|
ม. ฤทธิ์เต็ม - ข้ามันลูกทุ่ง
มาโนช ฤทธิ์เต็ม หรือ ม.ฤทธิ์เต็ม เป็นชาว จ. อุทัยธานี เกิดเมื่อประมาณปี 2505 มีชีวิตที่สุดแสนลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องปากกัดตีนถีบดูแลตัวเองมาตลอด งานหนักงานเบาไม่เคยเกี่ยง หลีกเลี่ยงเฉพาะงานที่ผิดกฎหมายเท่านั้น นอกจากนั้นเขาไม่เคยอายที่จะลงมือทำงานเพื่อแลกเงินมายาไส้ เนื่องจากพ่อแม่เลิกร้างกันไปตั้งแต่เขาอายุยังน้อย พ่อไปมีครอบครัวใหม่ โดยมาเป็นจับกังอยู่เมืองหลวง และอยากให้เขามาอยู่ด้วย แต่ไม่ให้เรียนหนังสือ ส่วนแม่ของเขาก็ยากจน ทำมาหากินโดยการทำไร่ในป่าดง ถ้าไปอยู่ด้วย ก็คงไม่ได้เรียนหนังสือเช่นกัน เขาก็เลยตัดสินใจไม่ไปอยู่กับใคร แต่มาอาศัยอยู่วัดแทน เพื่อที่จะได้มีโอกาสเรียนหนังสือ และถ้าไม่มีใครส่งเรียน ก็ตัดสินใจจะหาเงินส่งตัวเอง เพราะช่วงที่พ่อแม่เลิกกัน เขาก็เริ่มหัดมองหาลู่ทางสำหรับการหาเลี้ยงชีพเอาแล้ว เนื่องจากช่วงที่ยังอยู่กับครอบครัว พ่อแม่มีอาชีพรับจ้างไปทั่ว ก็เลยทำให้เขาพลอยรู้จักกับบรรดานายจ้างหลายคนด้วย
เมื่อต้องหาเงินใช้เอง เขาก็เริ่มจากการไปรับจ้างปั่นสามล้อ
โดยปั่นตั้งแต่ยังเด็ก จนถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.ศ. 3
ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่โชกโชนที่สุดตอนเด็กๆ
เพราะต้องเอาความเจ็บปวดของร่างกายเข้าแลกด้วยการชกมวยหาเงินเลี้ยงตัว มวยไทย
มวยสากล เอามันทุกอย่างเพราะท้องมันหิว ใจมันสั่งให้สู้เพื่อประทังชีวิต
ไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร ชีวิตบนสังเวียนผ้าใบ ม.ฤทธิ์เต็ม ผ่านมามากพอดู
โดยชกมวยไทยมามากกว่า 20 ครั้ง ชกมวยสากลอีก 5 ครั้ง ส่วนมากก็จะได้ชัยชนะ
แต่ที่ได้ลงมาจากเวทีด้วยคือความเจ็บปวดของร่างกาย เพราะชกมวยไม่ใช่เล่นหมากเก็บ
จึงต้องเจ็บตัว ส่วนเวทีที่ ม.ฤทธิ์เต็ม ต่อยมวย ก็เป็นเวทีมวยงานวัดธรรมดาๆ
นี่แหละ ไม่ใช่ ราชดำเนิน-ลุมพินี อะไร ชกเพียงเพื่อมีรายได้ประทังความหิวเท่านั้น
ไม่ได้มุ่งหวังจะไปเป็นแชมป์อะไรที่ไหน
ในช่วงนั้น บางครั้งเขาก็ถึงกับเคยร้องไห้ ที่เห็นคนอื่นมีทุกอย่าง แต่ตัวเขาไม่มีอะไรเลย แม้แต่พ่อและแม่ แต่เขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป และหลังจากจบการศึกษาชั้น ม.ศ. 3 ก็สมัครเข้าเป็นอาสาสมัครทหารพรานทันที เขาเป็นทหารพรานอยู่หลายปี โดยถูกส่งไปทำงานปราบ ผกค. จับฝิ่น และไม้เถื่อนอยู่แถว จ. ตาก , เชียงราย , กำแพงเพชร
