ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 64020
ตอบกลับ: 164
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ (พระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่7) <<

[คัดลอกลิงก์]
ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
(พระราชลัญจกรประจำรัชกาล พระเจ้าชัยวรมันที่7)



    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ กล่าวกันว่าเป็นตราอาญาสิทธิ์จักรพรรดิ์ (ถ้าใครเคยดูหนังจีนคงเคยได้ยิน ผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้จะมีตราอาญาสิทธิ์เช่นเดียวกัน) ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ 7 ซึ่งพระองค์ทรงพระขรรค์อาญาสิทธิ์อยู่ภายในจักร ด้านข้างทั้งสี่ทิศ มีรูปเทพอสูร กาละกำลังคาบพญานาคคู่ พร้อมด้วยอุณาโลมทั้งแปดทิศ
ด้านหลังประกอบด้วยรูปแปดเหลี่ยมจำนวน มิติสามชั้นลดหลั่นลงไป ตรงกลาง เป็นพระพักตร์ของพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวรแต่ปรากฏเพียงสาม อีกพระพักตร์หนึ่งอยู่ด้านหลัง

    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ เสาหลักมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรบายน เป็นการจำลองจักรวาลและสระอนวตัปตา เป็นภาพเชิงซ้อนในดวงตราเดียวกัน ตามคติไตรภูมิขอมโบราณด้วยหลักการสถาปนาพระเจ้าศรีชัยวรมันขึ้นเป็นสมมติเทพ จอมจักรพรรดิ์ เป็นตราอาญาสิทธิ์ซึ่งสร้างในฐานะตัวแทนของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราชเป็นดวง ตราตัวแทนของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราชเป็นดวงตราตัวแทนของสาระแห่งราชอำนาจ ของพระองค์ท่าน

    ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ ขนาดประมาณ 4 cm. ชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย โดยมีมวสารสำคัญคือผงอาถรรพณ์ของราชวงศ์วรมันสรรพสิทธิ์ ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ 7 แห่งอาณาจักรบายน ผงนี้เป็นผงที่นำมาจากหินศิลาอาถรรพณ์ที่ขุดได้จากปราสาทบายน ซึ่งลงอาถรรพณ์ราชาเวทไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน เป็นผงที่มีพลังมหัศจรรย์มากซึ่งคล้ายกับผง "โสฬสมหาพรหม" ซึ่งเคยมีคนนำไปให้พระที่มีอภิญญาสูงดูหลายท่านเอ่ยบากบอกว่าดีๆมากๆ บางองค์ถึงกับยกมือไหว้ท่วมหัวพร้อมกับกล่าวมา ผงนี้ดีมากๆนะเก็บไว้ให้ดี "มีฤทธิ์ตบะเดชะ อย่างสูงส่ง แรงกล้า"

         นอกจากนั้นยังมีผงของหลวงปู่ดี วัดเขากุเลน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ชื่น และผงจากผู้มีจิตศรัทธาได้ส่งมาร่วมอนุโมทนาในการสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ ด้วยอาทิเช่น คุณวรพัฒน์ มอบผงนะปัดตลอด หลวงปู่โต๊ะ/ผงธัมมวิกโก เจ้าคุณนรรัตน์/ผงขมิ้นหิน/ คุณนารายณ์/มอบผงกะลามหาอุด/ผงปูนพระพุทธรูปโบราณ/ คุณวรวิทย์มอบผงหลวงพ่อกวย และพระปรกโพธิ์ 9 ใบที่ชำรุดแตกหัก 1 ถุงใหญ่/ผงมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ /คุณจินดามอบผงสมเด็จวัดระฆัง/ ผงพระแตกหัก 1 ถุงใหญ่/ผงขุยนาคราช/ผงจินดามณี/ผงวิเวษต่างๆอีกมากจากหลายท่านที่ร่วม อนุโมทนา หลวงปู่ยังฝากบอกแก่ผู้ ศรัทธาบูชาวัตถุมงคลว่าคิดเป็นการซื้อขาย ให้คิดว่าเป็นที่ระลึกในการร่วมทำบุญ ถ้าทำได้อย่างนี้จะได้กุศลบุญมาก กว่า จะบูชาวัตถุมงคลถูกหรือแพงได้บุญเท่ากันหมด สำคัญที่จิตศรัทธามั่นคงจริงใจต่างหาก ในพิธีราชาภิเษกวัตถุมงคล รุ่นชัยมหานาถนี้ครูบาอาจารย์ที่ร่วมอธิฐานฤทธิ์ได้เล่านิมิตที่เห็นตรงกัน หลายท่าน วัตถุมงคลรุ่น ชัยมหานาถสำเร็จ ด้วยพระมหาบรมเดชา นุภาพ มหิธฤทธิ์ อันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราช ใครมีให้มั่นบูชาอย่าคิดว่าเป็นของใหม่แม้นแต่ ครูบาอาจารย์ที่มา ร่วม พิธีถึงกับการันตีถึงความแรงความขลังในพิธีนี้และหลังจากผู้นำวัตถุมงคลชุด นี้ไปบูชาก็ประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคลาภ บางบ้านฮวงจุ้ยไม่ดี นำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้านกิจการงานดีขึ้นทันตาเห็น บางรายก็ป่วยอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองค์ท่านก็อยู่รอดปลอดภัย อย่าง น่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
>> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ <<

          "ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ"ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราช ๗ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบายนย้อนอดีตพลิกฟื้นตำนานอาถรรพณ์เวทย์หลวงปู่ชื่นท่านได้ทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกบรรจุราชาเวทย์ อาถรรพณ์เวทย์ต่างๆทำการปลุกเสกเดี่ยวยาวนานหลายเดือนอีกทั้งหลวงปู่ชื่นท่านได้นำดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ นี้ไปปลุกเสกบนปราสาทเขาพนมรุ้งอีกด้วยและได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสุดท้ายใน วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๙.๐๐ น.บวงสรวงเชิญบารมีบรรจุอาถรรพณ์ราชาเวทย์ ณ อุโบสถวัตตาอี โดยมีหลวงปู่ชื่นและพระมหาเถระ และพระเกจิ คณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่านอาทิ พระมหาเถระอย่างหลวงปู่ธรรมรังษีวัดพระพุทธบาทพนมดิน และพระเกจิชื่อดังเช่น หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด , หลวงปู่หงส์ วัดเพชรบุรี , หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทาน, หลวงปู่คีย์ วัดศรีลำยอง , หลวงปู่ธีร์วัดจันทร์ทราวาส และคณาจารย์ต่างๆ อีกมากมาย หลังจากพิธีพุทธาภิเษกหลวงปู่ชื่นท่านเล่าว่า พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ทรงเสด็จลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วย ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถนี้พุทธคุณครอบจักรวาลดีครบถ้วนทุกด้าน

พุทธคุณ :ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
วัตถุมงคลรุ่น ชัยมหานาถ นี้พระมหาเถระ และเกจิคณาจารย์ที่ร่วมอธิฐานฤทธิ์รวมถึงหลวงปู่ชื่นท่านได้เล่าถึงนิมิตที่เห็นตรงกันว่า วัตถุมงคล รุ่นชัยมหานาถสำเร็จ ด้วยพระมหาบรมเดชานุภาพ มหิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราชพระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ ลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วยหลังจากผู้นำวัตถุมงคลชุด นี้ไปบูชาก็ประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคลาภเป็นเมตตามหานิยม ขจัดปัญหาอุปสรรคบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญรุ่งเรืองเป็นตบะเดชะมหาอำนาจ คุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวง ขจัดปัดเป่า ป้องกัน ถ่ายถอนสิ่งชั่วร้าย   อำนาจของคุณไสยและเสนียดจัญไรทั้งปวง บ้านใดร้านใดฮวงจุ้ยไม่ดี ทำเลตรงทางสามแพร่งนำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้าน หรือร้านค้ากิจการงานดีขึ้นทันตาเห็นป่วยอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองศ์ท่านก็อยู่รอดปลอดภัยอย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่ง เป็นดั่งอำนาจของพระพุทธคุณและเทพเทวาปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง
มวลสาร :ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ

ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถนี้ หลวงปู่ชื่นได้จัดสร้างมาจากผง "ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ"ผงนี้เป็นผงที่มีพลังมหัศจรรย์มากซึ่งคล้ายกับผง "โสฬสมหาพรหม" สำหรับผง"ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ" หลวงปู่ชื่นท่านใช้หินศิลาอาถรรพณ์ที่ปราสาทบายนที่ลงอาถรรพณ์ราชาเวทไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน มหาราช นำมาบดเป็นหัวเชื้อและยังมีดินใจกลางปราสาททุกปราสาท และวัตถุอาถรรพณ์ต่างๆอีกมากมายที่หลวงปู่เดินทางไปนำมาสร้างวัตถุมงคลด้วยตัวเอง เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้นอกจากนั้นยัง ได้ผงต่างจากหลวงปู่ดี และผงจากศิษยานุศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาได้มอบมวลสาร เช่น ผงนะปัดตลอด หลวงปู่โต๊ะ , ผงธัมมวิกโก เจ้าคุณนรรัตน์, ผงขมิ้นหิน , ผงกะลามหาอุด , ผงปูนพระพุทธรูปโบราณ , พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลวงพ่อกวยที่ชำรุดแตกหัก ๑ ถุงใหญ่ , ผงมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ ,ผงสมเด็จวัดระฆัง ที่แตกหัก , ผงขุยนาคราช ,ผงจินดามณี , ผงพุทธคุณ และผงวิเศษต่างๆอีกมากมาย

ปีที่จัดสร้าง: ๒๕๔๖
จำนวนการจัดสร้าง: ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ(เนื้อสีน้ำตาลอมดำ) เนื้อพิเศษ (บูขาครู)ฝังตะกรุดทองคำ ๘ ดอก จำนวนการสร้าง ๑๙องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ(เนื้อสีน้ำตาล) ฝังตะกรุดทองคำ ๔ ดอก จำนวนการสร้าง ๒๑ องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ(เนื้อสีน้ำตาล) ฝังตะกรุดทองคำ ๒ ดอก จำนวนการสร้าง ๕๖ องค์
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ(คละสี ขาว , แดงและดำ) จำนวนการสร้าง ๒,๐๐๐ องค์
ขอขอบคุณ....อ.สรายุทธ  และเวปฯบ้านจอมพระ   ได้ให้ข้อมูลดีๆ เพื่อนำมาเผยแพร่  ให้กับผู้ศรัทธาทุกท่านคับ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
>>>เรื่องเล่า...กล่าวขาน<<
    >> ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ <<


"ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ" ของพระเจ้าชัยวรมันมหาราช ๗ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบายน ย้อนอดีตพลิกฟื้นตำนานอาถรรพณ์เวทย์ หลวงปู่ชื่นท่านได้ทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกบรรจุราชาเวทย์ อาถรรพณ์เวทย์ต่างๆ ทำการปลุกเสกเดี่ยวยาวนานหลายเดือน อีกทั้งหลวงปู่ชื่นท่านได้นำดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ นี้ไปปลุกเสกบนปราสาทเขาพนมรุ้งอีกด้วย และได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสุดท้ายใน วันที่ ๑๐ธันวาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๙.๐๐น. บวงสรวงเชิญบารมีบรรจุอาถรรพณ์ราชาเวทย์ ณ อุโบสถวัตตาอี โดยมีหลวงปู่ชื่น และพระมหาเถระ และพระเกจิ คณาจารย์ที่มีชื่อเสียง  พระมหาเถระอย่างท่าน


-หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทพนมดิน
-หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด
-หลวงปู่ธีร์ วัดจันทร์ทราวาส และคณาจารย์ต่างๆ อีกมากมาย
หลังจากพิธีพุทธาภิเษก หลวงปู่ชื่นท่านเล่าว่า พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ ทรงเสด็จลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วย ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถนี้ พุทธคุณครอบจักรวาลดีครบถ้วนทุกด้าน


พุทธคุณ : ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
วัตถุมงคล รุ่น ชัยมหานาถ นี้พระมหาเถระ และเกจิคณาจารย์ที่ร่วมอธิฐานฤทธิ์ รวมถึงหลวงปู่ชื่นท่านได้เล่าถึงนิมิตที่เห็นตรงกันว่า วัตถุมงคล รุ่น ชัยมหานาถสำเร็จ ด้วยพระมหาบรมเดชานุภาพ มหิทธิฤทธิ์ อันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระเจ้าศรีชัยวรมันมหาราช พระโพธิสัตว์ชัยมหานาถพระเจ้าชัยวรมันมหาราชที่ ๗ ลงมาปลุกเสกและอวยชัยให้ด้วย หลังจากผู้นำวัตถุมงคลชุด นี้ไปบูชาก็ประจักษ์แจ้งถึงอิทธิคุณ มีโชคลาภ เป็นเมตตามหานิยม ขจัดปัญหาอุปสรรคบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญรุ่งเรือง เป็นตบะเดชะมหาอำนาจ คุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวง ขจัดปัดเป่า ป้องกัน ถ่ายถอน สิ่งชั่วร้าย อำนาจของคุณไสย และเสนียดจัญไรทั้งปวง บ้านใดร้านใดฮวงจุ้ยไม่ดี ทำเลตรงทางสามแพร่ง นำดวงตราอาถรรพณ์ติดหน้าบ้าน หรือร้านค้ากิจการงานดีขึ้นทันตาเห็น ป่วยอาการสาหัสอธิษฐานขอชีวิตจากพระองศ์ท่านก็อยู่รอดปลอดภัย อย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่ง เป็นดั่งอำนาจของพระพุทธคุณและ เทพเทวาปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง


มวลสาร : ดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ
ดวงตาอาถรรพณ์ชัยมหานาถ นี้ หลวงปู่ชื่นได้จัดสร้างมาจากผง "ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ" ผงนี้เป็นผงที่มีพลังมหัศจรรย์มากซึ่งคล้ายกับผง "โสฬสมหาพรหม" สำหรับผง "ราชวงค์วรมันสรรพสิทธิ" หลวงปู่ชื่น ท่านใช้หินศิลาอาถรรพณ์ที่ปราสาทบายน ที่ลงอาถรรพณ์ราชาเวทไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน มหาราช นำมาบดเป็นหัวเชื้อ และยังมีดินใจกลางปราสาททุกปราสาท และวัตถุอาถรรพณ์ต่างๆ อีกมากมายที่หลวงปู่เดินทางไปนำมาสร้างวัตถุมงคลด้วยตัวเอง เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นยัง ได้ผงต่างจากหลวงปู่ดี และผงจากศิษยานุศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาได้มอบมวลสาร เช่น ผงนะปัดตลอด หลวงปู่โต๊ะ , ผงธัมมวิกโก เจ้าคุณนรรัตน์ , ผงขมิ้นหิน , ผงกะลามหาอุด , ผงปูนพระพุทธรูปโบราณ , พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลวงพ่อกวย ที่ชำรุดแตกหัก ๑ ถุงใหญ่ , ผงมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ , ผงสมเด็จวัดระฆัง ที่แตกหัก , ผงขุยนาคราช , ผงจินดามณี , ผงพุทธคุณ และผงวิเศษต่างๆ อีกมากมาย


ปีที่จัดสร้าง : ๒๕๔๖
จำนวนการจัดสร้าง
-เนื้อบูชาครู ๑๙องค์
-เนื้อตะกรุดทอง๔ดอก  ๒๑องค์
-เนื้อตะกรุดทองคำ๒ดอก  ๕๖องค์
-เนื้อผงราชวงศ์วรมันสรรพสิทธิ
(เนื้อขาว,ดำ,แดง)   ๒๐๐๐องค์


คาถาบูชา
นะโม ๓ จบ
อาถรรพณ์โธ โมสิตัง วะคะริงคะรัง อิสะวาสุ
อิ อาถรรพณ์โธ โมสิตัง วะคะริงคะรัง สุสะวาอิ
ชะยะ ชะยะ วะระมัตตะ โพติสะโต ปุตะโร นะโมเยอ
สะมุฮะคะโต สัมมา สัมพุทเธนะ
ชะยะ วะระมัตตะโช โพติสะโต วะระมัตตะโชติ
เสด็จพ่อศรีราชาเวท ประสิทธิ ภะวันตุเม


