ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3304
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"ตำนานปู่โสมเฝ้าทรัพย์".....วิญญาณผู้ปกปักษ์แห่งวัดกุฏิดาว...

[คัดลอกลิงก์]
"ตำนานปู่โสมเฝ้าทรัพย์".....วิญญาณผู้ปกปักษ์แห่งวัดกุฏิดาว...

........กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย

จนกระทั่ง เกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ

ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี

เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึง ขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของวิญญาณ ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้น จริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมาย ภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง

ลายแทงขุมทรัพย์มีค่ามหาศาลนี้ ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้าพระองค์หนึ่ง การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...จากใคร...แต่พิสูจน์ ได้แน่ชัดว่า ต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

เพราะพระองค์เจ้าพระองค์นี้ กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง "ไมน์ดีเทคเตอร์" ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคน

จึงได้ทำเรื่องเสนอ ต่อกรมศิลปากร ขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ ท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503

น่าประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าฝังอยู่แน่นอน แต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย

การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาว ในครั้งนั้น นอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯ และพระสหายยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง

นั่นก็ คือท่านและพระสหายเห็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน

เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้น ทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ที่ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้น และโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้ มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน

คำ สาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน ทั้งๆ ที่มีสุขภาพร่งกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน

ขุมทรัพย์ โบราณที่วัดกุฏิดาว ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิมเพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ จะมาหลอกหลอนและสาปแช่ง

วัด กุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยัง
มีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง

"วัดมเหยงค์" นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐ แดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต

วัด มเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...

คำว่าปู่โสมนี้ ได้ยินมาบ่อยๆ ที่เรียกว่าปู่นี้คงเพราะมักมาเป็นรูปอย่างคนเฒ่าคนแก่ คงเป็นชายเสียส่วนมากจึงได้เรียกว่าปู่ ไม่เคยได้ยินว่ามีย่าโสมที่ไหน ส่วนคำว่าโสมนั้นคงเป็นคำโบราณ แปลว่าอะไรไม่แน่ใจ โดยรวมปู่โสมก็เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่ามีหน้าที่คอยเฝ้าสมบัติต่างๆที่คนโบราณแอบเอาไว้ตามถ้ำหรือกรุ สมบัติ ที่จริงเรื่องปู่โสมนี้เป็นเรื่องที่ดูยังคาบเกี่ยวกับวิชามาร ยาศาตร์(ฝังอาถรรพ์)อยู่มากในที่นี้เป็นการกล่าวถึงแต่คติเรื่องผีจึงขอคัด เอาแต่คติที่ดูจะเกี่ยวกับผีๆสางๆสักหน่อย

การอุบัติของปู่โสมนี้อาจ แยกเป็นสองอย่างหลักคือ เกิดจากอำนาจทางมารยาศาสตร์ ผูกขึ้นมาให้เป็นตัวตน คงคล้ายๆกับการผูกหุ่นพยน กับอีกอย่างหนึ่งคือเกิดจากคนตายคือผีตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งอย่างหลังนี้ดูจะเกี่ยวกับปู่โสมที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่หน่อย ปู่โสมที่เกิดจากอำนาจคนตายนี้ ก็ยังแยกออกเป็นแบบอีกคือ เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกับเขาทำให้เกิด

อย่างแรกที่ว่าเกิดกันตาม ธรรมชาตินี้คือเกิดจากคนที่เป็นจ้าวสมบัติเมื่อตาย ลงจิตยังคงหลงยึดมั่นในสมบัตินั้นเลยทำให้ไม่ได้ไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ เรื่องอย่างนี้ได้ยินกันบ่อยไป เช่นเคยได้ยินว่ามีนักเล่นของเก่าไปหาซื้อเตียงโบราณมาพอจะเอาเตียงมานอน เข้าจริงๆก็โดนเจ้าของเตียง(ผี)มาเล่นงานตั้งแต่คืนแรก อย่างนี้คงเป็นเพราะวิญญาณยังคงหวงเตียงนั้นอยู่เลยไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ฟังดูอาจตลกดีแค่เตียงเก่าๆยังหวงอะไรหนักหนา แต่มาคิดดูเรื่องการหวงข้าวของนี้เป็นอัตตาที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เช่นของของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาแอบใช้ คนรักของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ แต่อย่างนี้ยังดูไกลจากผีปู่โสมของเราอยู่สักหน่อย

การเกิดผีปู่โสม อีกอย่าหนึ่งก็คือเป็นการกระทำให้เกิดคือเจ้าตัวก็ไม่ได้ อยากเกิดเป็นผีปู่โสมแต่มีใครบางคนทำให้เป็น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้เองจึงเป็นผีปู่โสมเฝ้าสมบัติของแท้ เรื่องเอาคนมาฆ่าแล้วตรึงวิญาณให้เฝ้าสมบัตินี้มักได้ยินบ่อยๆ เป็นความเชื่อของลัทธิมารยาศาสตร์....

