า ใครมาด่าใครคนหนึ่ง  แล้วใครคนนั้นโกรธ ด่าตอบอีกคน  คนที่ด่าทีหลังเลวกว่าคนแรก .”

“อุดมการณ์ของชีวิตไว้ว่า  เราเกิดมาเพื่อความดี  เราอยู่เพื่อความดี  เราจะคิดแต่เรื่องดี  จะพูดแต่เรื่องดี จะทำแต่เรื่องดี  เราจะไม่คิดเรื่องชั่ว เรื่องร้าย  เพราะสิ่งนั้นมันจะทำให้เรามีราคาน้อยลงไป จนกระทั่งหมดราคาการเกิดมาแล้วทำให้ตนหมดราคานั่นเขาเรียกว่า เสียชาติที่ได้เกิดมา ไม่ได้เรื่องอะไร.”

“ความจริงแท้นั้นไม่มี  พระพุทธศาสนาสอนเรื่องไม่มี  ส่วนลึกเรื่องไม่มี คือ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีอะไร ทั้งนั้น

(ต้องคิดอย่างละเอียด)”.

“ ไปเก็บเอามานั่งกลุ้มใจเล่นๆ เรื่องเก่า ๗ วันแล้ว ๓ เดือนแล้ว ๓ ปีแล้ว เอามานั่งคิดให้กลุ้มใจเล่น เหมือนไม่มีงานทำ เป็นคนว่างงาน  เลยหาเรื่องให้กลุ้มใจเล่น มันเรื่องอะไร? ”

การเข้าถึงแก่นแท้ของพระรัตนตรัย
      การทำอะไรที่เป็นวัตถุนั้น  ทำแต่น้อยพอสมควร  แต่ว่าการทำตนให้เข้าถึงเนื้อแท้ขององค์พระพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ. เราอย่าไปยึดถืออะไร แต่ให้เรารู้ว่าเรามีกายมีใจ  ใจเรานี้จะต้องปฏิบัติเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง คือ “ความพ้นทุกข์”.


โดย: รามเทพ    เวลา: 2019-5-8 20:53
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-5-11 05:03



“เดี๋ยวครุฑก็บินหรอก”
หลวงปู่ชื่นเสกครุฑบิน


เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดที่ วัดแห่งหนึ่งใน กทม.


ปี 43 หลวงปู่ชื่น ท่านได้มาจำพรรษาอยู่วัดแห่งหนึ่งใน กทม.   หลวงปู่ชื่นท่านก็เมตตาต้อนรับสงเคราะห์ศิษย์ ตามแบบอย่างที่พระเกจิทั่วไปเขาปฏิบัติกัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีชายคนหนึ่งสักอักขระยันต์เต็มตัว ทราบชื่อต่อมาภายหลังว่า ชื่อ พี่เสือ ได้นำวัตถุมงคลจากสำนักต่างๆ ใส่พานมาให้ หลวงปู่ชื่น ท่านปลุกเสกบรรจุอิทธิคุณเพิ่ม หนึ่งในวัตถุมงคลดังกล่าว มีกล่องที่ภายในบรรจุ “พระยาครุฑ” อยู่องค์หนึ่ง ขณะที่ หลวงปู่ชื่น ท่านบริกรรมพระเวทเพ่งกระแสจิตลงไปสถิตในวัตถุมงคลอยู่นั้น กล่องที่บรรจุ”พระยาครุฑ” อยู่ภายในได้มีการเคลื่อนไหวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์แจ้งแก่สายตาทุกคู่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หลวงปู่ชื่น ท่านจึงหยุดบริกรรมพระเวท ชั่วครู่นึ่งและมองตาไปที่กล่องพร้อมกับพูดบอกเจ้าของวัตถุมงคลว่า “เดี๋ยวครุฑก็บินหรอก” ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านทราบได้อย่างไรว่าภายในกล่องมีพระยาครุฑอยู่ “พี่เสือ” ก็ใช่ย่อย บอก หลวงปู่เสกให้เต็มที่เลยครับ! หลวงปู่ชื่น ท่าน มองหน้าก่อนที่จะหลับตาบริกรรมพระเวท ส่งกระแสจิตลงกองวัตถุมงคลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกคนต้องตกตะลึง! เมื่อโสตประสาทของทุกท่านได้ยินเหมือนเสียง วัตถุอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น “พุ่งเสียดสีอากาศ”


