|
สยามเมืองยิ้ม สยาม
“สยาม” มีรากจากคำพื้นเมืองดั้งเดิมว่า ซัม ซำ หรือ สาม หมาย ถึงบริเวณที่มีน้ำซับน้ำซึมเป็นตาน้ำพุน้ำผุดโผล่ขึ้นจากแอ่งดินอ่อนหรือดิน โคลน แล้วเรียกคนจะเป็นชาติพันธุ์อะไรก็ได้ที่มีหลักแหล่งทำมาหากินบริเวณนี้ว่า ชาวสยาม ทั้งนั้น.
จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายเรื่องคำสยามไว้ใน หนังสือ ความเป้นของคำสยาม ไทย,ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฉบับสมบูรณ์ สำนักพิมพ์ศยาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519 ไว้ว่า
“ข้าพเจ้า รู้สึกว่า ความพยายามที่จะแปลคำสยามให้เป็นคำสันสกฤตนี้ล้วนห่าวไกลความเป็นจริงทั้ง สิ้นทีเดียว. ตามสมมติฐานของเรานั้น สยามคือกำเนิดออกมาจากซาม-เซียม, และแหล่งกำเนิดของมันอยู่ในบริเวณยูนนานตะวันตกเฉียงใต้และพะม่าเหนือ, เราจะต้องคลำหาต้นกำเนิดของมันจากภาษาในเขตนี้ในยุคโบราณ และหาคำแปลจากคำดั้งเดิมนั้น มิใช่จับเอาสยามซึ่งเป็นรูปคำที่ถูกดัดแปลงแล้วมาแปล.”
จิตร ยังอธิบายสรุปไว้ว่า “ถ้า เรายอมรับสมมุติฐานนี้ไว้ที่ก็หมายความว่าคำดั้งเดิมของสยามนั้นคือ ซำ หรือซัม.จากคำนี้เองที่ค่อยๆ พัฒนาไปเป็นซาม,เซม,เซียม,ซยาม,สยาม ฯลฯ ในภาษาอื่นๆโดยรอบ และไปไกลจนกระทั่งกลายเป็นอาโหมในภาษาพื้นเมืองอัสสัม”
เมือง
เมือง คือ พื้นดินที่มีชุมชนอาศัยอยู่ พื้นที่มีอำนาจศูนย์กลางรัฐเรียกว่า เมือง
เมือง มีวิวัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรม การสร้างบ้านแปลงเมือง มีการเคลื่อนย้ายไปมาของผู้คนทั้งในแง่เศรษฐกิจ ศาสนา และการเมือง โดยมีผู้ปกครองอยู่ในศูนย์กลางอำนาจตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน
เมืองสยาม หรือ กรุงสยาม มีประกอบด้วย ชาวสยาม กับ สยามประเทศ ที่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นส่วนหนึ่งของอุษาคเนย์หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำโขง แล้วมาพบกันที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางฟากตะวันตกลุ่มน้ำเจ้าพระยา
สยาม หรือภาษาอังกฤษออกเสียงว่า Siam เป็น ชื่อเก่าแก่เป็นที่รับรู้ทั้งจากซีกโลกตะวันตะวัน (หมายความรวมทั้ง ยุโรปและเปอร์เซีย)และตะวันอกก ซื่อ สยาม ปรากฏในแผนที่โบราณซึ่งอนุมานว่าน่าจะได้จากการออกเสียงของชาว มอญ และ มลายู เรียกชื่อแผ่นดินนี้ไม่ว่าจะเป็น Scerno,Ansia,Davsian,Iudia,Iudea หรือ Royaume de Siam ก็เรียก
เสียง สำเนียงที่เรียก สยาม นั้น มอญ ออกเสียงว่า เซ็ม เขมร อกกเสียงว่า เสียม หรือ เซียม พม่า ออกเสียง ฉาน หรือ ชาน จีน ออกเสียงว่า เสียน หรือ เสียม และ เสียมล้อ ดังนั้นต้องไม่สับสนระหว่าง ดินแดน กับ ประเทศ ที่ออกเสียงภาษาอังกฤษว่า Iand กับ ผู้คน : Peoples ที่มีความหลากเผ่าพันธุ์ในแผ่นดินนี้
สยามประเทศ และ ประเทศไทย ชาวต่างชาติเรียกกรุงศรีอยุธยาว่าราชอาณาจักรสยามหรือเมืองไทย เมื่อถึงกรุงรัตนโกสินทร์เรียกชื่อประเทศว่ากรุงสยามและประเทศสยาม เรียกพระนามพระมหากษัตริย์ว่า The King of Siam
