ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 20286
ตอบกลับ: 17
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

รวมพลทหารเสือกรมหลวงชุมพร

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2015-1-8 18:22

1. ยัง หาญทะเล



ยัง หาญทะเล เป็นนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงในยุคมวยคาดเชือก เขาเป็นลูกศิษย์

และเป็นทหารคนสำคัญของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์


นอกจากนี้ ยัง หาญทะเล ยังเป็นเพื่อนร่วมวงการกับนายทับ จำเกาะ ผู้เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ซึ่ง ยัง หาญทะเล


เคยประลองฝีมือกับนักมวยจีน และทำให้อีกฝ่ายถึงแก่ความตายไปสองราย


นอกจากนี้ ท่าคุมมวยของเขาเป็นหนึ่งในท่าคุมมวยยุคคาดเชือกที่ได้รับการกล่าวขานสืบมา

โดยครั้งหนึ่ง อาจารย์เขตร ศรียาภัย ผู้เป็นปรมาจารย์มวยไทย ได้กล่าวถึงท่าคุมมวยที่มีชื่อเสียงของ ยัง หาญทะเล เมื่อครั้งที่แข่งกับ ฮกหลิม ทวีสิทธิ์ ว่า ใช้สองแขนไขว้ถึงระดับยอดคาง เลื่อนลงคุมลิ้นปี่และราวอก

ย่อเข่าแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นลงตามแบบฉบับของมวยนครราชสีมา


ยัง หาญทะเล เป็นชาวโคราช เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์พระเหมสมาหาร ต่อมา เขาได้เดินทางไปชกมวยที่กรุงเทพพร้อมกับหมื่นชงัดเชิงชก, ทับ จำเกาะ, ตู้ ไทยประเสริฐ และ พูน ศักดา ซึ่งนายยัง เป็นเพื่อนของทับ จำเกาะ ซึ่งเป็นนักมวยไทยคาดเชือกร่วมวงการ ที่ได้รับการอุปการะจากกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ไปฝึกมวยที่วังเปรมประชากรจนมีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน



ครั้งหนึ่ง เมื่อนายทับ จำเกาะ เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมของตน


ได้มีการเรียกร้องให้นายยัง หาญทะเล แข่งมวยไทย โดยพระยานนทิเสนสุเรนทรภักดีได้ทำการปรึกษากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเพื่อนที่เป็นพ่อค้าในสังกัดกรมท่าซ้าย

กระทั่งนายยัง มีโอกาสประลองมวยกับจอมยุทธชาวจีน นามว่า จิ๊ฉ่าง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นนักมวยจีนชาวฮ่องกงที่มีฝีมือเก่งกาจ (บางแห่งกล่าวว่าเขาเป็นชาวจีนกวางตุ้งในประเทศไทย)


โดยเป็นครูมวยจีนอยู่แถวสำเพ็ง ซึ่งทั้งคู่แข่งขันกันใน

วันมังกรสู้เสือ มาแล้วครั้งหนึ่ง


โดยการแข่งขันในครั้งนี้ มีวงปี่กลองของหมื่นสมัครเสียงประจิต ทำหน้าที่บรรเลงดนตรี และ ยัง หาญทะเล เป็นฝ่ายชนะ

ส่วนการแข่งขันระหว่าง ยัง หาญทะเล กับ นิยม ทองชิตร ที่กระทรวงธรรมการ (หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) ได้จัดขึ้น

ผลปรากฏว่านายยังเป็นฝ่ายแพ้ นอกจากนี้ ยัง หาญทะเล ยังเคยแข่งกับนักมวยจีน ชื่อ ไล่ หู ที่สนามโรงเรียนสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. 2465

มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน


นอกจากนี้ ยังมีตำนานที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ได้นำผ้าเจียดจากอาจารย์ศุข วัดมะขามเฒ่า

มาแจกให้แก่ทหารเรือ และทรงให้ทำการทดลองอาคมในการลงไปแหวกว่ายน้ำทะเลท่ามกลางฝูงปลาฉลาม

แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง ยกเว้นยัง หาญทะเล ที่รับอาสาทดลอง เขากระโดดจากเรือลงสู่ทะเล

และสามารถยืนบนผิวน้ำทะเลท่ามกลางฝูงปลาฉลาม

ได้โดยมิได้รับอันตรายใดๆท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารเรือมาแล้วครั้งหนึ่ง
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-8 16:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยัง หาญทะเล ปะทะ จิ๊ฉ่าง วันมังกรสู้เสือ ตอนที่ 1









 วันมังกรสู้เสือ ครึ่งแรก






จิ๊ฉ่าง VS ยัง หาญทะเล

--คู่หูของนายทับ จำเกาะ--

เมื่อนายทับ จำเกาะ กลับไปภูมิลำเนาเดิมแล้วเสียงเรียกร้องต้องการให้คู่หูของ นายทับ จำเกาะ คือ นายยัง หาญทะเล เป็นตัวยืนโดยให้ทางสมาคมแสวงหาคู่ที่เหมาะสม เข้าเทียบ ฝ่ายสนามก็มิได้นิ่งนอนใจ พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดีพยายามปรึกษาหารือพวกข้าราชการผู้ใหญ่ ตลอดจนเพื่อน ๆ ที่เป็นพ่อค้าสังกัด " กรมท่าซ้าย " และในไม่ช้าก็แพร่ข่าวออกมาว่ามีมวยจีนฝีมือเยี่ยมมาจากฮ่องกง ในความอุปการะของสโมสรสามัคคีจีนสยามอันมี นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง และนายฮุน กิมฮวด เพื่อนเกลอและกรรมการ ฯ ส่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือราชการเสือป่า แต่บางเสียงก็ว่าเป็นจีนกวางตุ้งในเมืองไทย ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มวยจีนย่านสำเพ็ง

--จี๊ฉ่าง--

อย่างไรก็ ตาม มวยจีนฝีมือเยี่ยมดังกล่าวได้ซุ่มซ้อมอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อแถว ๆ วัดแก้วแจ่มฟ้า (วัดแก้วฟ้าล่าง) ถนนสี่พระยา โดยมีการกวดขันการเข้าออกอย่างเคร่งครัด ทำนองเดียวกับ ยอร์ช กาปังติเอร์ ซุ่มซ้อมที่มหานครนิวยอร์ค ในคราวจะชิงตำแหน่งจอมมวยกับ แจ็ค เดมป์เซย์ กระนั้นก็มิวายมีข่าวหลุดออกไปสู่ประชาชนว่านักมวยยิ่งใหญ่จากฮ่องกงมีนามกร ว่า จี๊ (โฮ้วจงกุ๋น)ฉ่าง มีความว่องไวเยี่ยงลิง กำหมัดสองข้างหงิกงอส่ายไปมาคล้ายหัวงูเห่าที่กำลังจะฉกเหยื่อ ท่วงท่ากระโดดเข้าควักหักกระดูกไหปลาร้าให้ติดนิ้วออกมาอย่างรวดเร็วมองไม่ ทัน ลำแขนอันล่ำสันแข็งปั๋งเหมือนกับท่อน้ำฉวัดเฉวียนเหวี่ยงสูงต่ำ ลดนั่งและลุยืนด้วยความคล่องแคล่ว เพียงนิ้วมือสามนิ้วทิ่มไม้หนาสองนิ้วทะลุ นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบข้ออ้อยไว้แล้วทุบค่อย ๆ ข้ออ้อยก็แตกอย่างไม่น่าเชื่อ

พร้อม ๆ กับข่าวอันน่าเกรงกลัวของมวยจีนนั้นการซ้อมมวยไทยภายในวังเปรมประชากรก็ ดำเนินไปอย่างไม่ยี่หระ เสด็จในกรม ฯ คงควบคุมการซ้อมอย่างใกล้ชิด และทรงแนะนำ " ไม้กล " แก่นายยัง หาญทะเล ด้วยพระองค์เอง จนเกิดความเชื่อมั่นกันว่า นายยังจะฆ่าปลาฉลามจี๊ฉ่างได้แน่นอน

--สนาม สวนกุหลาบคึกคักเป็นพิเศษ--

เช้าวันนั้น วันอาทิตย์สำคัญ ซึ่งเป็นวันที่จะมีมวยจีนชกแข่งขันกับมวยไทยพระนคร เฉพาะอย่างยิ่งถนนตรีเพชร จักเพชร บ้านหม้อ พาหุรัด และรอบ ๆ นอกบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยซึ่งใช้เป็นสนามมวย พลุกพล่านด้วยผู้คนคอยรอเวลาชมมวย คนส่วนมากเข้าใจกันว่ามิใช่ดูการแข่งขันชกมวย(สู้กันตัวต่อตัว) เท่านั้นแต่มันจะกลายเป็นดูพวกจีนกับพวกไทยห้ำหั่นกันตามคำโฆษณาเชิงปลุก ปั้น

จีนรวมพวกเดินกันเป็นกลุ่มด้วยความตั้งใจจะดูไส้นายยัง หาญทะเลว่ายาวแค่ไหนส่วนพวกไทยก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมพร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มิได้ประมาท จัดตั้งโต๊ะเก็บ " ไม้ตะพด" ขนาดต่าง ๆ ทุกช่องประตู เหมือนงานวัดถึงกระนั้นก็ยังมีคนไทยถูกจับเพราะพกสนับมือ (อาวุธร้ายสมัยนั้นมีอัตราปรับ ๑๒ บาทเท่ากับปืนพก) เตรียมเล่นงานจีนหลายต่อหลายราย

พ่อเสือลูกเสือต่างเตรียมตัว โดยถือไม้พลองทาสีขาวยาวเกินตัว หนังสือพิมพ์ประจำวันขายเกลี้ยงเป็นล้างน้ำ เพราะมีการกล่าวขวัญถึงศักดาเดชของคู่มวยยิ่งกว่าข่าวเบ็ดเตล็ดและข่าวสำคัญ อื่น ๆ

--อ้ายเต๊ะ--

เนื่องจากมวยนัดนั้นอาจจะลุกลามกลายเป้ นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน พระยาฤทธิไกรเกรียงหาญ หรือที่คนทั้งหลายในสมัยนั้นฉายาให้ท่านว่า " อ้ายเต๊ะ " จึงต้องระดมกำลังสารวัตรใต้บังคับบัญชา เพื่อระงับเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาอันอาจเกิดขึ้นได้ พวก " แขนแดง "พวกสารวัตรทหารสมัยนั้น ( แขนเสื้อมีปลอกแขนสีแดงพัน ) จึงดุเกลื่อนทั้งภายนอกและภายในสนามมวย สำหรับมวยคู่ที่จะกลายเป็นการดูพวกจีนกับพวกไทยห้ำหั่นกันตามโฆษณาเชิงปลุก ปั้นเช่นนี้ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษก จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ผู้ เขียนต้องขอปรับความเข้าใจกับผู้อ่านว่า การที่คนไทยสมัยโน้นตั้งฉายาให้แก่ พระยาฤทธิไกรเกรียงหาญ ว่า " อ้ายเต๊ะ " นั้น มิใช่เป็นการเรียกท่านอย่างหยาบคายแต่ประการใด แต่เนื่องจากท่านมีร่างกายอ้วนจนลงพุง แลดูคล้ายรูปคิงในไพ่ป๊อกคนไทยมักเรียกกันว่า " อ้ายเต๊ะ " ท่านจึงได้รับฉายาจากคนสมัยโน้นเช่นนั้น แม้ดาราหนังที่คนสมัยโน้นนิยมชมชอบและยกย่องบทบาทการแสดงของเขาก็ยังตั้ง ฉายาขึ้นต้นด้วยคำว่า " อ้าย " ทั้งนั้น เช่น " อ้ายเอ๊ด " (คือเอ๊ดดี้ โปโล) และ " อ้ายลันด์ " (คือฟรานซิส พอร์ค) เป็นต้น