ออกจากกองวัตถุมงคล เสียงพุ่งขึ้นหายไปในท้องฟ้า เมื่อ หลวงปู่ชื่น ท่านถอดจิต ออกจากกองวัตถุมงคล “พี่เสือ” ได้หยิบวัตถุมงคลออกจากพาน พร้อมกับได้เปิดกล่อง “พระยาครุฑ” ปรากฏว่าภายในกล่องมีแต่ความว่างเปล่า ไร้เงาพระยาครุฑ “พี่เสือ” ถึงกับหน้าถอดสีออกอาการไม่สู้ดีนัก จึงได้กราบขอขมา หลวงปู่ชื่นที่กล่าววาจาท้าท้ายท่านพร้อมกับน้ำตาเสือที่รินไหล เพราะ”พระยาครุฑ” องค์นี้ “พี่เสือ” แกรักของแกมาก เป็นของเก่าเป็นมรดกตกทอด เมื่อ หลวงปู่ชื่น เห็นเช่นนั้น ท่านก็รับปากว่า “จะขึ้นไปต่อรองกับเขาให้” คืนนั้นท่านจึง งดรับแขก ให้ญาติโยมที่มากลับกันไปก่อน หลังจากนั้นท่านให้หาพานทองมา 1 ใบ พร้อมกับดอกมะลิมาโรยลงในพานโดย หลวงปู่ชื่น ท่านนั่งสมาธิร่างกายไม่ไหวติง จากเวลา 21.00 น. ร่วงระยะเวลาจนมาถึง 04.00 น. คนที่นอนอยู่ร่วมห้องกับหลวงปู่ชื่น ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงมาที่พานพร้อมกับได้ยินเสียงหลวงปู่ว่า.....


“ยี้มาแล้วๆ”  


สักครู่ หลวงปูชื่น ก็เดินออกมา พร้อมกับบอกให้โทรไปบอก “พี่เสือ” ว่าได้ “พระยาครุฑ” กลับมาแล้ว เมื่อ “พี่เสือ” ได้รับโทรศัพท์ก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปวัด ในเวลานั้นเช่นกัน เมื่อได้กราบหลวงปู่อย่างงามๆ 3 ครั้ง หลวงปู่ได้ยื่น “พระยาครุฑ”ส่งให้ หลังจากนั้น หลวงปู่ชื่น และ พี่เสือ ได้สนทนากันได้ใจความว่า “พระยาครุฑ”


องค์นี้เก็บรักษาไว้ดีๆนะเขาทำพิธีมาดี “พี่เสือ” จึงได้เรียนถามหลวงปู่ว่า “ทำไม? พระยาครุฑจึงบินหนีไปละครับ?”


หลวงปู่ชื่น ท่านบอกว่า “พระยาครุฑ”เป็นของสูง เวลาทำพิธีควรแยกต่างหาก” เรื่องที่เล่ามานี้สามารถ ยืนยันถึงพลังจิตตานุภาพของหลวงปู่ชื่น ได้เป็นอย่างดี


บทความผลงานการเขียนของ อ.สรายุทธ

โดย: รามเทพ    เวลา: 2019-5-8 20:54
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-5-11 05:03

ใบไม้แห่งชัยชนะ

เรื่องนี้คณะครูโรงเรียนบ้านตาอี และ อ.บ.ต.ตึ๋ง เป็นพยานบุคคลเรื่องมีอยู่ว่า..เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านตาอีจะเดินทางไปแข่งขันกีฬาฟุตบอลโรงเรียนประจำจังหวัด คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬาเดินทางมากราบขอพรชัยจาก หลวงปู่ชื่น ท่านได้ให้นักกีฬาทุกคนลงไปเก็บ “ยอดใบไม้” มาคนละใบ เมื่อเก็บใบไม้เป็นที่เรียบร้อยครบทุกคนแล้ว ได้นำใบไม้มาถวายท่าน หลวงปู่ชื่น ท่านรับใบไม้แล้วนำไปใส่พานอธิฐานจิต บริกรรมพระเวทอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมอบใบไม้ให้เด็กติดตัว เวลาแข่งขัน ท่านบอกให้เอาใบไม้ทัดหู แต่เด็กกลัวใบไม้จะหล่น จึงเอาหนังยางมามัดใบไม้ใส่กับเสื้อ และแล้ววันแข่งขันจริงมาถึงขึ้น “ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น ได้สำแดงเดช พานักกีฬาชนะทุกรอบจนสามารถทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ คุณครู ท่านหนึ่งบอกว่า...ไม่น่าเชื่อนักกีฬาฟุตบอลทุกคนเล่นบอลไม่ค่อยเก่ง แข่งขันครั้งใดดูเป็นรองทุกครั้งไป แต่ก็สามารถเอาชนะมาได้ตลอดแปลกมากๆเรียกว่ามาถึงจุดนี้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว  ดังนั้นรอบชิงชนะเลิศ จะชนะ หรือ แพ้ก็ไม่เสียใจ และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเป็นวันที่นักกีฬาโนเนมม้ามืดที่โดนดูถูกดูแคลนทุกครั้งที่ลงแข่งขัน ซ้ำยังโดนสบปรามาสว่าที่ทะลุเข้ามาถึงรอบชิงเพราะโชคช่วย(ความจริงหลวงปู่ชื่นช่วย) ก่อนจะเดินทางไปแข่งขัน คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬามาขอพร ให้หลวงปู่ชื่น รดน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมคล ท่านยังพูดกระเช้าเด็กๆ ว่า “เอาถ้วยรางวัลมาให้หลวงปู่ดูหน่อยนะ...!!!”

“ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น จะสำแดงเดชอีกหรือไม่? นักกีฬาโรงเรียนบ้านตาอี จะได้เป็นแชมป์หรือเปล่า? จะแพ้หรือชนะ?เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
นักกีฬาคู่แข่งขันก็เป็นแชมป์ประจำจังหวัดมาหลายสมัย เรียกว่า “แชมป์ผูกขาด” ก็ว่าได้ ไอ้เรา... รือ!! ก็นักเตะบ้านนอกที่นักกีฬาในทีมบางคนยังเตะบอลผิดๆถูกๆเมื่อวิถีโคจรมาเจอ “แชมป์เก่า”  ก็ต้องสู้ถวายหัวประกาศเพลงเตะโรงเรียนบ้านตาอีให้จังหวัดบุรีรัมย์ “ตะลึง” เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่โรงเรียนบ้านตาอี คณะครูหลายๆท่านปากก็บอกว่า ถึงจะแพ้ก็ไม่เสียใจ เพราะมาไกลเกินฝันที่คาดไว้แล้ว แต่ในใจซิมันก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆอยากให้เด็กเป็นแชมป์ เฝ้าแต่ภาวนาทุกครั้งขอให้ “ใบไม้อาคม” ของ หลวงปู่ชื่น แสดงอิทธิฤทธิ์อีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ขอบารมีหลวงปู่ชื่น จงมาโปรดลูกๆด้วยเทอญ ผลการแข่งขันในวันนั้น...นักเตะโรงเรียนบ้านตาอี มี “ชัยชนะ” โค่นแชมป์เก่าลงอย่างราบคาบ ประกาศศักดาลบคำปรามาส นำถ้วยเกียรติยศและความภาคภูมิใจสู่โรงเรียนบ้านตาอี คณะคุณครูที่คุมทีมไม่ต้องพูดถึงดีใจกระโดดกอดกันจนน้ำตาไหลพราก นักกีฬาทุกคนนำใบไม้ใส่มือพนมเทิดไว้เหนือหัว “ใบไม้แห่งชัยชนะ ใบไม้อาคม ใบไม้แห่งเกียรติยศ” สำหรับใบไม้อาคมเคยขอร้องให้ท่านทำให้ หลวงปู่ชื่น ท่านบอกว่า ถ้าจะให้ดีต้องเอาใบไม้ที่เวลาลมหมุน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลมบ้าหมู หอบเอาใบไม้ขึ้นไป”  ถ้าเห็นให้วิ่งเข้าไปใช้ปากคาบใบไม้มา ถ้าเอาได้นำมาให้ หลวงปู่ชื่น ท่านจะทำให้ ทำเป็นตะกรุดอีกที่หนึ่ง ท่านว่ามีฤทธิ์เท่าหนุมาน แต่จนแล้วจนรอดก็คาบไม่เคยได้ซักที คิดถึงทีไรเสียดายทุกที