( พำนักนี้....มีมากกว่าความ “ขลัง” )
ขอขอบคุณ...ข้อมูลดีๆ  จาก อ.สรายุทธ และ เวปฯบ้านจอมพระ     


แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-1 10:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


              คติความเชื่อเกี่ยวกับเกียรติมุข ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ทั้งในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ใช้เป็นสิ่งประดับตามเทวสถานและพุทธสถาน เพื่อแสดงความเป็นเกียรติและเป็นมงคล และขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้เข้ามาสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณภายใน

                ที่มาของเกียรติมุข เข้าใจว่ากำเนิดในประเทศอินเดียก่อน บางท่านกล่าวว่ามีการกำเนิดในประเทศใดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย อาจจะได้มาจากประเทศธิเบต บางท่านก็ว่ากำเนิดที่ประเทศจีน มีรูปแบบซึ่งเรียกว่า เต้าเจ้ ปรากฏอยู่ ภาชนะสำริดของจีน สมัยช่วง 850 - 880 ปีก่อนพุทธกาล เป็นทำนองเดียวกับเกียรติมุขของอินเดีย หมายถึงเทพเจ้าผู้ตะกละ จากนั้นได้แพร่ไปทางบกไปยังประเทศอินเดีย ปรากฏอยู่ในศิลปะอินเดียสมัยอมราวดีและคุปตะ

                ในประเทศไทย สันนิษฐานว่า เกียรติมุขคงแพร่เข้ามาในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย โดยได้พบหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทำเป็นรูปประดับลายกาบที่เชิงซุ้มเจดีย์ สำหรับที่สุโขทัย พบที่ทำเป็นลายประดับยอดซุ้มหน้าบัน วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย suandhon08 เมื่อ 2013-5-5 19:46
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-5 07:47
ต้องเก็บเพิ่มน่ะครับ
เผื่อไว้ช่วยเหลือคนอื่น ...

  ต้องแล้วแต่โอกาสหละครับ  

  ช่วยขยายรายละเอียดเรื่องการเอาไปช่วยคนอื่นด้วยครับ  
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 10:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน
ปฏิบัติธรรมที่สวนป่าสมุนไพร เพชรบูรณ์ ท่านมีพรรษาร้อยกว่าปี

             กล่าวยืนยันกับ คุณจิตติพล ทวีศรี ว่ารูปแบบดวงตราอาถรรพณ์ชัยมหานาถ มีอยู่จริงซุกซ่อนอยู่ใจกลางปราสาทบายน ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงไม่สามารถนำออกมาได้





             ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ดวงตราแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลวงปู่ชื่น ท่านเป็นผู้ค้นพบ และนำออกมาเปิดเผยเป็นท่านแรก




        หน้ากาลที่ปรากฎอยู่ในพระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ทรงแสดงเห็นถึงบรมเดชานุภาพตลอดกาล


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 11:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจาะลึกประวัติความเป็นมาของ
ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ !!


ทราบหรือไม่??
ดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ก่อนจะได้ชื่อนี้ เคยได้ชื่อว่า
ดวงตราอาถรรพ์ชัยตฎากะ

มาก่อน!!




      เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับ สระชัยตฎากะ แน่ๆ ซึ่งปัจจุบันคือ ปราสาทนาคพันนั่นเอง แล้วจะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกัน ?? กับดวงตราอาถรรพ์ฯ โอ้ว ว้าว แค่คิดก็ดูน่าติดตามมากเลยใช่มั้ยคร๊าบ และดูแบบผิวเผินไร้ภูมิความรู้แล้ว ด้านหลังดวงตราอาถรรพ์ชัยมหานาถ ช่างคล้ายแผนผังของปราสาทนาคพันเสียจริง!  เรื่องราวที่่แท้จริงจะเป็นเช่นไร ต้องรอผู้รู้มาชี้แจงแถลงไข เพราะผมรู้น้อยขอลงข้อมูลปูพื้นฐานก่อนแล้วกันครับ





ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 13:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปราสาทนาคพัน
ปราสาทนาคพัน (ศิลปะแบบบายน พ.ศ.1724-1780)



          พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นกลางบาราย “ชัยตฏากะ” แต่ในปัจจุบันตื้นเขินหมดแล้ว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกเมืองพระนครหลวง
ชื่อเดิมของปราสาทแห่งนี้ปรากฏอยู่ในจารึกว่า “ราชัยศรี” ส่วนชื่อปราสาทในปัจจุบันเรียกว่า “นาคพัน” นั้นได้มาจากรูปนาคสลักจากศิลา 2 ตนพันกันล้อมรอบฐานล่างสุดของปราสาท

         
คำว่า “ราชัยศรี” ศ.ฌอง บวซเซอลิเย่ร์ ตีความว่าหมายถึง เครื่องเสริมพระราชอิสสริยยศ ตั้งอยู่ทางทิศมงคล คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง

ข้อมูลจาก :
http://accomtour.blogspot.com/2008/02/blog-post_8082.html





          “พระเจ้าชัยวรมันที่ 7”  โปรดให้ขุดสระน้ำขนาด กว้าง 0.9 กิโลเมตร ยาว 3.5 กิโลเมตร ขึ้นทางเหนือของบารายตะวันออก เรียกชื่อตามจารึกว่า “ชยฏฎะกะ” ตามชื่อเมืองพระนครหลวงที่สถาปนาขึ้นใหม่ “นครชยศรี” ที่ล้อมรอบด้วย คูน้ำชื่อ “ชยสินธุ” มีกำแพงชื่อ “ชยคีรี” และมี “มหาปราสาทไพชยนต์" (ที่ประทับแห่งผู้ครองสวรรค์) 54 ยอดปราสาท เป็นศูนย์กลางแห่ง “จักรวรรดิ (Empire)”



        ที่กลางบารายชยฏฎะกะ สร้างเป็นเกาะแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีสระน้ำขนาดเล็กบนเกาะ 13 แห่ง ประกอบด้วยสระใหญ่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยสระขนาดเล็กกว่าทั้ง 4 ด้าน ด้านนอกมีสระ 8 สระแทนความหมาย "ดอกบัวแปดกลีบ” ล้อมรอบอยู่ชั้นนอก  บารายและสระน้ำทั้งหมดไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่แล้วในในยุคปัจจุบันครับ



         ที่ตรงกลางสระใหญ่มีชื่อว่า “ราชยศรี”  มีปราสาทตั้งอยู่บนฐานรูปวงกลมทำเป็นรูปกลีบบัว ฐานล่างทำเป็นรูปนาคสองตัวพันหางล้อมรอบฐาน

     ก็เพราะที่มีนาคพันล้อมรอบนี่แหละ ปราสาทกลางบารายแห่งนี้จึงได้ชื่อใหม่ในยุคหลังว่า “ปราสาทเนียคเปรียง” หรือ “ปราสาทนาคพัน” ไงครับ !!!

