ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8116
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

โชคลาง ของขลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-6-11 08:56






แทบไม่น่าเชื่อว่า ในโลกของรถยนต์ที่ "ล้ำสมัย" พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทคนานัปการ อย่างทุกวันนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องโชคลาง พุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ ที่คนรุ่นใหม่มักบอกว่า "ล้าสมัย" มาผสมผสาน แฝงตัวอยู่กับการใช้รถในชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก

มันจะแปลกอะไร ในเมื่อ "ปาฏิหาริย์" บางครั้งก็เกิดขึ้นจริงกับผู้ศรัทธา บางคนบอกว่า "ผมแขวนจตุ คาม ฯ ขับรถคว่ำหลายตลบ แต่แคล้วคลาด" "ดิฉันเปลี่ยนสีรถใหม่แล้วได้เลื่อนตำแหน่ง" "เห็นเขาดู ฤกษ์ออกรถกับเกจิดัง ใช้แล้วไม่มีปัญหา"

แต่สำหรับบางคนก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงไม่ "ศรัทธา" แต่ก็ยังขอบูชาเพียงเพื่อ "ยาใจ"

เรื่องพิเศษฉบับนี้ เรารวบรวม 4 ความเชื่อเด่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่ปัจจุบันคนไทยหลายกลุ่มกำลังนิยม และศรัทธา เราไม่บอกแน่ๆ ว่ามันถูก หรือผิด แต่จะเผยถึงที่มาที่ไป พร้อมรายละเอียดของความเชื่อ นั้นๆ อีกทั้งยังมีบทชี้แนะจากพระนักเขียนคมคิดแยบคาย นามปากกา ว. วชิรเมธี ที่เขียนให้ เพื่อแฟน "ฟอร์มูลา" โดยเฉพาะ


1. พุทธะ เทวา และเครื่องราง

คนไทย นิยม "บูชา" ทั้งพระ ทั้งเทพ และเครื่องรางของขลัง ไว้ที่หน้ารถมานานแล้ว โดยมีความเชื่อว่า จะช่วยให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ ได้ เช่น จะชนอยู่แล้วก็ไม่ชน หรือถ้าชนก็ไม่เป็น อะไร ถ้าบาดเจ็บก็ไม่ถึงตาย เป็นเหตุผลอันดับแรกๆ



พระเครื่อง


ส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะยึดเอาพระเครื่องของเกจิที่ตนเลื่อมใสศรัทธามาบูชาหน้ารถเป็นหลัก เช่น ถ้า อยู่ภาคเหนือ ก็ยึดครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อเกษม เขมโก หรือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ อยู่ภาคกลาง ก็บูชา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือหลวงพ่อ อุตตมะ วัดวังวิเวการาม อยู่อีสาน ก็บูชา หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หรือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ภาคภาคใต้ ก็บูชา หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นต้น แต่ที่ย่อยลงไปกว่านั้น หลายคนจะยึด เอาพระที่ตนศรัทธา ประจำจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน มาบูชาหน้ารถ ซึ่งถือว่าเป็นความเลื่อมใสของแต่ ละบุคคล

นอกจากพระเครื่องบูชาหน้ารถ ที่มักจะติดกาวไว้กับแผงคอนโซล (ซึ่งอันตราย เพราะเมื่อรถเบรค หรือ ชนแรงๆ อาจหลุดกระเด็นมากระแทกคนในรถบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้) ก็ยังมีวิธีการบูชาอีก หลายแบบ เช่น สติคเกอร์ติดกระจกรถ หรือคาร์ดรูปพระเกจิ (ที่มักเหน็บไว้ตรงแผงบังแดด)



เทวา หน้ารถ

จตุคามรามเทพ เจ้าของปาฏิหาริย์ การสร้างมากกว่า 100 ล้านแว่น (หน่วยเป็นแว่น เพราะมีทรงกลม) ทำยอดเงินสะพัดราว 10,000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี มีโฮมเพจที่เกี่ยวข้องถึง 2,610,000 รายชื่อ ยอด เงินระดับนี้ ไม่เคยมีพระเครื่อง หรือเครื่องรางใดๆ ทำได้มาก่อน

แต่ปาฏิหาริย์ ของจตุคาม ฯ ที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ การสร้างกระแสความศรัทธา และวัฒนธรรมการ แขวนพระเครื่อง และเครื่องรางที่มักจะซ่อนไว้ภายใต้เสื้อ เปลี่ยนมาเป็นการแขวนนอกเสื้อคล้ายเครื่อง ประดับชิ้นหนึ่ง

