ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2908
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ ธรรมะคือสัจจธรรมสากล ~

[คัดลอกลิงก์]
ธรรมะคือสัจจธรรมสากล
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย



เทศน์อบรมนักเรียน ณ วัดวะภูแก้ว

        ต่อไปนี้ให้ตั้งใจฟังธรรม เราจำเป็นอย่างไรจึงต้องตั้งใจฟังธรรม การฟังธรรมก็คือการฟังเรื่องของตัวเอง เราฟังเรื่องของตัวเองทำไม เราฟังเรื่องของตัวเองเพื่อให้เรารู้จักตัวเอง คือว่าให้รู้จักว่าเราเป็นคนดี เป็นคนกลางๆ หรือเป็นคนเลว ซึ่งการเป็นไปของชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย โดยกฎธรรมชาติก็มีเกิดแก่เจ็บตาย เกิดมาทีไร ก็มีแต่แก่เจ็บตายๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร  ต้นไม้เมื่อมันตายไป ชิ้นส่วนของมันก็ได้เอามาทำประโยชน์ ทำฟืน ทำถ่านต้มหุง แต่มนุษย์เรานี่เกิดมาแล้วก็แก่-ตาย แก่-ตาย ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสำหรับเนื้อหนังของมนุษย์ มีแต่หายจมไปในแผ่นดิน

          ดังนั้น ในเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราต้องฟังธรรม เราเริ่มฟังธรรมมาตั้งแต่ผู้ปกครองส่งเราเข้าไปรับการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาลมานั่น เราเริ่มฟังธรรม เริ่มเรียนธรรม และเมื่อเราได้รับการศึกษามาโดยลำดับ เราก็ได้สัมผัสและได้เรียนรู้ธรรมะสูงขึ้นไปเป็นลำดับขั้นตอน ในประเทศไทยเรามีการศึกษาธรรมะตั้งแต่ระดับอนุบาลจนกระทั่งถึงระดับปริญญา สูงสุดคือด๊อกเตอร์ หรือปริญญาเอก ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นหลักสูตรแห่งธรรมะทั้งนั้น         

          ทีนี้ธรรมะพวกนี้เราเรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปเพื่อปรับปรุงตกแต่งกายกับใจของเรา ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีสาระแก่นสารหรือประโยชน์อะไร เราเรียนธรรมะมาเพื่อปรับปรุงกายกับใจของเราให้มีสภาพดีขึ้น คือให้มีวิชา ความรู้นั่นเอง ให้มีคุณภาพดีขึ้น อันนี้คือความจำเป็นที่จะต้องเรียนธรรมะ
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 12:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นักเรียนอย่าเข้าใจแต่เพียงว่าพวกเธอมาเรียนธรรมะ เฉพาะวันนี้หรือวันที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น หรือเฉพาะในสถานที่นี้ เราเรียนธรรมะอยู่ทุกกาลเวลาทุกสมัย ทุกลมหายใจ เพราะฉะนั้น ธรรมะคือเรื่องส่วนตัวของเราเอง         

          เราได้เรียนธรรมะ ได้ฟังธรรม มาปรับปรุงสมรรถภาพของเราให้เข้มแข็งด้วยวิชาความรู้และสติปัญญา อันนั้นยังไม่เพียงพอ ทีนี้เรามาฝึกสมาธิภาวนา เพื่อปรับพื้นฐานสมรรถภาพของเราให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสมาธิ ดังที่นักเรียนได้มาฝึกฝนอบรมนี่ มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์  เพราะชีวิตมนุษย์เป็นอยู่ด้วยกำลังของสมาธิคือความมั่นใจ         


          ขอตีความหมาย คำว่า สมาธิ คือ ความมั่นใจหรือความตั้งใจมั่น นักเรียนพอที่จะฟังเข้าใจ การศึกษาก็ดี การงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี ถ้าเราไม่มีความมั่นใจ หรือ ความตั้งใจมั่น เราจะกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่จริงจัง เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะประสบกับความล้มเหลว หรือ ความหายนะ เช่นอย่างปัจจุบันนี้  ผู้ปกครองส่งเรามาเรียน แต่เราไม่ตั้งใจเรียนจริง เพราะไม่มีสมาธิ เรียนบ้าง เล่นบ้าง เที่ยวบ้าง หรือมีความประพฤติมีแนวโน้มไปทางอบายมุขอันเป็นทางแห่งความเสื่อม การศึกษา การเรียนของเราก็ไม่สำเร็จลงได้ เพราะฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องมีความจริงใจ



