ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2864
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ราหู......โอสถอมฤต......สนามบินสุวรรณภูมิ

[คัดลอกลิงก์]
ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปต่างประเทศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ อดไม่ได้ที่ต้องถ่ายรูป "พิธีกวนน้ำอมฤต" (Churning the sea of milk) เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางมักถามผมว่า "ทำไมต้องมีสิ่งนี้" ที่สนามบินของเรา.....ผมก็ต้องอธิบายแบบฉายหนังซ้ำเรื่องเดิมทุกครั้ง.....เพื่อให้ท่านผู้สนใจได้ทราบที่มาที่ไปของการติดตั้งพิธีกวนน้ำอมฤต....ช่วงเดือนเมษายน 2557 ผมกับภรรยาต้องมาอยู่ที่อเมริกาเพื่อเยี่ยมลูกและหลาน เผอิญเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2557 เกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง" มองเห็นได้เฉพาะทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ (เมืองไทยไม่เห็น) ผมจึงได้ฤกษ์เขียนเรื่องนี้สักที.......

รูปปั้นขนาดใหญ่ "พิธีกวนน้ำอมฤต" ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสิ่งสะดุดตาต่อผู้โดยสารจำนวนมากทุกคนต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


คืนวันที่ 14 เมษายน ต่อเนื่องถึงตีสี่ของวันที่ 15 เมษายน 2557 เกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง" มองเห็นได้แบบจะจะเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ เท่านั้น ส่วนประเทศในเอเซียแถบมหาสมุทรแปซิฟิกอาจเห็นเป็นบางส่วน แต่ประเทศไทยไม่เห็นแม้แต่เงา

ผมอยู่ที่บ้านในเมือง Broken Arrow รัฐ Oklahoma USA จึงเห็นปรากฏการณ์นี้แบบจัดเต็ม


ผมยอมทนหนาวชนิดอุณหภูมิติดลบออกไปยืนถ่ายรูปปรากฏการณ์นี้คนเดียวท่ามกลางความมืด


ตอนหัวค่ำพระจันทร์ยังเต็มดวงผมถือโอกาสถ่ายรูป "ดาวอังคาร" ที่เข้ามาใกล้โลกไปพลางๆก่อนดีกว่าอยู่เปล่าๆ


กราฟิกแสดงการเกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง"

เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลก (Umbra) แสงสะท้อนจากโลก (Earthshine) ทำให้มองเห็นดวงจันทร์เป็นสีเลือด


ภาพกราฟิกแสดงเฟสต่างๆของการเกิดจันทรุปราคราเต็มดวง คืนวันที่ 15 เมษายน 2557 มุมมองจากรัฐโอคลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-7 17:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ราหู.....กับน้ำอมฤต.....เกี่ยวข้องกันอย่างไร
          ฟังดูแล้วสองเรื่องนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกัน....แต่ถ้าย้อนไปดูตำนานอินเดียโบราณราหูกับน้ำอมฤตเป็นเรื่องเดียวกัน ผมจะเล่าให้ฟังดังนี้ครับ
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว "พระอินทร์" ทรงช้างเอราวันเดินเที่ยวไปตามเส้นทางและได้พบกับฤาษีชื่อ "ดูวาสะ" ท่านฤาษีมีความดีใจที่ได้พบกับพระอินทร์จึงถวายช่อดอกไม้ให้ พระอินทร์รับช่อดอกไม้และวางไว้บนงวงช้างเอราวันแต่ไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นช้างเอราวันสบัดช่อดอกไม้ตกลงพื้นดิน ฤาษีดูวาสะโกรธพระอินทร์อย่างมากเพราะถือว่าดูถูกกันอย่างแรง จึงสาปแช่งพระอินทร์ให้เสื่อมอำนาจและฤทธิ์เดชทั้งมวลคำสาปนี้ยังลามปามไปถึงทวยเทพทั้งหลายในสวรรค์ คำสาปของท่านฤาษีมีผลให้บรรดาทวยเทพทั้งหลายอ่อนล้าในฤทธิ์เดชเมื่อต่อสู้กับเหล่าอสูรครั้งใดก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปบรรดาเทพจะยิ่งตกที่นั่งลำบากมากขึ้น จึงพร้อมใจกันไปปรึกษาพระวิศนุว่าจะแก้ไขอย่างไร พระวิศนุพิจารณาแล้วมีความเห็นว่าทวยเทพเหล่านี้ต้องไปหา "น้ำอมฤต" มาดื่มให้กลับคืนสภาพเดิม แต่การจะได้น้ำอมฤตต้องไปกวนทะเลน้ำนมโดยใช้ "ภูเขามันทาระ" เป็นอุปกรณ์ และใช้พญานาค "วาสุกรี" เป็นเชือกพันรอบๆเพื่อดึงให้ภูเขามันทาระหมุน เมื่อจะเริ่มทำงานจริงๆก็เกิดปัญหาเพราะจำนวนลี้พลของทวยเทพไม่พอเพียงจำเป็นต้องไปเจรจาขอร้องเหล่าอสูรให้มาช่วยโดยสัญญาว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ฝ่ายละครึ่ง อสูรก็ตกลงเพราะต้องการน้ำอมฤตเช่นกันและฟังกติกาแล้วเห็นว่า win win แต่พระวิศนุกับเหล่าเทพมีสัญญาลับๆว่าจะไม่แบ่งน้ำอมฤตให้อสูร ภาษานักเลงเรียกว่า "หลอกกินฟรีๆ" แถมยังยุให้ฝ่ายอสูรอยู่ทางด้านหัวพญานาคส่วนเหล่าเทพอยู่ด้านหาง อสูรก็หลงดีใจที่ได้รับเกียรติให้อยู่ด้านหัว


