ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 7690
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อาจารย์ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี

[คัดลอกลิงก์]

ประวัติท่านอาจารย์ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี แห่งสำนักกุญแจไสยศาสตร์

ถ้าเอ่ยถึงวิชาไสยศาสตร์ สำนักวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง แล้วต้องนึกถึงสำนักกุญแจไสยศาสตร์ ของคุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี เพราะว่าเป็นสำนักฆราวาสของเขาอ้อที่โด่งดังที่สุด มีการเรียนการสอนที่ถึงใจที่สุดสำนักนึง ตั้งแต่ฝึกคงกระพันแล้วเอามีดเฉือน ฟัน ปาดคอ หรือการฝึกมหาอุด โดยการกำประทัดไว้แล้วนำไปจี้กับธูปพร้อมกับภาวนาคาถามหาอุด เสกให้ประทัดด้าน จนถึงขั้นการเสกมหาอุดแล้วใช้ปืนยิงข้ามหัว โดยที่กระสุนไม่ลั่นแม้แต่นัดเดียว การฝึกเสกเสดาะกุญแจโดยการให้ล่ามศิษย์ไว้กับหลักหรือป้ายหลุมศพเพียงคนเดียว โดยให้ภาวนาพระคาถาเสดาะกุญแจ เมื่อเสดาะกุญแจได้แล้วจึงเดินกลับมาหาอาจารย์ การฝึกเสกวิชาเมตตามหาเสน่ห์ ทำให้ศัตรูกลับเป็นมิตร เริ่มจากเสกขมิ้นกับปูนให้ขมิ้นเมื่อสัมผัสกับปูนแล้วปูนไม่เป็นสีแดง เสกมะนาวให้หวานหรือจืด จนถึงขั้นการเสกน้ำมันแล้วนำไปทาลูกหนูกับแมวดุๆ ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ หนูกินนมแมว อีกทั้งความโด่งดังตลอดจนการแสดงฤทธิ์ ในงานพิธีเสกพระยอดขุนพล พระขุนแผนปี 2497 ที่วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราชตลอด 3 เดือน หรือการนำพระไปทิ้งทะเลแล้วขอให้เทวดานำพระมาส่งคืนให้ในพิธีเสด็จกลับ ที่วัดสารอด กรุงเทพฯ อันทำให้พระขุนแผนเสด็จกลับเป็นที่เลื่องลือ ตลอดจนการแสดงฤทธิ์อีกหลายครั้งหลายหน จึงทำให้ชื่อเสียงของคุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ


แต่ยังมีอาจารย์ไสยศาสตร์อีกท่านนึง ที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะจากคุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี โดยตรงตั้งแต่เด็กจนโต ผู้ซึ่งด้วยเปี่ยมพรสวรรค์ทางด้านไสยศาสตร์ สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ตั้งแต่ 7 ขวบ เป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีความโดดเด่นด้านวิชาคงกระพัน(มีดโกนตัดเส้นผมไม่ขาด) เมตตา มหาเสน่ห์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวิชามหาเสน่ห์นี่ขั้นสุดยอดเลยทีเดียว ท่านผู้นี้ก็คือท่าน

อ.ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี บุตรชายของท่าน อ.ชุม ไชยคีรี นั่นเอง

ท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี เกิดเมื่อวันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2493 โดยมี คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี เป็นบิดา คุณแม่บุญสืบ ไชยคีรี เป็นมารดา โดย อ.ณรงค์ฤทธิ์เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน 1.อี๊ด 2.จี๊ด(อ.ณรงค์ฤทธิ์) 3.จิ๋ว 4.เล็ก 5.ตึ๋ง 6.น้อย

