ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1998
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทำความรู้จัก ศาสนาเชน

[คัดลอกลิงก์]
ศาสนาเชน หรือ ไชนะ แปลว่า ผู้ชนะ คำว่า "เชน" เป็นชื่อของศาสดาผู้ตั้งศาสนา จึงตั้งชื่อศาสนาว่า ศาสนาเชน เป็นการตั้งชื่อศาสนาเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เป็นศาสดา เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนา ก็เป็นการตั้งชื่อตามพระนามเกียรติยศคือ พุทธ แปลว่า ท่านผู้ตรัสรู้ ศาสนาเชนเป็นอเทวนิยมเช่นเดียวกับพุทธศาสนา

ในอินเดียปัจจุบันมีศาสนาสำคัญ 3 ศาสนา คือ พราหมณ์-ฮินดู พุทธศาสนา และศาสนาเชน ศาสนาเชนเกิดขึ้นในอนุทวีปอินเดียเมื่อประมาณศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ.  (600 + 2012 = 2,612 ปี)

ศาสนานี้คัดค้านศาสนพิธีและความเชื่อในคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ เช่น ศาสนิกชนมีความเชื่อว่า พระมหาวีระคือศาสดาหรือ  "องค์ตีรถังกร" (ผู้สร้างทางข้ามพ้นไป) เป็นศาสดาองค์ที่ 24 ของศาสนาเชน ดังนั้น ศาสนาเชนจึงมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ก่อนหน้าศาสดาพระมหาวีระช้านาน และเชื่อกันว่าพระมหาวีระ คือ องค์ศาสดา หรือ ตีรถังกร องค์สุดท้ายของศาสนาเชน

ศาสดาองค์ก่อนพระมหาวีระคือ องค์ศาสดาปราศวนาท ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนการ  นิพพานของมหาวีระ 250 ปี ปัจจุบันสาวกศาสนาเชนมีอยู่ประมาณ 2,000,000 คน กระจัดกระจายกันอยู่ในเกือบทุกรัฐของอินเดีย แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่มากในบริเวณภาคตะวันตกของอินเดีย อุตรประเทศ ไมเซอร์ มัธยมประเทศ และมหาราษฏรในอินเดีย ส่วนเชนศาสนิกในต่างประเทศไม่มีผู้นับถือ
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศาสดา

ศาสดาของศาสนาเชน เดิมมีนามว่า "วรรธมาน" แปลว่า ผู้เจริญมีกำเนิดในสกุลกษัตริย์ เมืองเวสาลี พระบิดานามว่า สิทธารถะ พระมารดานามว่า ตริศาลา เมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์หลายอย่างโดยควรแก่ฐานะแห่งกษัตริย์ เผอิญวันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับสหาย ได้มีช้างตกมันตัวหนึ่งหลุดออกจากโรงวิ่งมาอาละวาด ทำให้ฝูงชนแตกตื่นตกใจ ไม่มีใครจะกล้าเข้าใกล้และจัดการช้างตกมันตัวนี้ให้สงบได้ แต่เจ้าชายวรรธมานได้ตรงเข้าไปหาช้าง และจับช้างพากลับไปยังโรงช้างได้ตามเดิม เพราะเหตุที่แสดงความกล้าหาญจับช้างตกมันได้จึงมีนามเกียรติยศว่า "มหาวีระ" แปลว่า ผู้กล้าหาญมาก

มหาวีระมีพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน 2 องค์ คือ พระเชษฐภคินี และพระเชษฐภาดา พระมหาวีระ เป็นโอรสองค์สุดท้าย
เมื่อเจ้าชายวรรธมานมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา ทรงได้รับพิธี ยัชโญปวีต คือพิธี สวมด้ายมงคลแสดงพระองค์เป็นศาสนิกตามคติศาสนาพราหมณ์ หลังจากพระบิดาได้ทรงส่งเจ้าชายวรรธมานไปศึกษาลัทธิของพราหมณาจารย์หลายปี เจ้าชายทรงสนพระทัยในการศึกษาแต่ในพระทัยมีความขัดแย้งกับคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุดในโลก ส่วนวรรณะอื่นต่ำต้อย แม้วรรณะกษัตริย์ยังต่ำกว่าวรรณะพราหมณ์ แต่แล้วพวกพราหมณ์ได้ประพฤติกาย วาจา และ ใจ เลวทรามไปตามทิฐิและลัทธินั้น ๆ

