ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2479
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระกริ่งขวานฟ้าโลกอุดร

[คัดลอกลิงก์]
พระกริ่งขวานฟ้าโลกอุดร โดย อ.เล็ก พลูโต



ขวานฟ้า โบราณว่า เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ในตัว เป็นของทนสิทธิ์ ที่ตกลงมาพร้อมๆ กับฟ้าผ่า โดยต้องหาบริเวณที่มีฟ้าผ่าลง เอากะลาครอบไว้ แล้วขุดหาในบริเวณนั้นจึงจะเจอ ใช้ทำน้ำมนต์ดีมาก แก้อัปมงคลได้ทุกอย่าง หรือใส่โอ่งน้ำดื่มจะดีมาก เช่น หลวงปู่อุ้น วัดตาลกง เพชรบุรี จะนำหินชนิดนี้มาจารอักขระ และนำไปไว้ในบาตรน้ำมนต์ตลอด ท่านว่าเข้มขลังนักแล
            หลวงปู่หลุย จันทสาโร ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้กล่าวถึงเรื่องขวานฟ้าไว้ว่า

            "ขวานฟ้า" นั้นเป็นชื่อของแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์อยู่ในตัว หากเหล็กไหลจะเป็นของกันมีด กันปืน กันภัยได้จริง ขวานฟ้าก็กันมีด กันปืน กันภัยได้เช่นกัน
            เหล็กไหลมักพบในถ้ำลึก แต่ขวานฟ้าฟ้า จะพบบนภูเขาสูง หรือไม่ก็แผ่นดินที่สูงๆ  อันคนไม่ค่อยจะเข้าไปรุ่มร่ามวุ่นวาย วิธีการเสาะหาก็แสนง่าย
            หลวงปู่หลุยเล่าว่า ต้องสังเกตฟ้าผ่า หากผ่าลงกับพื้นดินตรงไหน ท่านก็จะเดินไปดู (ขอแทรกว่าขณะนั้นท่านกำลังธุดงค์) เมื่อเดินไปถึงก็จะสำรวจจุดที่ฟ้าลง ซึ่งก็ดูไม่ยากเพราะหลุมค่อนข้างลึก และที่ก้นหลุมนั่นเอง จะปรากฏแร่ชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับขวาน และนั่นคือที่มาของคำว่า “ขวานฟ้า”
            นี่เป็นคำบอกเล่าของพระผู้หลุดพ้น

