ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 9540
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราษฏร์บำรุง

[คัดลอกลิงก์]








2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-24 21:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2016-8-24 21:05

หลวงพ่อสร้อย ธมฺมรโส เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมายมากราบไหว้ท่านตั้งแต่เช้ายันค่ำ เชี่ยญชาญในเรื่องวิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอนคุณไสย์,อยู่ยงคงกระพัน,เมตตารวมไปถึงถึงการทำนายทายทักอีกทั้งท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย เดิมทีท่านมีภูมิลำเนาอยู่บ้านใก้ลเรืองเคียงอย่างประเทศกัมพูชา แต่ในอดีตเคยเป็นส่วนปกครองของประเทศไทย
ซึ่งอาจจะกล่าวได้อีกอย่างว่า ภูมิลำเนาเดิมของท่านนั้นเป็นคนไทย แต่ในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนการปกครองไปเป็นของประเทศกัมพูชาไปแล้ว เมื่อย้อนถึงอดีตความเป็นมานั้น
บ้านเดิมของท่านเกิดที่กัมพูชา
บิดาชื่อชิ้ม (เดิมทีบิดาท่านเป็นคนไทย รับราชการให้ไปเป็นผู้ว่าหรือที่เรียกว่าเจ้าเมืองเสียมราฐ)
มารดาชื่อเจียว
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 21 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2466 ที่บ้านโคกระวา ต.ละเวีย อ.ปวก จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา แต่ว่าในสมัยนั้นยังคงเป็นดินแดนปกครองของประเทศไทย
และในขณะที่ท่านอายุได้18ปีได้มีสงครามเกิดขึ้น ประเทศไทยได้เป็นคู่สงครามกับประเทศฝรั่งเศษ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ถูกภัยจากสงครามจนต้องลี้ภัยจากการขับไล่ไปอยู่ในดินแดน
ส่วนหนึ่งของเสียมราฐใก้ลกับนครวัดประมาณ8กิโลเมตร โดยถูกเกณฑ์ไปทำงานเพื่อแลกกับอาหารในการประทังชีวิต ในช่วงที่มีสงครามนี้ทางการได้มีการเกณฑ์ชายที่มีอายุตั้งแต่15ปีขึ้นไป เพื่อเอาไปเป็นทหารในการสู้รบ ท่านได้พยายามหลบหนีจนกระทั่งเข้าป่าไปทำนาและในวันหนึ่งในขณะที่ท่านจูงฝูงวัวและควายออกไปทำนานั้น ท่านก็ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง(หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน) ท่านจึงเดินไปกราบเท้าพระธุดงค์รูปนั้น พระจึงยื่นบาตรให้และสั่งให้เอาบาตรตักน้ำในบ่อขึ้นมาเพื่อนำมาทำน้ำมนต์และรดให้กับท่าน อีกทั้งยังสั่งให้ท่านอาบน้ำมนต์นั้น ในขณะที่ท่านผลัดผ้าอยู่นั้น พระธุดงค์รูปนั้นก็หายไป ท่านจึงแปลกใจและมึนงงกับสิ่งที่ได้เห็น ตั้งแต่นั้นมาจึงทำให้ท่านศรัทธาพระธุดงค์รูปนั้นอยู่ในใจท่านตั้งแต่บัดนั้นมา
ช่วงชีวิตอันลำบากระหว่างการเกิดสงครามดำเนินมาเรื่อยจนกระทั่งท่านมีอายุครบ20ปี ในปี พ.ศ.2486 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านคือ การเปลี่ยนชีวิตที่วุ่นวายทางโลก เข้าสู่เส้นทางธรรมมะภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัธสีมาวัดละเวีย ต.หลักชัย อ.ไพรีฯ จ.พิบูลย์สงคราม(สมัยนั้นประเทศไทยปกครอง) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและศึกษาวิชาต่างๆที่เป็นตำราโบราณสืบทอดกันมา พร้อมทั้งยังฝึกฝนวิชาต่างๆจนเกิดความเชี่ยวชาญในการนั่งสมาธิ จนเป็นที่ยอมรับกันดีในประเทศกัมพูชา มีสรรพวิชาต่างๆจนเป็นที่เลื่องลือ และเชื่อกันว่าเสมือนหนึ่งสามารถรู้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้า พอท่านได้บวชเรียนแล้วก็ได้มีโอกาสเรียนวิชาต่างๆจากพระอุปฌาย์ของท่านด้วย เพราะท่านเป็นพระที่คอยปรนนิบัติอย่างใก้ลชิดกับพระอุปฌาย์ของท่านมาโดยตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งพระอุปฌาย์ของท่านได้ละสังขารไปในที่สุด ท่านก็ได้จัดการเรื่องฌาปณกิจบำเพ็ญกุศล หลังจากนั้นท่านจึงได้หันมาศึกษาในเรื่องพระปริยัติธรรมในจังหวัดพระตะบอง ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมและมีความเข้าใจในธรรมมะพื้นฐานที่อาจารย์ของท่านได้ให้เอาไว้ จึงทำให้ท่านสอบได้นักธรรมตรี,โท,เอก ได้อย่างง่ายดายภายในพรรษาที่5เท่านั้น จากนั้นมาเมื่อปี พ.