         ด้านหน้าปราสาทในสระน้ำ มีรูปของม้า “พลาหะ” ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่กำลังช่วยเหลือมวลมนุษย์จากเรือล่ม (หรือจากกิเลส) หันหน้าเข้าสู่นิพพาน (ปราสาท)

        ปราสาทกลางบารายในยุคนี้ เปลี่ยนแปลงคติความเชื่อจากที่เคยเป็นเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับแห่งองค์พระศิวะ หรือ “ไวยกูณฐ์” ที่ประทับแห่งองค์พระนารายณ์  กลายมาเป็น “สระอโนดาต” สระน้ำศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาหิมาลัยในคัมภีร์พุทธศาสนาสายวัชรยาน อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อันได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสินธุและแม่น้ำพรหมบุตร


         เมื่อน้ำเต็มในสระใหญ่ น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ก็จะไหลผ่านออกมายังสระเล็กทั้ง 4 ทิศ ผ่านศีรษะของรูปสลักช้าง สิงห์ เทพเจ้าและม้า เชื่อกันว่าแทนความหมายของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หากผู้ต้องการน้ำเพื่อการรักษาโรค ก็ต้องเลือกช่องซุ้มน้ำให้ถูกโฉลกกับ ”ธาตุ” ของตน


ที่มา : คุณศุภศรุต  http://www.oknation.net/blog/voranai/2011/04/30/entry-1

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
            แผนผังของปราสาทนาคพันแสดงให้เห็นถึงรูปสัญลักษณ์ของสระอโนดาต หรือสระพนงต์ปตา หมายถึง สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาหิมาลัย



           สระน้ำนี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา,แม่น้ำสินธุ และแม่น้ำพรหมบุตร สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนาว่าเป็นสระน้ำที่บริสุทธิ์เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง4 สายที่ไหลมาหล่อเลี้ยงมนุษย์โลก



          น้ำในสระอโนดาตจะไม่เหือดแห้งตราบใดที่ยังไม่ถึงวาระสุดท้ายแห่งกัลป์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างรูปสัญลักษณ์แห่งสระอโนดาตขึ้นในราชอาณาจักรของพระองค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางจิตใจให้แก่ชาวเขมรว่า ราชอาณาจักรของพระองค์จะมีอายุยืนยาวนานเท่านานชั่วกัลป์



         สัญลักษณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยแผนผังของศาสนสถานที่ประกอบด้วยสระน้ำ 5 สระ โดยมีสระรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 70 x 70 เมตรอยู่ตรงกลาง รอบสระกรุด้วยศิลาเป็นขั้นบันไดลงไปถึงก้นสระ และ มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเชื่อมต่อสระใหญ่ที่ด้านข้างตรงทิศ ทั้งสี่ที่ขอบสระใหญ่ตรงกลางทั้งสี่ทิศที่เชื่อมต่อด้านข้างนั้น มีซุ้มขนาดเล็กภายในซุ้มมีท่อน้ำและที่ปากท่อทำเป็นรูปต่างๆ กัน คือ



ด้านทิศเหนือเป็นรูปเศียรช้าง (ธาตุน้ำ),
ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปหน้าคน(ธาตุดิน) ถ้าเป็นคติพราหมณ์ ทำเป็นรูปโค,
ด้านทิศใต้เป็นรูปสิงห์ (ธาตุไฟ) และ
ด้านทิศตะวันตกเป็นรูปม้า (ธาตุลม)



       เชื่อกันว่าภายในซุ้มนี้ใช้สำหรับการอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีแท่นหินที่แกะสลักลงไปเป็นรูปรอยเท้ารองรับอยู่ที่พื้น และที่หน้าบันของซุ้มเล็กๆ เหล่านี้มีภาพสลักเล่าเรื่องในพระพุทธศาสนาตอนต่างๆ



      กลางสระเป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดเล็กหนึ่งหลัง สร้างด้วยศิลาทรายตั้งอยู่บนฐานกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 14 เมตร ฐานกลมนี้สร้างลดหลั่นเป็นขั้นบันได ส่วนล่างสุดมีรูปนาคศิลาพันรอบฐาน 2 ตัว ถัดจากฐานกลมขึ้นไปเป็นฐานรูปดอกบัวขนาดใหญ่รองรับตัวปราสาทที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออกอีกสามด้านก่อเป็นผนังทึบสลักรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดับอยู่ที่หน้าบันแต่ละด้านสลักภาพเล่าเรื่องในพุทธประวัติทั้งหมด

ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปตอนพระพุทธเจ้าตัดเกศ
ทิศเหนือเป็นเรื่องเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ทิศตะวันตกเป็นเรื่องของพระป่าเลไลยก์ และ
ทิศใต้เป็นเรื่องมารวิชัย

ภายในสระใหญ่นี้ ยังมีประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่อีกด้วย ร่องรอยหลักฐานที่เหลือนั้นทำให้ทราบว่า
ด้านทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์
ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปม้า และ
ด้านทิศตะวันตกเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์
ส่วนทิศใต้นี้ไม่ทราบว่าเป็นรูปอะไรแน่

         ในปัจจุบันประติมากรรมรูปม้าได้รับการบูรณะจนสมบูรณ์ และตั้งอยู่ในสระ เป็นรูปม้ามีผู้คนเกาะห้อยอยู่ด้านข้างม้าตนนี้เป็นม้าวิเศษที่ชื่อว่า “ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)” ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำแลงลงมาเพื่อช่วยเหลือชาวเรือแตกที่ไปอาศัยอยู่เกาะที่เป็นที่อยู่ของนางยักษีแต่ก่อนที่จะถูกยักษ์จับกินชาวเรือพากันสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณาพระองค์ก็เสด็จลงมาช่วยเหลือในร่างของม้าพาชาวเรือแตกรอดมาได้



         ในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ได้กล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้ประดิษฐานเทวรูป 14 รูป และศิวลึงค์อีก 1,000 องค์ ถึงแม้ว่าจะไม่พบหลักฐานดังกล่าวเหลืออยู่ในสมัยหลัง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญยิ่งของปราสาทนาคพันและสระน้ำนี้ว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประทับของเหล่าเทพเทวดาทั้งในศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธที่ทำให้ราชอาณาจักรกัมพูชาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มั่นคงไม่มีใครมาทำลายได้ ปัจจุบัน ปราสาทประธานประดิษฐานพระพุทธชัยนาคมุนี เป็นพระพุทธรูปนาคปรกที่นำมาประดิษฐานภายหลัง ส่วนองค์เดิมบวซเซอลิเย่สันนิษฐานว่า ถูกกองทัพสยามทำลายหรือยึดไปครั้งยกทัพตีนครธมในปีพ.ศ.1974

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปราสาทนาคพัน

        จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวถึงศาสนสถานหลายแห่งและก็มีอยู่หลายแห่งที่ไม่อาจทราบได้ว่าตั่งอยูี่ที่ใด อย่างไรก็ดีมีอยู่แห่งหนึ่งที่อาจทราบได้โดยง่ายคือเกาะราชัยศรี เกาะนี้ก็ตรงกับปราสาทนาคพันนั่นเอง ตั่งอยู่ตรงกลางสระนํ้าโบราณคือชัยตฏากะซึ่งจารึกได้กล่าวว่า เป็นกระจกเงาแห่งโชคลาภ มีสีสันจากศิลา ทองและพวงมาลัย ปราสาทนาคพันประกอบด้วยตัวประสาทซึ่งมีบัวรองรับอยู่ข้างใต้และตั่งอยู่เหนือฐานอีกต่อหนึ่ง มีนาคศิลา ๒ ตนวงล้อมรอบฐานนี้ ซึ่งก็เป็นต้นเค้าของชื่อ ปราสาทด้วย สระมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลื่ยมจัตุรัส ค่อนข้างลึก ล้อมรอบด้วยศิลาทรายก่อเป็นเขื่อนขั้นบันได เพื่อการอาบนํ้าได้มีการสร้างศาลาเล็กๆ ๔ แห่งเว้าเข้าไปในเขื่อนแต่ละทิศ ศาลาเหล่อนี้รองรับนํ้าโดยท่อสลักเป็นรูป

          หน้ามนุษย์ทางทิศตะวันออก หน้าสิงห์อยู่ทางทิศใต้ หน้าม้าทางทิศตะวันตก และหน้าช้างทางทิศเหนือ หลังจากไหลผ่านศาลาทั้งสี่ทิศแล้ว นํ้าก็ไหลลงไปยังสระ ๔แห่งซึ้งขุดขึ้นแต่ละทิศของสระใหญ่ตรงกลาง  