ภาพสลักพระอินทร์ทรงช้างเอราวันพบได้ทั่วไปตามปราสาทขอม และปราสาทที่สร้างในยุคอารยธรรมก่อนอาณาจักรขอม อย่างภาพนี้อยู่ที่ปราสาทวัดภู แขวงจัมปาสัก สปป.ลาว


ปราสาทนารายณ์เจงเวง ที่อำเภอเมืองสกลนคร ก็มีภาพสลักพระอินทร์ทรงช้างเอราวันที่ทับหลังประตูทิศตะวันออก


ฤาษีดูวาสะมีชื่อเสียงเรื่องเวทย์มนต์ในตำนานอินเดียโบราณ


ปราสาทขอมเกือบทุกแห่งมีภาพสลักฤาษีเฝ้าอยู่ตามประตู เช่น ปราสาทนารายณ์เจงเวง อำเภอเมืองสกลนคร


ภาพวาดการต่อสู้ระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรและลงเอยด้วนเทพเป็นฝ่ายปราชัย

ทวยเทพและเหล่าอสูรช่วยกันกวนทะเลน้ำนมเพื่อให้เกิดน้ำอมฤต ในภาพจะเห็นว่าฝ่ายอสูรอยู่ด้านหัวพญานาค


ภาพสลักพิธีกวนทะเลน้ำนมเพื่อให้ได้น้ำอมฤตที่ระเบียงคตด้านทิศตะวันออกของปราสาทนครวัด

          ระหว่างพิธีกวนทะเลน้ำนมท่านพญานาควาสุกรีเกิดอาการเหนื่อยจึงพ่นพิษออกมา ฝ่ายอสูรซึ่งอยู่ด้านหัวจึงรับพิษไปเต็มๆแต่ก็พยายามกัดฟันอดทน พระศิวะเห็นเหตุการณ์ทำท่าไม่ดีขืนปล่อยให้อสูรโดนพิษมากๆเข้าอาจล้มตายหมดจะเสียพิธี ท่านจึงยอมกินพิษเหล่านั้นด้วยตนเองเป็นเหตุให้คอพระศิวะกลายเป็นสีดำ ผลพลอยได้ของพิธีนี้มีมากมายสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ "นางอัปสร" เกิดขึ้นมาจำนวนมากกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจเหล่าเทพและอสูร แต่ระหว่างนั้นน้ำหนักของภูเขามันทราระทำให้เกิดการทรุดตัวร้อนถึงพระวิศนุต้องอวตาร (แปลงกาย) ลงมาเป็น "อวตารกอร์มะ" (เต่ายักษ์) เพื่อช่วยหนุนภูเขาไม่ให้จมทะเล

พระศิวะยอมดื่มพิษร้ายจากพญานาควาสุกรีเพื่อให้พิธีดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น


ผลพลอยได้จากพิธีกวนทะเลน้ำนมได้นางอัปสรและอื่นๆอีกมากมาย
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-7 17:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระวิศนุแปลงกายเป็นเต่ายักษ์ "อวตารกอร์มะ" เข้ามาหนุนภูเขามันทราระ