ศ.2491 ท่านก็ได้เดินธุดงค์เรื่อยมาทางบ้านแดง อ.ละหานทราย ด้วยเท้าเปล่าจนเข้าเขตประเทศไทยและมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง อ.ประโคนชัย แต่ที่นั่นมีชาวกัมพูชาอยู่มาก การเทศนาหรือการให้พร,การสวดต่างๆต้องใช้เป็นภาษาเขมรทั้งหมด ท่านก็ไม่ค่อยจะชอบเพราะอยู่ในประเทศไทยแล้วเทศน์แต่ภาษาเขมร จากนั้นท่านจึงเดินทางเข้าสู่กรุงเทพแต่ท่านก็หาวัดจำพรรษาอยู่ไม่ได้ จนในที่สุดท่านก็เดินธุดงค์ต่อไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี อ.เมือง จ.ขอนแก่น และได้มีโอกาสเรียนภาษาไทยตั้งแต่แรกเริ่มอย่างถูกต้องที่ขอนแก่นนี่เอง เมื่อเรียนภาษาไทยเข้าใจดีแล้ว ท่านก็ได้เรียนพระปริยัติธรรมฉบับภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง และเข้าสอบนักธรรมตรี แต่ครั้งนี้ไม่สำเร็จเนื่องจากการเรียนภาษาไทยมาตรฐานกับภาษาท้องถิ่นนั้นต่างกัน จากนั้นออกมาอยู่ยังคลองขนานจิตร เขื่อนลำตะคอง โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดกลาง
และที่นี่ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตัวท่านเองและจึงทำให้ท่านสอบนักธรรมตรีได้ที่นี่ ต่อมาสอบนักธรรมโทได้ที่วัดสีกุก อ.บางบาล จ.อยุธยา หลักจากที่สอบนักธรรมได้แล้วท่านก็ได้เดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าเพื่อเสาะหาสัจจะธรรมและวิชาต่างๆจากเกจิอาจารย์ทุกจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งการธุดงค์ของท่านนั้นไม่เคยขึ้นรถหรือเกวียน จากนั้นเดินเท้าเข้าสู่ประเทศพม่าและอยู่ที่นั่นถึง3ปี ออกจากพม่าเข้าสู่ประเทศอินเดียและอยู่ที่นั่นอีก5ปี ออกจากอินเดียต่อมายังประเทศจีนตอนล่างมายังเวียดนามตอนเหนือผ่านมายังประเทศลาวและสุดท้ายก็เข้าสู่มุกดาหาร ซึ่งการธุดงค์ระยะยาวของท่านนั้นทำให้พบกับประสบการณ์ที่มีค่าต่างๆและทำให้ทราบถึงความเป็นจริงของชีวิตและสัจจะธรรม ซึ่งครั้งหนึ่งตอนที่ท่านธุดงค์อยู่นั้น เมื่อปี2500 ท่านก็ได้มาปักกรดที่วัดล้างแห่งหนึ่ง ซึ่งวันหนึ่งในเวลากลางคืนนั้นท่านได้ยินเสียงที่ตรงตามกับนิมิตของท่านว่าให้ช่วยทำนุบำรุงวัดล้างนี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่พระเจ้าตากสินเคยเกณฑ์ชาวบ้านจากนครเวียงจันทร์มาอยู่วัดล้างนี้ที่มีชื่อว่าวัดดอกบัว ท่านได้จำพรรษาที่นี่6พรรษา ซึ่งบริเวณรอบๆนั้นมีชาวบ้านอาศัยเพียง13-14หลังคาเรือน ท่านได้พัฒนาวัดดอกบัวและให้การศึกษาพระธรรมวินัยให้แก่พระภิกษุและสามเณรที่วัดลานคา ในขณะนั้นมีญาติโยมมากมายมานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษาที่กรุงเทพ แต่ท่านก็อยู่ดูแลวัดจนถึงพ.ศ.2507 ท่านจึงมาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพ โดยจำพรรษาที่วัดเลียบราษฎ์บำรุง แต่ไม่ว่าท่านจะจำพรรษาที่ไหนก็แล้วแต่นั้นท่านก็ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาวัดดอกบัวเลยแม้แต่น้อย ถือได้ว่าท่านเป็นพระที่มีวิชาเก่งกล้ามีความเมตตาและเป็นพระนักพัฒนาอย่างแท้จริง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2542 ท่านได้มรณะภาพ อายุได้76ปี ซึ่งทำให้เกิดความเสียใจของเหล่าลูกศิษย์มากมายที่เคารพและศรัทธาในตัวของท่าน