--มวยจีนจาก ฮ่องกง--

อันที่จริงนายยัง หาญทะเลได้ถูกกำหนดให้เป็นตัวยืน เพื่อหาคู่ประกบ ภายหลังการเฟ้นหานักมวยเปรียบนายทับ จำเกาะไม่ได้มาหลายอาทิตย์แล้วเพราะนักมวยด้วยกันไม่มีใครสมัครใจต่อกรกับ นายยัง หาญทะเลเพื่อนของนายทับ จำเกาะความจำเป็นที่ต้องหานักมวยต่างด้าวสุดแต่จะเป็น พม่า , จีน , จาม ฯลฯ

แล้วแต่จะเหมาะสมประชาชนปรารถนาเพียงอย่างเดียวให้ได้ดูฝีมือ นายทับ จำเกาะ หรือนายยัง หาญทะเล เพื่อนคู่หูอีกสักครั้งพอให้แน่ใจในฝีมือ เนื่องจากเหตุดังกล่าวมวยจีนจากฮ่องกงจึงถูกสั่งเข้ามาด้วยความเอื้อเฟื้อ ของชาวจีนที่ภักดีต่อประเทศไทย เพราะปรากฎว่าทั่วบูรพาประเทศว่าฮ่องกงเป็นเมืองท่าที่รวมบุคลประเภทหัวกระ ทิ ทั้งในด้านการค้าและการท่องเที่ยวแสวงโชค เป็นเมืองชุมนุมคนดีคนชั่ว ตลอดจนกุ๊ยท่าเรือ เสือสาง แม่นางโกง (โสเภณี) ฯลฯ

--มวยไทยจากวัง เปรมประชากร--

ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่า ทางวังเปรมประชากรมิได้นิ่งนอนใจหรือมีความประมาทยิ่งเกิดกิตติศัพท์ความ เก่งกาจครองฤทธิ์อำนาจพิสดารของมวยจีนจากฮ่องกงแพร่ออกมาอย่างมากมาย ฝ่ายมวยไทยก็ยิ่งเพียรพยายามเตรียมที่จะรับมืออย่างสม " สยามยศ " แม้ครั้งนี้ นายยัง หาญทะเลไม่มีหลวงพ่อสุก (พระครูวิมลคุณากร) แห่งวัดมะขามเฒ่า เหมือนเมื่อครั้ง นายทับ จำเกาะก็ยังมีตัวแทนคือเสด็จในกรม ฯ ศิษย์เอกของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นผู้ทรงจัดเจนในศิลปการต่อสู้ และเสด็จในกรมฯตระหนักพระทัยดีว่า นอกจากความรู้ความสามารถด้านวิชาการแล้ว จิตวิทยาย่อมมีส่วนควบคุมนักมวยให้มีความเชื่อมั่นอันสุดยอดและนำไปสู่ความ สำเร็จสมประสงค์ได้

พระองค์จึงทรงกรุณาทุ่มเทพระสติกำลังความสามารถ ประสิทธิประสาทและปลุกปั้น นายยัง หาญทะเล มวยในอุปการะของพระองค์ให้แข็งแกร่งเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม้กล ไม้ตาย ไม้ลับ พร้อมสรรพด้วย อิทธิอำปลัง (อำนาจเคลือบคลุม) ขั้น " เพชรดา " (คงทนต่อเขี้ยวงา) นอกจากนั้นนายยัง หาญทะเลยังได้รับคำยืนยันจากบุคคลภายนอกอย่างหนาหูว่า บรรดาทหารเรือลูกศิษย์เสด็จในกรม ฯ ซึ่งสักตราสมอดำที่ต้นแขนล้วนคงทนต่อ อสิธารา (คมศาสตราวุธ) เช่นอาวุธปลายแหลมชายธงเป็นต้น (มีดชายธงเป็นอาวุธที่พวกนักเลงสมัย ๕๐ ปีก่อนนิยมพกและใช้ ความร้ายแรงน้อยกว่ามีดซุย , หลาว หรือเหล็กขูดชาฟท์)

--พิธีอตตม สูตรและชุบตัว--

" คูณพ่อชลัม " (พระชลัมพิสัยเสนี ร.น. ผู้บังคับการเรือรบหลวงพระร่วง ซึ่งประชาชนเรี่ยไรซื้อให้รัฐบาล) ได้เป็นผู้นำในการประกอบพิธี อตตมสูตร ให้นายยัง หาญทะเล ตามบัญชาของ เสด็จในกรม ฯ แล้วก็ใช้เวลาตอนเช้าด้วยพิธีการที่เรียกกันว่าชุบตัวแล้วพักผ่อนเพื่อรอ ฤกษ์ยกขบวนไปสู่สนามมวยสวนกุหลาบตามประเพณีที่วังเปรมประชากรเคยปฏิบัติมา

อนึ่ง ตามที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในตอนต้น ๆ ว่าในสมัยโบราณนิยมให้นักมวยอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้าสู่สนามรณรงค์นั้น หากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วมิใช่ว่าคนไทยเชื่อถือในสิ่งที่งมงาย (Superstitious)เพราะการชำระร่างกายเป็นวิธีปล่อยทุกข์ให้กระเพาะวางเปล่า ลดอัตราอันตรายแก่อวัยวะภายในช่องท้องส่วนการอาบน้ำในแง่สุขลักษณะ น้ำเป็นอาโปธาตุที่สร้างกำลังความชุ่มชื่นแก่ร่างกาย ด้วยเหตุว่าประเทศไทยอยู่ในโซนร้อน จึงไม่จำเป็นต้องพะวักพะวน " อุ่นเครื่อง " (Warm up)
ตามแบบอย่างต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศหนาว อีกประการหนึ่งหารบริกรรมมนต์คาถา

(Supernatural Psychology) ตามลัทธิศรัทธาของคนไทยก็นับว่าเป็นอุปเท่ห์ในการอุ่นเครื่องได้ดุจกัน ผู้ใดสงสัยโปรดทดลองด้วยตนเองโดยนั่งนิ่ง ๆ (ทำนองนักมวยไหว้ครู) หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ (บริกรรมพระคาถาสุดแต่จะเล่าเรียนจากอาจารย์ใด) ประมาณสัก ๑ นาที (เวลาที่เลือดฉีดทั่วร่างกาย) ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามีความอบอุ่นขึ้นแถว ๆ ข้างหูหรือข้างหลังตอนใต้สะบัก ทั้งนี้อาศัยพลังจิตของผู้บริหารด้วย

พิธีอตตมสูตรก็ทำนองเดียวกับ การอาบน้ำวึ่งมีธรรมเนียมนิยมในประเทศอินเดียในเวลาก่อนทำการสำคัญใด ๆ ฉะนั้นในบางโอกาสที่ไม่สามารถอาบน้ำชำระกายก็ถือเอาเพียงรดน้ำมนต์ (ไสยศาสตร์) เพื่อรับสวัสดิมงคลตามประเพณีพราหมณ์ ซึ่งนำเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาเมื่อผลแห่งความจริงปรากฏว่าไทยเป็นชาติที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเปลี่ยนเป็นรดน้ำพระพุทธมนต์แต่เพราะความเคยชิน หรือไม่เข้าใจแจ่มแจ้งพวกเราจึงคงได้ยินใช้กันสับสนว่ารดน้ำมนต์อย่างเดิม

--วัน มังกรสู้เสือ--

วันนั้นเป็นวันที่เต็มไปด้วยภาพอันน่าตื่นเต้นเหลือ ที่จะพรรณา ผู้คนในชุดแต่งกายตามเชื้อชาติหลั่งไหลมุ่งหน้ามายังสนามมวยสวนกุหลาบเพื่อ ชมมวยจีนมวยไทย บรรยากาศตอนแรก แดดร้อนจัดและแจ่มใสตลอดจนถึงตอนบ่าย ทำให้เกิดความหวังกันว่าอากาศปลอดโปร่งดีตลอดวัน แต่ก่อนเวลา ๑๖.๐๐ น อันเป็นเวลาเริ่มแข่งขันมวยมีฝนโปรยเม็ดลงมาเล็กน้อย แม้กระนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อนจากที่นั่งซึ่งเรียกได้ว่าเต็ม เพราะเกรงจะไม่ได้นั่งอย่างเดิม เมื่อมวยคู่ประกอบรายการได้แข่งขันแล้วปรากฏว่าเก้าอี้นั่งเดี่ยวรอบ ๆ เวที และที่นั่งชั้นอัฒจันท์เต็มจนต้องยัดเยียดเบียดเสียดกันแน่นขนัดทั้งภาย นอกบริเวณและภายในสนามมวยชักจะมีการรวนเรกันดันประตู พ่อค้าหาบเร่เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์เกินคาดเพราะขายสินค้าคล่องเป้นเทน้ำ เทท่า ขณะนั้นประชาชนที่อุตส่าห์กรำแดดเข้านั่งคอยชมมวยคู่พิเศษระหว่างจีนกับไทย ชักเคร่งเครียดด้วยความร้อน

ทันใด โฆสก ประจำสนามมวยก็ประกาศก้องว่านักมวยค๋สำคัญได้มาถึงสนามและกำลังเตรียมตัวจะ ขึ้นสังเวียนต่อไปแล้ว !

พึงสังเกตว่าในตอนแรกผู้เขียนใช้คำว่า โฆษก ด้วยความตั้งใจให้เป็น พิธีกร แต่มาในตอนหลังนี้ผู้เขียนใช้คำว่า โฆสก ด้วยความตั้งใจให้หมายถึง ผู้ประกาศ (Ring announcer) เหราะเหตุว่าในปัจจุบันนี้ มักใช้ไม่แยกกันจนบางคนไม่รู้หน้าที่ของตน โฆษณาเสียจนการกีฬากลายเป็นการชวนออกศึกไป ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นการเสียหาย ข้อนี้ย่อมสุดแต่อาจารย์ทั้งหลายจะพิจารณา

--นายยัง หาญทะเลขึ้นสังเวียน--

ประชาชนต่างลุกฮือชะแง้ชะเง้อมองไปทางเดียว กัน มีรายงานจากภายนอกอีกว่า เวลานี้ประชาชนกำลังจะพังประตูเพราะซื้อบัตรดูมวยไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยทุกฝ่ายต้องปฏิบัติงานด้วยความยุ่งยาก เหน็ดเหนื่อย
" บัตรหมดแล้ว ที่นั่งเต็ม ! " เสียง โฆสก ประกาศทางโทรโข่ง

ทันใดนั้นประชาชนก็โห่ร้องกลบเสียงโฆสก เพราะนายยัง หาญทะเล ในเครื่องแต่งกายมวยไทยครบถ้วน ผ้าขนหนูสีเทาชุบน้ำพอหมาด ๆ พาดปกสองบ่า ไว้หนวดริมฝีปากบนแบบชาวชนบทไทยทั้งหลาย เคี้ยวหมาก (อาพัด) แหยะ ๆ ขนาบข้างด้วยพี่เลี้ยงและ " คุณพ่อชลัมภ์ " มาหยุดดุษฎีก่อนก้าวขึ้นบันไดยกพื้นสูงประมาณ ๔ ฟุต สะกดทับสรรพอัปมงคลการกระทำของฝ่ายศัตรูตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน แล้วค่อย ๆ ก้าวตีนขวาขึ้นบันไดเข้าบนสังเวียน ยกแขนที่ห้อยไว้ข้างตัวทำนองเดียวกับพลตระเวนเท็กซัส (Texas Ranger) เตรียมพร้อมจะชักปืน ขึ้นพนมไหว้ไปรอบ ๆ ทิศ กัดฟันด้วยมั่นใจ เสียงโห่ร้องต้อนรับนายยัง หาญทะเลดังแรงขึ้นกว่าเดิมอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อย ๆ เงียบ ๆ ลง