          ระบบการฝึกอบรมสมาธิตามที่นักเรียนมารับการอบรมอยู่นี่ สมาธิไม่ใช่ของศาสนาใด ไม่มีศาสนาใดผูกขาด สมาธิเป็นของคนมีศาสนา และเป็นทั้งของคนไม่มีศาสนา โดยที่สุดแม้สัตว์เดรัจฉานก็ต้องอาศัยสมาธิ  ถ้าเขาไม่มีสมาธิเขาก็เอาชีวิตรอดมาไม่ได้



          คำว่า สมาธิ แปลว่า ความตั้งใจมั่น หรือความมั่นใจ สมาธิภาวนา แปลว่า อบรมใจให้มีความเข้มแข็ง  สมาธิ เราสามารถปฏิบัติได้ทุกโอกาส ทุกลมหายใจ เช่น เวลานี้นักเรียนนั่งฟัง นักเรียนก็กำลังปฏิบัติสมาธิถ้าเอาใจใส่จดจ่อ เวลานักเรียนเข้าห้องเรียน เรียนหนังสือ ส่งใจและสายตาไปที่ผู้สอน ไม่เอาใจและสายตาไปที่อื่น เราก็ได้ปฏิบัติสมาธิ และได้รับการถ่ายทอดพลังจิตเเละวิชาความรู้จากครูตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสมาธิจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 12:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แล้วสมาธิก็เป็นหลักธรรมกลางๆ ไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใดๆ ไม่มีศาสนาใดผูกขาด เพราะสมาธิเป็นหลักการของธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ธรรมะและคุณธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ ที่เราว่าเป็นคำสอนของศาสนานั้นศาสนานี้ แท้ที่จริงมันไม่ใช่คำสอนของศาสนานั้น แต่มันเป็นธรรมชาติ ที่ผู้สามารถค้นคว้าหรือสามารถสร้างสติปัญญาของตนให้รู้ถึงแก่นแห่งความจริงของธรรมชาติ แต่หากสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนๆ กับบ้านเมืองเรานี่แหละ เรามีการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งถึงปริญญาเอก ความรู้ทั้งหลายเหล่านี้เป็นของกลางๆ ใครจะเข้าถึงความรู้เหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญาของแต่ละบุคคล ใครไม่เก่งก็เรียนจบแค่อนุบาล หรือไม่จบเลย ถ้าใครเก่งก็เรียนจบถึงปริญญาเอก ระดับด๊อกเตอร์ มีหลายคนที่เรียนจบหลายๆ ปริญญา


          มีผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่งกับคุณนาย สามีเรียน จบ ๓ ปริญญา ภรรยาเรียนจบ ๓ ปริญญา สองสามี ภรรยาบวกกันเข้าได้ ๖ ปริญญา มีลูกอีก ๕ คน ต่างก็เรียนจบปริญญาหมดทุกคน บวกกันเข้าแล้วได้ ๑๑ ปริญญา อันนี้คือความสามารถ ที่สามารถเก็บเอาผล ประโยชน์ที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ


          เปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งได้กับผืนแผ่นดินของเรา ที่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานเต็มไปหมด สมัยก่อน หินกรวด ลูกรัง เราเหยียบย่ำมันไปเฉยๆ ไม่มีคุณค่า อย่างดีก็เอามาทับถมเป็นถนนใช้ให้รถยนต์วิ่ง แต่ภายหลังมีผู้มีสติปัญญาคิดค้นเอาผลประโยชน์จากหินลูกรังและหินกรวด นอกจากจะเอามาปูเป็นถนน ทำเป็นคอนกรีต ยังสามารถเอามาถลุงเป็นแร่เหล็ก แร่อะไรต่างๆ ได้


