ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1679
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตำนานสรรค์ชั้นดาวดึงส์

[คัดลอกลิงก์]
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์











---สวรรค์ชั้นดาวดึงษาหรือดาวดึงส์ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลกหลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวด ลงแผ่นดินผืนแรก ที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ "ยอดเขาสิเนรุ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้เอง



---สวรรค์ชั้นนี้ เป็นแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นที่สถิตย์อยู่ แห่งปวงเทพยดาชาวฟ้า ผู้อุปปัติเทพ มีเทพผู้เป็น อธิบดีมเหศักดิ์รวม ๓๓ องค์ โดยมีสมเด็จพระอมรินทราชา ทรงเป็นผู้ปกครอง สวรรค์ชั้นนี้อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์  มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อ "ช้างเอราวัณ" สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง




---สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมือง ชื่อ "ไตรตรึงษ์" มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตู มียอดปราสาทแก้ว งดงามวิจิตรพิสดาร เวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี กลางนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท มีรูปทรงสูงเยี่ยม เอี่ยมอ่องไปด้วยรัศมีสัตตรัตน์ เพราะประดับไปด้วยแก้ว ๙ ประการ งามสุดจะพรรณา เป็นที่ประทับอยู่ แห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว 100 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วัน ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์




---ทิศตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ "นิภาวัน" มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ "นันทาโบกขรณี" น้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ "นันทปริฐิปาสาณ" และ "จุลนันทาปริฐิปาสาณ" มีสวนใหญ่ ชื่อ "มหาพน" กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า



---ทิศใต้มีอุทยาน "ผารุสกวัน" (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ "ภัทรโบกขรณี"   "สุภัทราโบกขรณี" ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม


---ทิศตะวันตก มีอุทยาน "จิตรลดา" อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระจิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ



---ทิศเหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงาม ราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสาระใหญ่ชื่อ "ธรรมาโบกขรณี" และ "สุธรรมาโบกขรณี" แผ่นดินแก้วชื่อ "ธรรมาปริฐิปาสาณ" และ "สุธรรมาปริฐิปาสาณ"



---ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญ ที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์ จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดี เทพบุตรจะมีวัย 20 ปี ส่วนเทพธิดามีวัย 16 ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์ ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้เห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไป เทพบุตรองค์หนึ่ง อาจจะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา (ภรรยา) 500-1,000 หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้ทำไว้


---เทวดาในโลกนี้ มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกัน เช่นเดียวกับมนุษยโลก มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดา
มีความรักใคร่ ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตนไม่เบิกบาน รื่นเริง เหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง เทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ จำพวก ได้แก่


---๑.ภุมมัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนพื้นดิน ได้แก่ พระอินทร์ และ เทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ พร้อมทั้งบริวาร และเทวอสุรา 5 จำพวกที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ


---๒.อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่ในอากาศ ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุ ไปจดขอบจักรวาล บางวิมาน ก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 18:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



--คุณธรรม 7 ประการ ที่ทำให้เป็นพระอินทร์ ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคุณธรรม 7 ประการ


---1.เลี้ยงดูบิดา มารดา


---2.เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล


---3.กล่าววาจาอ่อนหวาน


---4.ไม่กล่าวคำส่อเสียด


---5.ไม่มีความตระหนี่


---6.มีความซื่อสัตย์


---7.ระงับความโกรธได้



---ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้สำเร็จโสดาบันแล้ว ด้วยการฟังพระธรรมเทศนา จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระพุทธศาสนา และอยู่ในดาวดึงส์พิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย



---เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในมนุษยโลกและสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้ว ก็ไปกลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีกและได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นอายุแล้ว จะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และ อกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพาน ในชั้นสุดท้าย  อายุทวยเทพ ที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สามโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปี แห่งมนุษยโลกเรา


*อสูรพิภพ



---ฝ่ายเนวาสิกเทพบุตร ผู้เป็นเจ้าถิ่นเดิม ครั้นถูกพวกของสมเด็จพระอมรินทราธิราช จับขว้างทิ้ง ลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้น พอตกมาถึงท่ามกลางสิเนรุบรรพต ก็ค่อยได้สติสมปฤดี แล้วจึงถ้อยที ถ้อยกล่าว แก่กันว่า "พ่อเอ๋ย ชาวเราทั้งหลาย แต่นี้ต่อไป พวกเราอย่าไดัดื่มกิน ซึ่งน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์ร้าย ประดุจสุราเลย เพราะดื่มน้ำคันธบานนี่เอง ชาวเราทั้งหลาย จึงต้องได้รับความอัปยศในครั้งนี้ จักขึ้นไปอยู่ในสถานที่เก่ากระไรได้" แต่เฝ้าเสียใจและให้โอวาทอนุสาสน์แก่กันดังนี้ แล้วก็พร้อมใจกันเลิกดื่มน้ำคันธบานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา



---ฉะนั้น เทพบุตรเหล่านั้น จึงได้นามว่า "อสูร"ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่ดื่มน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์แรงคล้ายสุรา ด้วยเดชะแห่งกุศลกรรมที่เทพบุตรเหล่านั้นได้สร้างสมมาแต่ปางก่อน จึงบังเกิดเป็นเทพนคร อันสวยสด งดงามตระการ กว้างใหญ่ รุ่งเรือง คลัายกับดาวดึงส์พิภพทุกประการ เพียงแต่ว่า ความวิจิตรพิสดารต่ำกว่าเล็กน้อยเท่านั้น



---นครนี้บังเกิดขึ้นที่เชิงสิเนรุบรรพต ปรากฏว่า มีน้ำล้อมรอบกำแพงเมือง เป็นปกติอยู่เสมอมิได้ขาด มีรุกขชาตินามว่า "ไม้ปาตลี" คือ ไม้แคฝอย ประดับงดงาม ประจำพระนครนี้ เพราะเหตุที่เทพบุตรเหล่านั้น เข้าอยู่อาศัยแสนสำราญฤทัย เทพนครนี้จึงได้นามว่า อสูรพิภพ  พิภพของอสูรเทพบุตร



---ความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ ก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุข มีแต่ความสดชื่น รื่นเริงใจ อยู่เป็นอันมาก มิต้องลำบากยากเข็ญ แต่ประการใด ด้วยอำนาจกุศลกรรม ที่เหล่าอสูรทำไวัแต่ปางก่อน โดยมีการแบ่งเขตปกครองดังต่อไปนี้



---๑.ทิศตะวันออก    มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล "ท่านท้าวสัมพรอสูร" หรือ "ท่านท้าวเวปจิตตาสูร" ที่กล่าวถึงข้างต้น ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครองเอง แล้วทรงแต่งตั้งให้  "ไพจิตตาสูร" เป็นองค์อุปราช


---๒.ทิศใต้   "ท้าวอสัพพราสูร" เป็นองค์อธิบดี มี  "ทัาวสุลิอสูร"  เป็นองค์อุปราช


---๓.ทิศตะวันตก   "ท้าวเวลาสูร" เป็นองค์อธิบดี มี  "ท้าวปริกาสูร"  เป็นองค์อุปราช


---๔.ทิศเหนือ    "ท้าวพรหมทัตตาสูร" เป็นองค์อธิบดี มี  "ท้าวอสุรินทราหู" เป็นองค์อุปราช



*อสุรินทราหูโพธิสัตว์



---เบื้องอสูรพิภพอันแสนสุข ขณะนี้มีเทพบุตรสำคัญองค์หนึ่ง เทพบุตรองค์ที่ว่านี้ คือ "ท้าวอสุรินทราหู"ผู้มีกายใหญ่ เหนืออสูรทั้งหลาย ในอสูรพิภพแดนสุขาวดี อสุรินทราหูองค์นี้ เป็นองค์อุปราชจอมอสูร ปกครองด้านทิศเหนือแห่งอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็งและมีน้ำใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ยิ่งกว่าบรรดาอสูรทั้งหลาย ทั้งมีสรีระสูงใหญู่นักหนา เพราะค่าที่มีกายสูงใหญ่นี่เอง จึงเป็นเหตุให้เข้าใจผิด แม้ตนเองจะมีจิตเลื่อมใส ใคร่จะได้ทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจัา ก็ไม่กล้ามาเฝ้า



---ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นใจความว่า อสุรินทราหูนั้น ได้สดับกิตติศัพท์ กิตติคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้า จากเทพยดาทั้งหลายและได้เห็นเทพยดาเหล่านั้น พากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เนือง ๆ ก็มาดำริถึงตนเองว่า "เรานี้มีกายสูงใหญ่ จะไปสู่สำนักพระพุทธองค์เจ้า ซึ่งมีพระองค์อันน้อยนิด และจะก้มตัวดูพระพุทธองค์นั้น ไม่สมควร เป็นการขาดคารวะ"



