ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2807
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประวัติพระอชิตะ ผู้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยไฟ

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติ พระอชิตะ อดีตชาติของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล เพื่อรับพุทธพยากรณ์
                                                                 ประวัติพระอชิตะ


อดีตชาติของพระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล
ซึ่งมาบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อรับพุทธพยากรณ์

                     "พระอชิตะ" คือ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง
                     พระอชิตะเมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์ (ผ้า ๒ ผืน)ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่าพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวายให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับเพราะเพื่ออนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิดภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเองเพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า
                     พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึงไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทานโดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภทแห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์.เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนาทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไปหาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูปใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะท่านจึงรับไว้. ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาคแต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับแต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนางพระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรงพระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมีพระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่าพระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยนบาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆอันตธานไปมิได้ปรากฏ ในลำดับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวกทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา
               
                       ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธองค์ได้ แลอาตมะนี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉนพระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมาพระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า
                     
                “อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้งหลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจากสงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อยบริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมาสถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ”


                      พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไปขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือของพระอชิตะ พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่า

                      บาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลายแลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่. พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะแล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถานเมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่านจึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่านห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต.พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านอชิตภิกษุรูปนี้เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรยพุทธเจ้าในอนาคต(๑) ในอนาคตวงศ์(๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้าเมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า
“อชิตะ”





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-6-24 18:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทรงพยากรณ์ว่าพระอชิตะจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต



บันทึกภาพต้นฉบับจากบ้านคหบดีตระกูลพงศ์มฆพัฒน์ กทม. (10 มิ.ย. 49)
ทรงพยากรณ์ว่าพระอชิตะจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ทรงอุบัติในกาลที่มีพระเจ้าจักรพรรดิด้วย


ลำดับนั้นพระบรมครูทรงสถิตเหนือบวรธรรมาสน์ ทอดพระเนตรซึ่งพระอชิตภิกษุแล้ว กระทำพระอาการแย้มพระโอษฐ์ อันว่าพระพุทธรังสีก็โอภาสออกจากเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ พร้อมกันกับลำดับแห่งสิตุบาทแห่งพระโลกนาถนั้นรุ่งเรืองไพโรจน์ จึงพระอานนทเถระเจ้าผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกก็ทูลถามว่าเหตุเป็นดังฤๅ? พระพุทธองค์จึงทรงกระทำซึ่งสิตุบาท พระมุนีนาถก็มีพุทธฎีกาตรัสพยากรณ์ทำนายว่า ดูกรอานนท์ อันว่าพระอชิตภิกษุซึ่งเป็นสังฆนวกะนี้จะได้ตรัสเป็นองค์พระชินสีห์ทรงพระนามพระเมตไตรยในอนาคตภายหน้า ในมหาภัทรากัลป์นี้ ด้วยอานิสงส์แห่งวัตถุบูชาแก่ตถาคตด้วยจิตประสาทโสมนัส

ดูกรอานนท์ กาลเมื่อศาสนานี้อันตรธานแล้วจะบังเกิดสัตถันตรกัลป์ เมื่อสัตถันตรกัลป์ล่วงแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่บังเกิดจะมีอายุเจริญขึ้นไปโดยลำดับ ตราบเท่าถึงอสงไขยเป็นกำหนด แล้วจะกลับลดถอยน้อยลงมาจะตั้งอยู่ ๘๐,๐๐๐ ปี ครั้งนั้นเมืองพาราณสี จะเปลี่ยนนามบัญญัติชื่อเกตุมดีมหานครเป็นที่เกษมสุขสโมสรสรรพประชา ครุวนาดุจอาลกมัณฑาเทพธานีอันมีในชั้นจาตุมหาราช กำหนดโดยยาวได้ ๑๒ โยชน์ กว้างได้ ๒ โยชน์มีประมาณกาลนั้น

อันว่าสัตตรัตนปราสาทแห่งพระยามหาปนาทประมาณโดยยาวได้โยชน์หนึ่ง โดยกว้างกึ่งโยชน์ โดยสูงห้าโยชน์ มีพื้นได้ ๗ ชั้นรุ่งเรืองรุจิโรภาส เพียงไพชยันตทิพยปราสาท ประดิษฐานในท่ามกลางพระนคร ด้วยบุญญานุภาพแห่งเชษฐนฬการเทพบุตร เชษฐนฬการเทพบุตรจะจุติจากเทวโลก ลงมาบังเกิดเป็นราชบุตรบรมกษัตริย์ อันเสวยสมบัติในกรุงเกตุมดี จะมีพระนามสังขขัติยกุมาร

กาลเมื่อชนมายุได้ ๗ ขวบ จะสำเร็จรู้ในศิลปะศาสตร์ทั้งปวง เมื่อเจริญวัยวัฒนาการจะได้ราชาภิเษก แลปราสาทนั้นก็จะมาจากคงคา จะได้กระทำอาวาหมงคล แลเคหประเวศน์มังคลราชาภิเษกในปราสาทนั้น จะได้สืบเสวยมไหศวรรย์สันตติวงศ์ดำรงราชพิภพแทนพระราชบิดา แลจะประพฤติในทศจักรวัตติวัตรอันศึกษาในสำนักสุพรหมพราหมณาจารย์

ถึงวันบัณณรสีอุโบสถบุพพัณหกาล สรงสนานมุรธาภิสิตธาราแล้วรักษาอุโบสถศีล ณ เบื้องบนปราสาท ลำดับนั้น จักรแก้วก็เลื่อนลอยขึ้นมาจากมหาสมุทรฝ่ายปาจิณโลกธาตุ ด้วยบุญญฤทธิวิจิตรไปด้วยดุมกง กอปรไปด้วยกำถึง ๑,๐๐๐ แลบริบูรณ์ด้วยอลังการทั้งปวง ลำดับนั้นอันว่า กุญชรช้างแก้วรัตนก็เหมาะมาแต่ตระกูลอุโบสถ แลม้าแก้วดุรังครัตนก็เหาะมาแต่ตระกูลพลาหกในหิมพานต์ แลมณีรัตนก็เลื่อนลอยมาแต่ภูผาวิบุลบรรพต แลนางแก้วก็เลื่อนลอยมาแต่อุตตรกุรุทวีป แลคหบดีรัตนปริณายกรัตนก็บังเกิดขึ้นในพระนครนั้น แลพระยาสังขบรมจักรพัตราธิราชบริบูรณ์ด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการ มีอาณาปริวัตแผ่ซ่านไปทั่วทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร แลสุพรหมพราหมณปุโรหิตาจาริย์นั้นสั่งสอนอรรถธรรมแก่กรุงกษัตริย์สังขจักรพัตราธิราช เป็นที่อภิวาทน์เคารพสักการบูชาแห่งบรมขัตติยาธิบดี

https://palungjit.org/threads
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้