         ในพ.ศ. ๒๔๖๖ ศาสตราจารย์ฟีโนต์( L. Finot ) และโกลูเบฟ ( V. Goloubew) ได้แสดงความเห็นว่าปราสาทนาคพันนั้นก็คือรูปจําลองของสระอนวตัปตาหรืออโนดาต ซึ่งเป็นสระศักดิ์สิทธิแห่งภูเขาหิมาลัย จากสระนี้เป็นที่กําเนิดของแม่นํ้าทั้ง ๔ สายซึ่งไหลออกไปยังแต่ละทิศ ศาสตราจารย์บวสเซอลีย่ได้ศึกษาปราสาทนาคพันใหม่อีกครั้งเมื่อเร็วๆนี้ โดยได้ศึกษาจากจารึกปราสวาทพระขรรค์และตําราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสระอนวตัปตา ท่านได้ชี้ให้เห็นว่าปราสาทนาคพันแห่งนี้มีความสําคัญเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของเมืองพระนครหลวงและขอบเขตของเมืองนี้อย่างไร ณ ที่นี้เราจะกล่าวถึงแต่เฉพาะผลการค้นคว้าของท่านผู้นี้เท่านั้น จากตําราของอินเดีย ปรากฎว่านำ้แห่งสระอนวตัปตา จะบริสุทธิ์อยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะไม่ได้รับแสงโดยตรงจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นแสงสะท้อน จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวว่านำ้ในสระที่ปราสาทนาคพัน ได้รับแสงสว่างจากแสงสว่างแห่งปราสาททอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ใช่แสงสว่างที่ส่องลงมาโดยตรงจากดวยอาทิตย์ ในไตรภูมิทางพุทธศาสนา สระอนวตัปตาจะเป็นสระสุดท้ายที่แห้งขอดลงเมื่อถึงปลายแห่งกัลป์ ด้วยเหตุนั้นอาณาจักรที่มีสระนี้จึงคงจะมีอายุยืนยาวเท่ากับโลกนี้ นอกจากนี้นํ้าในสระยังมีความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เมื่อถึงเวลากระทําพิธีราชาภิเษกพระจักรพรรดิจะต้องมีการสรงนํ้าพระราชาด้วยนํ้าจากสระอนวตัปตา ศาสตราจารย์บวสเซอลีย่กล่าวว่า การสร้างสระนี้มีผลสองประการแก่ราชอาณาจักรขอม คือทําให้เป็นที่แน่นนอนว่าราชอาณาจักรจะมีอายุยืนนานในขณะเดียวกับที่พระราชาขอมจะมีพระราชอํานาจแผ่กว้างออกไปไกล

        ภายในสระซึ่งล้อมรอบปราสาทหลังกลางได้ค้นพบร่องรอยของปติมากรรมลอยตัว ๔ รูป ทางทิศใต้ได้ค้นพบเศษศิลาซึ่งไม่ทราบได้แน่ว่าเป็นรูปอะไร ทางทิศตะวันตกได้ค้นพบเศษรูปพระนารายณ์บรรทมสิทธิ์ ทางทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์ ทางตะวันออกได้สามารถได้สามารถประกอบเป็นรูปม้าพลาหะที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ม้าวิเศษตัวนี้เป็นรูปจําแลงของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เพิ่งทรงช่วยเหลือพวกที่เรือแตกพวกนี้ต้องอาศัยอยู่บนเกาะซึ่งเป็นไปด้วยนางยักษิณี และก่อนที่จะถูกพวกนางยักษิณีกลือกินเข้าไปพวกเรือแตกก็ได้สวดมนต์อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทีรงพระมหากรุณาพระองค์นี้



         ไม่น่าแปลกประหลาดใจเมื่อแลเห็น รูปม้าพลาหะกําลังแหวกว่ายไปยังปราสาทหลังกลางซึ่งมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปรากฎอยู่พร้อมกับนําพวกเรือแตกซึ่งเกาะอยู่ข้างๆ ม้าไปด้วย แต่เราอาจแปลกประหลาดใจที่ได้ค้นพบประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์ ๒ รูปในสระซึ่งสมมุติว่าเป็นสระอนวตัปตา จารึกปราสาทพระขรรค์กล่าวว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ทรงประดิษฐานเทวรูป ๑๔ องค์ ในเกาะชัยศรีซึ่งมีศิวลึงค์เป็นจํานวน 1000 องค์ ศาสตราจารย์มุส( P. Mus) ได้กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นการสมควรที่จะรวบรวมพิธีเคารพบูชาซึ่งเคยประกันอํานาจของราชอาณาจักรขอมมาตั่งแต่เริ่มแรกระบบกษัตริย์สมัยเมืองพระนคร และต่อมาได้ถูกล้มลงโดยการที่กองทัพจามเข้ายึดเมืองพระนครไว้ได้ใน พ.ศ. 1720 มาไว้รอบพระพุทธองค์ ศาสตราจารย์บอสเซอลีเย่คิดว่าเป็นการสมควรที่จะรื้อฟื้นการเคารพบูชาแบบเก่าโดยจัดให้เป็นแนวใหม่ ท่านเห็นว่าการมีรูปเทวดาในศาสนาพราหมณ์อยู่ล้อมรอบพระพุทธรูปนั้นเป็นการทําให้สระราชัยศรีศักดิ์สิทธํฺ์อย่างเต็มที่และทําให้สระนี้ เป็นสถานที่อันสูงส่ง ทําให้สัญลักษณ์ของสระอนวตัปตาคงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเหตุว่าในเมื่อเป็นที่ประทับของเทวดาด้วย สระนี้จะหลุดพ้นจากการทําลายของโลก

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)”



         ในคัมภีร์การัณฑวยุหสูตร ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เขียนเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กล่าวถึง ม้าวลาหก หนึ่งในสี่ตระกูลของม้าที่อิทธฤทธิ์ ม้าวลาหกก็คือร่างจำแลงของพระโลเกศวรหรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงแปลงร่างลงมาช่วยลูกเรือที่เรือแตกกลางทะเล โดยแปลงเป็นม้าวลาหกนั่งแล้วเหาะขึ้นไปส่งฝั่ง มีตำนานเรื่องนี้ในของทางจีนทำนองคล้ายๆ กันว่าพระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเรือจากชาวเรือที่แพแตก พระองค์มองลงมายังโลกเห็นเข้า จึงลงมาทำการช่วยเหลือให้พ้นภัย ซึ่งชื่อ โลกิเตศวร/โลเกศวร (Lokeshvara) หมายถึงผู้มองเห็น หรือเรียกว่ากวนซียิน/กวนอิมนั่นเอง จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายชื่อ แปลว่าผู้ช่วยเหลือ ผู้ถือดอกบัว ฯลฯ

         ถ้าพบที่สระน้ำปราสาทนาคพัน และเป็น central sanctuary ประติมากรรมชิ้นนี้ก็น่าจะสร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 7 เพราะสมัยนั้นกษัตริย์เปลี่ยนมานับถือพุทธนิกายมหายาน ซึ่งเดิมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาวบ้านไม่ใช่ของกษัตริย์ เรื่องนี้จึงน่าจะเข้าเค้ามาก (พอเป็นชัยวรมันที่ 8 ก็ลบล้างศาสนาพุทธออกจากอาณาจักร โดยกลับมานับถือไศวนิกาย หรือไวษณวนิกายเหมือนเดิม แล้วก็เปลี่ยนพระพุทธรูปต่างๆ โดยลบเม็ดพระศกบนพระเศียรทิ้ง เติมตาเข้าไปให้มีสามตาบ้าง ทำให้ไม่รู้ว่ามีการนับถือศาสนาพุทธ กลายเป็นประติมากรรมเทพฮินดูแทน) ม้าตัวที่พี่เห็นน่าจะเป็นแบบจำลอง ของจริงน่าจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ตัวนี้ก็ถูกยกมา เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง  รูปประติมากรรมนี้ต้นแบบตัวจริงยังอยู่ที่ปราสาทนาคพัน ภายในสระใหญ่นี้ ยังมีประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่อีกด้วย ร่องรอยหลักฐานที่เหลือนั้นทำให้ทราบว่าด้านทิศเหนือเป็นรูปศิวลึงค์ ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปม้า และด้านทิศตะวันตกเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ส่วนทิศใต้นี้ไม่ทราบว่าเป็นรูปอะไรแน่ ในปัจจุบันประติมากรรมรูปม้าได้รับการบูรณะจนสมบูรณ์ และตั้งอยู่ในสระ เป็นรูปม้ามีผู้คนเกาะห้อยอยู่ด้านข้าง ม้าตนนี้เป็นม้าวิเศษที่ชื่อว่า “ม้าอัศวพาหุ หรือม้าวลาหก (พลาหะ)” ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำแลงลงมาเพื่อช่วยเหลือชาวเรือแตกที่ไปอาศัยอยู่เกาะที่เป็นที่อยู่ของนางยักษี แต่ก่อนที่จะถูกยักษ์จับกิน ชาวเรือพากันสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระองค์ก็เสด็จลงมาช่วยเหลือในร่างของม้าพาชาวเรือแตกรอดมาได้