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 12:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ธรรมะที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ก็เช่นเดียวกัน ธรรมะเป็นสัจจธรรมของจริงที่มีอยู่แล้วแต่ไหนแต่ไรมา ศาสดาแต่ละพระองค์ อย่างดีก็เพียงแต่รู้ความจริงของธรรมะ และศาสดาแต่ละองค์ก็ย่อมมีภูมิธรรมแตกต่างกัน บางศาสดามีภูมิปัญญาน้อยก็มองเห็นความจริงของธรรมะตามระดับสติปัญญาของตนเอง บางศาสดามีปัญญาละเอียดสุขุม  มีความสามารถเฉียบแหลม ก็สามารถรู้ของจริงในจักรวาลนี้เหนือผู้อื่น เช่นเดียวกับดวงไฟที่เราติดไว้ในห้องโถง ถ้าไฟดวงใดมีแรงน้อย เพียงแค่ ๑๐, ๒๐ แรงเทียน พอเปิดสวิตช์ก็มองเห็นแสงสว่างได้เล็กน้อย ถ้าดวงไฟมีแรงสูงตั้งแต่ ๑,๐๐๐ แรงเทียนขึ้นไป พอเปิดสวิตช์ ความ สว่างจะกระจายทั่วไปหมด ทำให้เราสามารถมองเห็นจุดดำจุดด่างบนผิวพื้นของฝาผนังได้ถนัด ข้อเปรียบเทียบนี้ฉันใด ก็เหมือนๆ กับภูมิธรรมและภูมิความรู้ของแต่ละศาสดานั่นเอง



          ศาสดาจะรู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าแต่ละศาสดามุ่งสอนคนให้เป็นคนดี เพราะฉะนั้นเรื่องของศาสนา ใครจะนับถือศาสนาอะไรได้ทั้งนั้น ขอให้ประพฤติดี


          การศึกษาศาสนา การเรียนธรรมะ ถ้าเพียงแค่เรียนตามตำรับตำรา แต่ไม่มีการปฏิบัติ เราก็รู้ความจริงเพียงแค่ตำรา เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ของไทย ไปเรียนต่างประเทศกลับมาแล้วทำอะไรไม่เป็น  อย่างดีก็มาเขียนตำราขาย แต่สมัยนี้เขาเรียนกันเอาจริงเอาจัง เรียนรู้แล้วก็ทำเป็นด้วย ในสมัยนี้คนไทยคิดอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่เมื่อเสนอโครงการแล้ว รัฐบาลไม่สนับสนุน คนไทยจึงขายลิขสิทธิ์ให้ต่างประเทศหมด


           คนที่มีความสามารถคิดอะไรๆ ได้ เพราะเขามีสมาธิ สมาธิไม่ได้มีเฉพาะในบ้านเมืองเรา เรื่องสมาธิเป็นเรื่องสากล คนที่ปฏิบัติสมาธิยอดเยี่ยมที่สุดที่เรารู้ในปัจจุบัน มีอยู่คนหนึ่ง คนที่สร้างจรวดไปลงดวงจันทร์ก็ยังไม่เก่ง แต่คนที่สามารถคำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็กกับจรวดตัวแม่ที่โคจรอยู่รอบโลกเพื่อชะลอเวลาให้จรวดตัวเล็กที่ไปลงดวงจันทร์กระโดดมาเกาะตัวแม่แล้วลงมาสู่มนุษย์โลก ถ้าเขาคำนวณผิดแม้เสี้ยววินาที จรวดตัวเล็กจะต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ คนนั้นเป็นคนที่ทำสมาธิเก่งที่สุด เพราะฉะนั้น นักเรียนทั้งหลายอย่าไปคิดว่าสมาธิไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรา และสมาธิเราทำได้ทุกโอกาส นักเรียนเรียนหนังสือมาจนปัจจุบันนี้ก็ได้ฝึกสมาธิมาแล้ว
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 12:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราชาวพุทธให้น้อมนึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ สร้างความรู้สึกขึ้นในจิตของตัวเองให้มีสภาวะรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ให้จิตมีสติ รู้ ตื่น เบิกบานตลอดเวลา ทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น และน้อมนึกเสมอว่าเราจะละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี สภาวะที่เรามีความรู้ ตื่น เบิกบาน ในจิตในใจก็ดี หรือเจตนาที่ตั้งใจงดเว้นสิ่งชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดก็ดีเป็นกิริยาแห่งความมีคุณธรรม คือทำจิตของเราให้เป็นพระเจ้า