--จี๊ ฉ่างขึ้นสังเวียน--

เสียงโห่ร้องยังไม่ทันสงบดี เสียง ฮ้อ.. ฮ้อ..! พร้อมกับเสียงกลอง ตลุ้ง ตุ้ง ฉ่าง แช่ เก๊ง ! กวงเล่าโก๊ก็ดังซ้อนขึ้นจนแก้วหูแทบแตก " มาแล้ว นั่นจี๊ฉ่างคนตัดผมโล้นที่ห้อมล้อมด้วยพวกพ้องชาติเดียวกัน ! " เป็นคำตะโกนต่อ ๆ เซ็งแซ่ดจนฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะเพียงแต่เสียงกลองและฉาบขนาดใหญ่ ก็สะเทือนยอดอกและหูอื้อเสียแล้ว จึงไม่สามารถรู้ว่าประชาชนพูดจากล่าวขวัญอะไรกัน

เมื่อขบวนน้อย ๆ โอบล้อมนายจี๊ฉ่างมาถึงหน้าบันไดยกพื้นสูง ๔ ฟุต จี๊ (โฮ้วจงกุ๋น) ฉ่าง ซึ่งเดินชูกำปั้น " หัวนกอินทรีย์ " (Eagle - beak Fists) ก็เดินล้ำหน้าเพื่อน ๆ ไปโดยมิได้หยุดรั้งรอ แผ่อำนาจด้วยสุรเสียงตวาด " ว้าก ! …." แบบงิ้วทำให้เลือดแทบจะข้นแข็งตัว แล้วกระโดดจนแผลวข้ามลูกนอนลูกตั้งบันได ๔ - ๕ ขั้น ขึ้นบนเวทีคล้ายเสือดาวกระโจนข้ามเรียวไผ่เข้าในคอกแพะ หรือคล้ายขึ้นลุยไถ ที่เคยพบในหนังสือพงศาวดารจีนราวกับเสียงคลื่นในมหาสมุทร ก่อความกระวนกระวายหวาดหวั่นแก่ประชาชนชาวไทยแทนนายยัง หาญทะเล เพื่อนร่วมชาติอย่างพรรณาไม่ถูก

--โฆสกประกาศศึก--

" โปรดเงียบ โปรดเงียบ " เสียงโฆสกกระจายออกทางโทรโข่ง " ต่อไปนี้จะเป็นมวยคู่พิเศษส่งเสริมราชการเสือป่า …… โปรดเงียบหน่อยครับ เงียบหน่อย " โฆสกกล่าวขอร้องและเตือนซ้ำอีก

" ผู้ที่ยืนอยู่ทางมุมนี้ " เจ้าหน้าที่ผู้ประกาศผายมือชี้ไปทางนักมวยไทยสวมกางเกงแดงยืนอยู่กับพี่ เลี้ยง

" คือนายยัง หาญทะเล แห่งนครราชสีมาหรือเมืองมวย อันเป็นฉายาเกียรติประวัติตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยะมหราช " เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีก " โปรดเงียบ โปรดเงียบ " เสียงโฆสกอ้อนวอนทางโทรโข่ง " ผู้ที่ยืนอยู่ทางนี้ " ผายมือซ้ายที่ถือกระดาษไปทางนักมวยตัดผมโล้น นุ่งกางเกงสีน้ำเงินยาวเกือบถึงหัวเข่ามีแพรแถบสีกุหลาบสวยสดเคียดพุง ๓ รอบ ผูกเงื่อนกระตุกข้างบั้นเอวซ้าย ทิ้งชายประมาณครึ่งโคนขามีผ้าพันแข้งสีเดียวกับกางเกง ตามประเพณีการแต่งกายนักรบจีน

ทำนองเดียวกับนักมวยไทยได้รับการ ยินยอมให้คาดเชือก (ถักหมัดด้วยด้ายดิบ) ซึ่งฝ่ายจีนอ้างว่า การถักหมัดก้นหอยเป็นการเสริมให้หมัดแข็งร้ายแรงกว่าหมัดลุ่น ๆ จึงเป็นตกลงอนุญาตให้ใช้ตามประเพณีของแต่ละฝ่ายเพื่อตัดปัญหากล่าวคือเมื่อ ฝ่ายไทยคาดเชือกได้ ฝ่ายจีนก็พันแข้งได้

" จี๊ฉ่าง จอมมวยแห่งฮ่องกง " เสียงโห่ร้องเป็นภาษาจีนดังเกรียวกราวขึ้นไม่แพ้เสียงไชโยโห่ร้องของไทย หลังจากนี้ความเงียบสงบก็ปกคลุมบริเวณสนามมวยชั่วคราว มีแต่เสียงร้องของอีกา ๓ - ๔ ตัว บินผ่านข้ามหัวไปด้วยความประหลาดใจ

--ผู้ ตัดสินบนเวที--

นายยัง หาญทะเล พร้อมพี่เลี้ยงฝ่ายหนึ่ง และนายจี๊ฉ่างพร้อมด้วยพี่เลี้ยงและล่ามอีกคนหนึ่งถูกเรียกเข้ารวมกลาง สังเวียน เพื่อฟังคำชี้แจงปัญหาต่าง ๆ แต่ปรากฎว่าไม่มีปัญหายุ่งยากใด ๆ เพราะได้ทำความเข้าใจกันมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี

ผู้ตัดสินกล่าวสรุปคำ ชี้แจงต่อหน้านักมวย , พี่เลี้ยง และล่ามมีความสำคัญว่า " การแข่งขันเพื่อแพ้ชนะมีกำหนด ๑๑ ยก (ระเบียบการแข่งขันมวยของสนามสวนกุหลาบ พ.ศ. ๒๔๖๔) ใครได้เปรียบคนนั้นชนะนักมวยคนใดล้มลงนอน คนทำล้มต้องไปคอยที่มุมกลาง (Neutral corner) ต้องแยกกันเมื่อได้ยินเสียงสั่งหยุด ! ห้ามกัด ห้ามซ้ำ ใช้ลูกติดพันได้ คนใดไม่เชื่อฟังหรือผิดประเพณี (คำนี้ใช้กันมาตั้งแต่พระยาพิชัย(สงคราม) ดาบหักยังเป็นเด็กชายจ้อยอยู่วัดบ้านหันคา อำเภอทุ่งยั้ง เมืองพิชัยเดิม ซึ่งผู้เขียนจะได้เล่ารายละเอียดในโอกาสข้างหน้า) อาจถูกปรับโทษตามผลลัพธ์จนถึงขั้นแพ้ทุกฝ่ายเข้าใจนะ "

เมื่อล่ามมวย จีนแปลเสร็จจี๊ฉ่างพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจแจ่มแจ้งปราศจากสงสัย นักมวยและพี่เลี้ยงต่างฝ่ายกลับเข้ามุม

ผู้เขียนขอโอกาสเสนอข้อ สังเกตแก่เฉพาะผู้ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า " มุมกลาง "หรือ Neutral corner ไว้ ณ ที่นี้ ตามกติกาสากลที่ไทยเราลอกแบบมาใช้ คำว่า " มุมกลาง " หมายถึงมุมที่มิใช่ฝ่ายแดงหรือฝ่ายน้ำเงิน ชาวต่างประเทศหมายถึงมุมซึ่งไม่มีม้าแป้น (Stool) ให้นักมวยนั่งตั้งแต่เริ่มชก กติกาบางฉบับแปล Stool ผิดว่า " เก้าอี้ " (เคราะห์ยังดีที่ไม่แปลตรง ๆ ว่า
" อุจจาระ ") เพราะเก้าอี้ต้องมีพนัก แต่ไทยเราบางท่านถือเอา Neutral corner เป็นมุมไกลที่สุด ซึ่งไม่สู้จะถูกต้องและปฏิบัติยากเพราะนักมวยที่อยุ่ในสภาพที่อ่อนระโหยโรย แรงนัยน์ตาอาจฝ้าฟาง ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่ามุมที่ตนถอยไปยืนนั้นไกลที่สุดหรือไม่

ตาม ธรรมดาสังเวียนมี ๔ มุมด้วยกัน มุมกลางจึงไม่ใช่มุมของนักมวย ตามเจตนารมณ์ของกติกาต่างประเทศ พี่เลี้ยงนักมวยเข้าไปที่มุมกลางไม่ได้จึงไม่มีดอกาสเสี้ยมสอนนักมวยหรือแนะ นำขณะที่กำลังได้เปรียบ การช่วยเหลือนักมวยจะกระทำได้เฉพาะเวลาระหว่างยกหรือเข้ามุมของตนเท่านั้น แต่ในเมืองไทย พวกเรามักจะได้เห็นการกระทำที่ผิด ๆ โดยปล่อยปละละเลยให้ละเมิดกติกาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือสะเพร่า หรือเกรงใจกัน หากปล่อยให้พี่เลี้ยงละเมิดกติกาข้อนี้จนเคยชิน เมื่อถึงคราวแข่งขันสำคัญระหว่างมวยต่างประเทศ อาจนำความปราชัยมาลบล้างความได้เปรียบอย่างน่าเสียดาย ผู้เขียนจึงใคร่ขอเสนอฝากเป็นดุลพินิจไว้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ตัดสินและพี่เลี้ยงเพราะนอกจากฝ่ายนักมวยที่ได้เปรียบอาจถูกปรับ เป็นแพ้อย่างเถียงไม่ขึ้นแล้ว ผู้ตัดสินเจ้าหน้าที่สนาม (Whips) และกรรมการดำเนินงานต่าง ๆ ยังอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ด้วย

--การ ต่อสู้ระหว่างมวยไทยกับมวยจีนเริ่มต้น--

คำชี้แจงของผู้ตัดสินซึ่ง กล่าวต่อหน้านักมวยไทย ,จีน พี่เลี้ยงและล่ามนั้น อันที่จริงดูเหมือนประชาชนส่วนมากมิอาจทราบได้ว่ามีความสำคัญอย่างไรนอกจาก ผู้เคยชินกับวงการมวย ข้อใหญ่ใจความก็คือปรับความเข้าใจกันทุกฝ่ายเพื่อป้องกันการโต้แย้งคัดค้าน ว่า " ต่อยมวยไทย " หรือ " ต่อสู้แบบชาวสยาม "

ต่อจากนั้นเจ้า หน้าที่รักษาเวลา (Time Keeper) มองดูนาฬิกาจับเวลา ๒ เรือนตั้งเวลาตรงกัน ทางมุมน้ำเงิน พี่เลี้ยงจี๊ฉ่างเลิกเสื้อคลุมขาวกุ๊นตามริมมีอักษรจีนตัวโตสีเดียวกับผ้า กุ๊นตรงแผ่นหลังส่งออกให้คนรับนอกสังเวียน แล้วช่วยกันหมุนตัวให้จี๊ฉ่างหันหน้าสู่กลางเวที เสียงพรรคพวกคนจีนโห่ร้องเป็นภาษากวางตุ้งจนลั่นสนาม ฟังคลับคล้ายคลับคลาว่า " ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! " ฝ่ายคนไทยเพียงแต่พึมพำ ฮือฮา รู้สึกว่าจี๊ฉ่างเป็นมวยสำคัญเอาการอยู่

ฝ่ายนายยัง หาญทะเลก็กำลังผินหลังกำเชือกสังเวียนไว้ทั้งสองมือ เคี้ยวหมาก (อาพัด) พยักหน้ายิ้มอย่างไม่ยี่หระไปทางพรรคพวกที่คอยเอาใจช่วยพี่เลี้ยงตบไหล่เบา ๆ แล้วทยอยออกนอกสังเวียน เจ้าหน้าที่รักษาเวลามองนาฬิกาอีกครั้งแล้วยกมือ กลอง " ตุ้ง " เป็นสัญญาณให้การต่อสู้ระหว่างมวยไทยกับมวยจีนเริ่มได้ ประชาชนคนดูต่างเงียบราวกับนัดกัน