เมื่อครั้งวัยเด็ก อ.ณรงค์ฤทธิ์ ก็มีชีวิตปกติตามประสาเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบ ก็มีเหตุให้ท่านได้แสดงพรสวรรค์ทางด้านไสยศาสตร์เป็นครั้งแรก เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งคุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี กำลังสอนคณะศิษย์ เรื่องเสกขมิ้นกับปูน (วิชาเมตตาชั้นสูง) โดยการให้คณะศิษย์เสกขมิ้นกับปูน ให้ขมิ้นเมื่อสัมผัสกับปูนแล้วปูนไม่เป็นสีแดงแต่ในวันนั้นปรากฎว่าไม่มีศิษย์คนใดทำได้เลย อ.ณรงค์ฤทธิ์ในวัยเด็กเดินเล่นในบ้านอยู่ในขณะนั้น อ.ณรงค์ฤทธิ์ เห็นว่าไม่มีใครทำวิชาที่คุณพ่อท่านสอนได้ เกิดมีความคิดในขณะนั้นว่า “ไม่น่าจะยาก” จึงได้เดินเข้าไปกราบเรียนคุณพ่อ อ.ชุม ว่าขอลองทำดูบ้าง เมื่อคุณพ่อท่านอนุญาต จึงได้ทำพิธีลงกระหม่อมรับเป็นศิษย์ตามระเบียบของสำนักกุญแจไสยศาสตร์ แล้วจึงสอนวิชาให้ อ.ณรงค์ฤทธิ์ ลองทำดู ซึ่งวิชาเมตตาชั้นสูงนั้นเป็นวิชาที่ยากวิชาหนึ่ง เพราะจะต้องทำจิตให้ละเอียด สงบเย็น อ.ณรงค์ฤทธิ์ได้ทำการลงยันต์ที่มือทั้ง 2 ข้าง วางขมิ้นไว้มือข้างนึง วางปูน(ที่ใช้สำหรับกินหมากแต่ไม่ใส่สีจึงมีสีขาว)ไว้มืออีกข้างนึง แล้วภาวนาคาถา 4 ตัว แล้วอธิษฐานจากนั้นจึงประกบมือ ทั้ง 2 ข้างเข้าด้วยกัน ปรากฎว่าเมื่อแยกมือทั้ง 2 ข้างออกจากกัน ขมิ้นอยู่ส่วนขมิ้น ปูนอยู่ส่วนปูน คือปูนไม่เป็นสีแดง มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “ขมิ้นกับปูนเข้ากันไม่ได้”

แต่ อ.ณรงค์ฤทธิ์ ทำให้ขมิ้นกับปูนเข้ากันได้ขมิ้นกับปูนไม่เป็นศัตรูต่อกันไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายกัน เป็นผลสำเร็จ จะเห็นได้ว่าเพียงครั้งแรกที่ อ.ณรงค์ฤทธิ์ ฝึกวิชาเมตตาชั้นสูงก็มีผลสำเร็จทันทีนี่นับว่าท่านเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านไสยศาสตร์อย่างแท้จริง

วิชาเสกขมิ้นกับปูนนี้เป็นพื้นฐานของวิชาเมตตาชั้นสูง และใช้สำหรับทำให้คนที่เกลียดกัน เป็นศัตรูต่อกัน คืนดีกลับเป็นมิตรกัน ลองคิดดูสิว่าการที่จะทำให้ศัตรูกลับเป็นมิตรนั้นยากขนาดไหนต้องใช้พลังจิตที่เป็นเมตตาจริงๆเท่านั้นจึงจะทำได้ ท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี เป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้าน เมตตา มหาเสน่ห์อย่างแท้จริง
อนึ่ง คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี ท่านแม้จะเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ แต่ท่านไม่เคยบังคับให้ลูกของท่านคนใดเรียนวิชาไสยศาสตร์เลย นอกจากลูกของท่านจะสมัครใจเรียนเอง คือใครอยากเรียนก็มาขอเรียน ใครไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-27 22:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-5-27 22:15

เมื่อคราวที่ อ.ณรงค์ฤทธิ์ อายุได้ 8 ขวบ วันนั้นคุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี ได้ทำการสอนศิษย์เรื่องวิชาเมตตาชั้นสูง ด้วยวิธีนำหนูและแมวดุๆมา ให้แมวอยู่ในกรงแล้วค่อยทำการเสกน้ำมันมหานิยมหรือที่เรียกกันว่าน้ำมันหนูกับแมว ขณะนั้นคุณพ่อ อ.ชุมได้ให้คนไปรับท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ จากโรงเรียนเพื่อให้มาสาธิตให้เหล่าคณะศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ที่มาเรียนในวันนั้นได้ดู