          ในที่สุดพิธีก็ดำเนินมาถึงจุดสุดยอด "น้ำอมฤต" พุ่งขึ้นมา แต่ฝ่ายอสูรเห็นก่อนจึงคว้าเอาไปครอบครองและทำท่าจะไม่ยอมแบ่งให้เหล่าเทพ พระวิศนุจึงรีบแปลงกายเป็นสาวสวยชื่อ "โมฮินี" ยั่วยวนอสูรให้หลงไหลและชักชวนให้อสูรมอบน้ำอมฤตให้ แน่ละครับอสูรก็เหมือนชายหนุ่มทั่วไปที่ตกหลุมพลางสาวๆสวยๆได้ง่าย จึงยอมมอบน้ำอมฤตให้นางโมฮินีและนางก็รีบส่งให้ทวยเทพรับเอาไปดื่มขณะที่เหล่าอสูรนั่งมองตาปริบๆคิดในใจว่า "กูไม่น่าถูกหลอกเลย" รู้งี้กูรีบดื่มให้มันหมดรู้แล้วรู้รอดไป
          อย่างไรก็ตามเรื่องยังไม่จบง่ายๆ อสูรตนหนึ่งชื่อ "ราหู" หมอนี่เจ้าเล่ห์รีบแปลงกายเป็นเทพไปนั่งปะปนอยู่ในแถวเพื่อรอดื่มน้ำอมฤตและก็ได้ดื่มสมใจอยากจริงๆ แต่ความเกิดแตกขึ้นมาเพราะเทพชื่อ "จันทรา" กับ "สุริยา" มองเห็นพฤติกรรมของราหูจึงรีบร้องบอกพระวิศนุ พระวิศนุจึงขว้างจักรไปตัดคอราหูเพื่อไม่ให้น้ำอมฤตตกถึงท้อง ช้าไปนิดแม้ว่าตัวของราหูถูกทำลายแต่ส่วนหัวได้รับน้ำอมฤตไปแล้วจึงไม่ตายและเกิดความอมตะ สามารถเหาะไปไหนก็ได้ใครฆ่าก็ไม่ตายกลายเป็น "พญาราหู" และแค้นนี้ต้องชำระ ราหูผูกพยาบาทเทพจันทราและเทพสุริยา ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจะต้องเข้าไปอมเพื่อกลืนกินเทพทั้งสองให้สมแค้น.........จึงเป็นที่มาของปรากฏการณ์ "จันทรุปราคา" และ "สุริยุปราคา"  
      

พระวิศนุแปลงกายเป็นสาวสวยชื่อ "โมฮินี" ยั่วยวนให้อสูรหลงไหลและยอมมอบน้ำอมฤตให้


พระวิศนุในร่างของนาง"โมฮินี" ขว้างกงจักรตัดคอ "ราหู" ที่แปลงกายมาเป็นเทพเพื่อหลอกกินน้ำอมฤต

พระวิศนุขว้างจักรตัดคอ "ราหู" เพื่อไม่ให้กลืนน้ำอมฤตลงคอ แต่หัวราหูกลายเป็นอมตะ



ราหูแค้นใจเทพจันทราและเทพสุริยา เมื่อเจอครั้งใดต้องปรี่เข้ามาอมเพื่อกลืนกินเป็นที่มาของ "ราหูอมจันทร์"


แม้ราหูจะเป็นตัวร้ายในตำนานอินเดีย แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยก็บูชาราหูเพื่อสะเดาะเตราะห์

เรื่องนี้มาลงตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ.......เพื่อวัตถุประสงค์ใด
          เป็นที่ยอมรับว่าคนไทยจำนวนมากมีคำพูดติดปาก "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" และวนเวียนอยู่กับโชคชะตาราศี รวมทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเป็น "ศิริมงคล" แม้ว่าพุทธองค์ได้สอนให้พวกเราทั้งหลายเชื่อมั่นในคำสอนที่เป็นสัจจธรรม ไม่ให้หลงงมงายในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับในความเป็นจริงที่คนไทยรับทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก ไม่เชื่อท่านลองไปดูตอน ฯพณฯ รัฐมนตรีเข้าทำงานวันแรกก็ต้องบนบานสานกล่าว หลายท่านต้องเอาพราหมณ์มาทำพิธี หลายท่านเอาซินแสมาดูฮวงจุ้ยสถานที่ทำงาน จนมีข่าวออกมาหลายครั้งว่าต้องเปลี่ยนพรมและม่านหน้าต่างใหม่ทั้งหมดเพราะสีของสิ่งเหล่านั้น "ไม่ถูกโฉลก"
          ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่สร้างสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ต่างกับคนไทยจำนวนมาก ท่านคงมั่นใจว่า "พิธีกวนทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤต" เป็นสิ่งมงคลอย่างยิ่งต่อสนามบินแห่งนี้ จึงสั่งการให้สร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ไว้ที่กลางทางเดิน......เรื่องทั้งหมดก็เป็นฉะนี้แล......ขอให้ท่านชมภาพถ่ายพิธีกวนทะเลน้ำนมในหลายมุมกล้อง





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้