ม. ฤทธิ์เต็ม สนใจเรื่องเพลงและดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ โดยตอนแรก เขาร้องเพลงของสุชาติ เทียนทอง, รุ่งเพชร แหลมสิงห์ , ระพิน ภูไท แต่พอเริ่มเป็นวัยรุ่น ก็หันมาสนใจเพลงสตริง โดยเริ่มจากวงชาตรี พร้อมกับการหัดเล่นกีต้าร์ สำหรับเพลงประเภทเพื่อชีวิตนั้น เขาเริ่มสนใจตอนเป็นทหารพราน หลังจากที่ฟังเพลงชุด “ ลุงขี้เมา “ เพราะตอนอยู่ในป่ารู้สึกเหงามาก ประกอบกับมีเพื่อนทหารพรานบางคนก็ชอบคาราบาวเช่นกัน ก็เลยจับกลุ่มกันเล่นดนตรีแก้เหงา ซึ่งในช่วงนั้น เขาก็เลยพยายามหัดร้องให้เหมือนแอ็ด คาราบาว และเมื่อคิดว่าเสียงของตัวเองเหมือนแอ็ด คาราบาว ก็ทำให้เขายิ่งชอบวงนี้มากขึ้นไปอีก ก็เลยหัดร้องเรื่อยมา
ระหว่างนั้นเขาก็เริ่มหัดแต่งเพลงอยู่บ้าง ซึ่งแม้จะเป็นทหารพราน ทำหน้าที่ปราบปรามคอมมิวนิสต์ แต่ความที่เขาไม่ชอบการฆ่าฟัน ความคิดที่ว่าพวกคอมมิวนิสต์ก็มีอุดม
การณ์ อยากทำให้ชาติเจริญเช่นกัน รวมทั้งเห็นใจนักศึกษาในช่วง 14 ตุลาคม และการปรักปรำหลังจากนั้น ก็เลยทำให้หลายเพลงของเขากลายเป็นเพลงที่ออกมาในแนวสนับสนุนขบวนการเหล่านี้ไป
หลังจากที่ออกจากทหารพราน ก่อนที่จะเข้าสู่วงการ เขาก็เคยตั้งวงดนตรีเล็กๆชื่อวงดอกฝิ่น เพื่อรับจ้างตามงานบวชงานแต่งที่บ้านเกิด เพราะคิดว่าเสียงของเขาก็พอใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะเข้าสู่วงการ เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาส ไม่มีคนรู้จักในวงการ แต่ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ เช่นการพยายามแต่งเพลง และไปเรียนดนตรีเพิ่มเติม เคยพยายามเข้ามาเล่นดนตรีในเมืองใหญ่อย่างพัทยา แต่ก็ไม่ได้รับโอกาส
ม. ฤทธิ์เต็ม ที่ชื่นชอบและชื่นชม แอ๊ด คาราบาว มากเป็นพิเศษ ในที่สุด ก็ได้เข้าประ
กวดร้องเพลงในรายการ คอนเสิร์ตคอนเทสต์ รายการประกวดร้องเพลงแนววัยรุ่นชื่อดังของค่ายเจเอสแอล จนชนะเลิศในรอบแชมป์ออฟเดอะแชมป์ ด้วยเพลง พระเจ้าตากของคาราบาว โดยในวันนั้นเขามาในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบพระเจ้าตาก และร้องได้เหมือนกับแอ็ด คาราบาวอย่างมาก ทำให้กรรมการประทับใจ ในที่สุดก็เลยได้เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดของบริษัทคีตา เร็คคอร์ด ที่ก่อตั้งเมื่อเมื่อ มกราคม 2530 โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า คีตา แผ่นเสียงและเทป จำกัด และตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น คีตา เร็คคอร์ด และ คีตา เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ แต่ปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะลงจากเวทีประกวดคอนเสิร์ตคอนเทสต์ ในฐานะนักร้องชนะเลิศ แต่กว่าจะได้ออกเทปออกอัลบั้มนั้นก็ไม่ง่ายเลย เขาต้องเทียวไปเทียวมาระหว่าง กรุงเทพฯ-อุทัยธานี หลายเที่ยว เนื่องจากเขาเป็นนักร้องประเภทขายเสียง