          คนนับถือศาสนาพุทธ พระเจ้าของเขาก็คือพระพุทธเจ้า คนนับถือศาสนาคริสต์ เมื่อจิตมีความรู้ ตื่น เบิกบาน หรือรู้ผิดชอบชั่วดี เขาก็มีพระเจ้าของเขาอยู่ในใจ เมื่อพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าอยู่ในใจของใครต่อใคร ใครจะไปในสถานที่แห่งใดก็ไปกับพระเจ้า ยืนก็ยืน กับพระเจ้า เดินก็อยู่กับพระเจ้า นั่ง รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าจะทำอะไร ก็อยู่กับพระเจ้า



          คำว่า พระเจ้า ก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่นเอง ถ้าเราเข้าถึงสัจจธรรมกันจริงๆ ศึกษาธรรมะตามสภาพแห่งความเป็นจริง ไม่เฉพาะแต่ศึกษาเล่าเรียนตามตำรับตำรา  เอาของจริงมาพิสูจน์กันเลยทีเดียว เราจะเข้าถึงสัจจธรรมความจริง ของจริงสม่ำเสมอกันหมด ไม่มีอคติลำเอียง


          สมมุติว่านักเรียนมาทำสมาธิภาวนาในปัจจุบันนี้ ถ้าชาวพุทธภาวนาพุทโธ ชาวคริสต์ภาวนาเยซู ตั้งใจ เอาจริงเอาจัง เมื่อสมาธิเกิด จิตจะสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เหมือนกัน


          ธรรมะเป็นของกลาง ธรรมะคือกายกับใจ เรามาศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติ เพื่อหาเครื่องมือปรับปรุงกาย ใจของเราให้มีสมรรถภาพดียิ่งขึ้น อันนี้คือจุดประสงค์ของการปฏิบัติธรรม
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 12:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การปฏิบัติธรรมแบบนี้ ปฏิบัติได้ในทุกลัทธิ ทุกศาสนา ถ้าลูกหลานคนใดนับถือศาสนาคริสต์ในที่นี้ หลวงตาจะเล่าให้ฟังถึงคนเผยแผ่ศาสนาคริสต์คนหนึ่ง  เขาเคยไปคุยกับหลวงตาที่วัด หลวงตาบอกเขาว่า คุณเป็นคนเผยแผ่ศาสนา คุณควรฝึกสมาธิด้วย เขาบอกว่าศาสนาคริสต์ไม่นิยมทำสมาธิ หลวงตาบอกว่า คุณเรียนศาสนาคริสต์ไม่เก่ง เพราะทุกลัทธิศาสนานิยมทำสมาธิกันทั้งนั้น


          สมาธิไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใดๆ เป็นหลักธรรมสาธารณะทั่วไป ทุกคนปฏิบัติได้ แล้วไม่ขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้าองค์ใด ถ้าเข้าถึงสัจจธรรมแล้ว จะบรรลุถึงจุดประสงค์ของพระเจ้าทุกพระองค์บรรดาที่มีในจักรวาลนี้


           ธรรมะคำสอนเป็นธรรมชาติ ศาสนาที่แตกต่างกัน อยู่ที่กฎระเบียบของศาสนานั้นๆ ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของศาสนานั้นๆ ย่อมบรรลุผลตามเป้าหมายของศาสนานั้นทุกประการ


          ในท้ายที่สุดนี้ ขอบารมีแห่งคุณงามความดีของนักเรียนและครูบาอาจารย์ผู้หวังดีต่อนักเรียนของตน จงดลบันดาลให้ทุกคนมีความเจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ แม้จะปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และอำนาจ จงสำเร็จตามความปรารถนาในที่ทุกสถาน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ.


ที่มา http://www.thaniyo.com/index.php ... oput&Itemid=142
  ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้