|
พระกริ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือ พระกริ่งวัดปรินายก, พระกริ่งปวเรศน้อย วัดช่องลม(วัดสีห์ไกรสร) ท่านทำตอนที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ ว่ากันว่าเมื่อเททองเสร็จท่านท้าให้ลูกศิษย์ทดลองยิงได้เลย โดยยังไม่ต้องปลุกเสก ปรากฏผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะปืนยิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว ทำให้พระกริ่งชุดนี้ เป็นที่เสาะแสวงหากันมากในหมู่นักนิยมสะสมพระเครื่อง และยังมีการปลอมออกมาหลายฝีมือทีเดียว “พระกริ่งดาว ๗ ดวง” ที่หล่อเพียง ๗ องค์เท่านั้น ใครที่คิดจะหาปิดประตูได้เลย เพราะอยู่กับผู้ที่มีอันจะกินระดับแนวหน้าของเมืองไทยทั้งหมด ที่เรียกกริ่ง ๗ ดาวนี้ เนื่องจากในปีนั้นมีดวงพระเคราะห์ทั้ง ๗ ดวงเคลื่อนเข้ามาอยู่ในราศีเดียวกัน และให้คุณเป็นอันมาก เรียกว่ารอกันเป็นสิบ ๆ ปีได้เลยกว่าจะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้อีกครั้ง จึงเป็นที่มาของการสร้างพระกริ่ง ๗ ดาว
ส่วน “พระบูชาไม้โพธิ์แกะปางห้ามสมุทร” หรือไม้โพธิ์นิพพาน ท่านได้สร้างไว้เหมือนกันแต่น้อยมาก ๆ และยังมี “พระภควัมบดีแกะจากไม้รักซ้อนตายพรายก้นอุดด้วยพระธาตุและผงวิเศษ”, “พระภควัมบดีแกะจากไม้หิ่งหายผี” ส่วนเครื่องรางก็จะมีเสื้อยันต์ที่ท่านทำสมัยสงครามอินโดจีน และผ้ายันต์ชนิดต่าง ๆ เชือกคาดเอว(ลงแล้วเผาไฟไม่ไหม้ตามตำรา) สำหรับเครื่องรางเหล่านี้จะต้องมีเครื่องสังเวยครูตามตำรานั้น ๆ เลยทีเดียว ถ้าไม่มีมาท่านจะไม่ทำให้เป็นอันขาด เพราะท่านถือเรื่องการเคารพครูเป็นอย่างสูง เครื่องรางของท่านแต่ละชิ้นจึงมีราคาค่าตัวสูงพอสมควร ตะกรุดต่าง ๆ เช่น “ตะกรุดมหาจักพัตราธิราช” ที่ลงในพิธีมหาจักรพรรดิซึ่งนับดอกได้ ปีที่ทองคำตกบาทละ ๕,๐๐๐ กว่า เคยมีคนเอาทองคำหนัก ๖ บาทมาแลกตะกรุดมหาจักรพรรดิไป ๑ ดอก, “ตะกรุดคู่ชีวิต”, “ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม” และตะกรุดชนิดอื่น ๆ
“ประคำพระเจ้าตรึงไตรภพ” ที่ทำจำนวนน้อยมากมีประมาณ ๒๐ กว่าเส้นเท่าที่ทราบ และหาผู้ที่รู้จริงทำได้น้อยมากเช่นกัน แม้แต่วัดกลางบางแก้วเองเมื่อสิ้นหลวงปู่บุญก็ไม่มีท่านใดทำต่อได้เลย ลงด้วยคาถารัตนมาลาทั้ง ๑๐๘ บท และต้องท่องจบสูตรรัตนมาลาทั้งหมด ๓ ห้อง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไส้ทำด้วยเงินลงยันต์ บางเส้นท่านทำด้วยทองคำก็มี พันด้วยกระดาษสาโรยด้วยผงปถมัง ลงรักปิดทองทั้งเส้น ผมยังมีบุญที่ได้เห็นอยู่หนึ่งเส้นในชีวิต เพราะของสำคัญอาจารย์เทพย์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือผู้ที่มีอันจะกินระดับเจ้าสัวแทบทั้งสิ้น จึงไม่มีของหลุดออกมาให้เห็น
“มีดเทพศัสตรา” ที่รวบรวมชนวนพระกริ่งที่ท่านทำทั้งหมดมาหลอมเป็นใบ นำมาตบแต่งเป็นมีด ลงเหล็กจารทั้งใบมีด ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือหลัง มีดหมอของท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขณะที่ลงปลายมีดด้วยยันต์ “นะโอ้ฟ้าผ่า” อยู่นั้น ฟ้าก็ได้ผ่าลงมาให้เห็นจริง ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ เห็นได้ว่าท่านเรียนวิชาอะไรก็สำเร็จตามคุณวิเศษของตำรานั้นได้จริง ที่เห็นว่ามีปรมาจารย์ผู้ชำนาญในเรื่องเหล่านี้แท้จริงในยุคปัจจุบันก็พบแต่ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และอาจารย์ชุม ไชยคีรี สองท่านนี้ที่ทำได้ตามตำราจริง ๆ คุณวิเศษของมีดนั้นเรื่องไล่ผีหรือขับคุณไสยถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่ามีดของท่านยังใช้ทำความได้อีกด้วย (เรื่องนี้ผมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากลูกศิษย์คนสนิทของท่านคนหนึ่งว่า ยังใช้ทำความได้ดี ใช้ข่มศัตรู เพียงแต่นำรูปถ่ายของคู่ความ คู่กรณี มาว่าคาถาที่กำกับและพันกับด้ามมีดเท่านั้น คู่ความไม่สามารถว่าความได้เลย)
วิชาทำ “ยาจินดามณี” ได้รับอนุญาตจากสำนักพระราชวังให้ใช้พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ประกอบพิธี นับว่าหาได้ยากจริง ๆ เท่าที่ทราบก็ไม่มีผู้ใดอีกเลยที่ทำพิธียาจินดามณีในพระอุโบสถวัดพระแก้วได้ นอกจากนี้ยังได้รับโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้เททองหล่อพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์อีกด้วย