ครั้น อ.ณรงค์ฤทธิ์ กลับมาถึงที่บ้านคุณพ่อท่านจึงบอกถึงเหตุผลที่ให้คนไปรับพร้อมสั่งให้เสกน้ำมันทาหนูกับแมว ให้แมวไม่ทำร้ายเบียดเบียนหนู ให้หนูกับแมวเป็นมิตรกัน อ.ณรงค์ฤทธิ์จึงทำการเสก เริ่มตั้งแต่อาราธนาขอบารมีครูบาอาจารย์ ว่าคาถาเมตตาชั้นสูงของสำนักกุญแจไสยศาสตร์ แล้วเดินจิตเจริญเมตตา พร้อมทั้งภาวนาพระคาถา 4 ตัว จนจิตเป็นเมตตาชั้นสูงแล้วจึงอธิษฐานให้น้ำมันเป็นเมตตาอย่างถึงที่สุด จากนั้น อ.ณรงค์ฤทธิ์ ได้ทรงอารมณ์เมตตาชั้นสูง พร้อมทั้งภาวนาพระคาถา 4 ตัวอยู่ตลอดเวลา ได้นำน้ำมันที่เสกอธิษฐานแล้วเจิมหนูกับแมว แล้วอธิษฐานว่า.



“หนูเอ๋ยแมวเอ๋ยพวกเจ้าเป็นศัตรูกันมาแต่โบราณ บัดนี้ข้าขอนะ ขอให้เลิกเป็นศัตรูต่อกัน เลิกเบียดเบียนกัน เลิกทำร้ายกัน ขอให้เป็นมิตรต่อกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

จากนั้นก็เป่าพระคาถาไปที่แมวและหนูที่ทำการเจิมน้ำมันเมตตา จนเป็นที่แน่ใจในอำนาจพระคาถาและพลังจิตเมตตาชั้นสูงแล้ว จึงนำหนูกับแมวมาอยู่ด้วยกันพร้อมทั้งภาวนาพระคาถาอยู่ตลอดเวลา เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นโดยที่หนูและแมวต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแมวและหนูต่างก็เดินเข้าไปกินข้าวจานเดียวกัน หนูอยู่ร่วมกับแมวโดยสันติ บรรดาคณะศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ต่างเห็นประจักษ์ด้วยตาในอำนาจแห่งเมตตาชั้นสูงและพรสวรรค์อำนาจจิตของท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ ไชยคีรี ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น.
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-27 22:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-5-27 22:19

ในปี พ.ศ. 2506 คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี

ได้รับเชิญให้เป็นเจ้าพิธีฝ่ายฆราวาสในพิธีพุทธาภิเษกงานหล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริงของพระเทพติยาจารย์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2506 ตรงกับวันเสาร์แรม 5 ค่ำ เดือน 5 (เสาร์5) ในโอกาสนี้ทางวัดได้จัดสร้าง พระสมเด็จ 2 พี่น้อง หลวงพ่อขาว หลวงพ่อดำ ซึ่งสร้างตามตำราของพระคุณท่านราชธรรมกวี ที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม ตามตำราว่าไว้ว่าจะต้องนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 อย่าง ผสมกันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ 1.ว่านยา108ชนิด เจาะจงเอาที่มีคุณวิเศษไม่ซ้ำกัน ขาดเกินมิได้ 2.ดอกไม้ชื่อมงคล108ชนิด มีชื่อไม่ซ้ำกัน (ดอกว่านขันหมากเงิน ดอกว่านขันหมากทอง ขาดมิได้) 3.น้ำจากท่าน้ำต่างๆ108บาง ไม่ซ้ำกันนำมาผสมทำน้ำมนต์พรมว่านยา 4.ดอกไม้บูชาพระประธานในวันเข้าพรรษา108วัด ต้องนำมาถึงพร้อมกันในคืนวันเข้าพรรษา 5. ดอกไม้บูชาพระประธานในวันมาฆบูชา108วัด เริ่มเก็บตั้งแต่พระอาทิตย์ตก จนถึงเที่ยงคืนให้นำมาถึงทีเดียวในวันนั้น รุ่งแล้วมาถึงไม่ครบใช้ไม่ได้ต้องรอใหม่อีก 1 ปี 6. น้ำจากมหานทีต่างๆ9สาย 7. ตะไคร่น้ำจากพระบรมมหาธาตุ9แห่ง 8. ดินโป่ง 9แห่ง 9.แร่ธาตุมงคลต่างๆ 9 ชนิด (มีแร่สังขวานร เป็นต้น)