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-24 21:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2016-8-24 21:05

สำหรับการสร้างเหรียญรุ่นแรก ปี2517นั้น เริ่มแรกทางคณะผู้จัดสร้างได้ไปว่าจ้างร้านธรรมประทีป เลขที่57 แถวสะพานหันให้ออกแบบและแกะบล็อกเหรียญรุ่นแรก ซึ่งเฮียหงษ์เจ้าของร้านธรรมประทีป(หงษ์ จันยั่งยืน)เป็นผู้รับผิดชอบ โดยทางคณะผู้จัดสร้างบางท่านใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัววางเงินมัดจำล่วงหน้าไว้ก่อนจำนวน2,000บาท ทางคณะผู้จัดสร้างบอกว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสอีกทั้งในปีนั้นหลวงพ่อจะไปงานที่วัดดอกบัวด้วย ทางคณะผู้จัดสร้างปรึกษากันแล้วได้ข้อสรุปว่าแกะบล็อควัดดอกบัวขึ้นมา มีลักษณะด้านหน้าเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านล่างระบุชื่อ"พระอาจารย์สร้อย ธมฺมรโส" ด้านหลังตรงกลางมีอักขระและปี2517รอบล้อมด้วยอักษรไทยระบุว่า"ศิษย์สร้างถวายงานผ้าป่า วัดดอกบัว อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี" หลังจากนั้นทางโรงงานปั๊มเหรียญลองพิมพ์ออกมาไม่เกิน5เหรียญ ทางคณะผู้จัดสร้างจึงเอาไปให้หลวงพ่อดู พอท่านได้เห็นแล้วนั้น ท่านยังไม่ทันจับเลยแล้วพูดออกมาว่า"หน้าฉันมันดูหนุ่มเกินไป และตอนนี้ตัวท่านอยู่ที่วัดเลียบ" จากนั้นท่านจึงบอกให้ทางคณะผู้จัดสร้างท่านหนึ่งให้ไปแกะบล็อกขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนี้เองทางคณะผู้จัดสร้างท่านนั้นจึงได้ปรึกษากับพระมหาสนิท วัดพระเชตุพล พระมหาสนิทท่านจึงได้แนะนำโรงงานปั๊มเหรียญที่อยู่หลังโรงแรมรอยัล(รัตนโกสินทร์) จึงได้พบกับช่างแกะบล็อกของโรงงานอายุประมาณ60ปีซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเพาะช่างรุ่นที่1 เป็นผู้ที่ออกแบบและแกะบล็อกด้านหน้าให้ มีลักษณะด้านหน้ามีลักษณะเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ระบุชื่อว่า"พระอาจารย์สร้อย ธมฺมรโส" หลังจากที่ช่างได้แกะบล็อกใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางโรงงานจึงปั๊มเหรียญลองพิมพ์ออกมา1เหรียญเท่านั้น คือเหรียญรุ่นแรก(สังข์ทอง)หลังเรียบ เสร็จแล้วนำมาให้หลวงพ่อท่านลองดูรูปแบบอีกครั้ง พอหลวงพ่อสร้อยได้เห็นรูปแบบเหรียญด้านหน้าที่แกะบล็อกขึ้นมาใหม่แล้ว ท่านก็หัวเราะชอบใจบอกว่า"ข้าชอบแบบนี้ หน้าตาเหมือนเจ้าเงาะ"ด้วยเหตุนี้จึงนิยมเรียกเหรียญรุ่นแรกว่า"สังข์ทอง"หรือ"เจ้าเงาะ" ส่วนด้านหลัง ทางคณะผู้สร้างนั้นได้นำเอารูปแบบมาจากเหรียญอาจารย์ฝั้นรุ่น7 แต่ให้ทางหลวงพ่อเป็นผู้เขียนอักขระใหม่อ่านได้ดังนี้คือ