ข้อมูล :thaimysterious.blogspot.com/2012/07/blog-post_6188.html


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
เปิดอาถรรพ์!!! ขุมทรัพย์ "วัดกุฎีดาว" พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์








พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ" มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์ พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับ อย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ดังนี้... ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดินมากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่

เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตาเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทางซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดินจำนวนเท่าไร? โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับเพื่อฝังทรัพย์สมบัติอันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจนหมดเมืองเจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทางพวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้
บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืมหรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุดเอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลานญาติของตน

ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคลที่เจ้าของทรัพย์เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษาอยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่านจึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่งลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วยรงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมายเป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่าสูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบเห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญอักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x


ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!! พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่นก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆจะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงานในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตรมีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมากหลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา

มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหาสมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้นเพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย! คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหายลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหาไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือเครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมากต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุดพักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้

คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์โดยประทับอยู่วังเลขที่ ๓๒ ซอยสุภางค์ ถนนสุขุมวิท อำเภอพระขโนงกรุงเทพมหานคร พระองค์เจ้าพีระฯตรัสเล่าว่า...
"พอกลับมาคืนวันนั้นตอนดึกประมาณ ๒๔.๐๐ น.ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดิน
ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กันแต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดิน
เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก"

พระองค์เจ้าพีระฯสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงนั้นไปรอบๆบ้านโดยที่เสียงประหลาดนั้นยังคงดังอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดังตรงโน้นที เดี๋ยวดังตรงนี้ที ย้ายที่ไปเรื่อยๆ เดินตามไปตรงที่เกิดเสียง ก็ย้ายหนีไปขุดดังตรงที่อื่นอีก!หากเป็นคนทั่วไปก็คงจับไข้ห้วโกร๋ไปแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงเชื่อเรื่องผี ท่านจึงเดินตามเสียงประหลาดอย่างไม่หวั่นกลัวอะไรเมื่อหาสาเหตุไม่พบว่าเสียงที่ได้ยินมีที่มาอย่างไรพระองค์เจ้าพีระฯ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียงที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า ตอนเช้าพระองค์เจ้าพีระฯเสด็จไปดูตรงจุดที่เกิดเสียงประหลาด ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร ไม่มีสิ่งใดสูญหายแม้แต่ดินก้อนเดียว พระองค์ตรัสเล่าว่า"เขามาอาละวาดเต็มที่ตามมาถึงบ้าน เขาคงมาท้วงเรา เพราะเราไม่ได้ไปแสดงความเคารพหรือขอขมาเขาเสียก่อนขุด ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องผีจึงไม่ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทั้งที่วันนั้นก็มีคนทักท้วงว่าควรจะทำ"เรื่องนี้พระองค์เจ้าพีระฯได้ตรัสเล่าให้พระญาติพระวงค์ และพระสหาย ตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหาขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง และทุกคนต่างขอร้องให้พระองค์ทรงล้มเลิกการขุดหาขุมทรัพย์ในคราครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่พระองค์และพระสหายไม่ยอมเลิกล้มโครงการตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดต่อไป



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x


วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุมให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมายพบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก วันนี้ได้พระพุทธรูปองค์เล็กๆสององค์ ไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นมากมาย และหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ววันต่อๆมาก็ยังขุดต่อไปอีก กระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.ขณะพระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงวางเครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมาเป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสอุทานออกมาว่า ..."ผีนี่นา!"ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสถามพระชายา และพระสหายทั้งสองว่าเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลีและพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า..."ฉันเห็นแล้วฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป"พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อพระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน! เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระฯจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x


วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุมให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมายพบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก วันนี้ได้พระพุทธรูปองค์เล็กๆสององค์ ไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นมากมาย และหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ววันต่อๆมาก็ยังขุดต่อไปอีก กระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.ขณะพระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงวางเครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมาเป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสอุทานออกมาว่า ..."ผีนี่นา!"ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสถามพระชายา และพระสหายทั้งสองว่าเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลีและพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า..."ฉันเห็นแล้วฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป"พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อพระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน! เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระฯจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x


พระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้นผู้ใดค้นพบผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่าผีมีจริงวิญญาณมีจริงนั้นเองแม้วิญญาณเจ้าของสมบัติหรือปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะมาแสดงตนประหนึ่งห้ามปราม ทว่า พระองค์เจ้าพีระฯหาได้สนพระทัยไม่ ยังคงตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดค้นหาต่อไปอีก วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงานได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้
พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น...แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรงสุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุมด้วยความกลัวตายเมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบที่ก้นหลุมอีกแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ นั้นคือสัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก และยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่าขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงย่อท้อพระทัย จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ ซึ่งเครื่องได้ชี้จุดห่างออกไปประมาณ ๓๐ เมตรแต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่ ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป!

เป็นเวลาสองวันเต็มๆที่ชุดตามล่าหาขุมทรัพย์ ได้พยายามขุดตามมหาสมบัติที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาชนิดที่เรียกว่าหวุดหวิดจวนเจียนมันก็หนีไปจากที่เดิมอีก!เป็นที่น่าสังเกตุว่าบริเวณที่ขุมทรัพย์เคลื่อนย้ายหนีไปรวมตัว ณ ที่แห่งใหม่นั้น บางครั้งจะมีลักษณะเรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ทรงกลมบ้าง เมื่อขุดตามไปก็ได้แต่ดินโกยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่เศษทองให้พบเห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว!เมื่อพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นชัดเช่นนั้นจึงตรัสสั่งให้หยุดการขุดเอาไว้ก่อน และเริ่มหันมาสนพระทัยเรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ บังเอิญได้รู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงทางไสย์เวทพุทธาคม เมื่อท่านรับทราบเรื่องการขุดหาขุมทรัพย์ที่วัดร้างกุฎีดาวว่ามีอาถรรพณ์ลึกลับก็รับว่าจะทำพิธีบวงสรวงขออนุญาติขุด เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ท่านนี้ได้ตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่หลังโบสถ์แล้วท่านก็นำเอาไข่ลมมาเสกให้ดูปรากฎว่าไข่มีสีเขียวบ้างสีแดงบ้าง จากนั้นท่านก็ยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้มีทองคำจำนวนมากฝังอยู่จริงๆ และทำพิธีอยู่ ๓-๔ สัปดาห์ แต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไปแม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...

"เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยาฉันได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟังพระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก เป็นยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านสำเร็จได้อภิญญาหลายอย่างท่านก็หลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะที่ฉันเห็นท่านว่าเห็นแล้ว ท่านว่าคนนี้มีจริงๆเป็นปีศาจเฝ้าทรัพย์ชื่อ ผาด เป็นอดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง ปีศาจตนนั้นได้บอกกับพระอาจารย์หลวงพ่อว่า...ฉันไปรบกวนเขาโดยไปขุดทรัพย์แล้วไม่ทำตามแบบแผน เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของเราอย่างไรก็ตาม เขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว ว่าไม่ให้ทำมาค้าขึ้นซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในเวลาต่อมาทั้งสามคนที่ร่วมกันขุดก็แย่ฉันก็แย่...คำสาปจากวิญญาณผู้เฝ้าขุมทรัพย์ปรากฎเป็นความจริงในเวลาต่อมา นั่นคือธุรกิจที่พระองค์เจ้าพีระฯทรงร่วมกับพระสหายอีกสองคนก็มีอันต้องล้มเลิกกิจการล่มจมลง ต่อมา มร.แฮริสัน ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร!พระสหายลูกครึ่งก็หายสาปสูญไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้!

ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯในเวลาต่อมาได้ดำเนินธุระกิจอีกหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ การดำเนินงานขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจังโดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วยพระองค์เอง ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป พระองค์เจ้าพีระฯกับประสบการณ์เผชิญวิญญาณหวงสมบัติที่วัดกุฎีดาวนี้ พระองค์เคยเสด็จไปประทานสัมภาษณ์ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้กำกับการสันติบาลกอง ๕ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และนายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ ๒๕๐๔ที่นั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงยอมรับต่อที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยว่า แต่เดิมพระองค์ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเลยแต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ทรงประสบเรื่องวิญญาณลี้ลับมาแล้วด้วยพระองค์เอง


ที่มา : http://deeps.tnews.co.th/contents/200970/

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้