ท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ พร้อมด้วยคณะศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ก็ได้โอกาสติดสอยห้อยตามคุณพ่อท่านไปด้วย และในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้เกจิอาจารย์ดังซึ่งได้ไปร่วมในงานพิธีพุทธาภิเษกงานเกิดความสนใจในตัวท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ ขึ้นมาจนถึงขั้นอยากได้ตัวไปเป็นศิษย์

เมื่อเริ่มพิธีพุทธาภิเษก คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี อ่านโองการเชิญครูทำพิธีบวงสรวงชุมนุมเทวดาท่าน

อ.ณรงค์ฤทธิ์ พร้อมด้วยคณะศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ก็เข้าร่วมในพิธีด้วย ครั้นเริ่มพุทธาภิเษก คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี ได้ให้โอกาส อ.ณรงค์ฤทธิ์ และคณะศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์นั่งปรกปลุกเสกจับสายสิญจ์ ร่วมกับคณะเกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวนหลายรูป มีรายนามดังต่อไปนี้

1.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน
2.หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา
3.ท่านเจ้าคุณวรพจน์ปัญญาจารย์ วัดอรัญญิกาวาส จ.ชลบุรี
4.หลวงพ่อเจริญ วัดเจริญสุขาราม จ.สมุทรสงคราม
5.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
6.ท่านเจ้าคุณกาญจนวัตรวิบูลย์ วัดลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี
7.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ จ.สุพรรณบุรี
8.หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก จ.สุพรรณบุรี
9.หลวงพ่อรอด วัดประดู่พัฒนาราม จ.นครศรีธรรมราช
10.หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะ จ.กาญจนบุรี
11.หลวงพ่อลำเจียก วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
12.หลวงพ่อปาน วัดหนองปลาไหล จ.นครปฐม
13.หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม จ.นครปฐม
14.ท่านพระครูพินิจสุวรรณภูมิ วัดอู่ทอง
15.หลวงพ่อเทพ สำนักสงฆ์โพธิ์ทองเทพาราม

16.ฐานยุตตฺภิกฺขุ ว.ส. วัดเสน่หา จ.นครปฐม (ท่านเป็นผู้รวบรวมมวลสารในการจัดสร้าง พระสมเด็จ 2 พี่น้อง หลวงพ่อขาว หลวงพ่อดำ ทั้งหมด)

17.หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง 18.หลวงปู่เฮี้ยง จ.ชลบุรี
19.อาจารย์ชุม ไชยคีรี ฯลฯ เป็นต้น


ครั้นเสร็จพิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้เรียก อ.ณรงค์ฤทธิ์ เข้าไปหาและบอกว่า

“ไอ้หนูพลังจิตดีนี่ อยากจะเรียนวิชามั้ย จะสอนให้”

อ.ณรงค์ฤทธิ์ ตอบว่า “ครับ”

จากนั้นหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ถามอีกว่า “ไอ้หนูเป็นลูกใครล่ะ”

อ.ณรงค์ฤทธิ์ ตอบกลับไปว่า “เป็นลูกคุณพ่อชุมครับ”

หลวงพ่อเงินท่านนิ่งไปพักนึงก็บอกกับ อ.ณรงค์ฤทธิ์ ว่า “ถ้างั้นเรียนกับพ่อเถอะ”

จากนั้นก็คุยกันอยู่สักครู่นึง อ.ณรงค์ฤทธิ์ ก็ขอตัวกราบลาหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

เมื่อเดินออกมาได้ซักพักนึง หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ก็เรียก อ.ณรงค์ฤทธิ์ เข้าไปหาท่าน