มนต์มหาสะกดจินดามณี


เรื่องนี้ขอเล่าบูชาคุณครูอีกสักเรื่อง เพื่อที่จะยืนยันถึงพลังจิตอันแก่กล้าพร้อมพลังเวทมหัศจรรย์ของ หลวงปูชื่น เรื่องนี้ อ.บ.ต. ตึ๋ง เป็นคนเล่าให้ฟังครับ ครั้งหนึ่ง อ.บ.ต.. ตึ๋ง ต้องการ ไก่ป่าที่อาศัยอยู่ในวัดนำไปเลี้ยง เพื่อนำไปผสมพันธ์ อนุรักษ์สัตว์ป่าไว้ จึงได้เตรียมอุปกรณ์จับไก่ป่าติดมือไปด้วย เมื่อเดินทางมาถึงวัดตาอี ได้เข้าไปขออนุญาต หลวงปู่ชื่น พร้อมกับชี้แจงว่าจะนำไปอนุรักษ์ เพาะพันธ์ไว้ เมื่อหลวงปู่ชื่น ท่านทราบเหตุผล ท่านถามมาว่า “แล้วจะจับอย่างไร?” อ.บ.ต. ตึ๋ง บอกว่า “เอาแหมากาง แล้วช่วยกันวิ่งต้อนไก่เข้าแห”  หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะใหญ่ ท่านนึกขำถึงวิธีจับไก่ป่า ของ อ.ต.บ. ตึ๋ง  สักครู่ ท่านจึงเดินลงมาจากกุฏิ พร้อมกับพูดบอก อ.บ.ต. ตึ๋ง ว่า “เองจะเอาตัวไหน?” อ.บ.ต. ตึ๋ง มองดูไก่ป่า พิจารณาอยู่พักหนึ่ง จึงชี้นิ้วไปยังไก่ป่าตัวหนึ่ง หลวงปู่ชื่น ถามกำชับเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย “เอาตัวนี้แน่นะ” ครับ...หลวงปู่ อ.บ.ต. ตึ๋ง ตอบ หลวงปู่ชื่น ท่านยืนสงบนิ่ง เพ่งสายตาไปทีไก่ป่า ซักครู่ไก่ป่าตัวนั้นได้เดินมาหา หลวงปู่ชื่น ท่านก็ก้มตัวลงจับไก่ป่าตัวนั้นส่งมอบให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง ท่านได้กล่าวกำชับว่า “อย่าฆ่ามันนะ” หลังจากส่งไก่ให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง แล้ว สักพักก็มีตะกวดเดิน เข้ามาหา หลวงปู่ชื่น มาเคลียคลอที่เท้าท่าน อาการเดียวกับไก่ป่าไม่มีผิด อ.บ.ต. ตึ๋ง ยังแซวหลวงปู่ชื่น ว่าตัวนี้ผมไม่ได้เอานะครับ สงสัยมันคงโดนลูกหลง หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่