ในวรรณคดีอินเดียกล่าวไว้ว่า พระพายหรือเจ้าแห่งลมพายุเป็นผู้สร้างบังเกิดม้า 4 ตระกูลคือ 1. ม้าวลาหก 2. ม้าอาชาไนย 3. ม้าสินธพ 4.ม้าอัสดร

          แต่จริงๆแล้วพาหนะทรงพระพายคือ มฤค หรือกวาง แต่เวลาทรงรถจะใช้ม้า กล่าวกันว่าเวลาหกจะเหินไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว จนมองแทบไม่ทัน เมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าจะเห็นแต่กลุ่มเมฆลอยละลิ่วไปนั่นแหละ คือองค์พระพายควบม้าวลาหกไปอย่างรวดเร็วในพริบตา ทิ้งควัน หรือกลุ่มเมฆไว้เบื้องหลังเราจึงแปลคำวลาหกว่า เมฆ

          อาชาไนยแปลว่า กำเนิดดี พันธุ์หรือตระกูลดี รู้รวดเร็ว ฝึกหัดมาดีแล้ว ม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้วเรียกว่า ม้าอาชาไนย คนที่ฝึกหัดมาดีแล้วเรียกว่า บุรุษอาชาไนย ม้าชนิดนี้มักจะใช้ในการศึกสงคราม

          สินธพคือม้าพันธุ์ดีเกิดที่ลุ่มน้ำสินธุ บางทีเรียกว่า สินธพมโนมัย คำว่านโนมัย แปลว่าไปเร็วดังใจนึก ม้าสินธพมโนมัยนี้จึงเป็นม้าใหญ่ล่ำสัน พ่วงพี คึกคะนอง แข็งแรง ใช้ในการทำงานและการศึกสงครามได้อย่างดีเลิศ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วลาหกัสสชาดก


ม้าวลาหก ภาพแกะสลักหินทราบที่ปราสาทบาแค็ง


หญิงใดรัก แต่งกาย หมายงดงาม
ชายหลงตาม งามชั่ว ยั่วยวนใหญ่
พุทธองค์ ทรงสอน สั่งเอาไว้
หญิงนั้นไง ให้เรียก "ยักษิณี"

นางยักษิณี (วลาหกัสสชาดก)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ได้ตรัสถามภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังถูก กามราคะ กลุ้มรุมในจิตใจ

"ดูก่อนภิกษุ เธอเกิดจิตกระสันอยู่จริงหรือ"

"จริงพระเจ้าข้า เพราะได้เห็นมาตุคาม(หญิงสาว)แต่งตัวงดงามนางหนึ่ง จิตใจจึงเกิดความกระสันขึ้น ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา"

ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า

"ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงที่แต่งตัวงดงาม เล้าโลมชายด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของ มารยาหญิง กระทำให้ชาย ตกอยู่ในอำนาจ ของตน เขาเรียกว่า นางยักษิณี

นางยักษิณีจะเล้าโลมชายด้วยอาการกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะทำให้ถึง ความพินาศ แห่งศีล สร้างความพินาศ แห่งขนบประเพณีอันดีงาม

แม้แต่ในกาลก่อน พวกนางยักษิณีก็ได้กระทำเช่นนี้ ลวงฆ่าพวกพ่อค้าทั้งหลาย ได้เคี้ยวกิน หมุบหมับ ตามสบาย มีเลือดไหลอาบแก้มและคางมาแล้ว"

แล้วทรงนำเรื่องของนางยักษิณีมาตรัสเล่า

ในอดีตกาล ณ เกาะตามพปัณณิ มีเมืองชื่อ สิริสวัตถุ เป็นเมืองของเหล่านางยักษิณี อาศัยอยู่ จำนวนมาก

พวกนางยักษิณีเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ด้วยการจับมนุษย์ที่มาเรือแตกอยู่ใกล้ ๆ เกาะนั้น โดยพวกที่ถูกจับ มาใหม่ๆ จะทำให้เป็น สามีของพวกตน ส่วนพวกเก่า จะโดนล่ามโซ่ คุมขังไว้ รอถูกกินเป็นอาหาร ไปในแต่ละวัน

แต่ถ้าหากไม่มีเรืออับปาง พวกนางยักษิณีก็จะตระเวนเที่ยวหาเหยื่อ ตามฝั่งสมุทร ตามเกาะอื่น ๆ เช่น เกาะไม้ขานาง ที่ฝั่งโน้นบ้าง เกาะไม้กากะทิง ที่ฝั่งนี้บ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง......มีพ่อค้า ๕๐๐ คน นำเรือใหญ่บรรทุกสินค้าผ่านมา เกิดพายุจัด เรือจึงอับปาง ใกล้เกาะนั้น พวกพ่อค้าทั้งหมด ช่วยพากัน แหวกว่ายน้ำ ขึ้นเกาะได้โดยปลอดภัย

ส่วนพวกนางยักษิณีพอรู้ว่า มีเรือมาอับปาง ก็พากันตกแต่งร่างกายให้งดงาม แล้วถือของกิน ของเคี้ยว มากมาย ทั้งยังอุ้ม ทารกน้อยไปด้วย เพื่อลวงให้เหล่าพ่อค้า ทั้งหลายคิดว่า

"พวกนี้ก็เป็นมนุษย์เช่นเรา มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นเดียวกับเรา"

เมื่อพวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกพ่อค้าแล้ว ก็จะกล่าวต้อนรับอย่างดีว่า

"เชิญดื่มน้ำใสสะอาดนี้เถิด เชิญกินของขบเคี้ยวนี้เถิด"

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและหิวกระหาย บรรดาพ่อค้าทั้งหมด ก็พากันกินอาหารเต็มที่ จนกระทั่ง อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ให้รู้สึกอยากได้ที่พักผ่อน คราวนี้พวกนางยักษิณี จะชวนคุย ซักถามว่า

"พวกท่านมาจากที่ไหนกันนี่ แล้วจะไปกันที่ใด มาทำอะไรกันถึงที่นี้"

พ่อค้าทั้งหลายก็จะตอบความจริงไปว่า

"พวกเราเป็นพ่อค้า เรือเกิดอับปาง ต้องติดเกาะอยู่ที่นี่"

เหล่านางยักษิณีได้ช่องได้โอกาส จะแสร้งวางเหยื่อล่อว่า

"ดีล่ะ! พ่อคุณเอ๋ย แม้แต่สามีของพวกเราทั้งหมด ก็เป็นพ่อค้าขึ้นเรือจากไปนาน นี่ล่วงสามเดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่กลับคืนมา ชะรอยพวกเขา คงจะตายหมดสิ้นแน่ พอดีกับพวกท่าน ก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราเป็นหญิง ต้องมีที่พึ่งพิง จึงขอเป็นผู้รับใช้ ของพวกท่านเถิด"

แล้วก็เข้าเล้าโลมพวกพ่อค้า ด้วยมารยาหัวเราะ และจริตของสตรี พาเข้าไปพักผ่อนในเมือง ตามบ้านของตน เป็นอันว่า นางยักษิณีได้ทำให้พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน ตกเป็นสามีได้สำเร็จ สมใจหมาย โดยหัวหน้า นางยักษิณี ก็ได้หัวหน้าพ่อค้า เป็นสามี นางยักษิณีที่เหลือ ก็ได้พ่อค้านอกนั้น เป็นสามี

ครั้นตกเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นนางยักษิณีหัวหน้า หรือนางยักษิณีอื่น ๆ มักรอให้พวกพ่อค้าหลับแล้ว ก็จะลุกไปฆ่ามนุษย์ ที่คุมขังไว้ พอกินเลือดเนื้อเสร็จแล้ว จึงค่อยกลับมานอน ร่วมกับพ่อค้าอีก และ ทุกครั้ง ที่ได้กินเนื้อมนุษย์แล้ว ร่างกายของพวกนางยักษิณี จะเย็นผิดปกติ



