ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5919
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพ เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่

[คัดลอกลิงก์]


เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพ เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่
        ช่วงตรุษจีนของทุกปีเทพองค์หนึ่งที่ ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่น เพื่อให้มีโชคมีชัยตลอดทั้งปี ก็คือ "ตั่ว เหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่" ณ ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งชาวจีนถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องอภิบาล และปราบปรามศัตรู

ตำนานที่ 1 เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพ เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่มี ตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับตั่วเหล่าเอี๊ย อาทิ ในเทวปกรณัมของจีนกล่าวว่า เมื่อครั้งบรรพกาลล่วงมาแล้ว เมืองลกฮง กึงตัง ประเทศจีน มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำใหญ่ผู้หนึ่งประกอบอาชีพฆ่าหมูและวัวเพื่อส่งขาย คืนหนึ่งเกิดนิมิตเห็นนักพรตลัทธิเต๋ามาบอกให้เลิกฆ่าสัตว์ เพราะเขามิได้เกิดมาเพื่อการนี้ แต่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี ควรหันมาบำเพ็ญธรรมแล้วจะสำเร็จ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาชายหนุ่มจึงเล่าให้มารดาฟัง ซึ่งมารดาก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงตกลงยุติการฆ่าสัตว์และตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรม

เมื่อตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรมไปได้ 3-4 วัน นักพรตที่นิมิตฝัน ก็มาปรากฏกายที่หน้าบ้าน ถามมานพหนุ่มว่า เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบำเพ็ญพรตให้สำเร็จหรือยัง มานพหนุ่มตอบตกลงทันที และจัดการทรัพย์สินรวบรวมเป็นเงินก้อนหนึ่ง ไว้เลี้ยงดูมารดาผู้ชรา แล้วเก็บข้าวของออกเดินทางตามนักพรตขึ้นเขาไปบำเพ็ญพรต  

ด้วยความมานะ ตั้งใจหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญ แต่การปฏิบัติก็ไม่มีความก้าวหน้า ไม่ประสบผลแต่อย่างไร ศิษย์ที่มาใหม่ต่างสำเร็จไปก่อนเขา ทำให้มานพหนุ่มรู้สึกเสียใจ ท้อใจ วันหนึ่งจึงถามท่านนักพรตผู้อาจารย์ว่า เขาจะมีวันสำเร็จธรรมไหม ท่านอาจารย์ตอบแก่เขาว่า ตราบใดที่ภายในของเขายังสีดำอยู่ ก็อย่าถามถึงความสำเร็จเลย  

พอกลับไปถึงห้องพัก มานพหนุ่ม ครุ่นคิดอย่างหนัก อีกทั้งเสียใจ ข้องใจ ในคำพูดของอาจารย์ว่า ภายในของเขา สีดำ นั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะเขามีความตั้งใจมั่นมาบำเพ็ญธรรม ก็เพื่อความสำเร็จ ถ้าภายในคืออุปสรรค เขาก็ยินดีพลีชีพเพื่อบูชาธรรมที่หวังจะ สำเร็จนั้น ๆ  

คิดได้ดังนั้น เขาก็คว้ามีดขึ้นมาคว้านท้อง ลากไส้และกระเพาะออกมา พอเครื่องในเหล่านั้นหลุดพ้นจากร่าง เขาก็รู้สึกตัวเบาและบรรลุธรรมทันที เนื่องเพราะอาชีพที่ฆ่าสัตว์มามาก และมานพหนุ่มเอาชีวิตตนแลกธรรม เพื่อทดแทนบาปเคราะห์กรรม ที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญได้สำเร็จ  

อาจารย์นักพรตทราบความ เร่งรุดมาที่ห้องพักมานพหนุ่ม เข้าช่วยเหลือรักษา พยาบาลจนมานพหนุ่มเป็นปกติ โดยท้องมานพหนุ่มปราศจากลำไส้ และกระเพาะ แต่มิเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต เพราะฌานสมาบัติแห่งธรรม หล่อเลี้ยงรักษาให้เป็นอยู่  

เมื่อสำเร็จธรรม นักพรตเห็นสมควรที่ท่านจะลงจากเขาไปโปรดผู้คน ก่อนจากกัน ท่านอาจารย์ได้ มอบธงให้มานพหนุ่มผืนหนึ่ง เป็นสีขาว มานพจัดเตรียมสัมภาระลงเขาโดยเอากระเพาะและลำไส้ ของเขา ที่ตากแห้ง เก็บไว้ นำติดตัวลงมาด้วย ครั้นเดินทางถึงตีนเขา ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาว จึงเข้าไปดู พบหญิงท้องแก่กำลังจะคลอดบุตร มานพหนุ่มบอกแก่หญิงคนนั้นว่า ท่านเป็นผู้ชายและเป็นนักบวช มิใช่หน้าที่ที่จะช่วยการคลอดได้ ได้แต่มอบธงผืนที่อาจารย์มอบให้แก่หญิงคนนั้น เพื่อรองรับเด็กทารก หญิงคนนั้นคลอดบุตรออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อตัดสายสะดือเช็ดคราบเลือดแล้ว ยกทารกน้อยอุ้มขึ้นในอ้อมกอด หญิงคนนั้นได้ขอบใจท่านมานพหนุ่ม และส่งคืนธงที่เปื้อนเลือดคืนแก่ท่าน  