            ดังนั้นใครที่เชื่อว่า ขวานฟ้า เป็นหินโบราณ ที่มนุษย์ยุคหินใช้สำหรับทำอาวุธ เพื่อล่าสัตว์นั้น น่าจะผิดความจริง แต่ก็นั่นแหละ ลักษณะของแร่ธาตุที่ไม่มีในโลกนี้ บางก้อนอาจจะมีความแกร่งเป็นโลหะ หรือบางก้อนอาจจะมีความแกร่งน้อยกว่า มีลักษณะคล้ายหินก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ นำมาหลอมละลายผสมกับเนื้อโลหะอื่นได้ และบางก้อนก็สามารถขูดเป็นผงได้เช่นกัน
            แต่นิทานของชาวบ้านชาวไร่ ผู้ไม่หลุดพ้น ยืนยันว่าเป็นเรื่องของเทวดานาม "รามสูร" ซึ่งโมหาโกรธากับแสงแก้วมณีที่แลบแปล๊บๆ อยู่ไม่หยุดหย่อนของเทพธิดา "เมขลา" ก็เพราะรามสูรไม่รู้จักแว่นเรย์แบนกระมัง เรื่องมันจึงเกิด ผู้ชายที่เป็นยักษ์จึงรังแกผู้หญิงที่เป็นเทวดา ด้วยการขว้างขวานใส่ แบบไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีว่ารังแกสตรีเพศ ขว้างทีฟ้าก็ลั่นที พอขว้างผิด ขวานก็เลยหล่นลงมา พร้อมกับสายฟ้าแลบเปรี้ยงๆ เขาว่าไปดูเถอะ รับรองว่าตรงนั้นเป็นต้องเจอขวานรามสูร ไม่ใช่ขวานรามซิงค์เป็นแน่แท้
            ขวานฟ้า คือ ขวานของรามสูร ที่ขว้างขวานใส่เมขลา แล้วตกลงมายังโลกมนุษย์ ขวานที่ตกลงมา ถ้าไม่แตก หรือชำรุด ขวานจะกลับขึ้นไป ถ้าแตก หรือชำรุด ขวานจะอยู่ คนที่จะพบจะได้ ครอบครองต้องมีบุญมีบารมีที่จะได้ ไม่ใช่ใครอยากได้ก็ได้นะครับ ส่วนมากผู้ที่ได้ไว้ครอบครอง มักจะเป็นพระธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่ท่านเก็บรักษาไว้ในขณะออกธุดงค์ และต่อมานำมาสร้างวัตถุมงคลให้ลูกศิษย์เท่าที่ทราบ อาทิ เช่น หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต หนองคาย, หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง จ.เลย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งแต่ละท่านที่กล่าวมา ล้วนเป็นศิษย์กรรมฐาน หรือพระป่าสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่นำเอามาสร้างเหรียญ ส่วนทางเหนือก็มี หลวงปู่ชัยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน ศิษย์ท่านครูบาศรีวิชัย ท่านเอามาสร้างเป็นพระกริ่ง
            กริ่งขวานฟ้าโลกอุดร สร้างจากชนวนขวานฟ้าเนื้อโลหะ, แผ่นจาร (ที่ได้รับมอบมาสร้างพระ) ลงอักขระโดย หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงปู่นิล จังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท และชนวนอื่นๆ (ที่ได้รับมอบสร้างพระ)
            แผ่นอักขระ ที่ผ่านการอธิษฐานจิตโดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตตโม หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำวัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่หล้า หลวงปู่ครูบาดวงดี สุภัทโท หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี แผ่นยันต์ชินบัญชร–แผ่นยันต์ ๑๒๑ พระคาถาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แผ่นยันต์มหาลาภ หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ข้าวตอกพระร่วง เหล็กน้ำพี้ ขี้เหล็กไหล ตะปูสังขวานร จากวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เงินโบราณ จากกรุสุพรรณบุรี

            ก้นอุดด้วยผงพุทธคุณ ผงหลวงปู่เทพโลกอุดร เพชรน้ำค้าง จากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดชัยภูมิ แร่วิเศษ จากจังหวัดเลย แร่วิเศษ จากภูเขาควาย ขี้เหล็กไหลจากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดชัยภูมิ เพชรหน้าทั่ง ผงอิทธิเจ จากถ้ำพระอรหันต์ ๘ ศอก หรือ พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ ปี จังหวัดชัยภูมิ
            น้ำพุทธมนต์ที่แช่พระกริ่ง ได้จากน้ำพุทธมนต์ที่ได้จาก พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และน้ำทิพย์จากบ่อน้ำทิพย์ (บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม)

            จำนวนการสร้างทั้งหมด ๑,๕๐๐ องค์ มีเนื้อโลหะแบบเดียวซึ่งมีด้วยกัน ๓ แบบ คือ

            ๑.แช่น้ำมนต์ อุดผงขวานฟ้า ผงหลวงปู่เทพโลกอุดร ผงพระธาตุ ๕๐๐ อรหันต์ พระธาตุพระสีวลี แช่น้ำมนต์ในพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน และน้ำทิพย์จากบ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม. ๒.ไม่แช่น้ำมนต์ อุดผงขวานฟ้า หลวงปู่เทพโลกอุดร พระธาตุข้าว ๓.อุดกริ่ง
            เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ได้นำไปให้พระเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคนั้น ทำการอธิษฐานจิต คือ หลวงปู่ครูบาน้อย วัดบ้านปง เชียงใหม่, หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่, หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๘

            จากนั้น หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ได้ทำการอธิษฐานจิตเดี่ยว โดยใช้คาถาชินบัญชรล้านนา  เป็นเวลา ๕ วัน ๕ คืน ในระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ เท่านั้นยังไม่พอ ยังนำไปให้ หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ อธิษฐานจิต เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๘ แล้วจึงนำไปให้ หลวงปู่ดาบส อาศรมเวฬุวัน เชียงราย อธิษฐานจิต เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๘