ด้วยเหตุนี้เองทำให้หัวหน้าพ่อค้าได้รู้สึกเกิดสงสัยยิ่งนัก จึงคอยเฝ้าสังเกตอยู่ จนมั่นใจว่า เป็นยักษิณีแน่ ทั้งมั่นใจว่า หญิงอื่น ๆ ก็เป็นยักษิณีด้วย ดังนั้น จึงแอบบอกกับเพื่อนพ่อค้า ทั้งหลายว่า "พวกเรากำลัง ตกอยู่ในอันตรายแล้วหนอ หญิงทั้งหมดนี้ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวก นางยักษิณีกินคน เร็วเถอะ พวกเราต้อง หาทางหนีกันไป จากที่นี่โดยเร็ว"

แม้จะบอกให้รู้ความจริงแล้ว แต่พวกพ่อค้าประมาณครึ่งหนึ่ง ก็ยังตอบว่า

"เราไม่เห็นว่าหญิงเหล่านี้จะดุร้ายอะไร ทั้งเราก็ไม่อาจละทิ้งพวกนาง ไปได้ด้วย พวกท่าน จงไปกันเถิด พวกเราจะไม่หนีไปไหนล่ะ"

ดังนั้น หัวหน้าพ่อค้าจึงพาพรรคพวกอีกครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อถือในถ้อยคำของตน พากันหลบหนี ออกจาก เมืองยักษิณี แต่ก็ยังหาทาง ออกจากเกาะนั้นไม่ได้

ขณะนั้นเอง....มีม้าบินตัวหนึ่ง เป็นม้าวลาหก สีขาวปลอด ศีรษะคล้ายกา มีผมเป็นปอย สามารถบินเหาะ ไปไหน ทางอากาศ ได้รวดเร็ว ปกติจะบินจากป่าหิมพานต์ ไปหาข้าวสาลีกิน ที่สระแห่งหนึ่ง บนเกาะตามพปัณณิ พอกินอิ่มดีแล้ว ก่อนจะบินกลับไป ทุกครั้ง จะต้องแผ่เมตตาจิต ด้วยการกล่าวถึง ๓ ครั้งว่า

"จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิด ผู้ปรารถนาจะไป สู่ฝั่งชนบท เราจะพาไป"

เป็นเวลาพอดีกับพวกพ่อค้า ได้ยินเสียงเข้า จึงพากันเข้าไปหา ม้าวลาหก ยกมือขึ้นไหว้ แล้วกล่าวว่า

"ม้าผู้ประเสริฐ พวกข้าพเจ้าเชื่อถือถ้อยคำของท่าน จึงต่างก็ปรารถนา ที่จะไปสู่ชนบท ฝั่งโน้น"

"ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงขึ้นขี่บนหลังเราเถิด เราจะพาไปให้ถึง อย่างรวดเร็ว"

พ่อค้าบางคนจึงขึ้นขี่บนหลัง บางคนก็จับหางม้าไว้แน่น บางคนก็ยืนประนมมือไหว้ รอให้ม้าวลาหก มารับ ในเที่ยวต่อ ๆ ไป ในที่สุด.....ม้าวลาหกก็พาพวกพ่อค้า ที่หนีมาทั้งหมด ให้กลับคืน สู่ชนบทของตน ได้โดยปลอดภัย

ฝ่ายพวกนางยักษิณี เมื่อมีคนเรือแตก มาติดเกาะอีก ก็หลอกไว้เป็นสามีใหม่ แล้วจับพวกพ่อค้าสามีเก่า ที่ไม่ยอมหนีไปนั้น กักขังไว้ฆ่ากิน เป็นอาหาร อันโอชะต่อไป

พระศาสดาทรงจบธรรมเทศนานี้ ด้วยคำตรัสว่า

"พวกพ่อค้าครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อคำของม้าวลาหกในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทของเรา ในบัดนี้ ส่วนม้า วลาหกตัวนั้น ก็คือเราตถาคตเอง"

แล้วทรงย้ำเตือนสติให้เกิดปัญญาว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดไม่ทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคต แสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะต้องถึง ความพินาศ ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ในอบาย ๔ (คือได้นรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย) เปรียบเสมือนพวกพ่อค้า ที่ถูกนางยักษิณี หลอกลวง ให้ตกอยู่ในอำนาจ ต้องสิ้นชีวิตไป ฉะนั้น

ส่วนผู้ใดทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคตแสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะไปถึง ฝั่งพระนิพพาน ดุจพวกพ่อค้า ที่เชื่อฟัง กระทำตามคำของ ม้าวลาหก ไปถึงฝั่งชนบท โดยสวัสดี ได้กลับคืน สู่ที่อยู่ของตน ฉะนั้น"

ครั้นจบคำตรัสนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจทันที เมื่อจบสัจธรรมแล้ว ภิกษุผู้กระสันนั้น ก็ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล ส่วนภิกษุอื่น ๆ อีกหลายรูป บ้างก็บรรลุเป็น พระโสดาบัน บ้างก็ได้เป็น พระสกิทาคามี บ้างก็ได้เป็น พระอนาคามี หรือแม้แต่ได้เป็น พระอรหันต์ก็มี


เชื่อผู้ใหญ่ เขาว่า หมาไม่กัด
เชื่อธรรมะ ปฏิบัติ ไม่กลัวผี
เชื่อพุทธองค์ หลุดพ้น ยักษิณี
เชื่อกรรมดี มีบุญ หนุนสุขใจ.


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“สระน้ำอโนดาต”

ในป่าหิมพานต์ เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยได้จริง




        บ่อน้ำพุตามธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากใต้ดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนผู้คนก็มักเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ อย่างที่วัดปุราเตียร์ตาอัมปึล หรือ วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แห่งเมืองบาหลี ซึ่งก็มีบ่อน้ำพุผุดขึ้นจากใต้ดิน ชาวบาหลีเชื่อกันว่าพระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิด ใครได้อาบจะเป็นสิริมงคล ขับไล่สิ่งเลวร้าย และรักษาโรคต่างๆ ซึ่งสรรพคุณและความศักดิ์สิทธิ์จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ไม่ยืนยัน

       แต่ถ้าพูดถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในสมัยบรรพกาลแล้ว ก็จะชวนให้นึกถึง “สระน้ำอโนดาต” ในป่าหิมพานต์ ว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยได้จริง
ทั้งนี้ รอบๆ สระอโนดาตจะมีภูเขาล้อมรอบ 5 ลูก คือ “สุทัศนกูฏ” ซึ่งเป็นภูเขาล้วนไปด้วยทอง “จิตรกูฏ” ล้วนไปด้วยแก้ว “กาลกูฏ” ล้วนไปด้วยนิลมณี “ไกรลาส” ล้วนแล้วด้วยเงิน และ “คันธมาทนกูฏ” ล้วนแล้วด้วยแก้วมณีและพันธุ์ไม้หอมต่างๆ ซึ่งบางชนิดดอกหอม บางชนิดเปลือกหอม บางชนิดยางหอม บางชนิดรากหอม
โดยที่ที่เชิงเขานี้จะมีผาชะโงกเรียกว่านันทมูล ซึ่งเป็นที่อยู่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

       ทั้งนี้ที่สระอโนดาตจะมีท่าน้ำอยู่ 4 ท่า เป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของเทวดา เทพธิดาท่าหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าท่าหนึ่งฤๅษีวิทยาธรท่าหนึ่ง และพระอรหันต์อีกท่าหนึ่ง
ลักษณะของน้ำในสระอโนดาตจะใสสะอาดมากๆ และไม่มีมลพิษใดๆ เจือปน และว่ากันว่า น้ำในสระจะไหลออกไปจากซอกภูเขาที่อยู่รอบ 4 ทิศ โดยซอกภูเขานี้จะมีรูปปากช่องเป็นหน้าสิงห์ หน้าช้าง หน้าม้า และหน้าวัว