สำหรับรถยนต์ หลายคนนำไปบูชา ห้อยไว้กับกระจกมองหลังแทนที่ หรือร่วมกับพระเครื่อง และเครื่อง รางของขลังอื่นๆ แต่ผู้สร้างจตุคาม ฯ ก็ยังตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ด้วยการสร้างจตุคาม ฯ แบบเล็กๆ ไว้บูชาหน้ารถ เหมือนพระเครื่อง เปี๊ยบ



แม้วันนี้กระแสจตุคาม ฯ จะเริ่มอ่อนแรงลง เนื่องจากเหตุผลของจำนวนการผลิตที่มากกว่าผู้บูชา และ คุณภาพไม่เข้าขั้นแบบที่นักเลงพระพูดกันว่า "พิมพ์สวย มวลสารดี พิธีขลัง เกจิดัง วัตถุประสงค์ชัด เจน" จนทำให้ต้องเลหลังขายแว่นละ 5-10 บาท ก็ตาม แต่สำหรับ จตุคาม ฯ ที่เข้าขั้น กับใจที่ มีศรัทธา ก็อาจทำให้เกิดสิ่งดีๆ แก่ผู้บูชาก็เป็นได้ โดยเฉพาะ จตุคาม ฯ สำหรับบูชาในรถ ที่นิยมผลิต ออกมาตามหลังจตุคาม ฯ ทรงกลมยอดฮิทนานพอสมควร วันนี้จึงยังเพิ่งเริ่มเป็นที่ศรัทธาของคนรักรถ และรักจตุคาม ฯ เป็นที่สุด




เครื่องราง

นอกจาก 2 สิ่งบูชาที่ว่ามา เครื่องราง ของขลัง ที่เป็นความเชื่อ และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนไทยมาช้านาน ยังมักถูกนำไปบูชาในรถ ส่วนใหญ่ที่มีกัน ก็มักเป็น ผ้ายันต์ ลูกประคำ และสายสิญจน์ของพระที่แต่ละคนเคารพ ที่นิยมอีกอย่าง ก็คือ การเจิมรถใหม่ โดยใช้แป้งดินสอพองละลายน้ำ ตำแหน่งที่นิยมในรถก็จะเป็น พวงมาลัย และเพดาน ภายนอกมักจะเป็นฝากระโปรงหน้า มีเจิมห้องเครื่องด้วย เช่น บนฝาสูบ พระบางรูปเจิมที่แบทเตอรีให้ด้วย

ส่วนถ้าเป็นเครื่องรางขั้นสูงหน่อยก็ เช่น "หนังประกำ" คือ เชือกที่ใช้ในพิธีคล้องช้าง ขับไล่ภูตผี และ อำนาจคุณไสยได้ "ตะกรุด" ช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน "เสืองาช้าง" ช่วยเสริมอำนาจ และสร้างบารมีปก ครองบริวาร "เล็บเสือ" ช่วยปกป้องอันตรายจากภูตผีปีศาจ และ "เขี้ยวหมูตัน" เสริมพลังอำนาจ ไปตี ความกันต่อเองว่าจะช่วยท่านได้เรื่องใดบ้าง

ความเชื่อของต่างชาติ

ที่จริงทั้งเทพ และเครื่องรางไม่ใช่แก่นแท้ของชาวพุทธ แต่ฉันใดก็ฉันนั้น ศาสนาอื่นก็มีเครื่องรางที่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสนา แต่ก็มักนำมาบูชาไว้กับรถเช่นกัน

ชาวคริสต์ ไม่ค่อยมีเครื่องรางมากมายเท่าไร ที่ใช้บูชาในรถทั่วไป ก็คือ สัญลักษณ์ไม้กางเขน แต่ที่นิยม น้อยลงไปหน่อย ก็คือ บลัด สโตน (BLOOD STONE) เป็นหินที่ชาวคริสต์ศรัทธามาก เพราะเชื่อว่าสี แดงที่แทรกอยู่ในหิน คือ เลือดของพระเยซูขณะถูกตรึงกางเขน ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันปีศาจร้าย

ชาวฮินดู ที่เพิ่งเลิกฮิทไปไม่นานในบ้านเรา คือ หินทิเบต นำมาจากภูเขาหิมาลัย ทั้งในบริเวณเทือกเขา และบริเวณโดยรอบภูเขาหิมาลัย ชาวฮินดูเชื่อว่า ภูเขาหิมาลัย เป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพทั้งปวง หิน ทิเบตจึงกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ นอกจากแขวนคอ หรือทำเป็นกำไลแล้ว หลายคนยังนำมาบูชาในรถ

ส่วนชาวอิสลาม ไม่มีเครื่อง รางหรือเทวรูปบูชาใดๆ ในรถ เพราะศาสนาสอนไม่ให้ทำเช่นนั้น