--นายยัง หาญทะเลไหว้ครู--

นาย ยัง หาญทะเลยกมือคาดเชือกถึงข้อศอกขึ้นไหว้ไปทาง " คุณพ่อชลัม " ผินหน้ากลับเข้าสู่กลางเวที ก้าวโหย่ง ๆ บนปลายตีนโดยไม่มีด้ายพันนิ้วออกจากมุม ๓ - ๔ ก้าว ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากราบกรานไปทางเก้าอี้ที่ประทับของเสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ ประชาชนมองตาม เสด็จในกรม ฯ ผงกพระพักตร์รับคารวะน้อย ๆ เพียงพอให้นายยัง หาญทะเลเห็น นายยังเขยื้อนกายปรับท่านั่งกระหย่ง (นั่งบนส้น) โดยหันหน้าสู่ทิศบูรพาอันเป็นทิศครู ปี่กลองสองหน้าและฉิ่งคณะหมื่นสมัครเสียงประจิต เล่นทำนองเร้าอารมณืระทึกจนบางคนต้องเอามือลูบหัวเพราะรู้สึกขนลุกขนพอง

นาย ยัง หาญทะเลใช้หัวแม่มืออุดจมูกสอบลมปราณตามแบบฉบับมวยครู ขึ้นท่าถวายบังคมพรหมสี่หน้าเสร็จแล้ว ยิ้มแสยะกัดกรามตามด้วยท่า " หนุมานควานสมุทร " ก้าวย่างยักเยื้องซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นท่าที่ได้รับการฝึกสอนเป็นพิเศษ จากบรมครูเสด็จในกรม ฯ แทนท่านิยมปกติของ
" เมืองมวย " ทั้งนี้นัยว่าเพื่อป้องกันและ " ชิงคม " (ซ้อนกล) ปฏิปักษ์เพราะเล่าลือกันนักว่ามวยจีนสามารถเลี้ยะพะ (กุมตี) ได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ เป็นที่ครั่นคร้ามกันทั้งเกาะฮ่องกง นายยังจึงต้องศึกษาท่า " หนุมานควานสมุทร " อันมีลักษณะ ย่อเตี้ย ตีนห่าง ไขว้แขนแกว่งสลับป้องกันการกระโจนจับ รอบ ๆ ตัวตลอดเวลา หากจี๊ฉ่างเลือกโอกาสใดก็ตาม พุ่งเข้าเลี้ยะพะด้วยหมัดหัวนกอินทรีอันลือชื่อ ย่อมจะต้องเจอหมัดเหวี่ยงควาย (Full swing) หรือถูกฟันฟาดด้วยท่า " ฝานลูกบวบ " ไม่ว่าจะเข้ามาจากเหลี่ยมใดและต่อจากไม้เดี่ยวนั้นอาจโดนไม้คละ " พันลำ " แบบนกกระจอกเทศเข้าบ่วงบาศ หรือไม้ลับอื่น ๆ ก็ได้ใครจะรู้ ? คนดูต่างตะโกนหนุน ยัง ! ยัง ! ยัง ! ….

--จี๊ฉ่างไหว้ครู--

จี๊ ฉ่างยืนสำรวจท่าทางร่ายรำของนักมวยไทยด้วยความพิศวงงงงวยเพราะไม่เคยพบเคย เห็นที่ส่วนใดของโลกมาก่อน แต่ด้วยความสำนึกในเกียรติภูมิของคนจีนซึ่งนับถือกันมาแต่โบราณว่าล้วนเป็น ดาวจุติ จะครั่นคร้ามอะไรกับฝีมือพวกอนารยชน (ฮวนนั้ง)

ทันใดมังกร ไฟจากฮ่องกงก็แผดเสียง " ว้าก … ! " กระโดดทีเดียวออกมากลางเวที สำแดงเดช " มังกรดั้นเมฆ " ยืนกางขาย่อเข่าเลิกคิ้ว นัยน์ตาหรี่ระริกห้อยแขนซ้ายปล่อยกำปั้นหัวนกอินทรีไว้ที่โคนขา กำปั้นขวาเหยียดตรงขึ้นฟ้า ตามองตามอัดใจสูบผสมกระแสชีวิต รวบรวมกำลังภายในมาบรรจุไว้ที่ยอดอกตามตำรา " เซาลิ้น " ของท่านอิ๊ดโจ๊วเซียนซือ แห่งศวรรษที่ ๖ (ประมาณ พ.ศ. ๑๐๑๖)

ขณะ นี้ร่างกาย จี๊ (โฮ้วจงกุ๋น) ฉ่าง สั่นเทิ้มส่ายไปมาประดุจว่มังกรสัตว์ร้ายกายสิทธิ์ในนิยายจีนกำลังพ่นพิษ ชาวจีนโห่ร้อง ชาวไทยเงียบเพราะรู้สึกเป็นห่วงแทนนายยัง หาญทะเล เพื่อนร่วมชาติที่ต้องล่าถอยหนีจีนเรื่อยมาประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว แต่ท่านเกจิอาจารย์บางคนไม่หวาดหวั่น นั่งภาวนามนต์คาถาบท " ตวาดนิพพาน " เป็นการช่วยเหลือนายยังด้วยจิตใจ

--มวยประวัติศาสตร์--

ทั้ง สองฝ่ายพร้อมแล้วไม่ใครก็ใครคงต้องได้เห็นฤทธิ์กันในครั้งนี้ ปี่กลองเร่งจังหวะ ประจัญบานถี่ขึ้น คู่ต่อสู้ไทย - จีน ต่างพยายามหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน

นายยังคุมท่า " ปลากัดไทย " แกล้งชำเลืองกระหยดย่างเพื่อล่อจี๊ฉ่างเข้าท่ากล แกว่งแขนทั้งสองข้างส่ายสลับเหมือนตะเกียบปลากัด พวกจีนโห่เยาะเย้ยไม่หยุด แต่พวกดูมวยไทยไม่ออก รู้ทีว่านายยัง กำลังพยายามหาช่องปล่อยไม้เด็ดมิได้ตั้งใจหนีเพราะกลัว พวกจีนคงโห่เยาะเย้ยต่อไปไม่ขาดเสียงคนไทยทนไม่ไหวร้องหนุนให้สู้ ทั้ง ๆ ที่นายยังกำลังสู้ด้วยเชิงมวย นายยังจึงไม่ฟังเสียงยิ้มแหย ๆ พยายามตีกรรเชียงพลิกเหลี่ยมไปมามิได้วิ่งออกนอกสังเวียนหรือวิ่งไม่เหลียว หลัง พวกจีนชักกำแหงยิ่งขึ้น ร้อง " ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! " คล้ายจะให้ไล่ขยี้ให้แหลก

ครั้นแล้วโดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัว จี๊ฉ่างกระโดดเงื้อกำปั้นหัวนกอินทรีขึ้นสูงราว ๆ ๒ เมตร แล้วกดเควี้ยวลงเล็งหัวนายยังเป็นเป้าหมาย นายยังซึ่งระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ฉากออกมาทางซ้าย ปล่อยให้กำปั้นหัวนกอินทรีพลาดเป้าไปปะทะเชือกสังเวียนจนสั่นสะเทือน พวกไทยโห่ร้องบ้างทั้ง ๆ ที่ไม่สู้วางใจ นายยัง หาญทะเลเหยียดตัวตรงจากหลบต่ำเตี้ยและเคี้ยวหมาก

จี๊ฉ่างบึ้ง เม้มปากส่ายลูกตาน่ากลัว คนดูที่เป็นไทยส่วนมากพากันวิตกการต่อสู้ของนายยัง แบบถอยหนีวาจะหนีได้ไม่นาน หรือหนีได้ก็เห็นจะไปไม่รอด (นอกจากได้มีดโกนหรือขวดแตกที่ยังมีคอถือเหมาะมือ) จี๊ฉ่างคงบุกไล่เลี้ยะพะนายยังเหมือนเด็กไล่จับกระต่ายในกรง ประชาชนที่เป็นไทยต่างลุกขึ้นยืนบ้างนั่งบ้าง ตัวเอียงไปมาเพราะไม่มีความสบายใจ

นายยัง หาญทะเล ทั้งกระทบทั้งฉากหลบหลีกกำปั้นหัวนกอินทรีอันแข็งปั๋งราวกับหินเป็นพัลวัน เกือบตลอดเวลา มีครั้งหนึ่งหรือสองครั้งที่นายยัง " ฉากฉะ " คือหลีกและตีตอบด้วยหมัดเหวี่ยงควายถูกสีข้างจี๊ฉ่างเพียงแดง ๆ และเตะตาม แต่ปลายตีนโดนเพียงเนื้อตะโพก ได้ยินเสียงพัวะอันเป็นธรรมดาของการต่อสู้แบบ " เขาแรงเราอ่อน "

จี๊ ฉ่างยิ้มแสยะทำทีลูบตะโพกแสดงว่าไม่ระคายผิวหนัง หรือรู้สึกเพียงคัน ๆ ยังไม่เท่ากับถูกยุงกรุงเทพ ฯ กัด จึงคงบุกไล่หมายขยี้มวยไทยฝีมือดีของไทยให้ขี้แตก (อาการกลัวและเจ็บสุดขีดของหมา)

แต่นายยัง หาญทะเล มิใช่คนขี้ขลาดเหมือนหมาแม้จะมีการตะโกนประนามว่ากลัวจี๊ฉ่างจนหางจุกตูดนาย ยังก็คงเอาแต่ถอยเรื่อยไป ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยของฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งเพื่อนร่วมชาติบางคน เสด็จในกรม ฯ บรมอาจารย์ประทับสำราณพระอารมณ์อยู่ตลอดเวลา บางคราวมีผู้ช่างสังเกตลองชำเลืองเห็นพระองค์ท่านทรงขยับเขยื้อนพระหัตถ์และ พระบาทโดยไม่ตั้งพระทัย

มันไม่เป็นการฉลาดเลยสำหรับการต่อสู้ใน สังเวียน (ตัวต่อตัว) ที่จะเสี่ยงถูกชกถูกเตะโดยไม่จำเป็นเพราะ " มวย " เป็นวิชาต่อสู้ตามแต่ครูจะสอน นักมวยย่อมวิ่งหนีได้แต่ไม่ให้ซ่อน ส่วนนักมวยที่บุกเข้าแลกหมัดแลกศอก ฯลฯ กับปฏิปักษ์เพื่อหวังพิชิตด้วยพละกำลังอย่างเดียวจนเข้าอยู่ในความหมายของ ศัพท์แผลงว่า " เดินชน " หรือตามแบบที่ครูอาจารย์ไม่ได้สอน " ลูกศิษย์ " (รักเหมือนลูกนั้น)
ตามตำราฉุปศาสตร์(ตำราพิชัยสงคราม) ไม่เรียกว่า " มวย "

นายยัง หาญทะเลแห่งเมืองมวย หรือนครราชสีมา และ จี๊ฉ่างแห่งเกาะฮ่องกงซึ่งอาจหาญข้ามดินแดนและทะเลมารุกรานถึงบ้านไทย มิใช่นักมวยประเภทเป็นเองที่เดินชนอย่างบุตรท้าวกาสรผู้เป็นเอตะทัคคะในการ ทำลายคันนา

จี๊ฉ่างบุกไล่เลี้ยะพะนายยัง หาญทะเล หมุนไปมารอบ ๆ สังเวียนอย่างย่ำใจเพราะได้ฟังเสียงโห่สนับสนุนจนลืมคติพจน์ " ลมร้ายไม่เคยพัดให้ใครดี " ลืมนึกว่าคนไทยคือ " ผู้เป็นใหญ่ " เมื่อบรรพบุรุษทั้งสองฝ่ายแรกพบกันในแคว้นไทเมือง ส่วนคนไทยทั่วไปก็พากันหลงลืมศิลปะของชาติอันเป็นมรดกมีค่าอนรรฆ (ไม่อาจคำนวณได้) และไม่พอใจ ด้วยไม่รู้เท่าที่เห็นนายยังกำลังใช้ศิลปะประจำชาติต่อสู้กับผู้รุกราน

