คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้ พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
บุญกรรม ตัณหา อวิชชา
บุญกรรมธรรมชาติอันมีตัณหา อวิชชาเป็นสมุฏฐาน นำให้คนเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ไว้เป็นเครื่องใช้ แล้วก็ของเหล่านั้นแหละเป็นเครื่องผูกมัดอยู่ในตัวอีกด้วย มีภพทั้งสามเป็นเรือนจำคุมขังตลอดชีวิตอีกด้วย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กมฺมํ เขตฺตํ กรรมเปรียบเหมือนพื้นที่สำหรับปลูกพืช วิญฺญาณํ พีชํ วิณญาณเปรียบเหมือนหน่อพืชของมนุษย์ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตณฺหา สิเนโหตัณหาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงพืชนั้นไว้ที่จะไม่ให้พืชแห้ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้ายังมีของทั้งสามอย่างนี้อยู่ในจิตใจแล้วตราบใด ก็จะต้องมีความเกิดอยู่ตราบนั้น
พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่า คนเราในโลกนี้รู้จักแต่ผูกมัดตัวเองแต่ไม่รู้จักแก้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักรไม่รู้จักจบจักสิ้นเป็นอเนกชาติ พระองค์ทรงเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวชพระทัยเป็นอันมาก จึงได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์เหล่านั้นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระพุทธองค์ได้บำเพ็ญบารมีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วตรัสเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทอยู่ ๔๕ พรรษา จึงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน
คำสอนของพระองค์นั้นนับเป็นอเนกอนันต์เหลือที่จะคณานับ ล้วนแต่เป็นอุบายเครื่องแก้ของผูกมัดทั้งนั้น ดังพระองค์ทรงสอนให้ทำทาน เป็นการสละขี้ตระหนี่เหนียวแน่นออกจากหัวใจ แล้วใจจะได้ปลอดโปร่งจากความถือว่าของกูๆ เมื่อคนอื่นได้รับของของเราที่สละไปแล้วนั้นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนทั้งสิ้น เมื่อเขาได้บริโภคใช้สอยแล้ว เราก็เกิดความสุขอิ่มใจ
ศีล
ศีล พระพุทธเจ้าสอนให้เรางดเว้นจากการทำชั่วต่างๆ ต่อกันด้วยกายและวาจา มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น เมื่อเรางดเว้นจากการทำชั่วต่างๆ เราก็ต้องไม่ผูกมัดกังวลกับความชั่วนั้นอีกต่อไป ใจเราก็เบิกบานรื่นรมย์อยู่กับความดีอันนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำความดีทั้งทานและรักษาศีล อันเป็นเหตุให้ได้รับผลคือความดีเบิกบานใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในโลกหน้านั้นมีความสุขทั้งกายและจิตอันมีอิฏฐารมณ์เป็นที่น่าพอใจทุกประการ เป็นต้นว่า อาหารการบริโภคทุกอย่างเป็นของทิพย์ เกิดเองเป็นเองไม่ต้องไปแสวงหา มีนางฟ้ามาขับกล่อมให้ฟังตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นึกอยากได้สิ่งใดย่อมเทมาไหลมาไม่อดไม่อยาก
ผูกมัดตัวเอง หวังน้ำบ่อหน้า
มนุษย์ผู้ชอบผูกมัดตัวเอง พอได้ฟังสุขในสวรรค์ แทนที่จะพอใจความสุขในมนุษยชาตินี้ซึ่งตนกำลังทำอยู่ กลับไปหลงความสุขในอนาคต เอามาผูกมัดในจิตใจของตน ดังโบราณท่านว่า “หวังน้ำบ่อหน้า” น่าเห็นใจมนุษย์คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ดูแทบทุกๆ คนล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ผู้มีความสุขแทบจะไม่มีสักกี่คน ดังจะเห็นได้ในเมื่อทำความดีทุกๆ ครั้ง จะต้องปรารถนาว่าขอให้ข้าพเจ้าได้รับความสุขทั้งในชาตินี้และชาติหน้าเถิด ยังไม่แน่ใจว่าชาตินี้จะได้รับผลหรือไม่ จึงปรารถนาไว้ในอนาคตอีกด้วย เหตุนั้น สุขในสวรรค์ในอนาคตจึงชอบนัก จนลืมสุขในชาตินี้อันตนกำลังทำอยู่
|