เรื่องพลังจิตตานุภาพ ของ หลวงปู่ชื่น ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องนัก เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะนำเสนอ ให้อ่านเป็นลำดับต่อไปครับ คราวนี้วกมาเรื่อง “ขุนแผนชมตลาด” อีกหนึ่งของดีที่หลวงปู่ชื่น ท่านได้แผ่พลังจิตสถิตมหาเวทมหามนต์ไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ครอบครอง วัตถุมงคลของท่านแทบทุกชนิด จะมีเทพเทวารักษาอยู่ ผู้มีความสามารถสำเร็จทางจิตหลายท่านนำวัตถุมงคลของท่านไปตรวจสอบ หลายท่านยืนยันตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ว่า อิทธิวัตถุมงคลที่หลวงปู่ชื่น อธิฐานจิตบรรจุมหาเวทมหามนต์ว่า “มีเทวดาที่เป็นบริวารพระสยามเทวาธิราชรักษาอยู่มีรัศมีสีทอง ใส่ชฎา ทรงพระขรรค์มีอิทธิฤทธิ์บารมีสูง ควรบูชาไว้ในที่สูง” ที่บอกกล่าวใช่ว่าจะชี้นำหรือชักชวนให้เชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณ เพราะเรื่องของทางจิต เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างหรือจับต้องได้ ถ้าอยากทราบ คุณต้องฝึกสมาธิเอาจิตเข้าไปดูกันเอาเองครับ เห็นว่ามันแปลกเพราะเมื่อตรวจสอบแล้วพูดตรงกัน ปกติแล้วพระปฏิมาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ทุกชนิด ท่านจะบรรจุด้วยมนต์อาถรรพณ์ราชาธิราช หรือ  อาถรรพณ์มหาจักรพรรดิ์ เป็นสายพระเวทที่สืบทอดมาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ใช้สวดบูชาเป็นประจำ ทำให้พระองค์มีชัยชนะไปทั่วสารทิศ ศัตรูที่คิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง และอีกบทที่เกี่ยวกับเทวดา คือ มนต์เทวา 4 ทิศครับ ท่านว่า เดินทางไปทิศไหน เทวดาที่ประจำทิศนั้นจะมาปกปักษ์ดูแลรักษา วัตถุมงคลของท่านมักจะบอกเสมอว่าให้เก็บไว้ในที่สูง วันพระควรถวายดอกมะลิหรือซื้อน้ำหอมมาฉีดถวาย ถ้าศิษย์หลายท่านที่เคยไปกราบท่านที่วัดในกุฏิท่าน ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นขวดน้ำหอม ซึ่งท่านจะฉีดวัตถุมงคล ศิษย์หลายท่านคงทราบดี “ขุนแผนชมตลาด” เท่าที่ผมจำได้ ท่านเคยบอกว่า “ดีทางเขาสังคม เด่นสง่ากว่าเขา” เคยมีศิษย์จากกรุงเทพ เดินทางไปหาท่านไปร่วมทำบุญสร้างอุโบสถกับหลวงปูชื่น ก่อนจะลากลับ หลวงปู่ชื่น ท่านได้มอบ “ขุนแผนชมตลาด” ให้ไป ศิษย์ท่านดังกล่าวได้ถามหลวงปู่ชื่นว่า “ดีอย่างไร?” หลวงปู่ชื่นบอกว่า “พรุ่งนี้เองลองพกไปตลาดดู” เมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ รุ่งเช้าก็ลองพกพระติดตัวไปซื้อของที่ร้านไหน แม่ค้าก็แถมของให้เป็นพิเศษ แต่ที่แปลกคือ เวลาซื้อของ แม่ค้าจะทอนเงินผิดแทบทุกร้าน “พระขุนแผนชมตลาด”ชุดนี้ท่านเสกจนต้นไม้ข้างกุฏิโค่นลงมาเลยครับ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องลองเอาไปใช้ดูครับ เพราะคืนนั้นผมไปนอนกับท่านที่กุฏิจึงได้เห็นเหตุการณ์แต่เรื่องบางอย่างพูดมากไปก็ไม่ดี เรื่องบางเรื่องมัน “เหนือคำบรรยาย”เป็นเรื่องยากที่จะบอกกล่าว เรื่องของจิตเรื่องของพระเวทย์หรือพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติ และค้นคว้าถึงจะบรรลุเป้าหมาย  ประเภทปฏิบัติแต่ไม่ยอมค้นคว้าศึกษา หรือ ศึกษาค้นคว้า แต่ไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไรจริงมั๊ยครับ


บทความผลงานการเขียนของ อ.สรายุทธ


โดย: oustayutt    เวลา: 2019-5-23 07:15
ความเป็นศิษย์อาจารย์นี้.!!


มันมีความผูกพันเหนียวแน่น.....
ความเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกัน เป็นสหายธรรมกันมา ก็มีความผูกพันที่เหนียวแน่น.....


เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน.....


เป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน.....


ในทางโลกเราอาจจะนับสายสกุลกันที่ชาติกำเนิดโครตเหง้าความเป็นสายเลือดครอบครัวเดียวกัน.....


แต่ในทางธรรมเรานับสายสกุลกันที่ความผูกพันเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกันมา....


เป็นวงศ์วานของท่าน  อยู่ภายใต้ร่มเงาติคญาโณด้วยกัน


อยู่ในความเมตตาของหลวงปู่ชื่นท่านร่วมกันมา


โดย: Admin    เวลา: 2019-5-23 09:01
#.หลวงปู่ชื่น.#
~โปรดศิษย์ติดกามา~

หลายคนที่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสในวัตรปฎิบัติของลป.ชื่น
คงจะคิดและจินตนาการไปเอง จนเลยเถิดถึงขั้นปรามาสท่านเอาได้ว่า.
ท่านเป็นพระไสยศาสตร์
พระเสน่ห์มนต์ดำ

ยิ่งมีศูนย์พระมาสร้างเครื่องรางออกเเนวทะลึ่ง ตึงตัง
ตั้งชื่อออกไปในแนวโลกิยะ

ยิ่งตอกย้ำ ทำให้คนมองภาพลักษณ์ของท่าน
ในทางลบ มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก

ผมอยู่กับท่านมานานและ
รู้อยู่เต็มออกว่า..หลวงปู่ชื่น
ท่านชาญวิปัสนากรรมฐานไม่เป็นรองพระอาจารย์ท่านใดๆเลย