เมื่อเจ้าชายวรรธมานมีพระชนมายุได้ 19 พรรษา พระบิดาทรงจัดให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา ซึ่งเวลาต่อมาได้พระธิดาองค์หนึ่งนามว่า อโนชา หรือ ปริยทรรศนา เจ้าชายวรรธมานกับพระชายาได้เสวยสุขในฆราวาสวิสัยด้วยความเกษมสำราญจนพระชนมายุได้ 28 พรรษา มีความเศร้าโศกเสียพระทัยอย่างมากจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาและพระมารดา ด้วยวิธีการอดอาหารตามข้อวัตรปฏิบัตรในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเรียกว่า "ศาสนอัตวินิบาตกรรม" ซึ่งถือว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง

การสูญเสียพระบิดาและพระมารดาได้ทำให้เจ้าชายทรงเศร้าพระทัยมาก ทรงสละพระชายาและพระธิดา เปลี่ยนผ้าคลุมพระกายเป็นแบบนักพรต เสด็จออกจากนครไพสาลี และได้ทรงประกาศมหาปฏิญญาในวันนั้นว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 12 ปี ขอไม่พูดกับใครแม้คำเดียว พระมหาวีระได้ทรงบำเพ็ญตนเป็น  นักพรตถือการขอเป็นอาชีพ ได้เสด็จเที่ยวไปตามคามนิคมต่าง ๆโดยมิได้พูดอะไรกับใครเป็นเวลา 12 ปี ได้บรรลุความรู้ขั้นสูงสุดเรียกว่า ไกวัล ถือเป็นผู้หลุดพ้นกิเลสทั้งปวง เป็นพระอรหันต์และเป็นผู้ชนะโดยสิ้นเชิง

เมื่อพระมหาวีระได้ทรงบรรลุไกวัลแล้ว จึงทรงพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องละปฏิญญานั้นเสียกลับมาสู่ภาวะเดิมคือยอมพูดกับคนทั้งหลาย เพื่อช่วยกันปฏิรูปความคิดและความประพฤติเสียใหม่ แล้วได้เริ่มเที่ยวประกาศศาสนาใหม่อันได้นามว่า เชน
ศาสดามหาวีระได้ทรงใช้เวลาในการสั่งสอนสาวกไปตามคามนิคมต่างๆเป็นเวลา 30 ปี และได้ทรงเข้าถึงนิพพานหรือมรณภาพ เมื่อมีพระชนมายุได้ 72 พรรษา ในประมาณปีที่ 572 ก่อน ค.ศ. ที่เมืองปาวา หรือสาธารณรัฐมัลละ และปาวาบุรีนี้ได้เป็นสังเวชนียสถานสำหรับศาสนิกเชนทุกคน

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คัมภีร์

คัมภีร์ของศาสนาเชนเป็นเรื่องที่ยากแก่การค้นคว้า ไม่ค่อยเปิดเผยเหมือนศาสนาอื่น สาวกบางคนที่มีคัมภีร์ก็พยายามจะเก็บซ่อนคัมภีร์ไว้อย่างมิดชิด หลักสำคัญของคัมภีร์ศาสนาเชนคือ "คัมภีร์อาคมะ" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สิทธานตะ" และ  "คัมภีร์กัลปสูตร"
ส่วนแรกแห่งคำสอนประกอบด้วยอังคะ (ส่วน) 12 อังคะ แต่อังคะที่ 12 ได้สูญหายไป ตามหลักฐานปรากฏว่าได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ประมาณ 200 ปี ภายหลังสมัยของมหาวีระองค์ศาสดาของศาสนาเชน

คัมภีร์ในปัจจุบันมีอยู่ 37 คัมภีร์ส่วนใหญ่จะเขียนขึ้นมาภายหลัง กล่าวถึงชีวประวัติของมหาวีระสาวกของศาสนาเชนมีความเห็นในเรื่องคัมภีร์ค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น นิกาย "เศวตัมพร" ยึดคัมภีร์ "อาคมะ" เป็นคัมภีร์ศาสนาของพวกตน โดยมีความเชื่อมั่นว่าสาวกผู้ใกล้ชิดมหาวีระเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์อาคมะขึ้น แต่นิกาย "ทิคัมพร" เชื่อว่าคัมภีร์ดั้งเดิมได้สูญหายไปแล้ว คำสอนของมหาวีระถูกรวบรวม แก้ไข หรือเขียนเพิ่มเติมขึ้นโดยนักบวชสมัยโบราณหลายท่าน
คัมภีร์ "อาคมะ" ประกอบด้วยคัมภีร์ 45 เล่ม และแบ่งย่อยออกไปเป็นคัมภีร์ละ 11 ส่วน กับเล่มที่ 12 เรียกว่า "ฤทธิวาท" เป็นอุปางคะ 11 ส่วน แบ่งเป็นมูลสูตร 4 เล่ม เป็นเจตสูตร 6 เล่ม เป็นคูสิกสูตร 2 เล่ม และเป็นปกิณกะ 10 เล่ม

.