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-9-19 15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระกริ่งขวานฟ้าโลกอุดร ในส่วนที่ผมมีอยู่ และพอแบ่งกันได้นั้น เป็นแบบอุดกริ่ง นะครับ ท่านใดสนใจ โทร.ติดต่อผมโดยด่วนที่เบอร์โทร. (909) 525-6041 ในอัตราค่าบูชา องค์ละ ๑๙๙ เหรียญ ครับ (พร้อมตลับ และค่าส่งลงทะเบียน) บอกก่อนนะครับ มีไม่มากนัก หมดจากผมไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่า จะหาได้อีกหรือเปล่า? เพราะสร้างน้อยมาก แค่ ๑,๕๐๐ องค์ เท่านั้น

            สำหรับหลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา หรือเรียกสั้นๆ ว่า หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์นั้น ผมเคยนำประวัติของท่านมาลงไว้เป็นปีแล้ว แต่ในช่วงนั้น ผมหาพระเครื่องรางของขลังที่ท่านปลุกเสกไว้ไม่ได้เลยสักองค์ เพราะคนท้องถิ่นหวงแหน เก็บกันหมด ถ้าผมจะบอกว่า ก้อนสำลีที่ท่านนำมาทำเป็นเต่าชุบเทียน เลี่ยมพลาสติกให้ลูกศิษย์บูชานั้น ขณะนี้หากอยู่ในสภาพเดิมๆ สวยๆ ไม่ผ่านการใช้ เขาเล่นหากันในราคาองค์ละหมื่นบาทขึ้นไป ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่า อะไร ก้อนสำลีอะไร ทำไมแพงที่สุดในโลก จะต้องมีดีแน่ๆ คนเขาถึงแสวงหากัน เพราะของพวกนี้ มีไม่มากนัก ไม่ตกมาถึงสนามส่วนกลาง หรือคนถิ่นอื่นง่ายๆ ถ้าจะได้ ก็จะต้องไปบุกเอาถึงท้องถิ่น ซึ่งค่อนข้างลำบากมาก และใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต้องมีบุญวาสนาจริงๆ เอาไว้ในคราวหน้า ผมจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องรางของท่าน ว่ามีอะไรบ้าง มานำเสนอให้ทราบ และหนึ่งในเครื่องรางที่แพงที่สุดของท่าน ก็เห็นจะเป็น "เต่าคำ" หรือ "เต่ามหาลาภ" ที่ทำมาจากก้อนสำลี (ทั้งชุบเทียน และไม่ชุบเทียน) นี่แหละครับ

            มาย้อนเรื่องราวของหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ กันพอสังเขป ว่าท่านเป็นใคร ทำไม? วัตถุมงคลของท่านที่สร้างออกมามากมายหลายแบบ ถึงหาไม่ค่อยได้ ตามแผงพระเครื่องไม่ค่อยพบเห็นกันเลยก็ว่าได้ แสดงว่า ท่านต้องมีดีแน่ๆ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๕๖ ที่บ้านก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน ในครอบครัวชาวไร่ ชาวนาที่ยากจนมากๆ เพราะมีพีน้องท้องเดียวกันถึง ๙ คน  ท่านบวชเณรตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย อ.สามเงา จ.ตาก และได้มีโอกาสถวายตัวเป็นศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดแห่งนี้ ตั้งแต่เป็นเณร ติดตามปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยจนกระทั่งครูบาศรีวิชัยมรณภาพ เรียกว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิ ก็คงไม่ผิดความจริงนัก