ท่านสำเร็จวิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณ ๙

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ

๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร

๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

แต่ท่านไม่ค่อยนำมาโปรดใครมากนัก
ท่านว่าสอนไปก็เสียเวลาเปล่า ด้วยคนที่มีบุญบารมีที่จะเห็นธรรมะตามท่านสอนมีน้อย เพราะในจิตเต็มไปด้วยแรงกามา มันมีมากจนอวิชชาครอบงำ

อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้แจ้ง คือ ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้องแจ่มแจ้ง มิได้หมายถึงความไม่รู้ศิลปะวิชาการต่างๆ หรือไม่รู้ร้อนรู้หนาวเป็นต้น แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะนำคำว่า อวิชชา ไปใช้เฉพาะกับวิชาในทางไสยศาสตร์เท่านั้น โดยเข้าใจกันว่า อวิชชาเป็นวิชาที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

เมื่อก่อนไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ต่อมาได้เป็นอาจารย์คน
จึงมีอภิสิทธิ์ในการสอดส่องดูแลความเป็นไปในชีวิตประจำวันของศิษย์
ทำให้เห็นภาพเลยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ของความร้อนแรงแห่งอำนาจอิทธิพลแห่งกามา ของเหล่าหมู่ศิษย์

ยากที่จะเอาดีในทางธรรมได้
โดย: Admin    เวลา: 2019-5-23 09:02
คำว่า "กาม" ในทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายแต่เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้นนะครับ

แต่หมายถึงอายตนะทั้ง 6 เลย นั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา --> ชอบเห็นภาพสวย ๆ ก็เป็นกามทางตา

หู --> ชอบได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็เป็นกามทางหู

จมูก --> ชอบได้กลิ่นหอม ๆ ก็เป็นกามทางจมูก

ปาก --> ชอบกินของอร่อย ๆ ก็เป็นกามทางปาก

กาย --> ชอบสัมผัสอ่อนนุ่ม ก็เป็นกามทางกาย

ใจ --> ชอบความสุข ชอบเล่นฌาน ก็เป็นกามทางใจ

ถ้าละกามเสียได้ คงลดความวุ่นวายไปเยอะทีเดียว จิตคง "ว่าง" ขึ้นอีกเยอะ
"การฆ่ากันก็เพราะกาม รักกันก็เพราะกาม ทั่วอากาศ ทั่วพื้นน้ำและบนบกเต็มไปด้วยกาม กามตันหน้า ภวตันหู วิภวตันใจ ถ้าจะขยายออกไป มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกกาม เพราะความพอใจและไม่พอใจก็เกิดจากกามทั้งสิ้น"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่




โดย: Admin    เวลา: 2019-5-23 09:04
แต่ก็ใช่ว่า ท่านจะไม่สอนธรรมะโปรดศิษย์เสียเลยทีเดียว

ครั้งหนึ่ง.

มีศิษย์ฆราวาสมาปฏิบัติธรรมกับท่าน ต่อมาจึงทราบว่าที่มาปฎิบัติธรรมเพราะอกหัก ผิดหวังอย่างแรง

แถมตนเองก็เป็นคนมักมากในกามตัณหาราคะ มากเกินความพอเหมาะพอควร

หลวงปู่ชื่นท่านคงพิจารณาแล้วว่าคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง

ท่านเลยสอนการนั่งสมาธิกำหนดให้ ปฏิบัติต่อเนื่อง
ดังนี้

เช้า 1 ช.ม.
เที่ยง1ช.ม.
เย็น1ช.ม.
หัวค่ำก่อนนอน อีก 1 ช.ม.
1 อาทิตย์ผ่านไป

ได้มารายงานผลให้ท่านสอบอารมณ์

แกว่า.นั่งไปจิตมันไม่อยู่กับองค์ภาวนา จิตมันติดแต่ภาพแฟน คิดแค่เรื่องกาม เนื้อหนังมังสา

ลป.ชื่น ท่าน เมตตาสอนว่า.