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

2. สี ถูกใจ แต่อาจไม่ถูกโฉลก

รถมีหลายสี แต่ละสีมีความหมายแตกต่างกันไป แต่ที่สำคัญ หลายตำรามักจะผูกเอาเรื่องวันเกิดเข้า มาร่วมพิจารณาด้วยว่า "ถูกโฉลก" หรือ "เสริมดวง" กับเจ้าของรถหรือเปล่า ดูตัวอย่างตามนี้ก็ได้




คนเกิดวันอาทิตย์

สีมงคล ควรเป็นสีชมพู สีชมพูอมส้ม เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเขียวเป็นสีแห่งโชคลาภเงิน ทอง หรือสีดำ สีเทา สีควันบุหรี่เป็นสีของมนตรี มีผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีต้องห้าม คือ สีฟ้า สีน้ำเงิน



คนเกิดวันจันทร์

มงคล ควรเป็นสีเขียว หรือสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีม่วงเป็นสีแห่งโชคลาภเงิน ทอง หรือสีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีต้องห้าม คือ สีแดง



คนเกิดวันอังคาร

สีมงคล ควรเป็นสีดำ หรือสีม่วง เพราะเป็นเดช อำนาจ สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทองเป็นสีแห่งโชค ลาภ หรือสีแดงเป็นสีของมนตรี มีผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีต้องห้าม คือ สีบรอนซ์เงิน สีขาว สีเหลืองอ่อน



คนเกิดวันพุธ

(กลางวัน) สีมงคล ควรเป็นสีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นเดช อำนาจ สีดำ สีเทาเป็นสีแห่งโชคลาภ หรือสีขาว สีบรอนซ์ทอง สีเหลืองอ่อนเป็นสีของมนตรี มีผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีต้องห้าม คือ สีชมพู สีชมพูอมส้ม

(กลางคืน) สีมงคล ควรเป็นสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ สีขาว สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเป็นสีแห่งโชคลาภ หรือสีดำ สีม่วงเป็นสีของมนตรี มีผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีที่ต้องห้าม คือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์เงิน สีแสด



คนเกิดวันพฤหัสบดี

สีมงคล ควรเป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีแดงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีเขียวเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีที่ต้องห้าม คือ สีดำ สีม่วง



คนเกิดวันศุกร์

สีมงคล ควรเป็นสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเพราะเป็นเดช อำนาจ สีชมพู และสีชมพูอมส้ม เป็นสีแห่งโชคลาภ หรือสีแสด สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง เป็นสีของมนตรี มีผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีที่ต้อง ห้าม คือ สีเทา สีดำ สีควันบุหรี่



คนเกิดวันเสาร์

สีมงคล ควรเป็นสีเทา สีดำ เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีชมพู สีชมพูอมส้ม เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี สีที่ต้องห้าม คือ สี เขียว





สีรถถูกโฉลก ตามตัวอย่างนี้ ไม่ได้มีการผูกดวงของเจ้าของรถจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่น่าจะเป็นหลักการก ว้างๆ โดยใช้หลักของโหราศาสตร์ แต่ถ้าจะผูกดวงกันจริงๆ โหราจารย์หลายสำนักก็สามารถคำนวณให้ละเอียดได้มากขึ้น



เราคิดว่า ถ้าใครมีความเชื่อเรื่องนี้ แล้วกำลังจะซื้อรถ ก็ลองพิจารณาดู ถ้าสีถูกโฉลกตรงกับที่ชอบพอดี ก็เลือกไปเลย แต่ถ้าไม่ตรงขึ้นมา บางคนยอมแพ้ตำรา ซื้อรถสีที่ไม่ชอบใจไปขับ แต่ถ้าคนที่ยอมแพ้ใจ ตัวเอง ซื้อรถสีที่ตัวเองชอบแทนสีตามตำรา หรือมีขับอยู่แล้ว แต่สีไม่ตรงตามตำรา เขาก็มีวิธีแก้ เช่น เอารถไปติดสติคเกอร์ประโยคที่ว่า "รถคันนี้สี..." (สีตามที่ตนเองถูกโฉลก)




หรือละเอียดกว่านั้น ยังมีวิธีแก้เคล็ด โดยให้หาสติคเกอร์สีที่ถูกโฉลกของวันเกิดของเจ้าของรถ ตัด เป็นประโยคว่า "คนเกิดวันอาทิตย์ มีสี... เป็นศรี" เมื่อได้สีนั้นมาแล้ว ให้ตัดสติคเกอร์ให้ได้ ขนาด 2x2 นิ้ว จำนวน 4 แผ่น แล้วเอาไปติดที่กลางกระโปรงหน้า/กระโปรงหลัง/ประตูหน้า ซ้าย/ขวา ดูเปรอะไปหน่อย แต่ตำราว่าพอแก้ได้