“สีผึ้งสามไฟ” ที่เลื่องลือในด้านเมตตานิยม การเจรจาเป็นอย่างสูง พิธีสุดท้ายท่านทำที่วัดเสน่หา เมื่อทำสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดเสน่หาพอดี นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมากสำหรับอาจารย์เทพย์ที่ได้ลองทำวิชาสีผึ้งสามไฟ ใครมาขอท่านจะให้แค่เท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น และนำไปผสมกับสีผึ้งที่เตรียมมา ลูกศิษย์ที่ได้ใช้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าสุดวิเศษตามที่ท่านได้บอกสรรพคุณไว้จริง ๆ ระยะหลังท่านได้เลิกทำเครื่องราง เพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่ยังคงไว้ในส่วนพระกริ่งของท่านเองที่สถาปนาไว้เพื่อการสร้างวัดวาอาราม บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่าง ๆ ครั้งหลังนี้ท่านเลือกประกอบพิธีที่วัดตะเคียน(วัดมหาพฤฒาราม)มาโดยตลอด เพราะรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาส พระกริ่งที่เทวัดคะเคียนนี้ เท่าที่จำได้จะมี พระกริ่งนวโกฏิ (พระนวโกฏิเศรษฐี), พระกริ่งปวเรศ และพระชัยวัฒน์, พระบูชาหลวงพ่อดำ (หลวงพ่อดำเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระประจำพระองค์ในสมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ที่พระองค์เดิมเป็นพระสมัยเชียงแสนหล่อด้วยสำริด เนื้อกลับเป็นสีดำ ส่วนฐานท่านได้ให้ช่างแกะเป็นเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ และซุ้มเรือนแก้ว(แกะด้วยไม้ประดับกระจกสี)ประดิษฐานที่ด้านหลังองค์พระ และเฉลิมพระนามใหม่ว่าหลวงพ่อดำ), เหรียญนารายณ์แปลงรูป, เหรียญพุทธนิมิต ฯลฯ ส่วนการประกอบพิธีพุทธาภิเษก ท่านได้นิมนต์พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทสุวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี, พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่ ยโส) วัดใหม่หนองพะอง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร (หลวงพ่อทองอยู่นี้ท่านดังมากในเรื่องใช้กสิณดับแสงดาว และท่านยังเป็นญาติทางฝ่ายคุณแม่ของอาจารย์เทพย์อีกด้วย) ส่วนหลวงปู่โต๊ะท่านเป็นสหธรรมมิกกับอาจารย์เทพย์ เวลาที่หลวงปู่โต๊ะทำผงมักจะมาทำที่บ้านของอาจารย์เทพย์เสมอ
ประสบการณ์ของอาจารย์เทพย์นั้นมักจะมีในแทบทุกด้าน วิชาที่ท่านทำแต่ละอย่างนั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวิชาชั้นสูง อย่างเช่น ทางด้านเมตตามหานิยมนั้น ท่านทำให้ถึงขนาดที่ว่าเทวดายังต้องลงมารัก มาเมตตาสงสาร ให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เมตตามหาเสน่ห์แล้วจบลงด้วยการนอนร่วมเพศกันเหมือนกับอาจารย์ลวงโลกในสมัยนี้ทำ ท่านยกอุปมาอุปมัยสั่งสอนลูกศิษย์โดยตลอดในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ วิชามหาเสน่ห์ท่านก็มี แต่ไม่ได้ประสิทธิประสาทให้กับผู้ใด ท่านว่าเป็นวิชาขั้นต่ำ ท่านเคยทำวิชานี้ให้พระอาจารย์ติ๋ว ฐิตวัฒฑโณ วัดมณีชลขัณฑ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้ประจักษ์เป็นบุญตามาแล้ว เมื่อวันหนึ่งที่พระอาจารย์ติ๋วเข็นรถอาจารย์เทพย์ออกมาหน้าบ้าน อาจารย์เทพถามว่า “อยากเห็นอะไรไม๊” พอพูดจบท่านนั่งภาวนาคาถาสักครู่ ในขณะนั้น มีผู้หญิงสองคนเดินผ่านหน้าบ้านท่านพอดี ท่านจึงเป่าคาถาใส่ผู้หญิงสองคนนั้น ปรากฏว่าผู้หญิงสองคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาอาจารย์เทพย์ และหอมแก้มท่านเป็นการใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันเลยแม้สักนิด พระอาจารย์ติ๋วเห็นแล้วถึงกับอึ้งในวิชามหาเสน่ห์ของอาจารย์เทพย์ที่ทำให้ดู
ไม่ว่าจะแก่กล้าในวิทยาคุณเพียงใด แต่ทุกชีวิตก็หนีไม่พ้นความตาย ท่านปรมาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ถึงแก่มรณกรรมเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖ นับว่าเป็นการสูญเสียครูบาจารย์ที่สำคัญยิ่งท่านหนึ่งในเมืองไทย เหรียญนารายณ์แปลงรูปหรือเหรียญหน้าพรหมนี้หายากนัก เพราะสร้างจำนวนน้อย เนื้อเงินทำเพียง 50 เหรียญ เนื้อทองแดง(ชนวน)ทำเพียง 800 เหรียญเท่านั้นเอง
|
|