#ถ้าคิดถึงแฟนก็เอาหน้าแฟนมาเป็นองค์ภาวนา

#คิดเห็นนมมันก็เอานมมันมาเป็นองค์ภาวนา

#คิดเห็นของมันก็เอาของมันมาเป็นองค์ภาวนา


หลังจากนั้นการปฎิบ้ติอย่างต่อเนื่องตามตารางเวลาที่หลวงปู่ชื่นกำหนด
ได้เข้าสู่เดือนที่ 3

จะด้วยเป็นด้วยได้คำแนะนำการปฎิบัติที่ดี จากลป.ชื่น
หรือจะเป็นด้วยบุญเก่าของแก ก็ไม่ทราบแน่ชัด

การปฎิบัติธรรมได้ผลดีมาก

เมื่อมีศีล จะเกิด สมาธิ

เมื่อมีสมาธิจะเกิดปัญญา

เมื่อจิตสงบ นั่นหมายความว่า
จิตเราตัดนิวรณ์ให้เบาบางลงได้แล้วชั่วขณะเวลาหนึ่ง

(ตอนนี้จิตจะคิดอะไรปล่อยให้คิดไป เพราะคิดอะไรจะเป็นธรรมะไปหมด)

นิวรณ์(อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna) แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป

นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ

กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่พยาบาท 

ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่ถีน

มิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม


อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ

วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ


โดย: Admin    เวลา: 2019-5-23 09:04
หลังจากเข้าสู่เดือนที่ 3

ได้มารายงานผลการปฎิบัติ
ต่อหลวงปู่ชื่น

ว่า ความสวยงามของแฟน
เนื้อหนังมังสาของแฟน

พอเอามาเป็นองค์ภาวนา
เห็นหน้าแฟน เนื้อหนังมังสาของสตรีที่ตนเองเคย
ชื่นชอบ กลับค่อยๆ เหี่ยวย่น และเริ่มเน่า หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

ต่อมาก็เหลือแต่กระดูก และแตกป่นเป็นผงกลับกลายเป็นธาตุดิน

หลวงปู่ท่านยิ้ม ปลื้มปริม
ท่านว่า..จิตมันเริ่มเกิดปัญญา เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงของมัน

ร่างกายมนุษย์ เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน
สุดท้ายแล้วเมื่อเราตายธาตุเราก็แตกสลายไม่เราอีกต่อไป

ลมก็คืนสู่ลม
ไฟก็คืนสู่ไฟ
น้ำก็คืนสู่น้ำ
ดินก็คืนสู่ดิน

สุดท้ายร่างกายที่เรา อุปาทานยึดมั่นถือมั่น

ว่าเป็นเราเป็นเขา ตอนจบมันก็คือดิน
ที่คนเขาเดินเหยียบย่ำนั้นเอง

ฆราวาสท่านนั้นบอก
หลงรัก หลงดูด หลงดม หลงชม มาตั้งนาน
ที่แท้ ก็ ดิน ทั้งนั้น
โดย: Admin    เวลา: 2019-5-23 09:05
หลังจากเกิดปัญญาเขาสามารถ ตัดขาดจากโลกิยะวิสัยของบุรุษได้อย่างเด็ดขาด

ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุเข้าป่าออกธุดงธ์ ไม่ทราบว่าอยู่ ณ.มุมหนึ่งแห่งใดของโลก

#### บทความจาก อาจารย์สรายุทธ ###
โดย: Admin    เวลา: 2019-5-26 22:57
~.พระองค์ทม.~

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
ที่หลวงปู่ชื่นท่านแนะนำบอกให้ไปหามาบูชาขึ้นหิ้ง

พุทธคุณสุดยอด นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง พลิกฟื้นดวงชะตา นำพาชีวิตให้โชติช่วงชัชวาลย์ตลอดกาล


ในกาลก่อน..

มี หญิงสาวท่านหนึ่งได้เดินทางมากราบนมัสการ หลวงปู่ชื่น

พร้อม ผลไม้หลากหลายชนิด พร้อมซองถวายปัจจัย

ก่อนจะถวายหลวงปู่ชื่นท่านพูดว่า..

อีนาง. ถ้าอยากได้บุญใหญ่บุญมาก เองหัดถวายสิ่งของทำบุญกับ

พระองค์ทม นะ

พระองค์นี้ ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์
กว่าพระไหน ที่เองไปทำบุญอีก เองไปทำบุญเป็นร้อยวัด พระแสนรูป ซักแสนครั้ง
ก็ยังไม่สู้ เท่ากับทำบุญกับพระองค์ทม เพียงครั้งเดียว

(ทม ภาษาเขมร แปลว่า "ใหญ่" พระองค์ทมแปลว่า.

"พระองค์ใหญ่")

อีนาง เองรู้จักไหมพระองค์ทม ??

ไม่ทราบเจ้าค่ะอยู่ที่ไหนวัดไหนเจ้าค่ะ พระองค์ทม ?

อยู่ที่บ้าน อีนางมีอยู่องค์

อีนาง เองไปหาดีๆ ศักดิ์สิทธิ์มาก

เป็นพระปางไสยาสน์

เธอ นั่งคิดอยู่ซักครู่จึงตอบ หลวงปู่ไปว่า..