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
3. เรื่องยุ่งๆ ของตัวเลข


เรื่องนี้มันเริ่มตั้งแต่เลขทะเบียนแล้ว เพราะด้วยความเชื่อเรื่องนี้ จึงทำให้เกิดการจ่ายเงินซื้อ ป้ายทะเบียน จนภายหลังกรมการขนส่งทางบกต้องจัดประมูลป้าย หารายได้เข้ากองทุนเพื่อ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง



นักโหราศาสตร์หลายๆ คน กล่าวว่าเลขทะเบียนรถจะมีอำนาจ และมีอิทธิพลบางอย่าง ซึ่ง ก่อให้เกิดผลโดยตรงแก่เจ้าของ หรือผู้ขับขี่ แต่บางคนก็แค่ต้องการทะเบียนรถสวยๆ เพื่อ แสดงถึงฐานะของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อทางโชครางแม้แต่น้อย (แม้แต่จะเอาเลข ทะเบียนสวยๆ ไปใบหวยก็เถอะ)



ในทางโหราศาสตร์ไทย จะถือว่าตัวเลข คือ ดาวพระเคราะห์ ถ้าเราทราบความหมายของดาว พระเคราะห์ เราก็จะทราบความหมายของเลขตัวนั้นด้วย คือ 1 อาทิตย์ 2 จันทร์ 3 อังคาร 4 พุธ 5 พฤหัส 6 ศุกร์ 7 เสาร์ 8 ราหู 9 พระเกตุ และ 0 มฤตยู



เลข 3, 7 และ 0 ถือเป็นเลขร้าย เมื่อนำมาตีความหมาย 3 จะหมายถึง การทะเลาะเบาะแว้ง 7 คือ ความทุกข์ยาก 0 คือ อุบัติเหตุ ความสูญเสียต่างๆ บางตำรามองว่า เลข 8 ก็เป็นเลขที่ ร้ายเช่นกัน เพราะหมายถึง ราหู



แต่บางตำราที่อิงตะวันตกเชื่อว่า เลข 8 เป็นเลขแห่งความร่ำรวย จึงเป็นเลขที่ได้รับความ นิยมอย่างมากในต่างประเทศ หรือคนไทยหัวฝรั่ง แต่ถ้าเป็นคนไทยเชื้อสายจีนบางคน จะไม่ ชอบเลข 4 เพราะออกเสียงใกล้เคียงกับ "ซี้แหงแก๋" แต่จะชอบเลข 8 เหมือนฝรั่ง แต่เพราะ เป็นเลขมงคลของจีน เหมือนการชอบปลูกต้นโป๊ยเซียนไว้ในบ้านนั่นแหละ




ส่วนเลขอื่นๆ นั้น มีความหมาย คือ


1 หมายถึง ความเป็นใหญ่ และชื่อเสียง 2 หมายถึง ความมีเสน่ห์ คล่องแคล่ว และค้าขายเจริญ 4 หมายถึง การเจรจาติดต่อทั่วไปดี 5 หมายถึง ความมีศีล และคุณธรรม 6 หมายถึง เงินทอง และความสวยงาม 9 หมายถึง การเดินทางไกล ชีพจรลงเท้า อยู่ไม่ติดที่

ใครชอบเลขไหน หรืออยากให้ชีวิตเป็นเหมือนเลขไหนก็ไปประมูลกันได้ที่กรมการขนส่งทางบก



ที่ซับซ้อนกว่านั้น จะต้องมีวิธีพยากรณ์ โดยการนำตัวเลขทุกตัวของทะเบียนรถมารวมกัน บวกให้เหลือแค่ 2 จำนวน จะพยากรณ์ลักษณะของเจ้าของยานพาหนะ แต่เมื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว จะหมายถึงลักษณะเฉพาะของยานพาหนะ เช่น ทะเบียน XX 4449 จะได้ 4+4+4+9 = 21 บอกลักษณะเจ้าของ ให้อ่านคำทำนายที่ 21 แต่หากจะทราบลักษณะเฉพาะของยานพาหนะ ให้นำ 2+1 จะได้ 3 จากนั้นก็อ่านคำทำนายที่ 3 ได้ผลออกมาว่า



เลข 21 ลักษณะเจ้าของเป็นคนขับขี่หวาดเสียว ชอบแซงซ้ายแซงขวา ขึ้นหน้าผู้อื่น เฉี่ยวชน บ่อยเลข 3 รถมักเฉี่ยวชนบ่อย มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง



บอกตรงๆ ว่า เลขทะเบียนตัวอย่างข้างบน เป็นเลขทะเบียนรถคันหนึ่งของกองบรรณาธิการ เอง ซึ่งคำพยากรณ์ตามตำรา กับลักษณะการขับขี่จริงๆ ของเจ้าของรถ สวนทางกันสิ้นเชิง แต่กลับมาสอดคล้องกัน ที่ลักษณะเจ้าของ-กับคำพยากรณ์ของรถ จึงน่าจะเป็นเรื่องของการ คำนวณทางสถิติ เพื่อพยายามให้คำทำนายตรงกันมากกว่า



ด้วยการพยากรณ์ลักษณะนี้จึงเกิดความเชื่อ เช่น การปิดทองคำเปลวทับลงบนตัวเลขที่ไม่ดี หรือถ้านำมาคำนวณกันแล้วออกมาไม่ดี เพราะถ้าปิดทับแล้วจะหมายถึงเลขนั้นเป็นโมฆะ ผล ของการคำนวณจะเปลี่ยนเป็นอื่นทันที


เราไม่อาจแสดงความหมายของเลขทั้งหมดลงในบทความนี้ได้ (เพราะมีคำทำนายถึง 45 ข้อ ความ) แต่ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มเติม ให้พิมพ์คีย์เวิร์ด คำว่า "ป้ายทะเบียน" กับ "พยากรณ์" ในเสิร์ชเอนจิน ทางอินเตอร์เนท ตำราพยากรณ์นี้เป็นที่นิยมมาก จะมีให้เห็นในหลายเวบ ไซท์ ลองไปคำนวณเล่นๆ กันดูได้


อยากได้เลขสวย ไปประมูลที่กรมขนส่ง ฯ


กรมการขนส่งทางบก มีการประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ ด้วยราคาเริ่มต้นแค่ 1,000 บาท แถมมีให้เลือกถึง 301 หมายเลข รายได้ทั้งหมดส่งเข้า "กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้ รถใช้ถนน" ใครอยากได้ป้ายสวยเลขเป็นมงคล ไปลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ก่อนได้ทุกวันเวลา ราชการ ที่อาคาร 2 ชั้น 5 กรมการขนส่งทางบก หรือทางอินเตอร์เนท ที่ www.tabienrodauction.com เจ้าหน้าที่กรม ฯ จะแจ้งคุณกลับมาทีหลังว่าจะจัดประมูลกันวันไหน (ประมาณเดือนละครั้ง)



เลขเด็ด และเลขดับ ของต่างชาติ




คนยุโรป ชอบป้ายทะเบียนที่มีเลข 7 เพราะเชื่อว่าเป็นเลขให้โชคลาภ ศักดิ์สิทธิ์ และมีอำนาจ พิเศษ เหมือนกับความเชื่อของ คนญี่ปุ่น ที่ถือว่าเลข 7 เป็นเลขมงคล เพราะประเทศญี่ปุ่น มีประเพณีกินสมุน ไพร 7 ชนิด เชื่อกันว่าทำให้สุขภาพดี

ชาวจีน นอกจากเลข 8 แล้วยังชอบป้ายทะเบียนที่มีเลข 6 เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความ ราบรื่น แถมมักจะออกรถในวันที่มีเลข 6 เป็นวันมงคล เช่น วันที่ 6, 16 และ 26 เพื่อเป็น เคล็ดให้ใช้รถได้อย่างราบรื่น ไม่เสีย ไม่ชนง่ายๆ

เลขดับ

ชาวญี่ปุ่น ถือว่าเลข 9 เป็นเลขไม่ดี มีความหมายถึงความยากลำบาก โดยเลข 9 ในภาษา ญี่ปุ่นอ่าน ออกเสียงว่า คุ ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่หมายถึง ความยากลำบากในภาษาญี่ปุ่น

เลขที่คนญี่ปุ่นเห็นแล้วส่ายหน้ารองจากเลข 9 คือ เลข 4 เนื่องจาก 4 ในภาษาญี่ปุ่น อ่าน ออกเสียงว่า ชิ พ้องเสียงกับคำที่แปลว่าความตาย จึงทำให้ห้องตามอพาร์ทเมนท์ ในญี่ปุ่น จะข้ามเลข 4 ไปเลย รถที่ใช้กันก็ไม่มีใครอยากได้ป้ายทะเบียนที่มีเลข 4

คนอังกฤษ คือ เลข 6 เชื่อกันว่า เป็นเลขอาถรรพณ์ เลขแห่งซาตาน รวมทั้งเวลาออกเสียง แล้วไม่เป็นมงคลเพราะเลข 6 ออกเสียงแล้วพ้องกับคำว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ในภาษาอังกฤษ (ซิกซ์) ใช้แล้วรถอาจเสียบ่อย