---ท้าวเธอดำริฉะนี้แล้ว ก็ไม่ได้ มาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ทรงมีความปรารถนาจะเฝ้านักหนา อยู่มาวันหนึ่ง อสุรินทราหูได้ฟังเทพดาทั้งปวง พากันสรรเสริญพระเดชพระคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันหาที่สุดมิได้ ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นกำลัง อดใจมิได้ แล้วจึงเดินทางมา พลางดำริว่า "เราจักอุตสาห์ไป ให้ได้เห็นพระพุทธองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ แม้แต่สักครั้งหนึ่งคราวเดียว ก็ยังดี แต่ว่าเราจะก้มจะกราบอย่างไรหนอ คิดพลาง เดินพลาง มาสู่สำนักสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความกังวลใจ



---กาลนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงทราบอัธยาศัยของจอมอสูร จึงรับสั่ง ใหัพระอานนท์ ตบแต่งพระแท่นที่บรรทม แล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกาย ให้โตใหญ่ สำเร็จสีหไสยาสน์ ฝ่ายอสุรินทราหู ผู้มีกายอันสูงใหญ่ไดัสี่พันแปดร้อยโยชน์ ครั้นมาถึงสำนักพระพุทธองค์แล้ว ก็ต้องแหงนหน้าขึ้นแลดูสมเด็จพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธนฤมิตนั้น มีครุนาดุจทารกกุมาร แหงนดูปริมณฑลแห่งพระจันทร์ก็ปานกัน



---สมเด็จพระบรมโลกนาถ จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า ''ดูกรอสุรินทร์ ท่านมาแลดูตถาคตนี้ เห็นเป็นประการใดบ้าง  ท้าวเธอจึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ทรงพระกรุณา กระหม่อมฉันนี้ ไม่ทราบเลยว่า พระองค์จักทรงพระเดชพระคุณ อันล้ำเลิศประเสริฐเห็นปานนี้ นฤมิตพระวรกายให้ใหญ่ยิ่ง เพื่อให้กระหม่อมฉันได้เข้าเฝ้าโดยสะดวก จึงเพิกเฉยมิกล้ามาสู่สำนักของพระพุทธองค์เจ้าเป็นเวลานาน"



---สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพุทธฎีกาว่า "ดูกรอสุรินทร์  เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมี เพื่อตรัสรู้ โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงอยู่นั้น จักได้ก้มหน้าย่อท้อต่อความลำบากที่จะกระทำบำเพ็ญก็หามิได้ ตั้งใจบำเพ็ญมิได้หดห่อ ย่อท้อ แม้จักแสนยากเพียงไร ก็มิได้ก้มหน้าทอดอาลัยเลย เหตุฉะนี้ บุคคลที่ปรารถนาจะแลดูตถาคตนี้ จะตัองก้มหน้าลงดูเหมือนอย่างท่านคิดก็หาไม่" มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่จอมอสูรซึ่งก็ทำให้จอมอสูรมีน้ำพระทัยเต็มตึ้น ไปด้วยความเลื่อมใสจืงได้เปล่งคำนมัสการว่า "ตสฺส" ดังนี้



*บุพพภาคนมการ



---แท้จริง คำนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวเราพากันสวดอยู่ทุกวันนี้ ผู้ที่กล่าวครั้งแรกมีดังต่อไปนี้


---๑.นโม = สาตาคิริยักษ์ และเหมวตายักษ์


---๒.ตสฺส = อสุรินทราหู อุปราชแห่งอสุรพิภพ


---๓.ภควโต = ตปุสสะภัลลิกะมาณพ


---๔.อรหโต = สมเด็จพระอมรินทราธิราช


---๕.สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ท่านท้าวพกาพรหม



---จึงรวมเป็น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ซึ่งได้ ชื่อว่าบุพพภาคนมการ คือ คำกล่าวนมัสการนอบน้อมในเบื้องต้น ก่อนที่สาธุชนพุทธบริษัทจะประกอบศาสนกิจอย่างอื่นต่อไป และปรากฏยังยืนมาได้จนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ อสุรินทราหูผู้นี้ ต่อไปภายหน้าอีกนานแสนนาน จักได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตทรงพระนามว่า พระพุทธนารทะ เพราะได้สร้างสมอบรมบารมีอันสูงส่งยอดเยี่ยมมาแต่อดีตกาล

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 18:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
*สถานที่สำคัญ



---สถานที่สำคัญในดาวดึงส์ภูมิ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ทำให้เกิดเป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญของเทวโลกหลายแห่ง ดังนี้



*ศาลาสุธรรมาเทวสภา


---สถานที่ฟังธรรมในเทวโลก บรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราช องค์อมรินทร์เป็นประธานศาลาแห่งนี้ ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 500 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 1,200 โยชน์ พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทองเครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 หลังคามุงด้วยอินทนิล เพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงิน


---ตรงกลางศาลา เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง 1 โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง 3 โยชน์ ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ และ
เทวดาอื่น ๆ



*ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์)


---อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวาง มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน กลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ ต้นกัลปพฤกษ์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่ง เหล่าเทพบุตร เทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน เมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก รัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกก็ยังไม่ทันตกลงดิน โดยมีลมชนิดหนึ่ง จะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป



*บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์


---แท่นศิลาแก้ว สีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูก เมื่อพระอินทราธิราชประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ



*สวนสวรรค์


---อุทยาทิพย์ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก เต็มไปด้วยบุพผาชาตินานาพรรณ มีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์ รัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่ม สีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย



*อุทยาทิพย์ มีชื่อเสียง 4 อุทยาน ได้แก่


---นันทวันอุทยาน


---จิตรลดาวันอุทยาทิพย์


---มิสกวันอุทยาทิพย์


---ปารุสกวันอุทยานทิพย์



*พระเกศจุฬามณีเจดีย์


---เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึง สถานที่ที่ว่านี้ก็คือ พระเกศาจุฬามณีเจดีย์เจ้า เป็นเจดีย์มีทรงสัณฐานใหญู่ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเทพนครไตรตรึงษ์ แลดูงดงามรุ่งเรืองนัก สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ แล้วประดับด้วยสัตตพิธรัตนะหรือประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ มีความยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา ประดับด้วยธงนานาชนิด มีสีนานา แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบัาง ประดับประดา แลดูงามพรรณรายนักหนา ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องตีเครื่องเป่า สังคีตสรรพดริยางค์ทั้งหลาย มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด พระเกศาจุฬามณีเจดีย์องค์นี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันนี้เอง พระองค์สร้างไว้เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาของหมู่เทวดาในชั้นฟ้า ภายในพระเกศจุฬามณีเจดีย์ ซื่งสถิตประดิษ ฐานอยู่บน สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น พระเกศาจุฬามณีเจดีย์นี้ เป็นที่บรรจุสิ่งสำคัญอันหา ค่ามิได้ถึง ๒ อย่างด้วยกัน คือ



---๑.พระเกศโมลี แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมา ว่า เมื่อครั้งจะเสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระ โมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไป บนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย"คราที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ จึงทรงนำผอบทองคำมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วทรงนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น



---๒.พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ท่านโทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเปิดรางทองคำ ออกนั้น โทณพราหมณ์เห็นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย พิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครูก็พลันฉุกคิดได้ จึงแยกพระเขี้ยว แก้วนี้เสียต่างหากจากพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น โดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์ เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เลื่อมใส ในพระสัพพัญญูเจ้าอย่างลึกซึ้ง ได้เสด็จมาสังเกตุการณ์ อยู่ ด้วยพระทัยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาอันประเสริฐจากผ้าโพก ศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอด หนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จเอามา ประดิษฐานบรรจุไว้ ณ พระเกศจุฬามณีเจดีย์



---ฉะนั้น จึงปรากฏว่า เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างมีความเคารพเลื่อมใสในองค์พระเจดีย์นี้ยิ่งนัก สำหรับสมเด็จพระอมรินทร์เองนั้น แทบไม่ต้องกล่าวก็ได้ว่าทรงมีพระศรัทธาเลื่อมใลเพียงใด ทุกวารวันพระองค์พร้อมด้วยเหล่าบริษัทมีพระหัตถ์ถือดอกไม้ธูปเทียนของทิพย์ สคนธชาดิไปถวายพระเจดีย์ กระทำประทักษิณเวียนเทียนเสมอมิได้ขาด นอกจากนี้แล้ว เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นอื่น เช่นท้าวจาตุมหาราชในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ และเทวดาชั้นยามา ดุสิต เป็นต้น ต่างก็มานมัสการพระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้านี้เป็นนิตย์



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 18:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
*เทวดาสดับธรรม



