วิพากษ์ หนังสือ วิจารณ์ ประวัติศาสตร์ ฉบับทางการไทย

Sornpraram

(ที่มา:มติชนรายวัน 29 ตุลาคม 2558)

วิพากษ์ หนังสือ วิจารณ์ ประวัติศาสตร์ ฉบับทางการไทย


ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ  ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สถานการณ์ของบูธกรมศิลปากรแตกต่างจากปีที่ผ่านๆ มา มีผู้เข้ามาซื้อหนังสือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" ที่เพิ่งจัดพิมพ์เสร็จใหม่สดๆ ร้อนๆ  เป็นจำนวนมาก

นายคูณ เกษรแย้ม เจ้าหน้าที่ประจำบูธ เปิดเผยว่า หนังสือเล่มนี้ขายดีทุกวัน  เมื่อสองวันก่อนเบิกมา 120 เล่มก็หมดตั้งแต่เที่ยง

โดยเฉพาะหนังสือเล่มที่มีลายเซ็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จำนวน 20 เล่มนั้น มีคนมารอต่อแถวซื้อเป็นจำนวนมาก  แต่ก็ได้ไปตามจำนวนที่มีจำกัด

"ปกติทุกปีที่บูธจะเงียบเหงา แต่ปีนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ  ส่วนตัวได้ยินข่าวมาว่าจะมีหนังสือที่มีลายเซ็นของ พล.อ.ประยุทธ์มาเพิ่มอีกราว 80 เล่ม

"คาดว่าจะมีคนมาติดต่อขอซื้อกันอีกอย่างแน่นอน" นายคูณกล่าว



ทําไมหนังสือที่เพิ่งจัดพิมพ์ใหม่เล่มนี้ได้รับความนิยม

ผิดกับหนังสือที่ผลิตโดยราชการทั่วไป

ประเด็นหนึ่งน่าจะอยู่ที่เพราะความโด่งดังของตัวหนังสือเอง  โด่งดังในแง่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

แม้กระทั่งจากนักวิชาการที่กระทรวงวัฒนธรรมเชิญมาให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้บนเวทีงานมหกรรมหนังสือเอง

26 ตุลาคม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์  กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จัดงานเสวนาวิพากษ์หนังสือดังกล่าว

โดยเชิญ นายสุเนตร  ชุตินธรานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นผู้เสวนา

นายสุเนตรกล่าวว่า  ในคำปรารภที่เขียนโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คำนำเขียนโดย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วธ. และคำชี้แจงโดย นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร

สรุปได้ว่าหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นของรัฐบาล จัดทำตามระบบราชการ  เป็นการสั่งการลงมาเป็นทอดๆ

มีเป้าประสงค์เพื่อให้เกิดความรักสามัคคีของคนในชาติ มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในประวัติศาสตร์  เป็นที่ยอมรับของคนทุกระดับ แต่เป้าประสงค์นี้กลับอยู่ภายใต้ข้อจำกัดสองข้อ

คือความจำกัดในเรื่องบุคลากรและเวลาที่น้อยนิด



นายสุเนตรระบุว่า หนังสือเล่มนี้มี 2 เป้าหมาย คือ 1.ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ 2.ตอบสนองความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย

แต่ความจริงกลับมีความขัดแย้งกันในตัว

"รัฐบาลต้องการมุ่งเน้นเรื่องปรองดอง  แต่กลับมีข้อมูลที่อาจมีผู้ไม่ประสงค์ความปรองดองสามารถใช้มาโจมตีรัฐบาล  หรือมองว่าไม่ได้สร้างความปรองดองได้

"เพราะพอดูรายละเอียดจะพบว่ามีการพูดถึงการกำเนิดรัฐไทย สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา  แต่ไม่ได้มีการพูดถึงล้านนาหรืออีสานเลย

"คำถามคือล้านนาเป็นไทย อีสานเป็นไทยหรือไม่"



นอกจากนั้น เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในหนังสือ  ยังส่งผลให้การปรองดองเกิดขึ้นตามเป้าประสงค์ได้ยาก

เช่นการระบุว่า พรรคไทยรักไทยดำเนินนโยบายแบบประชานิยม และ นายทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาทุจริตการเลือกตั้ง

ขณะที่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการดำเนินนโยบายเน้นความโปร่งใส  แต่ก็ยังมีโครงการประชานิยม

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำรัฐประหาร เพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง

ทั้งที่หนังสือประวัติศาสตร์  ไม่มีความจำเป็นที่จะโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และชื่นชมฝ่ายหนึ่ง

"ผมว่าไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องเขียน รอให้เหตุการณ์ตกผลึกก่อนจะดีกว่า  การนำข้อมูลเหล่านี้มาใส่ตอนที่สถานการณ์ยังมีความระหองระแหง จะเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยก

"และนำไปสู่การต่อต้านซึ่งกันและกันได้"

นายสุเนตรสรุปตบท้ายว่า  หนังสือประวัติศาสตร์ไม่สามารถเขียนภายใต้กลไกราชการได้อีกต่อไป เพราะยิ่งจะทำให้เป็นปัญหา

นอกจากนี้  จะต้องมีเวลามากพอที่จะให้รายละเอียดต่างๆ และควรต้องมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน นักวิชาการ

เพราะประวัติศาสตร์  ไม่ใช่เรื่องที่จะผูกขาดได้อีกต่อไป

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1446100041