ที่บ้านไม่มีนะเจ้า พระพุทธรูป ปางไสยาสน์

มีแน่นอน.เชื่อหลวงปู่

เองกลับไปตั้งใจหาดีๆ มีแน่ๆ หลวงปู่เห็น ว่ามี
ไปเอามาล้างปัดฝุ่น ขึ้นหิ้งบูชา แล้วจะเจริญรุ่งเรือง
ผลไม้กับซองปัจจัยที่อีนางถวาย หลวงปู่
หลวงปู่ฝากไปถวาย
พระองค์ทม ด้วยนะ

หลวงปู่บอกพร้อมยื่นสิ่งของกลับไปให้

เธอรับสิ่งของกลับไปด้วยความ สงสัยแต่ก็ไม่ขัดหลวงปู่

และตอบหลวงปู่ว่า

ค่ะๆ กลับไปหนูจะลองหาดู  

หลังจากนั้น จึงสนทนากับหลวงปู่ เรื่องตนเองชอบเดินทางไปทำบุญที่นั้นที่โน่น ต่างๆนาๆ

เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน
ได้เดินค้นหา พระองค์ทม
ตามที่หลวงปู่ชื่นท่านบอก
ว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ทมปางไสยาสน์

ที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ

หาจนทั่วบ้านก็ หาไม่เจอ
จะเป็นด้วยบุญเก่าหรือหลวงปู่ท่านเปิดกุศลบุญในจิต ให้ พบให้เจอพระองค์ทม หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

อยู่ๆสายตาของเธอก็ไปสะดุด เข้ากับสิ่งๆ หนึ่ง..

?????
เธอทราบได้ทันที.ว่า

เป็นพระองค์ทมที่หลวงปู่ท่านบอก.

แถมเป็นปางไสยาสน์อีกด้วย

ตรงเป๊ะ แม่นยำตามคำบอกของหลวงปู่ชื่น

ราวกับตาเห็น

นั่นคือ..แม่ของตนเอง
กำลังนอนบนเตียงเก้าอี้หวาย

กำลังนอนหลับในท่าปางไสยาสน์ พอดีเลย

เธอน้ำตาไหล นึกรู้ขึ้นทันทีว่า ..
พระองค์ใหญ่

พระองค์ทม ที่หลวงปู่ชื่น
ท่านบอก ก็คือแม่ของตนเอง นั่นเอง

นี่เราเที่ยวตามหาพระอรหันต์ทำบุญสาธารณะ

ไปทั่ว แต่กลับทอดทิ้งหลงลืม พระองค์ธม พระองค์ใหญ่ ประจำบ้านไปได้อย่างไรหนอ ?

กราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่ทำให้ อีนางน้อยคนนี้
ตาสว่างกระจ่างแจ้ง เสียที

... อันพ่อแม่ ท่านแก่เฒ่า

เฝ้ารักษา.. คุณบิดา
คุณมารดา ค่ามหันต์..
ใครตอบแทน คุณท่านได้ โชคอนันต์.. ไปสวรรค์ เพราะกตัญญู รู้แทนคุณ ...

เมื่ออ่านบทความจบ
อย่าลืมค้นหาพระองค์ธมในบ้านให้เจอนะครับ

เจอเเเล้วรีบ เอาไปสรงน้ำ ปัดฝุ่น นำขึ้นหิ้งบูชา เลยเสียตั้งแต่วันนี้

หลวงปู่ชื่นท่านการันตี
ว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงๆครับ

ผมเคยถามหลวงปู่ชื่นท่านว่า.

หลวงปู่ทราบได้อย่างไรว่าคนๆนี้ ไม่ค่อยสนใจใส่ใจดูแลบุพการี หรือใครเป็นอะไร
นิสัยเป็นเช่นไร ?

ท่านตอบว่า..

มองท้ายทอย มันก็รู้แล้ว

ตอนนั้นก็ยัง งงๆ
แต่ก็ไม่ได้ถามท่านต่อ

สืบมาได้ไปอ่านเจอมาว่า..

สมองกลีบท้ายทอย หรือ กลีบท้ายทอย (อังกฤษ: occipital lobe, lobus occipitalis)

เป็นกลีบสมองที่เป็นศูนย์ประมวล ผลของการเห็นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

จะเป็นด้วยแบบนี้ หรือไม่หนอ ???

***** บทความจาก อาจารย์สรายุทธ ******






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2