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลักธรรมคำสอนของศาสนาเชน แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ กว้าง ๆ 3 หลัก ดังนี้

1. หลักธรรมขั้นพื้นฐาน ได้แก่ หลักอนุพรต 5 (ศีล 5 ) มีดังต่อไปนี้

1.1 อหิงสา การไม่เบียดเบียน ไม่ทำลายชีวิต

1.2 สัตยะ พูดความจริง ไม่พูดเท็จ

1.3 อัสเตยะ ไม่ลักขโมย รวมทั้งไม่หลบเลี่ยงภาษีอากร

1.4 พรหมจรยะ อย่างต่ำคือการไม่ประพฤติผิดในกาม

1.5 อปริครหะ การไม่โลภ ไม่ควรมีข้าวของมากเกินจำเป็น

สำหรับอนุพรตในข้อ 1 คือ อหิงสามีรายละเอียดในการแบ่งชั้นของสัตว์ออกเป็นประเภทตามความสามารถทางประสาทสัมผัส และตามลักษณะที่เคลื่อนไหวได้หรือไม่คือ อาตมันที่ถูกผูกมัดมี 2 ได้แก่ สถาวระ (เคลื่อนไหวไม่ได้) และตรุสะ (เคลื่อนไหวได้)

ในประเภทเคลื่อนไหวไม่ได้ (สถาวระ)  มีเพียงอายตนะเดียวคือ
อายตนะสำหรับสัมผัส ได้แก่ ผักหญ้า

ในประเภทเคลื่อนไหวได้ สัตว์ที่มีอายตนะ 2 คือ
ทางสัมผัส กับ ทางลิ้มรส เช่น หนอน

สัตว์ที่มีอายตนะ 3 คือ
ทางสัมผัส ลิ้มรส ได้กลิ่น เช่น มด

สัตว์ที่มีอายตนะ 4 คือ เพิ่มในทางมองเห็น เช่น ผึ้ง

สัตว์ที่มีอายตนะ 5 คือ
เพิ่มในทางได้ยินเสียง เช่น นก

ผู้ที่นับถือศาสนาเชนจะฆ่า หรือกินสัตว์เหล่านี้ไม่ได้ จะทำได้เฉพาะที่มีอายตนะทางสัมผัสอย่างเดียว คือ ผักหญ้า

สรุปก็คือ เชนศาสนิกทุกคนทานอาหารมังสวิรัติ


2. หลักปรัชญา หลักปรัชญาในศาสนาเชน แบ่งออกเป็น 2 ข้อ ดังนี้

2.1 ชญาน แบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังนี้

2.1.1 มติชญาน ความรู้ทางประสาทสัมผัส

2.1.2 ศรุติชญาน ความรู้เกิดจากการฟัง

2.1.3 อวธิชญาน ความรู้เหตุที่ปรากฎในอดีต

2.1.4 มนปรยายชญาน ชญานกำหนดรู้ใจผู้อื่น

2.1.5 เกวลชญาน ชญานอันสมบูรณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนบรรลุนิรวาณ



5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2.2 ชีวะและอชีวะ

ศาสนาเชนเป็นศาสนาทวินิยม กล่าวคือ มองสภาพความจริงว่ามีส่วนประกอบของสิ่งที่มีอย่างเที่ยงแท้เป็นนิรันดรว่ามีอยู่ 2 สิ่งดังนี้

1. ชีวะ ได้แก่ วิญญาณ หรือสิ่งมีชีวิต หรือ อาตมัน

2. อชีวะ ได้แก่ อวิญญาณ หรือสิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่วัตถุ

อชีวะหรือสสารประกอบด้วยองค์ประกอบขั้นพื้นฐาน 5 ประการ คือ การเคลื่อนไหว (ธัมมะ) การหยุดนิ่ง (อธัมมะ) อวกาศ (อากาศ) สสาร และ กาล ทั้งหมดเป็นนิรันดร (ปราศจากการเริ่มต้น) และทั้งหมดยกเว้นวิญญาน (ชีวะ) เป็นสิ่งไม่มีชีวิต และทั้งหมดยกเว้นสสาร เป็นสิ่งไม่มีตัวตน การเคลื่อนที่และการหยุดนิ่ง โดยตัวของมันเองไม่มีอยู่ จะต้องมีสิ่งอื่นมาทำให้มันเคลื่อนที่และหยุดนิ่ง องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของอชีวะหรือสสารทั้ง 5 ดังกล่าวมีกาล (เวลา)  ซึ่งเป็นนิรันดรเป็นองค์ประกอบ
ถ้ากล่าวโดยพิสดารทุกอย่าง แบ่งออกเป็น 9 ดังต่อไปนี้

