ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1737
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

แรงบุญมาก อาจชนะ แรงกรรม

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย lnw เมื่อ 2016-5-30 19:38






องคุลีมาล ท่านสังหารคนมาแล้ว 999 คน นับเป็นกรรมอันหนัก จักส่งผลให้ท่านไปสู่ อบาย  แต่ท่านได้พบพระพุทธเจ้า และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทำให้กรรมที่ทำมาเหล่านั้นไม่สามารถส่งผลต่อไปได้ เพราะท่านจักปรินิพาน ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว หมดสิ้นภพชาติ


สมัยพุทธกาล  มีเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง  มีจิตห่วงผ้าสบงจีวรที่เพิ่งได้มาใหม่  ซักตากไว้บนราว  มรณภาพไปขณะผ้านั้นยังไม่แห้ง  จิตที่ผูกพันในผ้าสบงจีวรนั้น  ทำให้ไปเกิดเป็นตัวเล็นเล็กๆ เกาะติดอยู่กับผ้า

พระภิกษุอีกรูปหนึ่ง  เห็นผ้าสบงจีวรนั้นไม่มีเจ้าของแล้ว  ก็จะนำไปใช้  พระพุทธองศ์ทรงทราบ  ได้ทรงมีพระพุทธดำรัสห้ามตรัสให้รอ  เพราะพระภิกษุรูปนั้นจะสิ้นภพสิ้นชาติของการเป็นเล็นในเวลาเพียงไม่กี่วัน  ถ้าไปนำสบงจีวรนั้นไปขณะยังเป็นเล็นอยู่  ก็จะโกรธแค้น  จะไม่ได้ไปเสวยผลแห่งกุศลกรรมที่ได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก  นี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ทรงรับรองว่าอำนาจจิตจะทำให้มนุษย์ไปเป็นสัตว์ได้




พระนางมัลลิกา เมื่อในเวลาใกล้จะสิ้นใจ แทนที่นึกถึง ทาน ที่พระนางเคยทำร่วมกันกับพระราชา ก็กลับไประลึกถึงที่เคยกล่าวโกหกไว้ครั้งหนึ่งแก่พระสวามี พอสิ้นใจจึงไปบังเกิดในอเวจีนรกแทน

        ครั้นได้เห็นไฟนรกในอเวจีนั้นมีสีแดงประหนึ่งสีจีวรของพระ จึงระลึกได้ว่าเคยถวายทานบุญทำกุศลไว้มากมาย จึงกลับไปผุดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดุสิต




นายตัมพทาฐิกะ  ฉายาเพชฌฆาตเคราแดง  ทำหน้าที่ประหารนักโทษวันละคนหรือสองคนทุกวัน เป็นเวลา 55 ปี จนเข้าสู่วัยชรา ไม่มีแรงที่จะสังหารนักโทษในดาบเดียว ต้องซ้ำถึงสองหรือสามครั้ง จึงปลดเกษียณกลับมาอยู่บ้าน  พระสารีบุตรออกจากสมาบัติได้มาบิณฑบาต

นายตัมพทาฐิกะ  ได้ใส่บาตและฟังธรรมจนบรรลุโสดาปัตติมรรค เมื่อพระสารีบุตรจากไปแล้ว ก็ไปถูกแม่โคขวิดตาย กรรมที่ได้สังการนักโทษมามากมายไม่สามารถส่งผลให้ไปอบายได้ นายตัมพทาฐิกะ ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต





พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า..มีลัทธิเดียรถีย์ สอนผิดหลักพุทธศาสนา

เพราะเป็นไปเพื่อการไม่กระทำอยู่ 3 ลัทธิ คือ   




๑. ลัทธิ กรรมเก่า
เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตวาท สอนว่า สุข-ทุกข์หรือไม่ ย่อมเป็นตามกรรมที่ได้ทำไว้แต่ปางก่กน

๒. ลัทธิ พระเป็นเจ้าบันดาล
เรียกสั้นๆ ว่า อิศวรนิรมิตวาท สอนว่า สุข-ทุกข์หรือไม่ แล้วแต่เทพเจ้าดลบันดาล

๓. ลัทธิแล้วแต่โชค
เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท สอนว่า สุข-ทุกข์หรือไม่ ย่อมเป็นไปเอง ถึงเวลาสุข ก็สุขเอง ฯลฯ




ความเชื่อตามลัทธิสองอย่างแรก ทำให้เป็นผู้ไม่ขวนขวายกระทำความดี เพราะเชื่อว่าทำไปก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
เพราะเชื่อว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาล่วงหน้าแล้ว

ส่วนความเชื่อในลัทธิที่สาม ก็ไม่ทำความหมั่นขยันขวนขวาย เพราะเชื่อว่าถ้ามีโชคดีวันใดก็สุขสบาย

ความเชื่อในลัทธิทั้งสาม จึงทำให้เป็นคนเกียจคร้าน เฝ้าแต่รอโชควาสนา กรรมเก่า เทพบันดาล ไม่คิคขวนขวายการใดๆ



พยายามทำทุกอย่างที่เป็นบุญ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้