โดย เฉพาะเสด็จในกรม ฯ ไม่ทรงมีปฏิกิริยา ทั้ง ๆ ที่นายยังได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์และอยู่ในอุปการะของพระองค์เพราะทรงซึมซาบ พระทัยดีว่านายยัง " หนีเอาชัย " (Run a Victory) ผิดแผกกับ บรรพบุรุษไทยส่วนหนึ่งซึ่งขืนสู้ลู่หลี่ (ไม่คิดชีวิต) ไม่ยอมถอยจากแคว้นเดิม เพียงชั่วระยะ ๙๐๐ ปี ก็สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เคราะห์ยังดีที่มีพวกไทยบางส่วนยอมล่าถอยและไม่ยอมหัวเสีย และได้ประจักษ์แก่ใจว่าตลอดเวลาการต่อสู้แบบหนีหรืออ่อนตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามวิธีที่นายยังกระทำอยู่ ไม่มีการเจ็บตัว จึงเพียงส่งเสียงเอาใจ " สู้บ้าง ! สู้บ้าง ! ซิ …." และดังทวีขึ้นทุกขณะ

--เข่า โทนของนายยัง--

นายยัง หาญทะเลคงใช้สมองและเชิงมวยของตนที่ได้รับการสั่งสอนอบรมมาอย่างจัดเจน กระหยด และ ฉาก ออกซ้ายขวา สลับหลอก จนจี๊ฉ่างจับทางไม่ถูก ไล่ตุ๊ยผิดตุ๊ยพลาดจนซี่โครงกระเพื่อมเหนื่อยหอบและหลวมตัว

ใน วินาทีทองนั้น ไม่มีใครทันคาดคิดแต่มีคนเห็นเฉพาะบางคน นายยัง หาญทะเลย่อตัวต่ำขนาดนั่งยอง ๆ เบนหลบกำปั้นหัวนกอินทรีที่โฉบลงมาหมาย ลานหัว (กระหม่อม) แล้วนายยังกลับกระโจนขึ้นอัดเข่าโทน (เข่าตรง) เข้าแผ่นอกจี๊ฉ่างจนผละหงายหลังก้นกระแทกพื้น

โชคดีที่โดนเหนือ " อกรวบ " มิฉะนั้นมังกรไฟคงม้วนหางล่องเรือกลับฮ่องกงตอนนั้นเอง ประชาชนตะลึงพรึงเพริดแล้วโห่ดีใจเป็นครั้งแรก เสียงยุ " อย่าเลี้ยง ! ….ยัง! …. ยัง !…..เอาให้อยู่ " ก้องสนาม ผู้ตัดสินก้าวเข้าขวางนายยังซึ่งดูเหมือนกับตั้งใจง้างตีนมาแต่โคราช แล้วเริ่มนับ หนึ่ง..สอง สาม…

พอดีกลอง " ตุ๊ง " บอกสัญญาณหมดยก คนจีนต่างลุกขึ้นยืนและโล่งอกที่เห็นจี๊ฉ่างรีบลุกขึ้นยืนยิ้มและเดินได้

ติดตามต่อในตอนที่ 2
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-8 16:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ดุลยพินิจช่วยเหลือนักมวย--

พี่เลี้ยงจี๊ฉ่างกระโดดขึ้นเวที กุลีกุจอประคองและพยายามให้น้ำอย่างรีบร้อน พร้อมล้งเล้งอุทธรณ์ว่านายยังตีเข่าขณะมือจี๊ฉ่างถึงพื้น ซึ่งนับว่าล้มแล้วตามประเพณี แต่เสียงคัดค้านของพี่เลี้ยงจี๊ฉ่างถูกกลบด้วยเสียงคนไทยนับพัน ผู้ตัดสินไม่สนใจต่อปฏิกิริยาหรือเสียงร้องทุกข์คณะกรรมการ ฯ ต่างมองเห็นจี๊ฉ่างยังปกติ ไม่มีร่องรอยบอบช้ำเพราะถูกซ้ำ จึงไม่ดำเนินการอย่างใดต่อไหวพริบหรือกลลวงของฝ่ายจีน

วงการมวยของไทยน่าจะสังวร และถือเป็นแบบอย่างสำหรับใช้ดุลยพินิจช่วยเหลือนักมวยของตน เพราะอาจเป็น " โอกาสทอง " ของนักมวย

มีตัวอย่างเมื่อ ๒ ปี ( พ.ศ. ๒๔๖๖ ) หลังจากมวยสวนกุหลาบนัดนั้น ( พ.ศ. ๒๔๖๔ ) หลุยส์ เอนเจิล เฟอร์โป เจ้าของสมญา ควายป่าทุ่งแปมปัส ต่อย แจ๊ค เดมป์เซย์ กระเด็นข้ามเชือกออกนอกสังเวียน บรรดาสื่อมวลชนเกรงว่าเดมป์เซย์ซึ่งหนักประมาณ ๑๘๙ ปอนด์ จะทับเครื่องพิมพ์และอุปกรณ์ถ่ายภาพเสียหาย จึงช่วยกันโดยมิได้นัดหมายเอามือรับและผลักเดมป์เซย์กลับเข้าสังเวียน ( นับเป็นการช่วยเหลือ ) และท้ายที่สุดเดมป์เซย์ก็ตุ๊ย หลุยส์ เฟอร์โป ลงไปนอนให้กรรมการนับสิบ

ในกรณีนี้ ถ้าหากผู้จัดการของเฟอร์โปมีไหวพริบเท่าพี่เลี้ยงจี๊ฉ่างและร้องอุทธรณ์ เฟอร์โปย่อมได้มงกุฎและตำแหน่ง " จอมมวยโลก " อย่างไม่มีปัญหาการชิงไหวชิงพริบในการต่อสู้ภายในสังเวียนจึงเป็นกรณีที่ผู้รักษาผลประโยชน์นักมวยควรศึกษาและไม่ควรละเลย

--นายยังคะมำตกจากเวที--

การต่อสู้ระหว่างนักมวยไทยกับมวยจีนตอนนี้ชักออกรส และสังเกตเห็นว่าพวกไทยชักจะอ้าปากพูดถึงนายยัง และพูดมากขึ้นจนน่ารำคาญ กลองดังเป็นสัญญาณเริ่มยกใหม่ จี๊ฉ่างออกจากมุมด้วยลักษณะปกติไม่มีร่องรอยเจ็บปวดอะไรเลยส่วนนายยัง หาญทะเล ออกจะตื่นเต้นเกินไปในความได้เปรียบ คล้ายเสือเห็นลูกกวางหลงแม่ไม่เหลือบมองเสด็จ ฯ ในกรมเหมือนอย่างปกติ ย่างพรวด ๆ เข้าหาจี๊ฉ่างด้วยการ ชะงักลักจังหวะ นิดหนึ่งก่อนถึงระยะอันตราย กระหยดหลอกออกทางขวา

พอได้เหลี่ยมถนัดเตะซ้ายเข้าชายโครง วัดหมัดทั้งสองข้างใส่จี๊ฉ่างไม่ให้ตั้งตัว หมัดคาดเชือกเกือบถึงศอก โดนร่างของจี๊ฉ่างอย่างไม่คาดคิดจนด้ายกระจุย จี๊ฉ่างสวาปามตีนกับอีก ๔ - ๕ หมัดถึงหัวคลอนและเพราะน้ำอดน้ำทนแท้ ๆ มังกรไฟจึงยืนเอียงไปเอียงมาอยู่ได้ไม่รู้จักล้ม

แต่มังกรไฟ - ไม่ใช่จิ้งเหลน ซึ่งมีดีเฉพาะน้ำมันได้กำลังภายในมาจากไหนและอย่างไรไม่มีใครทราบเสือกหมัดหงายตอบตรงหน้านายยังทั้ง ๆ ที่ยกปิดติดแขน นายยังถึงกับกระเด็นถอยหลังไปพิงเชือกสังเวียนแล้วติดตามระดมเสือกและสับหมัดหัวนกอินทรีไม่เลือกที่และไม่นับ นายยังจนตรอก ( ไม่มีทางหลีก ) ได้แต่กลิ้งหลบไปหลบมา หลบสูงหลบต่ำจนพลาดจากเชือกคะมำลงจากเวที เคราะห์ดีที่ไม่เอาหัวลงก่อน

คนจีนโห่ร้อง " ฮ้อดฉอย..!..!. ฮ้อดฉอย..!..!.. ฮ้อดฉอย..!..!.." ให้จี๊ฉ่างเผด็จศึก

--นายยังเข่าทรุด--

แต่นายยังรู้ดีเพราะคร่ำหวอด รีบโหนเชือกปีนกลับขึ้นเวทีตรงที่ตก เพื่อลวงจี๊ฉ่างและสงวนเวลาผู้ตัดสินไม่ทันนับ คนจีนยังส่งภาษาให้ซ้ำนายยังซึ่งสังเกตเห็นว่าชักเดือดพล่านและหุนหันเข้าใส่จี๊ฉ่าง ที่คอยเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วตามคำหนุนของเพื่อนร่วมชาติ จี๊ฉ่างจึงเสยขวาเต็มแรงจีน นายยังถูกชกอย่างจังถึงเข่าทรุดลงกับพื้นเวที แต่ด้วยบารมีของ เฒาะทรหด หรืออย่างไรไม่มีใครคิดตก นายยังกัดฟันยันพื้นขึ้นยืนไม่ให้ทันถูกนับ พลันเหวี่ยงตีนซ้ายขวาทั้งบนทั้งล่างเข้าลำตัวจี๊ฉ่างถึงต้องถอย

--จี๊ฉ่างหัวทิ่ม--

นายยังตามเหวี่ยงควายสุดแรงเข้าขากรรไกรจี๊ฉ่างหัวทิ่มลงกับพื้น คนดูลุกฮือมองไปทางผู้ตัดสินซึ่งกระโดดเข้ากันและผลักนายยังให้เข้ามุมกลางก่อนที่เริ่มนับ แล้วนับถึง ๖ จี๊ฉ่างลุกขึ้นสะบัดหน้าและตั้งท่าต่อสู้ เมื่อผู้ตัดสินนับถึง ๘ นายยังสะอึกเข้าหา จี๊ฉ่างทิ่มกำปั้นพลาดหน้านายยังแล้วกอดไว้ แม้จะเห้นกันว่าจี๊ฉ่างมีความทรหดอดทนเยี่ยมยอดและเก่งกาจแต่ก็ถูกนายยังชกล้มสองครั้งก่อนที่หมดยก

--นายยังเลือดกำเดาไหล--

พี่เลี้ยงเตือนจี๊ฉ่างให้ระมัดระวังตัว นายยังเตรียมตี " วงใน " เพราะรู้สึกว่าจี๊ฉ่างอ่อนกำลังลงตามที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า จี๊ฉ่างจึงเป็นฝ่ายถอยบ้างเมื่อนายยังทะลวงเข้าฟาดลำตัว แต่จี๊ฉ่างเป็นจีนจุติจากดาวจึงไม่พรั่น พอได้ท่าก็พุ่งหมัดลุ่น ๆ เข้าจมูกนายยังเลือดกำเดาไหล คราวนี้นายยังเห็นทั้งดาวเห็นทั้งเลือดแต่ไม่ยอมถอย เพราะรู้แน่ว่าจี๊ฉ่างอ่อนแรง บางครั้งก็อ้าปากผงับคล้ายปลากะโห้จำนนพรานเบ็ด

ประชาชนเพิ่งได้เห็นนักมวยทั้งคู่ยืนซดทดลองความทรหด จึงพากันขอบอกขอบใจตบมือกระทืบตีนอย่างไม่กลัวเจ็บ