แปะทอง โมฆะเลขดับ


ทะเบียน XX 4449 ที่ยกตัวอย่าง คำทำนายออกมาไม่เวิร์ค แต่ถ้าใช้ความเชื่อเอาทองคำเปลว แปะทับ เลข 4 ไป 2 ตัว จะได้ 4+9 = 13 บอกลักษณะเจ้าของว่าเป็น นักพูดโฆษก นักเขียน ทำงานเกี่ยวกับการสื่อสาร ลักษณะเฉพาะของยานพาหนะก็กลายเป็น 1+3 จะได้ผลออกมา ว่า รถคันนี้คนขับพูดเก่ง ในรถมีกระดาษเอกสารต่างๆ มีของรับประทานได้ มีเสื้อผ้าของใช้ หลายอย่าง ตรงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ดีขึ้นเห็นๆ


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
4. วัน เวลา มีค่ายิ่ง

ฤกษ์งามยามดี เป็นคำที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน บางครั้งก็เป็นการพูดเปรียบเปรย

แต่การ ซื้อรถ โดยเฉพาะการออกรถ คนไทยยังคำนึงถึงการ "ดูฤกษ์ยาม" ให้งาม และดีอยู่เสมอ

ส่วนใหญ่แล้ว คนที่เชื่อเรื่องทางนี้ ถ้าใครจะซื้อรถ ก็จะไปหาพระ หรือหมอดูที่ตนศรัทธา

เพื่อคำนวณดวงกับวันเวลาว่าจะไปรับรถได้เหมาะสมที่สุดวันไหน ช่วงเวลาไหน แต่บางตำรา

ก็เป็นหลักการทั่วไป แบบง่ายๆ รายละเอียดไม่มาก เช่น


1. ออกรถวันอาทิตย์ มักจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ

2. ออกรถวันจันทร์ มักจะโชคดีได้ลาภเสมอ

3. ออกรถวันอังคาร มักจะมีปัญหาเงินทอง หรืออุบัติเหตุ

4. ออกรถวันพุธ มักจะมีปัญหาเงินทอง

5. ออกรถวันพฤหัสบดี มักจะทำการงานติดขัด

6. ออกรถวันศุกร์ มักจะโชคดีได้ลาภ

7. ออกรถวันเสาร์ มักจะพบเจอแต่อุบัติเหตุ

8. ออกรถวันพระ มักจะเจ็บป่วย



เวลามงคลในการออกรถก็มี



1. วันอาทิตย์ 06:09-08:29 น. หรือ 13:39-14:59 น. จึงจะดี

2. วันจันทร์ 09:39-10:00 น. หรือ 16:39-17:49 น. จึงจะดี

3. วันอังคาร 11:09-12:59 น. จึงจะดี

4. วันพุธ 08:59-10:59 น. หรือ 13:39-14:59 น. จึงจะดี

5. วันพฤหัสบดี 10:39-11:00 น. จึงจะดี

6. วันศุกร์ 06:39-08:59 น. หรือ 13:39-14:59 น. จึงจะดี



ส่วนวันเสาร์ตำราท่านไม่ได้ว่าไว้ แต่บางคนก็ไม่สนใจ ถือ "ฤกษ์สะดวก" เป็นหลัก รถก็ใช้ได้ดี ไม่เคยมีปัญหา

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-6-11 08:49

ทัศนะ ว. วชิรเมธี







พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี อายุ 34 ปี บรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่ วัดครึ่งใต้ อ.เชียงของ จ.เชียงราย จบเปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี 2543 จากสำนักวัดเบญ จมบพิตรดุสิตวนาราม และ ศึกษาศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จบ พุทธ ศาสนามหาบัณฑิต ในปี 2546 จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปัจจุบันเป็น นักเขียนพอคเกทบุคเกี่ยวกับธรรมะ ที่อ่านง่าย และสนุกที่สุด ทั้งยังเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายวิชาการทางพระพุทธศาสนาให้กับหน่วยงานหลายแห่ง ทั้งภาครัฐบาล และเอกชน



ขับขี่อย่างไรให้เป็นมงคล ?


ธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังคงเป็นปุถุชนนั้นมีอยู่หลายประการ


ธรรมชาติพื้นฐานประการหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ มนุษย์ปุถุชนล้วนต้องการ "ความอบอุ่น มั่นใจ" ในการดำเนินชีวิต


ปุถุชนที่มีปัญญามาก มักจะสามารถสร้างความอบอุ่นมั่นใจในการดำเนินชีวิตขึ้นมาได้ด้วย การมีระบบเหตุผลที่ลึกซึ้ง


ปุถุชนที่มีปัญญาสูงสุด มักจะสามารถสร้างความอบอุ่นมั่นใจในการดำเนินชีวิตขึ้นมาได้ด้วย การค้นพบสัจธรรมที่แท้ และยึดเอา


สัจธรรมนั้นเป็นที่พึ่งอันอุดม ซึ่งสามารถให้ความอบอุ่น มั่นใจในการดำเนินชีวิตแก่ตนไปโดยตลอด