        ที่ไหลออกไปทางซอกเขาหน้าสิงห์ จะผ่านไปทางแดนตะวันออกของเขาหิมพานต์อันเป็นที่อยู่ของราชสีห์พันธุ์ต่างๆ

        ที่ไหลออกจากเขาหน้าวัวก็กลายเป็นแม่น้ำ 5 สาย เรียกว่าปัญจมหานที คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี

        ที่ไหลออกทางหน้าม้า เป็นน้ำสีเขียว ผ่านเป็นแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของม้าสินธพ

        ส่วนที่ผ่านด้านหน้าเหนือที่ไหลออกจากเขาหน้าช้าง น้ำเป็นสีเหลือง ผ่านแดนที่อาศัยของช้างตระกูล 10 ตระกูล

ถึงแม้ว่าน้ำจะไหลออกจากสระอโนดาต แต่น้ำในสระก็ไม่เคยพร่อง แต่กลับเต็มเปี่ยมเสมอ

“อโนดาต”
แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน
เมื่อสิ้นสุดกัลป์จะมีไฟบรรไลกัลเผาผลาญโลก




        สระอนวตัปตาจะเป็นแหล่งสุดท้ายที่จะถูกทําลายจากไฟบรรลัยกัลป์  หลวงปู่ท่านห่วงลูกหลานจึงได้สร้าง ดวงตราอาถรรพ์ฯ โดยการจําลองสระอโนดาต จึงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีอายุยืนยาวที่สุด ถึงจะเกิดอะไรขึ้นร้ายแรง ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือคลาดแคล้วจากภัยอันตรายทั้งปวง



       เคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า พระราชพิธีสรงน้ำราชาภิเษก พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีที่เกี่ยวกับพระมหาจักรพรรดิ์ ก็ล้วนแต่นำเอาสาระความเชื่อจากสระอโนดาตมาทั้งสิ้น

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-31 14:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สระอโนดาต




     ถัดจากเขาสุทัสสนะ หรือติดเขาสุทัสสนะ จะเป็นป่าหิมพานต์ ซึ่งป่าหิมพานต์ เป็นรอยต่อแห่งมิติ ส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์เป็นแดนทิพย์ ส่วนหนึ่งเป็นแดนมนุษย์ และส่วนหนึ่งเป็นแดนรอยต่อระหว่างโลกทิพย์กับโลกมนุษย์

     ในป่าหิมพานต์ จึงมีพืชพันธุ์แปลกๆ มากมาย สัตว์พันธุ์แปลกๆ มากมาย ทั้งสัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ ก็อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ นี่เอง

     ป่าหิมพานต์ ความจริงเป็นภูเขา เรียกว่าภูเขาหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต เมื่อมองลักษณะรูปร่างแล้ว เรียกภูเขาหิมพานต์ แต่เมื่อมองในลักษณะมีต้นไม้มากแล้ว ก็คือป่าหิมพานต์

     เขาหิมพานต์ ยังประกอบด้วยยอดเขาย่อยๆ อีกมากมาย
     เขาหิมพานต์ มีสระสำคัญๆ อยู่ ๗ สระ คือ

     ๑. สระอโนดาต  
     ๒. สระกรรณมุณฑะ
     ๓. สระรถการะ  
     ๔. สระฉัททันต์
     ๕. สระกุณาละ  
     ๖. สระมันทากินี
     ๗. สระสีหปปาตะ

     สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น  
รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอดเขาได้แก่

     ยอดเขาสุทัสสนะ (สุทัสสนกูฏ)
     ยอดเขาจิตตะ (จิตรกูฎ )
     ยอดเขากาฬะ (กาฬกูฎ)
     ยอดเขาคันธมาทน์ (คันธมาทนกูฏ)
     ยอดเขาไกรลาส  (ไกรลาสกูฏ)

     ยอดเขาสุทัสสนะ เป็นทองคำ รูปทรงโค้งตามแนวสระอโนดาต และปลายยอดเขา มีสัณฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ตรงๆ

     ยอดเขาจิตตะ เป็นรัตนะ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

     ยอดเขากาฬะ  เป็นแร่พลวง หินแห่งยอดเขาสีนีล รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

     ยอดเขาคันธมาทน์ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ (เหมือนภูกระดึง) อุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์  ทั้งไม้รากหอม  ไม้แก่นหอม  ไม้กระพี้หอม  ไม้เปลือกหอม  ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม  ไม้ใบหอม  ไม้ดอกหอม  ไม้ผลหอม  ไม้ลำต้นหอม  ทั้งยังอุดมไปด้วย ไม้อันเป็นโอสถนานาประการ  ในวันอุโบสถ(วันพระ) ข้างแรม ยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ ข้างขึ้น แสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม... ภายในเขาคันธมาทน์ มีถ้ำบนยอดเขาชื่อว่าถ้ำนันทมูล เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และถ้ำเงิน

     ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงิน  รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ วิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้

ยอดเขาทั้ง๕ ตั้งตระหง่านรายล้อมสระอโนดาตไว้ และมีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา ธารน้ำทั้งหลาย จากเขาหิมพานต์ ทุกสารทิศ จะไหลมาผ่านยอดเขา๕ลูกนี้ (ลูกใดลูกหนึ่ง) จากนั้น ก็จะไหลรวมลงสู่สระอโนดาต
(เหตุที่ได้ชื่อว่าอโนดาต ก็เพราะ มีเงื้อมผาโค้งงุ้มดังปากกา โอบบังแสงไว้ด้านบน ทำให้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้ำตรงๆ ได้ แสงเพียงลอดเข้าด้านข้าง ในแนวเหนือใต้ ตรงระหว่างรอยต่อยอดเขากับยอดเขา เท่านั้น สระนี้ จึงได้ชื่อว่า “อโนดาต”...แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน..)

     จากสระอโนดาต... จะมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ทิศละแห่ง คือ

     สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก)
     หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก)
     อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก)
     อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก)

เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ไหลล่อเลี้ยงรอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนลงสู่มหาสมุทร...


     ด้านทิศตะวันออก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันออก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศตะวันตก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันตก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศเหนือ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศเหนือ  ลงสู่มหาสมุทร  
(ที่แม่น้ำทุกสาย ไหลวนรอบสระอโนดาตเหมือนกัน แต่ไม่ข้องแวะกัน เพราะ ไหลลอดอุโมงค์หิน ไหลลอดภูเขา ออกไป)

     ด้านทิศใต้ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  แล้วไหลตรงไปทางใต้ประมาณ ๖๐ โยชน์  โผล่ออกมาใต้แผ่นหิน ตรงบริเวณหน้าผา กลายเป็นน้ำตกสูงใหญ่ยิ่ง ความสูงสายน้ำตกประมาณ ๖๐ โยชน์ สายน้ำตกอันรุนแรงนั้น ตกกระทบแผ่นหินเบื้องล่าง จนหินแตกกระจายออก  ในที่สุดกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รองรับสายน้ำตกนั้น  แอ่งน้ำนี้มีชื่อเรียกว่า “ติยัคคฬา”  เมื่อน้ำมากขึ้น ได้พังทำลายหินอันโอบล้อมอยู่ออกไปได้ทางหนึ่ง เจาะกระแทกหินที่ไม่แข็ง เป็นอุโมงค์ ไหลไป จนถึงส่วนที่เป็นดิน ก็เจาะทะลุดิน เป็นอุโมงค์ และไหลลอดตามอุโมงค์ดินนั้นไป  จนถึงภูเขาหินขวางอยู่ (ติรัจฉานบรรพต=ภูเขาขวาง) ภูเขานี้เรียกว่า วิชฌะ เมื่อน้ำกระทบหินเข้า ก็ไปต่อไม่ได้โดยง่าย แรงน้ำได้ดันจุดที่อ่อนแอที่สุดออกไปได้ ๕ จุด เกิดเป็นทางแยก ๕ แยก และกลายเป็นต้นน้ำสำคัญแห่งมนุษย์ ๕ สาย ด้วยกัน คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ และแม่น้ำทั้ง๕ นี้ นอกจากผู้ตาทิพย์แล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่า ของจริงอยู่ที่ไหน ...

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้