--หัวจี๊ฉ่างเลือดไหล--

นายยัง หาญทะเล ห้าวขะยิกเข้าหาปฏิปักษ์อีก จี๊ฉ่างก็ปักหลักไม่ยอมถอย พุ่งข้อนิ้วขวาเฉียดซี่โครงนายยังแล้วกอดไว้ นายยังดันจี๊ฉ่างซึ่งอ่อนแรงไปติดเชือก ผู้ตัดสินเข้าแยกและใช้มือสองข้างดึงคู่ต่อสู้ออกมากลางสังเวียน นายยังไม่รอช้าเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้าก้านคอปฏิปักษ์แล้วชกซ้ำที่หน้า ขณะเดียวกันจี๊ฉ่างสับหมัดหัวนกอินทรีรวม ๒ ที เพราะนายยังถอยหนีไม่พ้น จี๊ฉ่างหนีบแขนซ้ายนายยังไว้ นายยังจึงเหวี่ยงขวาตวัดสั้นจัง ๆ ที่ลำตัว ต่างคนต่างพยายามแลกหมัดกันนัว ท่ามกลางเสียงโห่ไม่รู้ใครเป็นใครเมื่อผู้ตัดสินแยกคู่ต่อสู้ออกจากกัน ปรากฎว่าหัวจี๊ฉ่างซึ่งโกนผมเกลี้ยงมีเลือดไหลออกมา แต่แผลอยู่เหนือไรผม เลือดจึงไม่เข้าตา พี่เลี้ยงจี๊ฉ่างตะโกนว่านายยังเอาหัวชน ผู้ตัดสินและคณะกรรมการ ฯ ไม่ฟังเสียงให้สู้กันต่อไป เพราะไม่จริง

ประชาชนคนไทยต่างกระเหี้ยนกระหือรือลุกขึ้นยืนป้องปาก " เอามัน !..เอาเลย !.. อย่าเลี้ยง " พวกจีนเพลาเสียงลง

--ลูกติดพันหรือซ้ำ--

นายยัง หาญทะเล จะได้ยินเสียงหนุนหรือประการใดไม่ทราบ ง้างหมัดซ้ายจนตัวบิด เหวี่ยงผัวะเข้าขากรรไกรขวา จี๊ฉ่างค่ำลงกับพื้น ขณะเดียวกันปลายตีนนายยังซัดป้าบเข้าขมับ พี่เลี้ยงจี๊ฉ่างตะโกนคัดค้านอีกว่า "ซ้ำ!…ซ้าม!…ซ้าม!…" แต่ผู้ตัดสินไม่ฟังเสียง เพราะรู้ดีว่าอะไร เป็นซ้ำ และอะไรลูกติดพัน

ผิดกับสมัยปัจจุบัน ซึ่งผู้ตัดสินบางท่านเป็นโรคบ้าจี้ ตัดสินตามเล่ห์เรียกร้องของนักการพนันยิ่งกว่าพิจารณาตามภูมิของตน

--จี๊ฉ่างเลือดไหลจากหูซ้าย--

ขณะที่จี๊ฉ่าง พยายามคืบคลานและคว้าเชือกสังเวียนรั้งตนเองขึ้นยืนก่อนถูกนับ๑๐ นายยังกำลังตื่นเต้นได้ใจ ย่างสามขุมเข้าหาอีก ทำที(แสดงกิริยาให้เห็นผิด) ง้างหมัดขวาช้าๆ ด้วยอาการกระตุก พอจี๊ฉ่างหลงปัด นายยังก็ป่ายตีนขวาไปที่ร่างจี๊ฉ่างซึ่งมีเลือดจากแผลบนหัวทั่วหน้าอก และพะวงจะกอดและเอาตัวรอดคล้ายคนตกน้ำ เมื่อผู้ตัดสินเข้าแยกอีกครั้งหนึ่ง

หน้าจี๊ฉ่างแดงฉานด้วยเลือดนักสู้ แต่นายยังกำลังมันเขี้ยวไม่ลดลง เข้าผลักจี๊ฉ่างออกห่างพอเหมาะระยะแข้ง เหวี่ยงพลั่กเข้าใต้รักแร้ใกล้หัวใจ จี๊ฉ่างคว้าขาได้ดึงเข้าหาตัวเพื่อควักกระดูกไหปลาร้าอันเป็นไม้ตายของฝ่ายจีน นายยังตกใจกระชากขากลับ จี๊ฉ่างคะมำตามกอดเข่าคู้นายยังไว้ นายยังจึงระดมควายเข้ากกหูจี๊ฉ่างอย่างไม่นับ ปรากฏว่าขณะนี้มีเลือดออกจากหูซ้ายของจี๊ฉ่าง

ผู้ตัดสินเข้าแยก(ความจริงควรให้แพทย์ตรวจเพราะอาจเป็นอันตรายแก่สมอง) จี๊ฉ่างคงยืนด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง พุ่งหมัดนกอินทรีแบบส่งญาติ แต่ผิดเป้าเพราะนายยังฉากทัน

เสียงหนุนนายยัง "อย่าเลี้ยง!…ยัง อย่าเลี้ยง!"ดังรอบๆสนาม นายยังรู้ว่าได้ต่อยและเตะจี๊ฉ่างจนสุดแรงแล้ว หากเป็นคนอื่นการต่อสู้คงจะลงเอยง่ายกว่านี้ แต่จี๊ฉ่างชินชำนาญเชิงมวยและมีความทรหดอดทนเกินมนุษย์ธรรมดาที่นายยังเคยต่อกรมาในอดีต

--มังกรไฟพ่าย--

ขณะนี้นายยังหาญทะเลกลืนหมากอาพัดเกลี้ยงแล้ว รีรอหาโอกาส และช่องว่างนิดหนึ่ง ระลึกถึงพระคาถา "กระทู้ ๗แบก" รู้สึกวูบวาบขนลุกขู่ จี๊ฉ่าง - จีนใจเพชร - เปลือกตาเกือบปิด ถุยเลือดออกจากปากที่บวมปูด ลากตีนที่ยกด้วยความลำบากเข้าหานายยังอย่างไม่พรั่นเพราะสู้ตาย ชั่วพริบตาที่จี๊ฉ่างเบือนหน้าบ้วนเลือด หมัดขวามหาประลัยของนายยัง ซึ่งง้างมาแต่ข้างหลังก็หวืดเข้าโหนกแก้มจี๊ฉ่างผงะถลาล้ม นายยังตวัดตีนซ้ายรับเข้าเต็มหน้าจนจี๊ฉ่างมือกางกลิ้งลงพื้น

ผู้ตัดสินกระโดดเข้าดึงนายยังออกห่างแล้วเริ่มนับ ๑ ถึง ๔ เหลียวดูนายยัง เห็นคงยืนอยู่มุมกลาง จี๊ฉ่างไหวตัวพยามลุกขึ้น เลือดเต็มหน้าและกลับเอียงซ้ายพับลงราบกับพื้นเวทีอีกครั้งหนึ่ง

ผู้ตัดสินชำเลืองพร้อมกับนับต่อถึง ๑๐ จี๊ฉ่างมังกรไฟแห่งฮ่องกง - ต้องพ่ายเสือร้ายแห่งที่ราบสูง เพราะหย่อนศิลปะการต่อสู้ !

"มวย" เป็นวิชาต่อสู้ตามที่ครูจะสอน "ลูกศิษย์" เคารพเชื่อฟังครูย่อมเจริญและรวยด้วยมงคล

นายยัง หาญทะเล กำชัยเหนือจี๊ฉ่างในการต่อสู้ อันนับเป็นประวัติการณ์เพราะเคารพและเชื่อฟังครูผู้สอนให้ "หนีเอาชัย" (Run a Victory)

ก็ใครเล่าที่ทรงภูมิปัญญาสอนได้ดังกล่าว ถ้ามิใช่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ แห่งราชวงศ์จักรี ผู้คอยชักให้นายยัง หาญทะเล ด้วยสายพระเนตรอันแหลมคม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ หรือเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพร ฯ แห่งกาลปัจจุบัน

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Garuda
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/367399
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-8 18:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
   2. พ่อหลิม หรือ เสือไท

หนึ่งใน ๗ ทหารเสือของเสด็จเตี่ย
เสือไท จริงๆไม่ได้ตั้งใจเป็นจอมโจรแต่แรก



มีสัจจะโจรดังนี้

"....ห้ามฆ่าหรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ และห้ามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
“ เลือกปล้นเฉพาะพวกเศรษฐีหรือนายทุนหน้าเลือด เอารัดเอาเปรียบและชอบรังแกคนยากจนเท่านั้น ”


เสือไท มาจากครอบครัวของผู้ที่มีฐานะ ความรักอิสระและชอบวิชาการต่อสู้ทำให้ต้องเร่ร่อนและคบค้าสมาคมกับพวกนักเลง ต่อมาจึงช่วยงานที่โรงเหล้าของญาติห่างๆ เป็นคนชอบชกมวย และมีฝีมือฟันดาบ กระบี่กระบอง ร่ำเรียนไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เกือบทุกรูปแบบก่อนถวายตัวเป็นมหาดเล็กของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บิดาแห่งกองทัพเรือไทย

ต่อมาภายหลังชะตาชีวิตได้หักเหกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง เลยต้องหลบหนีคดีกลายเป็นจอมโจรชื่อดัง แต่ได้รับความนับถือยกย่องให้เป็น “สุภาพบุรุษเสือ” แม้แต่มือปราบขมังเวทย์อย่าง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช รวมทั้งตำรวจมือปราบและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอีกหลายคนในสมัยนั้นยังมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์


พ่อหลิม หรือ เสือไท เล่าว่า รับหน้าที่เป็นมหาดเล็กปลุกบรรทม มีหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องบรรทม และคอยปลุกเสด็จในกรมฯ ตามที่ทรงรับสั่ง หน้าที่นี้เองทำให้เขาเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดและอยู่ในเหตุการณ์ในวันที่เสด็จในกรมฯทรงสิ้นพระชนม์...

มหาดเล็กหลิม ได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยข้อมูลที่แตกต่างไปจากที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์.....

..ตอนสายของวันที่ 19 พฤษภาคม 2466 เสด็จในกรมฯทรงพักผ่อนในพระตำหนักที่ประทับ ที่สร้างขึ้นแบบเรียบง่ายเฉกเช่นบ้านของประชาชนทั่วไป ณ หาดทรายรี จังหวัดชุมพร ทรงพระประชวรเป็นไข้หวัดใหญ่ เสด็จในกรมฯ ทรงมีรับสั่งให้ผู้ใกล้ชิดเข้าเฝ้าทีละคน......


ครั้นถึงคราวพ่อหลิม(เสือไท) ทรงพระราชทานปืนยาวให้ โดยทรงมีรับสั่งกำชับว่า “อย่านำไปฆ่าคน” “ให้เป็นที่ระลึก” แล้วทรงรับสั่งให้พ่อหลิม(เสือไท)นำธูปและดอกไม้มาให้พระองค์ เพื่อพระองค์จะนำไปถวายและสวดมนต์ไหว้พระ อันเป็นกิจกรรมที่พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นประจำอยู่ทุกวัน แล้วพระองค์ได้ทรงรับสั่งว่า “สิบเอ็ดโมงวันนี้ไม่ต้องเข้าไปปลุก” ตามปกติในระหว่างประชวร จะทรงตื่นบรรทมมาเสวยพระโอสถในช่วงนี้......


เวลาผ่านไปราว 3 ชั่วโมง ในห้องบรรทมเงียบจนได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาเบาๆ แล้วเงียบหายไปพักใหญ่ จึงเห็นควันธูปลอยออกมาตามช่องลมและพระแกลมากจนผิดสังเกต....มีใครคนหนึ่งสั่งให้เปิดประตูเข้าไปดูพระองค์ แล้วภาพที่เห็นก็คือ... พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย เสด็จเตี่ย และ เจ้าพ่อ ของลูกหลานไทยทุกคน....ได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบ ในพระอิริยาบถบรรทมตะแคงพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยในขณะที่พระหัตถ์ยังทรงพนมธูปและดอกไม้อยู่......



เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ พ่อหลิม(เสือไท)(เนื่องจากมีคดีติดตัวอยู่) จึงต้องหวนกลับสู่ถนนนักเลง โดยไปช่วยงานที่โรงบ่อนเบี้ย ดูแลโรงเหล้าและโรงยาฝิ่น ซึ่งมีหลวงประชาธนาณัติ ทหารเสือผู้หันมาเอาดีด้วยการยึดอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยเป็นผู้แนะนำ


เศรษฐกิจของประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ตกต่ำลงมาก....อันเป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศหลายอย่าง กล่าวกันว่ารายได้ของรัฐบาลส่วนหนึ่งที่หดหายไปคือการออกกฎหมายประกาศยกเลิกการเล่นหวย ก. ข. ในปีพุทธศักราช 2459 และการประกาศเลิกบ่อนเบี้ย ในปีพุทธศักราช 2460 แต่ทว่า.....หวยและบ่อนนั้น เป็นการพนันที่เลิกยาก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เมื่อห้ามไม่ให้เปิดตามกฎหมาย ก็ยังคงมีคนลอบเปิด รวมถึงโรงยาฝิ่นด้วย...



คืนวันหนึ่ง..ที่โรงบ่อนเบี้ยเถื่อนในกรุงเทพฯ มีการทะเลาะวิวาทกันรุนแรงจนถึงขั้นตะลุมบอนยิงแทงกัน ให้บังเอิญที่ พ่อหลิม(เสือไท) อยู่ในที่นั้นด้วย มีเสียงปืนจากพลตระเวนดังขึ้นหลายนัดเพื่อระงับเหตุและพวกนักเลงที่ยิงกันเอง.....กระสุนปืนเจ้ากรรมนัดหนึ่งเป็นลูกหลงปริศนาพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของพลตระเวณนายหนึ่งล้มลงขาดใจตาย เขณะเดียวกันพ่อหลิม(เสือไท)กับพวกวิ่งสวนมาทางนั้นพอดี ......มีเสียงตะโกนมาจากนักเลงอีกกลุ่มหนึ่งว่า ไอ้ไทยิงตำรวจ...


ลำพังคดีฆ่าคนธรรมดาก็หนักอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ยิ่งหนักหนาสาหัสการหลบหนีคดีครั้งที่ 2 ของชีวิต.....ดูเหมือนว่าการหนีในคราวนี้แผ่นดินไทยดูจะแคบเกินไปจนแทบจะไม่มีที่หลบซ่อนตัว....



พ่อหลิม หรือ เสือไท ได้เล่าถึงช่วงที่ชีวิตตอนนั้นว่า....มีความพยายามจากศัตรูฝ่ายตรงข้ามของตนเองที่จะรื้อคดีเก่าของเขาออกมา ในขณะที่คดีที่เกิดใหม่ก็ยังเอาตัวไม่รอด เป็นเรื่องเคราะห์ซ้ำกรรมซัด จึงตัดสินใจลงเรือสินค้าแล้วแอบแวะขึ้นบกที่นครศรีธรรมราช เดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ ทางบกบ้าง ทางเรือบ้าง หนีไปกบดานในเขตประเทศมาเลเซีย และเตลิดเลยเข้าไปถึงประเทศสิงคโปร์....ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก เลยลงเรือกลับมายังเมืองไทย โดยไม่กล้าแวะกรุงเทพฯ เดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ


ในระยะนั้นมีคนแอบอ้างว่าเป็นเสือไทออกปล้นจี้หลายครั้ง ในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี เลยไปถึงฝั่งตะวันตก กาญจนบุรี ทำให้ มหาดเล็กไทจากคนร้ายหนีคดีฆ่าตำรวจ กลายเป็นเสือไทไปโดยปริยาย


เมื่อไม่มีทางเลือกเสือไทจึงหนีเข้าป่ารวมกลุ่มพวกหนีคดีอีกหลายคน จากเริ่มต้นมีพรรคพวกอยู่ไม่กี่คนกลายเป็นหลักร้อยคนในเวลาต่อมา และทุกคนยอมรับความสามารถของมหาดเล็กไท ยกย่องให้เป็นผู้นำ กลายหัวหน้าชุมโจรนับตั้งแต่บัดนั้น


เมื่อตั้งชุมโจรได้แล้ว เสือไทจึงจัดการล้างแค้น ไอ้เสือไทตัวปลอมผู้ที่แอบอ้างชื่อเขาหากิน ตอนนั้นช่วงนั้นเขตพื้นที่รอยต่อสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ชาวบ้านหวาดกลัวเสือไทตัวปลอมมาก เพราะเสือไทตัวปลอมปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ทุกครั้ง ฉุดลูกเมียชาวบ้านไปข่มขืนเสมอ กระทำการอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย แล้วทุกครั้งที่ทำการปล้นชิง ได้กู่ประกาศชื่อว่า มันคือ “เสือไท” ลักษณะเสือไทตัวปลอมคือรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราเข้มขรึม พูดจาเสียงดัง มีนิสัยชั่วร้ายชอบข่มขู่และทำร้ายคนไม่มีทางสู้ แต่ชาวบ้านต่างเข้าใจว่ามันคือเสือไทตัวจริง....



เสือไทตัวจริงเดินทางไปกับลูกน้องสองคนบุกเข้าถ้ำเสือไทตัวปลอม ใช้มีดปังตอของอาแปะฆ่าตัดหัวเสือไทตัวปลอม จิกหัวเสือไทตัวปลอม ออกมาโยนทิ้งข้างนอกพร้อมประกาศว่า “กูนี่แหละเสือไทตัวจริง” มันผู้ใดเอาชื่อกูไปทำชั่วแบบมัน จะต้องตายแบบนี้ ......... นับตั้งแต่นั้นมาเสือไทตัวปลอมก็หายสาบสูญไป

ต่อมาปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ มีผู้คนหนีคดีอาญาเข้าป่ามายังชุมเสือไท จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว


เสือไท ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการปล้น เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน จึงเลือกปล้นเฉพาะพวกเศรษฐีหรือนายทุนหน้าเลือด เอารัดเอาเปรียบและทำนาบนหลังคนยากจนเท่านั้น เสือไทเคยปล้นเรือโยงข้าว แล้วขนเอาข้าวสารไปแจกจ่ายชาวบ้านบ่อยๆ ชื่อเสียงด้านชั่วร้ายจากการกระทำของเสือไทตัวปลอมทำไว้จึงค่อยๆจางหายไป


พอถึงช่วงเวลาต้นสมัยของรัชกาลที่ 8 เสือไทเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ต้องแบกรับปัญหาลูกน้องนับร้อย เขาที่ชอบชีวิตสงบเรียบง่ายและสมถะมากกว่า การที่ต้องเป็นโจรมันมีชีวิตที่ต้องคอยหลบหนี เสือไทจึงเรียกประชุมลูกน้องแล้วประกาศให้รับรู้พร้อมกันว่าจะปล้นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว


...การปล้นครั้งสุดท้ายเสือไท ได้ทรัพย์สินตามต้องการ เสือไทบอกกับเถ้าแก่ชาวจีนคนนั้นผู้ถูกเสือไทปล้นครั้งสุดท้ายว่า ให้ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เก่า ชาติที่แล้วคงเอาของตนไป ชาตินี้จึงมาปล้น ก่อนจากมาได้บอกให้เถ้าแก่เลิกรีดดอกเบี้ยจากชาวบ้าน ถ้ายังขืนทำต่อก็จะมีโจรก๊กอื่นมาปล้นจนหมดตัว หลังจากนั้นเสือไทจึงแบ่งทรัพย์สินให้ลูกน้อง โดยตัวเขานำติดตัวมามาไม่มาก ด้วยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีวิชาความรู้


เมื่อได้สำรวจดูพื้นที่แล้วเสือไทตัดสินใจเลือกหมู่บ้านจระเข้ผอม จังหวัดพิจิตรเป็นถิ่นที่อยู่ เวลาใครถามชื่อ ก็จะบอกว่าชื่อ หลิม ใช้ความรู้ทางตำราสมุนไพร ประกอบอาชีพเป็นหมอแผนโบราณ วิชาความรู้ด้านสมุนไพรของ หลิม ชาวบ้านล่ำลือว่าขลังมาก นอกจากนั้น หลิมยังมีวิชาอาคมติดต่อสื่อสารกับเจ้าที่เจ้าทาง สำหรับใครที่จะซื้อที่ดิน หากพ่อหมอหลิมบอกว่า “ห้ามซื้อ” ต่อให้ที่ดินแปลงนั้นทำเลดีอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะรู้กันว่าถ้าซื้อแล้วจะอยู่ไม่ได้หรือไม่ก็เกิดเรื่องไม่ดีมากมาย ในระหว่างนั้นพ่อหมอหลิมได้พบรักกับสาวชาวบ้าน อยู่กินกันจนมีบุตรชายหนึ่งคน



หลังจากใช้ชีวิตสงบสุขมานานหลายปี จนมีฐานะดี พ่อหลิมอายุใกล้ๆหกสิบ มีโจรกลุ่มหนึ่งพาพวกนับสิบข้ามลำน้ำยมเข้ามาในเขตจังหวัดพิจิตร ปล้นจี้รายทางมาเรื่อย จนถึงหมู่บ้านจระเข้ผอม พวกมันบุกปล้นบ้านหลังแรก คือ “บ้านพ่อหลิม” บุกปล้นบ้านใครไม่ปล้น ดันมาบุกปล้นบ้านอดีตเสือ พ่อหลิมยิงต่อสู้กับกองโจรแบบหนึ่งต่อสิบ ปรากฏฝ่ายโจรตายหลายคน ที่เหลือก็หลบหนีไป


เรื่องราวการบุกปล้นบ้านพ่อหลิมครั้งนั้นดังกระจายไปทั่วจังหวัดพิจิตร ชาวบ้านร่ำลือความเก่งของพ่อหลิม หลายคนสงสัยความประวัติเป็นมาของพ่อหลิม


ต่อมากรมตำรวจได้รับร้องเรียนจากชาวพิจิตรที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยโจร จึงกำลังมองหาตำรวจฝีมือดี ขณะนั้น มือปราบขมังเวท ร.ต.อ. ขุนพันธรักษ์ราชเดช กำลังไล่ล่าปราบโจรอยู่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี กำลังถูกกลั่นแกล้งร้องเรียนขอให้ย้ายออกจากพื้นที่ ทางกรมจึงย้ายขุนพันธรักษ์ราชเดชฯ มาประจำที่จังหวัดพิจิตร


ขุนพันธ์มาประจำอยู่จังหวัดพิจิตรสามปี นอกจากทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายและบรรดาอันธพาลจนราบคาบแล้ว จุดหมายสำคัญที่ขุนพันธ์ตั้งใจตามหา “เสือไท” หรือมหาดเล็กหลิม ทองย่อน ผู้ที่เป็นหนี่งในเจ็ดทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ตามเบาะแสข้อมูลที่ได้มาจาก หลวงประชาธนาณัติ อดีตเพื่อนรักของเสือไท


ตอนที่ทั้งสองพบกันพ่อหลิมมีอายุประมาณ 67 ปี ส่วนขุนพันธ์ฯเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ อายุรุ่นลูกหลานเลยทีเดียว ขุนพันธ์ได้เดินทางไปพบพ่อหลิม ที่บ้านจระเข้ผอม ตำบลรังนก พิจิตร ถึงสองครั้งจึงได้พบตัว ความจริงครั้งแรก พ่อหลิมก็นั่งอยู่บนบ้าน แต่ขุนพันธ์ฯมองไม่เห็น พ่อหลิมเล่าว่า...ขุนพันธ์นั่งห่างจากตัวเขาไม่เกินสองวา....ตอนแรกคิดจะปรากฏตัวให้เห็น แต่เปลี่ยนใจ ต้องการทดสอบนิสัยขุนพันธ์เสียก่อน...