ส่วนปุถุชนแท้ๆ ร้อยเปอร์เซนต์นั้น มักจะมองหาความอบอุ่นมั่นใจในการดำเนินชีวิตจาก "วัตถุ" หรือบางทีก็จาก "บุคคล" ที่ตนเคารพนับถือ ศรัทธา


ในโลกนี้ ปุถุชนแท้ๆ ที่ยังคงดำเนินชีวิตคลุกคลีอยู่ท่ามกลางกระแสกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ ประชากรส่วนใหญ่ของชาวโลก


ปุถุชนแท้ๆ ที่ยังคงเวียนว่ายอยู่ในโลภ โกรธ หลง โดยมากมักแสวงหาความอบอุ่นมั่นใจใน การดำเนินชีวิตจาก "วัตถุ" และ "บุคคล" มากกว่ามองหาเหตุผลหรือสัจธรรมอันลึกซึ้งสูงสุด



ที่มองหาวัตถุและบุคคล เนื่องเพราะวัตถุและบุคคลนั้น เห็นง่าย จับต้องได้ และเป็น สัญลักษณ์ของความอบอุ่นมั่นใจที่เป็นรูปธรรมชัดเจน


จากธรรมชาติพื้นฐานที่ว่า ปุถุชนมักฝากชีวิตของตนไว้กับวัตถุ (มงคล) และบุคคล (ที่ตน เคารพศรัทธา) ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อปุถุชนคนทั่วไป ต้องการอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิต เป็นสิริมงคล พวกเขาจึงมักมองหา "วัตถุมงคล" และ "บุคคลที่เป็นมงคล" มาไว้ใกล้ๆ ตัว



ครั้นมีวัตถุมงคล และบุคคลที่เป็นมงคลอยู่ใกล้ๆ ตัว เพื่อให้เกิดความอบอุ่นมั่นใจแล้ว วัน หนึ่ง เมื่อพวกเขาเริ่ม "มี" บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเพิ่มขึ้น และอยากให้ "บางสิ่งบางอย่าง" นั้น เป็นสิ่งที่อุดมด้วยสิริมงคลขึ้นมาบ้าง วัตถุมงคลและบุคคลที่เป็นมงคลเหล่านั้น จึงถูก อัญเชิญให้ไปสถิตอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขา "มี" หรือที่พวกเขา "เป็นเจ้าของ" เช่น บ้าน รถ สำนักงาน ที่ดิน อาคารสถานที่ เป็นต้น

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในกรณีของรถยนต์..



ซึ่งเป็นสมบัติที่ใครๆ ก็อยากมี ก็เช่นกัน เมื่อคนไทยซื้อรถยนต์มาขับ สักคันหนึ่ง วูบแรกที่พวกเขาคิดพร้อมๆ กับการอยากมีรถก็คือ เจ้าของรถมักคิดว่า จะพา รถไปเจิมที่วัดไหน กับหลวงพ่อชื่ออะไร และจะอัญเชิญวัตถุมงคลอะไรมาไว้ประจำรถบ้าง

ไม่น่าเชื่อว่า "รถยนต์" กับ "พระ" จะมาบรรจบกันได้

พลันที่ปุถุชนคนไทยส่วนใหญ่ซื้อรถ พวกเขามักคิดถึงพระ และมักจะขับรถไปให้พระท่าน เจิม เมื่อเจิมแล้วก็มักจะขอ "ของดี" ไว้ประดับรถเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย

ของดีที่ว่านั้นก็เช่น ด้ายมงคล (ผูกไว้ที่พวงมาลัย) พระเครื่อง (ติดไว้ที่ไหนสักแห่งในรถซึ่ง เห็นชัดๆ เวลาขับรถ) หรือบางทีก็ผ้ายันต์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้องให้พระท่านเจิม "ยันต์" พร้อมกับรดน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

ผู้เขียนเคยเจิมรถ เคยรดน้ำพระพุทธมนต์ให้รถและคนขับ และก็เคยมีคนโทรศัพท์มาบอก ว่า รถที่ผู้เขียนเจิมให้นั้น เขาขับไปชนรั้วบ้านเรียบร้อยแล้วในวันที่เจิมนั้นเอง เขาถามผู้ เขียนว่า ทำไมน้ำพุทธมนต์ไม่ขลัง และยันต์ที่เจิมให้ไม่ช่วยอะไรเลย



ผู้เขียนตอบว่า...