            นอกจากท่านจะเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัยแล้ว ท่านยังเป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดของ ครูบาชัยลังกา ที่บวชเณรให้ และครูบาขาวปี ศิษย์มือขวาของครูบาศรีวิชัยอีกด้วย เรียกว่า ได้อาจารย์ดีเจ๋งสุดยอดถึง ๓ ท่านเลยทีเดียว ท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อชีวิตสัตว์มาตั้งแต่ยังไม่ได้บวชเณร ท่านได้ช่วยชีวิตสัตว์ที่นายพรานดักเอาไว้หลายครั้ง ด้วยการปล่อยมันไปก่อนที่นายพรานจะมาถึง แล้วนั่งรอเพื่อที่จะชดใช้เป็นสิ่งของที่ท่านหามาได้ หรือไม่ก็ทำงานชดใช้ ซึ่งในบางคราวนายพรานก็ไม่ถือสาหาความกับท่าน จนกระทั่งท่านพบเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้นเลยนับแต่นั้นมา เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี (ก่อนบวชเณร) กล่าวคือ  มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง  แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์ มันกลับร้องโอยๆๆๆ เหมือนเสียงคนร้อง  แล้วสิ้นใจตายในที่สุด  และเมื่อท่านไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋าซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์  ท่านจึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา

            ท่านบวชพระเมื่ออายุ ๒๐ ปี โดยมี หลวงปู่ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ เท่ากับท่านได้พระอาจารย์ที่บรรลุธรรมชั้นสูง เป็นพระอรหันต์ เพิ่มขึ้นอีก ๑ องค์ หลังจากอยู่ปรนนิบัติรับใช้อุปัชฌาย์ได้ระยะหนึ่ง ท่านก็ขออนุญาตออกธุดงค์ แสวงหาความวิเวก โปรดชาวเขา ชาวดอย ชาวกระเหรี่ยง ตามลำพัง จนกระทั่งอายุ ๒๒ ปี ท่านได้เข้าร่วมกับครูบาศรีวิชัย สร้างทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ โดยมีกระเหรี่ยง ศิษย์ของท่านจำนวนมาก อาสามาเป็นแรงงานสำคัญ และก็ถึงช่วงสำคัญที่ได้มีการจดบันทึก และเล่าขานกันมาไม่รู้จบก็คือ ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ครั้งแรกต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ด้วยการผลักหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางสร้างถนน ตรงบริเวณโค้งหักศอกที่เรียกว่า "โค้งขุนกัน" ท่านไม่ได้โอ้อวดอยากแสดงเอง แต่ครูบาศรีวิชัยได้บอกให้ศิษย์ที่มาบอกท่านเรื่องนี้ ให้ไปนิมนต์พระชัยวงศ์ เป็นผู้จัดการ
            เหตุที่ท่านสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่คนนับร้อยทำไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ด้วยการใช้มือข้างเดียวผลักหินลงไปได้โดยง่าย มันเป็นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งท่านสะสมมาแต่อดีตชาติ ที่ท่านได้เกิดเป็นฤาษีวาสุเทพ บำเพ็ญตบะที่ดอยสุเทพนี้มาก่อนนั่นเอง นอกจากนั้น ท่านยังได้รับการอาราธนาจากเทวดาอารักษ์ รุกขเทวดาที่รักษาสถานที่ ให้ท่านประทับรอยเท้าไว้บนแผ่นหิน ซึ่งท่านก็รับอาราธนา ประทับรอยเท้าของท่านไว้บนแผ่นหิน ลึกลงไปในหินประมาณ ๑ ซ.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (ช่วงตอนกลางๆ ของทางขึ้นดอยสุเทพ  เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทาง) ซึ่งรอยเท้าของท่าน ยังปรากฏให้เห็นจนทุกวันนี้

            เรื่องการประทับรอยเท้าในสมัยที่ท่านอายุ ๒๒ ปี หลายท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อเมื่อครั้งหลังสุด ท่านได้ประทับรอยเท้าต่อหน้าสานุศิษย์ มีการบันทึกภาพถ่ายเอาไว้อีกด้วยที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มของท่านนั่นเอง หากใครอยากเห็นรอยบาทแห่งพระโพธิสัตว์ ในยุคปัจจุบันที่แสดงปาฏิหาริย์ได้จริง ก็ขอเชิญชมกันได้ทั้งสองแห่ง เพื่อเปรียบเทียบกันดูว่าเป็นรอยเท้าเดียวกันหรือไม่ สิบปากว่า ไม่เท่าสองตาเห็นครับ


http://www.sereechai.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้