-------ขุนพันธ์ฯเล่าถึงตอนพบกับ พ่อหลิมหรือเสือไทครั้งแรกว่า


“.......เป็นนักเลงด้วย เป็นผู้ดีด้วย หวีผมเรียบ เสื้อเชิ้ตสั้นพับปลาย รีดเรียบ พกมีด แขกมาบ้านนั่งหน้าตาเขม็ง
คหบดี ผู้ดีมีอันจะกิน ตามท้องในสมัยนั้นไม่มีใครรีดเสื้อผ้ากัน ไม่มีใครหวีผม "

เมื่อมีคนถามขุนพันธ์ว่า ทำไมถึงคิดว่าพ่อหลิมเป็นนักเลง?

ขุนพันธ์ตอบว่า....

“.........ที่ว่าเป็นนักเลงนั้นคือ ไม่เสียตา นั่งมองแขกผู้มาเยือนเขม็ง นั่งตัวแข็ง พกมีด ผมถามไปว่าทำไมต้องพกมีดด้วย เสือไทตอบว่า

" ครับผมปฏิบัติมาอย่างนี้ คนไม่มีเขี้ยวไม่มีงา จึงต้องมีอาวุธ"

ขุนพันธ์ฯเคยให้สัมภาษณ์ว่า....เสือไทเป็นคนดีเป็น คนจริง และเป็นสุภาพบุรุษ ประการสำคัญเป็นจอมโจรอาคม ที่สอนวิชาอาคมให้กับตนเองหลายอย่าง โดย ขุนพันธ์ฯ ยอมรับและยกย่องให้ พ่อหลิม หรือ เสือไท เป็นอาจารย์คนหนึ่งของตนเอง....


พ. ศ. 2511 อดีตเสือไทค่อยๆ ล้มตัวนอน หลับตาภาวนาทำสมาธิอย่างที่เคยปฏิบัติอย่างปกติทุกครั้งเวลาหลับตานอน นี่คือ..การนอนหลับตลอดกาลของอดีตเสือไท หรือพ่อหลิม ทองย่อน อดีตทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ


ในงานศพ มีลูกศิษย์บางคน(คิดว่าเห็นเป็นลูกศิษย์เสด็จเตี่ย)จึงยิงปืนขึ้นฟ้าแต่กลับไม่มีเสียงปืนดังออกมาเลยแม้แต่กระบอกเดียว แม้แต่เถ้าอัฐิ ยังมีคนร้อนวิชานำไปทดสอบยิง แต่จะยิงเถ้าอัฐิสักกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงปืนดัง


ญาติมิตรและบรรดาลูกศิษย์ได้สร้างอนุสรณ์เล็กๆ เป็นที่ระลึกบรรจุอัฐิพ่อหลิม ทองย่อน ไว้กราบไหว้ ณ. สุสานวัดจระเข้ผอม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ซึ่งยังอยู่มาตราบจนทุกวันนี้



ครับ....เพื่อน  ๆ...นักเลงแท้ ๆ เป็นนักเลงจริง มักจะนิ่งๆ พูดจานิ่มนวล เรียบร้อย สงบ เย็นๆ ดูภายนอกเหมือนไม่น่าฆ่าคนได้ แต่พอถึงบทโหดก็โหดเด็ดขาดจริงๆ


แตกต่างฆาตกรทั่วไปนะ พวกฆาตกรที่ทำคนไม่มีทางสู้ โดยเฉพาะสตรี คนชรา นี่ จะเป็นอีกแบบ.......ผมได้นำมาลงในกระทู้นี้ ก็เพราะเห็นว่า หลิม ทองหย่อน ท่านมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญหลายท่าน ....ต้องขอประทานอภัย ผมหารูปท่านไม่ได้จริง ๆ ........ก็หวังว่า เพื่อน ๆ คงได้ทราบเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของบุคคลในอดีต ที่ขนานนามว่า " เสือ "
นายทับ จำเกาะ

หลวงสุนาวินวิวัฒน์ ร.น.(เหลียง สุนาวิน)

ศรี กมลนาวิน

ตำนานเจ็ดทหารเสือ

ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ในความหมายแรก น่าจะหมายถึงนายทหารเรือทั้งหมดที่เป็นลูกศิษย์ของเสด็จในกรมฯ ที่ได้รับการฝึกสอนด้วยพระองค์เอง รวมถึงทหารเรือชั้นประทวนที่ประจำการร่วมสมัย หลายคนมาจากมหาดเล็กที่ถวายตัวรับใช้พระองค์.....เกือบทุกคนสักคำว่า ร.ศ. 112 ตราด ที่หน้าอก เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้ลืมวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ที่ฝรั่งเศสบุกน่านน้ำไทยจนเกิดยุทธนาวี ผลที่สุดไทยต้องจำใจจำยอมให้ฝรั่งเศสครอบครองจังหวัดจันทบุรีและตราด ก่อนจะเสียดินแดนบางส่วนด้านมณฑลบูรพาฝั่งซ้ายแม้น้ำโขง และดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อแลกสองจังหวัดกลับคืนมา....เป็นความขมขื่นที่ไม่มีวันลืม....

ทหารเสือในความหมายที่สอง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า?เจ็ดทหารเสือ? มีด้วยกันทั้งหมด 7 คน มียศตั้งแต่นายทหารสัญญาบัตรไปจนถึงพลทหาร ทั้งเจ็ดทหารเสือมีคำล่ำลือในไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ประการสำคัญนอกจากมีรอยสักคำว่า ร.ศ. 112 ตราด? ที่หน้าอกแล้ว ทหารเสือทั้งเจ็ดคนจะต้องมีรอยสักอักขระขอม ปรากฎที่ท้ายทอยหรือต้นคอทุกคน....

3.พลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน)
(9 มิถุนายน พ.ศ. 2429 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482)[1] อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเรือโท พระยาราชวังสัน มีนามเดิมว่า ศรี กมลนาวิน เกิดที่ตำบลบ้านท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรนายเล็ก-นางจู กมลนาวิน เป็นพี่ชายของหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน)[2] สมรสกับ นางสาวถนอมศรี วีระศิริ (นางถนอมศรี ประดิยัตินาวายุทธ ) เมื่อ พ.ศ. 2456 ต่อมาเมื่อนางถนอมศรีถึงแก่กรรม จึงสมรสกับ นางสาว ระจิตร วีระศิริ (คุณหญิงระจิตร ราชวังสัน) น้องสาวภรรยา
ศรี กมลนาวิน จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบอังกฤษ[3] เข้าเรียนเป็นนักเรียนนายเรือ เมื่อ พ.ศ. 2446[4] ได้ถวายตัวต่อพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อเข้าเป็นนักเรียนนายเรือ เมื่อ พ.ศ. 2449 และรับราชการทหารเรือ เคยเป็นผู้บังคับการเรือหลวงคำรณสินธุ์ซึ่งเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2455[5] ขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็น นาวาตรี หลวงประดิยัตินาวายุทธ (ศรี) ร.น. เป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งมหาจักรี[6] เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนนายเรือ เสนาธิการทหารเรือ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชวังสันเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2464 ในรัชกาลที่ 6[2] และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2470-2476 เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พ.ศ. 2475-2476)
พลเรือโท พระยาราชวังสัน เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ระหว่าง พ.ศ. 2478-2482




เกิด9 มิถุนายน พ.ศ. 2429

4.ทับ จำเกาะ
เป็นนักมวยไทยฝีมือดีจากจังหวัดนครราชสีมา ถูกส่งตัวเข้ามาชกในกรุงเทพฯในยุคสนามมวยสวนกุหลาบเมื่อ พ.ศ. 2464 เพื่อเก็บเงินซื้อปืนให้กองเสือป่า การเดินทางเข้ามาชกมวยของนายทับครั้งนั้นได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญในวงการมวยยุคนั้นว่า "หมัดนายจีน ตีนนายทับ"
เมื่อเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ กรมหลวงชุมพรฯรับอุปการะให้เข้าพักในวังเปรมประชากร นายทับขึ้นชกครั้งแรกกับนักมวยจากจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งปรากฏว่านายทับเตะเป็นชุด จนนักมวยจากมหาสารคามลุกไม่ขึ้น ยอมแพ้แค่ยกแรก
จากชัยชนะในครั้งแรก ฝ่ายผู้จัดการแข่งขันได้คัดเลือกนักมวยขึ้นสู้กับนายทับ ครั้งแรก ม.ร.ว. มานพฯ เสนอบังสะเล็บ ศรไขว้ แต่นายทับไม่สู้ ดังนั้นจึงประกบคู่ให้นายทับพบกับประสิทธิ์ บุณยารมณ์ ครูพลศึกษาซึ่งนายทับตอบตกลง
ต่อมาเมื่อนายทับรู้ภายหลังว่าได้คู่กับนายประสิทธิ์ซึ่งเป็นมวยนักเรียนพลศึกษา และมีชื่อในทางชนะนักมวยหัวเมืองด้วยอิทธิพล นายทับถอดใจไม่ยอมซ้อมจนกรมหลวงชุมพรรับสั่งให้หา เมื่อทราบว่านายทับกลัวอิทธิพลจึงปลอบใจให้สู้และเชิญหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่ามาประกอบพิธีแต่งตัวให้นายทับเพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจ หลังจากนั้นขวัญกำลังใจของนายทับจึงดีขึ้น ซ้อมมวยได้ตามปกติ เมื่อถึงวันชกที่สนามมวยสวนกุหลาบ โดยมีพระยานนทิเสนสุรภักดี แม่กลองเสือป่า เป็นคนนำเป่าปี่บรรเลง[2] การแข่งขันปรากฏว่านายทับใช้ชั้นเชิงในจังหวะที่ประสิทธิ์ต่อยพลาด เข้าเตะประสิทธิ์เป็นชุดแบบเดียวกับที่ใช้ในการชกครั้งแรก จนนายประสิทธิ์หมดสติ ถูกจับแพ้ไป
หลังจากการชกในครั้งนั้น มีผู้เสนอนักมวยที่จะเป็นคู่ชกรายต่อไปของนายทับหลายคน เช่น สุวรรณ นิวาสะวัต อินทร์ ศักดิ์เดช แต่ในระหว่างที่รอคู่ชกอยู่ นายทับมีความจำเป็นต้องกลับภูมิลำเนา กรมหลวงชุมพรทรงอนุญาตให้กลับได้ นายทับยังคงชกมวยตามหัวเมืองต่อมา แต่ไม่ได้เข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯอีกเลย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของนายทับ ยังเป็นที่จดจำของชาวกรุงเทพฯ เมื่อครั้งที่ อภิเดช ศิษย์หิรัญโด่งดัง ยังมีผู้ตั้งฉายาให้เขาว่าทับ จำเกาะคนใหม่ แม้ว่าเวลาจะห่างกันถึง 40 ปีก็ตาม



พระรูปสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายกับนักเรียนนายเรีอตรี กิมเหลียง สุนาวิน เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๐

5.พลเรือโท หลวงสุนาวินวิวัฒ นามเดิม เหลียง สุนาวิน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2437 จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ เข้ารับราชการในกองทัพเรือตั้งแต่ พ.ศ. 2459 ได้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ และตำแหน่งสุดท้ายในราชการทหารคือผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีฝ่ายทหารเรือ พ.ศ. 2477 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2478 ได้ย้ายราชการฝ่ายพลเรือน สังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร จังหวัดปัตตานี และจังหวัดพระนครธนบุรีตามลำดับ พลเรือโท หลวงสุนาวินวิวัฒ  ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร จึงดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม 2495 ถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2496
6. ???
7. ???
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้