น้ำพระพุทธมนต์ที่รดให้ก็เพื่อช่วยให้คุณ (คนขับ) มีความรู้สึกแช่มชื่นเบิก บาน

จิตใจจะได้เป็นบุญเป็นกุศล ส่วนยันต์ที่เจิมให้นั้นก็เพื่อจะเป็น "อนุสติ"

คอยเตือนว่า ทุกครั้งที่นั่งรถ หากเห็นยันต์ก็จงบอกตัวเองอยู่เสมอว่า "จงอย่าประมาท"




วัตถุมงคลและบุคคลที่เป็นมงคลซึ่งเคยนั่งรถของคุณนั้น แท้ที่จริง ไม่สามารถป้องกัน ภยันตรายได้โดยอัตโนมัติหรอก หากแต่สามารถป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุได้โดยอ้อม นั่นคือ วัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง หรือผ้ายันต์เป็นต้น จะทำหน้าที่คอยเตือนคนขับรถให้ "เกิดสติ" ทุกครั้งที่ขึ้นนั่งอยู่ในรถและเริ่มขับรถต่างหาก



หากใครก็ตาม ขับรถแล้วประมาท ต่อให้ติดยันต์ไว้เต็มคันรถ พกพระเครื่องอีกนับร้อยองค์ หรือบางทีมีหลวงพ่อตัวเป็นๆ นั่งไปด้วย แต่เชื่อเถิด หากประมาทเสียอย่างเดียว วัตถุ มงคลเหล่านั้นก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย








หลวงพ่อคูณเคยถูกนักข่าวสัมภาษณ์ว่า...


มีคนนิยมแขวนรูป ตะกรุด และผ้ายันต์หลวงพ่อใน รถมากมาย

หลวงพ่อเชื่อไหมว่า จะทำให้คนขับแคล้วคลาดจากอันตรายได้จริงๆ???



หลวงพ่อ คูณยิ้มอย่างมีเมตตาก่อนตอบว่า..



"อย่าว่าแต่ยันต์เลย ต่อให้กูนั่งไปด้วย

ถ้าเอ็งขับเกิน 100 เมื่อไหร่ กูก็โดดลงก่อนเอ็งอยู่ดี"




บทสัมภาษณ์นี้ สะท้อนความจริงว่า สุดยอดพระเกจิอย่างหลวงพ่อคูณก็ต้องการเตือนคน ไทยที่ชอบสะสมวัตถุมงคลไว้ในรถว่า ความไม่ประมาทต่างหาก คือ วัตถุมงคลเครื่องคุ้ม ภัยที่แท้จริง


วัตถุมงคล ยันต์ พระเครื่องที่คนขับรถชอบพกกันนั้น จะคุ้มภัยได้จริงก็ต่อเมื่อทุกครั้งที่เรา ขับรถ แล้วเหลือบมองวัตถุมงคลเหล่านั้น พร้อมกับการ



"ตั้งสติ" ก่อน "สตาร์ท" ด้วยการ บอกตัวเองว่า..



"ลูกจะขับรถอย่างมีสติ"



หากทำอย่างนี้ได้ทุกครั้ง วัตถุมงคล จะนำมาซึ่ง มงคลอย่างแท้จริงแก่ผู้ขับขี่รถอย่างแน่นอน



ส่วนที่ผู้มีวัตถุมงคลเต็มคันรถ แล้วขับรถด้วยความประมาทขาดสติ ก็ขอให้จำคำของหลวง พ่อคูณเอาไว้ให้ดี ก็ขนาดพระเกจิเจ้าของผ้ายันต์ยังกลัวตาย แล้วคุณเป็นใครจึงไม่รักชีวิต


มงคลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคล หากแต่อยู่ที่
"ใจ" อันเป็นมงคล และมือเท้าที่ถูกกำกับ ด้วยสติขณะขับรถนั่นต่างหาก

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 08:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กล่าวให้สั้นที่สุด..



"หนึ่งสมอง–สองมือ–สองเท้า และ สติ"

ของคนขับรถต่างหาก คือ รากฐาน ของมงคลที่แท้จริง



เมื่อไหร่ก็ตามที่สมองกำลังมึน มืออ่อนแรง สองเท้าตุปัดตุเป๋ และสติขาดเป็นช่วงๆ

ทางที่ ดีคนมีรถไม่ควรขับรถ และโปรดอย่าฝืนขับเพราะวางใจว่า มี "ของดี"

ไว้คอยคุ้มครอง โปรด รู้ไว้เถิดว่า "ของดี" นั้น คุ้มครองก็เฉพาะ "คนดี"

(เท่ากับมีสติ) เท่านั้น และมงคลที่แท้ไม่ได้ อยู่ที่ "ของ" หากแต่อยู่ที่ "ใจ"

ซึ่งรู้จักใช้ "ของ" เหล่านั้นมา "เตือนสติ" ตัวเองไว้ไม่ให้

ประมาทนั่นต่างหาก



ที่มา..http://www.autoinfo.co.th
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
  ขอบคุณคร๊าบ  
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้