สะ เส นะ
อุ อะ คะ สะ
อะ นิ ทะ สะ นะ
อะ ปะ ติ ยา
อิ สวา สุ
แล้วจึงแกะเป็นตัวอักษรไทยไว้ล้อมรอบ"ศิษย์สร้างถวายอาจารย์ วัดเลียบราษฎ์บำรุง เขตดุสิต กรุงเทพฯ พ.ศ.2517" หลังจากนั้นทางคณะผู้จัดสร้างจึงได้สั่งให้โรงงานปั๊มเหรียญออกมาดังนี้
1.เนื้อเงิน จำนวน 201 เหรียญ
2.เนื้อสำริด จำนวน 500 เหรียญ
3.เนื้อทองแดงรมดำ จำนวน 20,000 เหรียญ ซึ่งทุกเนื้อจะใช้เพียงแค่บล็อคเดียวเท่านั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้วส่วนบล็อคเหรียญรุ่นแรกนั้นได้มีการทำลายและถูกฝังไว้ในใต้พระอุโบสถที่วัดเลียบราษฎ์บำรุง
เหรียญเนื้อเงินที่มีลักษณะด้านหลังเป็นรอยเขยื้อนยันต์กลับหัว จะมีจำนวนประมาณ20เหรียญ เหรียญเนื้อสำริดจะมีสีของโลหะที่แตกต่างกันบางเหรียญแก่ทองแดงก็จะมีลักษณะสีคล้ายเนื้อทองแดงแต่ไม่มีรมดำ บางเหรียญสีออกทองเหลืองก็มี เพราะแต่ละเหรียญที่ปั๊มนั้น โลหะที่ผสมออกมาไม่เท่ากันบ้างก็แก่ทองแดงบ้างก็แก่เงินหรือแก่ทองเหลืองขึ้นอยู่กับช่างที่ทำเหรียญ เนื่องจากเนื้อสำริดเป็นโลหะที่มีความแข็งตัวสูง เวลาปั๊มออกมาจึงผิวไม่เรียบสวย บ้างมีรอยราน,เป็นกาบหรือแตกบ้างในบางเหรียญ ส่วนเนื้อทองแดงผิวจะรมดำทั้งหมด เมื่อตอนถึงวันงานเหรียญเนื้อทองแดงจำนวนหนึ่งได้ถูกใส่ไว้อยู่ในหลุมลูกนิมิตทุกหลุมโดยมีหลวงพ่อสร้อยเป็นผู้นำเหรียญใส่ไว้ในหลุมลูกนิมิต ส่วนเหรียญทั้งหมดนำมาแจกจ่ายผู้ที่มาทำบุญที่วัด โดยทำบุญ200บาทจะได้เหรียญเงิน1เหรียญ,เนื้อสำริด2เหรียญ,เนื้อทองแดง6เหรียญ นอกจากนี้เหรียญที่เหลือจากการแจกที่วัดทั้งหมดนั้น ภายหลังได้นำไปชุบกะหลั่ยทอง ตอกโค็ต ส. ไว้ด้านหน้าบริเวณสังฆาฏิ ซึ่งเหรียญรุ่นแรกนี้ท่านก็ได้ปลุกเสกเดี่ยวทั้งหมด เหรียญรุ่นแรกมีพุทธคุณเด่นในด้านคงกระพัน แคล้วคลาด ซึ่งมีผู้คนเจอประสบการณ์ต่างๆอย่างมากมายจนเป็นที่เลื่องลือของคนในย่านกรุงเทพ-นนทบุรี ซึ่งปัจจุบันนั้นค่านิยมก็ถือว่ายังไม่แพงจึงทำให้น่าเก็บหรือบูชาไว้ใช้ติดตัวครับ ค่านิยมปัจจุบัน เนื้อเงินประมาณหลักหมื่นกลาง,เนื้อสำริดประมาณหลักหมื่นต้น,เนื้อทองแดงรมดำประมาณหลักพันกลาง(ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับสภาพความสวยของเหรียญ)
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-13 09:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
+