---เมื่อถึงวันธรรมสวนะ คือ วันพระ เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมานี้ เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล การสดับธรรมตามกาลตามโอกาสนี้ถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพใน สวรรค์ก็กิริยาที่เทพยดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตน ตาม ฐานานุศักดิ์ ภายในศาลาลุธรรมาเพื่อสดับธรรมนี้ แลดูงดงามนักหนาเป็นทัศนียภาพที่จักหาสิ่งใดเปรียบปานมิได้ เมื่อเหล่าเทพนั่ง พร้อมเพรียงกันแล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า พระพรหมกุมาร พระองค์เป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล แต่ด้วยพรหมวิสัย พระองค์เสด็จมาชั่วเวลามาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ก็มาถึงเทวโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ ครั้นถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้ว แล้วเทศนาแจกแจงธรรมะไพเราะจับจิตจับใจเหล่าเทวดา ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วย องค์ ๘ ประการ คือ ๑. เสียงแจ่มใส ๒. เสียงชัดเจน ๓. เสียงนุ่มนวล ๔. เสียงน่าฟัง ๕. เสียงกลมกล่อม ๖. เสียงไม่พร่าแตก ๗. เสียงลึก ๘. เสียงมีกังวาน เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ ด้วยเสียงแห่งพรหม ซึ่งประกอบไป ด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรสแห่งพระธรรมนักหนา พอควรแก่เวลาแล้ว องค์พระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไปพรหมโลกแดนไกล


---บางคราว เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญเชิญเทพยดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง เป็นองค์แสดงธรรม เพราะว่าผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์นี้ก็มีมาก เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธานย่อมทราบได้ดีว่า เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม ก็พร้อมกันอัญูเชิญให้เทพยดานั้น ขึ้นธรรมาสน์แก้วแล้วให้ แสดงธรรมโปรดพวกตน เสร็จแล้วจึงอนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทพยดาน่าชื่นใจ


---บางคราวสมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์องค์อมรินทราธิราช ก็ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเอง วันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง วันนั้นเป็นวันพิเศษจริง ๆ และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะองค์พระอมรินทร์จอมเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์เองจะเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ทรงสนใจในพระธรรมมาก หากมีกมลสันดานกอบด้วยศรัทธาเป็นบุญญาธิการอันสูงเยี่ยม



*สุพรรณบัฏ



---ท่านท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ซึ่งเป็นจอมเทพอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่ลุด เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก ประดุจมนุษย์เราอยู่ใกล้ชิดกับติรัจฉานภูมิ ก็ย่อมทราบความเป็นไปของติรัจฉานฉะนั้น ในฐานะที่ท่านท้าวมหาราชเป็นเทพเจ้าทรงชีพอยู่ได้ด้วยบุญ กุศล ก็ย่อมจะมีพระทัยฝักใฝ่ในบุญกุศลเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมือพระองค์ทรงทราบว่า ผู้ใดได้ลร้างบุญกุศลชนิดใดไว้บ้าง จะเป็นว่าทราบด้วยพระองค์เองก็ดีหรือเทวดาอื่นใดมีเทวดาผู้ตั้งอยู่ใน ฐานะแห่งบุตรของพระองค์ เป็นต้น ซึ่งท่องเที่ยวไปในหมู่มนุษย์ด้วยเทพวิสัย แล้วมากราบทูลให้ ทรงทราบก็ดีพระองค์ก็ทรงจดชื่อจารึกนามของท่านผู้ทำบุญูกุศลนั้นไว้ บนแผ่นทองเนื้อแท้ ด้วยดินสออันทำด้วยชาติหิงคุ โดยมีพระประสงค์จะนำไปถวายให้สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์ ซึ่งมีพระอัธยาศัยใคร่จะรู้ ได้ทอดพระเนตร พอถึงวันที่พระอินทร์เทศนาท้าวจตุมหาราชก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วนำเอาสุพรรณบัฏแผ่นทองเนื้อแท้จารึกชื่อสัตบุรุษผู้ สร้างกองการกุศลนั้นไปมอบให้ แก่เทพบุตรผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าปัญจสิขเทพบุตร ฝ่ายปัญจสิขเทพบุตร พอรับสุพรรณบัฏแลัว ก็นำเอาไปให้แก่พระมาตลีเทพบุตรอีกทีหนึ่ง เพื่อจักได้ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง



*ทางไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์



---บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ห้ามตนไม่ให้ ทำกรรมอันหยาบช้าลามก ความสกปรกแห่งกายวาจาใจ อย่าให้มีบังเกิด



*ทานสูตร


---ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้" แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี" เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์สวรรค์



*ปุญญกิริยาวัตถุสูตร


---ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ท้าวสักกะ จอมเทพในชั้นดาวดึงส์สวรรค์นั้น ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่ สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก พระองค์จึงทางเจริญก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์  บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมี ประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล มีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์









.................................................................................









ทีมา...http://mahaeyong.theme-work.com/index.php?topic=30.0

http://www.sathanimahaprash.com

http://www.bloggang.com/viewdiar ... roup=2&gblog=10

http://board.palungjit.com

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขอบคุณคับ
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้