พ.ศ. 2310 เป็นต้นมาศูนย์กลางอำนาจรัฐเปลี่ยนจาก กรุงศรีอยุธยา ที่สำเนียงพม่าออกเสียงว่า อโยเดีย หรือ โอเดีย (Odia) เป็น กรุงเทพฯ หรือที่เรียกว่า บางกอก (Banckok) จนกระทั่ง พ.ศ. 2575 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ก็ใช้นามประเทศว่า “สยาม”
สมัยแรกมีธงช้างเป็นสัญลักษณ์ ถึงแผ่นดินสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เปลี่ยนเป็นธงไตรรงค์ที่ได้แบบอย่างมาจากยุโรป
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” และจาก Siam เป็น Thailand
ประเทศไทย ซึ่งเป็นชื่อที่เกิดขึ้นจากสำนึกชาตินิยม ผูกพันกับความเชื่อเรื่องชนชาติไทยถูกขับไล่มาจากทางเหนือของจีน แม้ความเชื่ออย่างนี้จะคลาดเคลื่อนจากความจริง แต่ยังทรงอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้
ผลของการเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดกระแสความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ผู้คนเผ่าพันธุ์ อื่นๆ ที่ไม่ใช่ไทย เกิดการดูถูกทางสังคมและวัฒนธรรมจนเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครองเป็นเวลายาวนาน
ในการร่างรัฐธรรมนูญอีกหลายครั้งก็ได้มีการอภิปรายในประเด็นที่จะเปลี่ยนนามประเทศเป็น“สยาม” อีก เช่น ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 และฉบับ 2511 เป็นต้น
ยิ้ม
“เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้ม ดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน
อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวน ให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา”
นิราศพระแท่นดงรัง (นายมี) ยิ้ม เป็นอาการกิริยาที่แสดงออกที่ริมฝีปากและสายตาบอกความรู้สึก ทั้ง ชอบใจ และ เยาะเย้ย เสียดสี
จึงมีการยิ้มที่ต่างกันทั้งหน้าตาและมุมยิ้มต่างๆที่บ่งบอกความหมายในการยิ้ม
เช่น ยิ้มกริ่ม : ความลำพองใจจึงกระหยิ่มยิ้มด้วยสีหน้า , ยิ้มแฉ่ง : ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง , ยิ้มแต้ : ยิ้มค้างอย่างเบิกบานอยู่นานเหมือนปลาบปลื้มในที่สิ่งที่พึ่งใจ, ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ : ยิ้มแล้วยิ้มเล่าด้วยความพออกพอใจ , ยิ้มแป้น : ยิ้มหน้าบาน และเป็นชื่อเพลงลูกทุ่งร้องและแต่งโดย พจน์ พนาวัน , ยิ้มเผล่ :ยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ, ยิ้มพราย : ยิ้มในทีด้วยความภาคภูมิใจ,ยิ้มย่อง: ยิ้มด้วยความดีใจ,ยิ้มเยาะ: ยิ้มแบบเย้ยหยัน หรืออาจเรียกว่า พยักยิ้ม ก็ได้,
ยิ้มแย้ม : ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ,ยิ้มละไม : ยิ้มอยู่ในหน้า บ้างทีก็เรียกว่า อมยิ้ม , ยิ้มหวาน: ยิ้มอย่างทอดไมตรี,ยิ้มหัว: ก็อาการที่ยิ้มไปหัวเราะไป, ยิ้มเหย: อาการที่ปริยิ้มออกมาเมื่อถูกจับผิดได้,ยิ้มแห้ง: ยิ้มแบบเหงาๆ แห้งๆ ในลักษณะฝืนยิ้มเยี่ยงคนอกหัก , ยิ้มแหย : ฝืนยิ้มออกมาเมื่อถูกจับได้ว่าทำผิด,ยิ้มเห็นแก้ม แย้มก็ไรฟัน เป็นคำสร้อยที่บอกอาการของคนที่ค่อยเผยยิ้มแต่น้อยๆ
|
|