[size=16.363636016845703px].เรื่องนี้เป็นเรื่องวาจาอันศักดิ์สิทธิของท่าน ในตอนนั้นปี พ.ศ.37 ขณะนั้น อ.สร้อยท่านได้ติดคุยอยู่กับญาติโยมที่มาหากันล้นกุฏิ อ.โตได้นำใบฎีกาจัดสร้างวัตถุมงคลไปให้ท่านเซ็นเพื่อจัดสร้าง โดนอ.โตได้เพิ่มรายการเหรียญสังข์ทองรุ่นสองเข้าไปด้วยโดยมิได้แจ้งขออณุญาติท่าน ในตอนนั้นท่านก็เซ็นให้ไปโดยที่มิได้ตรวจทาน แต่ท่านนึกได้จึงเรียกอ.โตให้นำใบฎีกากลับมาแก้ใขใหม่ แต่อ.โตกลับตอบท่านว่า ผมรับผิดชอบเองแล้วขึ้นแท็กซี่ออกไป ญาติโยมถามว่าอ้าว[size=16.363636016845703px]ทำมัย อ.โตไม่นำมาให้แก้ใขรายการ อ.สร้อยท่านตอบว่า สร้างไปนอกรายการเหดี๋ยวก็ดับ อีกหนึ่งชั่วโมงทัดมามีโทรศัพย์แจ้งมาจาก ร.พ .วัชิระพยาบาล ว่าอ.โตเกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่ชนกัน อ.โตหัวแตกเย็บ40เข็ม ตามภาพเหรียญสังข์ทองรุ่นแรกปี17 จะสีดำแดง แต่ปี37ของอ.โตจะสีออกคล้ายสัมฤทธิ์และมีคราบเงิน ปรากฏว่ารุ่นที่ อ.โตฝืนคำสั่งสร้างนั้นแทบจะไม่มีคนสนใจเลย ดับจริงๆอย่าง วาจาของ อ.สร้อยท่านว่าใว้จริง...  - อ.สมบัติ ศรีคชา

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
Marine ตอบกลับเมื่อ 2016-10-13 09:31
+

.เรื่องนี้เป็นเรื่องวาจาอันศักดิ์สิทธิของท่าน ในต ...

เหรียญสังข์ทองรุ่นแรกปี17

หน้าตาของเหรียญเป็นอย่างไรครับ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-14 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2016-10-13 09:54
เหรียญสังข์ทองรุ่นแรกปี17

หน้าตาของเหรียญเป็นอย่างไรครับ

รายละเอียดดูตามนี้ครับ
http://www.komchadluek.net/news/detail/217719


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้