เมื่อ อ.ณรงค์ฤทธิ์ เข้าไปกราบท่านแล้ว หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง จึงพูดว่า “ใว้โตเป็นหนุ่มแล้วให้มาเรียนวิชากับข้านะ” ที่ท่านพูดอย่างนี้เพราะว่า อ.ณรงค์ฤทธิ์ ยังเด็กมากในขณะนั้น (อายุได้ 14 ปี)

อ.ณรงค์ฤทธิ์ ตอบว่า “ครับ” จากนั้นก็คุยกันเรื่องการฝึกวิชาอยู่ครู่นึง อ.ณรงค์ฤทธิ์ ก็ขอตัวกราบลาหลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทองไปหาคุณพ่อ อ. ชุม ไชยคีรี


จะเห็นได้ว่าท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ มีความโดดเด่นเหนือธรรมดาในด้านพลังจิต จนเป็นที่สนใจของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมและพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ซึ่งทั้ง 2 ท่านตรวจพบถึงพลังจิตของ อ.ณรงค์ฤทธิ์ ในสมาธิขณะพุทธาภิเษก ทั้งๆที่มีผู้ร่วมปลุกเสกเป็นจำนวนมาก แต่เกจิอาจารย์ชื่อดังก้องฟ้าเมืองไทยทั้ง 2 ท่านก็ยังทราบว่าเป็นพลังจิตของท่าน อ.ณรงค์ฤทธิ์ ซึ่งในขณะนั้นอายุยังน้อยแต่มีพลังจิตสูงนับว่าไม่ธรรมดา และเป็นบุคคลหาได้ยาก ท่านทั้ง 2 ถึงกับเอ่ยปากชักชวนให้ไปเป็นศิษย์ทั้งๆที่พบหน้าเพียงครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วเกจิอาจารย์ระดับนี้ ไม่ค่อยจะรับศิษย์ง่ายๆ จึงมีแต่คนไปขอเรียนวิชาอยากฝากตัวเป็นศิษย์





พระว่านยาหลวงพ่อดำและหลวงพ่อขาวมีพระพุทธคุณและอุปเท่ห์การบูชาอยู่ในตำรา ซึ่งกล่าวไว้ว่าพระหลวงพ่อขาวมีมหิทธานุภาพ ทางแคล้วคลาดภยันตรายและเป็นเมตตามหานิยม อำนวยโชคลาภผล พระหลวงพ่อดำทรงมหิทธานุภาพ ทางคงกระพันชาตรีป้องกันสรรพาวุธสัตว์เขี้ยวเล็บงา และภูตผีปีศาจ


อุปเท่ห์การนำพระว่านยาทั้งสองชนิดติดตัว หรือแก้ไขคุณไสยและบรรดาพิษภัยร้ายทั้งปวง
ให้ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณ แล้วจึงบริกรรมพระคาถา

“นะโม อิสวาสุ อิติตังสะปาระมิโย อารักขันตุ” ครบ 3 คาบก็จะประสิทธิเมรถนา

หากถูกอสรพิษหรือแมลงมีพิษกัดต่อย ให้อาราธนาพระว่านยาชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้
นำมาฝนกับน้ำมะนาวทาหรือปิดปากแผล ถ้าถูกยาพิษยาเบื่อมา ถูกคุณไสยหรือภูตผีปีศาจกระทำ
ก็ให้อาราธนาพระว่านยาอย่างใดอย่างหนึ่งสรงน้ำและนำน้ำมาประพรมศรีษะแล้วให้ผู้ป่วยดื่ม
ก็จะสามารถแก้ไขได้


พระว่านยาทั้งสองชนิดนี้มีข้อห้ามอยู่ด้วยว่า อย่าได้นำพระไปใช้ในทางทุจริตผิดกฎหมาย และศีลธรรมเป็นอันขาด ซึ่งหากฝ่าฝืนจะเกิดโทษนานาประการ ตรงกันข้ามถ้านำไปใช้ในทางที่ชอบก็ถูกที่ควรแล้ว จะเกิดสิริมงคลอย่างอนันต์



ที่มา.http://namapata.wordpress.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้