1. ชีวะ หรือ อาตมัน

2. อชีวะ หรือวัตถุ

3. ปุณยะ ได้แก่ บุญ

4. ปาปะ ได้แก่ บาป

5. กรรม ได้แก่ การกระทำ

6. พันธะ ได้แก่ ความผูกพัน

7. สังสาระ ได้แก่ ความเวียนว่ายตายเกิด

8. นิรชระ ได้แก่ การทำลายกรรม

9. โมกษะ ได้แก่ ความหลุดพ้น


3. หลักโมกษะ โมกษะคือการหลุดพ้น หรือความเป็นอิสระของวิญญาน พูดง่าย ๆ คือ การทำให้วิญญานหลุดพ้นจากอัตตา และจากความไม่บริสุทธิ์ ไม่ต้องมาเกิดอีก
ในศาสนาพราหมณ์ เมื่อวิญญานหลุดพ้นแล้วจะไปรวมอยู่กับพรหม ส่วนศาสนาเชน เมื่อวิญญานหลุดพ้นแล้ว ก็จะไปอยู่ในส่วนหนึ่งของเอกภาพที่เรียกว่า "สิทธศิลา" ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความสุขนิรันดร ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

ข้อปฏิบัติที่จะบรรลุโมกษะ  ศาสนาเชน มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้

1. ความเชื่อที่ถูกต้อง ได้แก่ เชื่อในศาสดาทั้ง 24 องค์ ของศาสนาเชน เชื่อในเชนศาสตร์ หรือคัมภีร์ของศาสนาเชน และเชื่อในนักบวชผู้สำเร็จผลในศาสนาเชน

2. ความรู้ที่ถูกต้อง ได้แก่ รู้สิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง และด้วยความแน่ใจ

3. ความประพฤติที่ถูกต้อง มีข้อปฏิบัติทั้งของนักบวชและคฤหัสถ์ แต่ที่นับว่าสำคัญที่สุดก็คือ อหิงสา การไม่เบียดเบียน

หลักการทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นทางทำลายกรรม คือการกระทำ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการถูก ผูกมัด หรือ ผูกพันตามหลักปรัชญาของศาสนานี้

นิกาย

นิกายในศาสนาเชน แบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ

1. นิกายเศวตัมพร

นำโดยสถูลภัทร ส่วนใหญ่ประจำอยู่ในแคว้นพิหาร นุ่งห่มขาว ที่หน้าสำนักจะติดตั้งรูป "ตีรถังกร" ประดับด้วยเครื่องนุ่งห่ม และมองตรงไปข้่างหน้า
ปฏิบัติธรรมถือหลักศีล 5 เป็นพื้น คือ

อวิหิงสา
สัจจะ
อัสเตยะ
พรหมจรรย์ และ
อปริครหะ

มีการทำสังคายนา รวบรวมคัมภีร์ศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ และยังมีการแตกแยกเป็นนิกายย่อยลงไปอีกถึง 84 นิกาย ที่ต่างกันโดยมากเป็นเรื่องของความเห็นที่ทำให้ปฏิบัติต่างกันออกไป เช่น นิกายหนึ่งเห็นว่าต้องบูชารูป ตีรถังกร เพราะเป็นศาสดา อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า เพียงเคารพนับถือก็พอไม่ต้องบูชาเพราะ ตีรถังกร มิใช่เทพเจ้า อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า ควรสร้างรูปเคารพ แต่อีกนิกายเห็นว่าไม่ควรสร้างรูปเคารพ เป็นต้น



นักบวชหญิงเศวตัมพร (ชุดขาว)
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2. นิกายทิฆัมพร

นำโดยภัทรพาหุ ปฏิบัติเคร่งครัดโดยเฉพาะข้อ ยริครหะ คือ ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม มีลักษณะเป็นการทรมานตน ศาสนิกโดยทั่วไปไม่สามารถจะปฏิบัติตามได้ ถือหลักที่สำคัญที่สุด 3 ประการคือ

1) การอดอาหารหรือไม่กินอาหารใด ๆ แม้แต่น้ำ

2) ไม่มีพันธนาการแม้แต่ผ้านุ่งห่มใดๆ รวมทั้งสมบัติอื่น ๆ

3) ไม่อนุญาตให้สตรีบวช และบรรลุธรรม

แบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อยอีก 5 นิกาย ไม่มีการทำสังคายนาถือคัมภีร์ที่รวบรวมโดยภัทรพาหุว่า สมบูรณ์แล้ว รูปองค์ ตีรถังกร ในสำนักเป็นรูปเปลือย นักบวชไม่ใช้เครื่องนุ่งห่ม

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-6-8 21:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้