ไม่ใช่นักร้องขายรูปร่างหน้าตา ทางบริษัทจึงต้องคิดเรื่องการวางคอนเซปต์กันนานมากเป็นพิเศษ เพราะกลัวจะพลาด ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าช่วงนั้นท้อแท้ ยังไม่หมดหวัง เพราะทางบริษัทก็ไม่ได้ทิ้งไปเสียทีเดียว ยังเรียกตัวมาคุยถามสารทุกข์สุขดิบอยู่บ้าง แต่การคาราคาซังอยู่เช่นนี้ ก็ทำให้เขาหันไปทำงานอื่นไม่ได้ กลัวว่าปุ๊บปั๊บบริษัทจะเรียกตัว ทำให้ต้องนั่งใช้เงินเก่าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ถ้าครบ 2 ปีแล้วบริษัทไม่เรียกตัว เขาก็จะไปทำงานอื่น
แล้วที่สุดผลงานอัลบั้มแรกของเขาก็วางตลาดในชื่ออัลบั้มว่า ดูช้างชนกัน ที่มีเพลงเด่นมากนั่นก็คือเพลง ข้ามันลูกทุ่ง ขณะเดียวกันก็มีการปรับภาพลักษณ์ให้เขาเป็นนักร้องนุ่งกางเกงยีน เสื้อยืด แถมด้วยผ้าโพกหัว พร้อมกับชื่อแปลกๆ ว่า ม.ฤทธิ์เต็ม เจ้าตัวบอกว่า แต่เดิมจะต้องมีแจ็คเก็ตหนังด้วย แต่ต่อมาเขาทำมันหายไปเสียก่อน ก็เลยไม่ได้ใช้
ม. ฤทธิ์เต็ม มีงานเปิดตัวที่ลานจอดรถห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ในปี 2532 ซึ่งก็ปรากฏว่าถูกใจแฟนเพลงในทันที โดยทุกเพลงในอัลบั้มนี้ก็ล้วนถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนชนบท ชีวิตที่ถูกเอาเปรียบ ผ่านการสร้างสรรค์บทเพลงจากวิเชียร คำเจริญ หรือ ลพ บุรีรัตน์ และเดชา อินทาภิรัต ในผลงานชุดแรก ม.ฤทธิ์เต็ม ก็ได้พยายามนำเสนอผลงานเพลงทั่วเองแต่งไว้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับให้นำมาใส่ในงานชุดนี้
ลพ บุรีรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนเพลง ข้ามันลูกทุ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นบทเพลงประทับใจเพลงหนึ่ง ที่ยังมีคนรุ่นหลังนำไปร้องต่อกันอยู่แม้ทุกวันนี้ บอกว่านักร้องคนนี้ร้องเพลงดี แต่น่าเสียดายที่หลุดไม่พ้นเสียงและภาพของแอ๊ด คาราบาว เรื่องนี้คงทำให้ทำอะไรได้ลำบากพอดู ขณะที่เจ้าตัวก็บอกว่า ตอนที่เขาได้ออกผลงาน เสียงแบบแอ๊ด คาราบาวกลายเป็นเสียงธรรมชาติของเขาไปแล้ว โปรดิวเซอร์ก็พยายามให้เขาร้องในเสียงในแบบที่แตกต่างออกไป แต่เขาก็ทำไม่ได้
ม.ฤทธิ์เต็ม มีผลงานออกมาไม่มากนัก ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบหายไป
และเขาได้เสียชีวิตในวัยยังหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคมะเร็ง
นำเพลง ข้ามันลูกทุ่งมาให้ฟังกันครับ เพลงนี้ระบุว่า ประพันธ์โดย วิเชียร คำเจริญ หรือลพ บุรีรัตน์ แต่ ม. ฤทธิ์เต็ม บอกว่า เขาเป็นคนเริ่มแต่งเอาไว้ และมีการนำไปให้ลพ บุรีรัตน์ขัดเกลา
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=502703
|
|