มานพหนุ่มจึงนำธงไปล้างที่ชายคลอง พอธงจุ่มลงน้ำ น้ำในคลองพลันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที รวมทั้งธงของเขาก็กลายเป็นสีดำด้วย โดยไม่ได้ระวัง ระหว่างที่ล้างกระเพาะและลำไส้ที่เก็บไว้ชายพก ตกลงไปในน้ำ เขาก็คิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องเป็นภาระเก็บรักษาอีกต่อไป มานพหนุ่มลงเขาโปรดผู้คนอยู่จวบจนสิ้นวาระขัยจากมนุษย์โลก ไปเสวยทิพย์สมบัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จ้าวแห่งสวรรค์ โปรดประทานยศให้เป็น  

ผู้ตรวจการภพสาม ตำแหน่ง “ เหี่ยง เทียน เสี่ยง ตี่ ” ผู้พิชิตมาร โดยมีธงเทพโองการดำเป็นอาญาสิทธิ์ ธงสีดำเป็นสัญลักษณ์ของท่าน เป็นธงบัญชาการของเจ้าหรือเทพพรหม มีลัญจกรอยู่ในธง อาญาสิทธิ์เฉียบขาด  

ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ไปปราบสัตว์ประหลาด 2 ตน พอพบสัตว์ประหลาดทั้งสอง เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ทราบทันทีว่าเป็นกระเพาะและลำไส้ของตนที่ปีศาจร้ายเข้า ไปสิงสถิตอยู่ กระเพาะกลายเป็น "เต่า" และลำไส้กลายเป็น "งู" ท่านจึงเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบเต่า และเท้าอีกข้างเหยียบงูไว้ สยบสัตว์ปีศาจร้ายทั้งสองจนหมดฤทธิ์

ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาจึงจัด สร้างศาลเจ้าและรูปปั้นท่านขึ้นบูชา โดยใช้สัญลักษณ์เท้าเหยียบเต่า เหยียบงู และธงสีดำ โดยมี "เสือ" เป็นบริวารพาหนะ นี่คือตำนานแห่ง ตั่วเหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ เทพศักดิ์สิทธิ์ ประจำกลุ่มดาวด้านทิศเหนือ ผู้พิชิตมาร ในรูปลักษณ์ขุนพลเคราดำยาว เท้าเหยียบบนหลังงูและเต่าซึ่งถือเป็นสัตว์ประจำกาย มือขวาถือดาบชิดแชเกี่ยม มือซ้ายยกชี้ระดับหน้าอกไปยังท้องฟ้า อันแสดงความหมายถึงการบรรลุธรรมสำเร็จเต๋า ที่ผู้คนกราบไหว้นับถือมาจนถึงทุกวันนี้

ตำนานที่ 2 เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพ เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่คนจีนมีเจ้าที่เกี่ยวพันกับทิศหลายทีม หนึ่งคือเทพเจ้าแห่ง 5 ขุนเขาใน 5 ทิศ คือเหนือ, ใต้, ออก, ตก, และทิศตรงกลาง และมีอีกหนึ่งที่คนผู้มีภูมิวิชาเรื่องฮวงจุ้ย จะต้องรู้จักดีคือ เทพสัตว์ประจำทิศทั้ง 4 คือ
  • แซเล้ง หรือมังกรเขียว ประจำอยู่ทิศตะวันออก
  • แปะโฮ่ว หรือเสือขาว ประจำอยู่ทิศตะวันตก
  • จูเซียะ หรือนกเจ้า ประจำอยู่ทิศใต้
  • เฮี่ยงบู้ หรือคู่มิตรงูและเต่า ประจำอยู่ทิศเหนือ
เทพทิศเหนือคือ เฮี่ยงบู้ นักพรตเต๋านับถือท่านมาก กำเนิดของเทพทิศเหนือคือ การอุบัติขึ้นเองบนสวรรค์ จากการรวมตัวของเทหวัตถุในจักรวาล เกิดเป็นเทพดวงดาวองค์หนึ่งที่ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคอึ้งตี่ โดยเป็นโอรสของ “ เสียงเสียฮวงโฮ้ว ” แปลว่ามเหสีเสียงเสียแห่งรัฐเจ็งลัก
ด้วยตำนานการเกิดที่ค่อนข้างพิสดารตามแบบนิทานโบราณว่า มเหสีเสียงเสียทรงครรภ์นานถึง 14 เดือน แล้วได้ประสูติโอรสออกทางซี่โครง ณ วันที่ 3 เดือน 3 ของจีน

เมื่อ เฮี่ยงบู้ อายุได้ 14 ปี ได้ออกจากวังไปเที่ยวชมเทศกาลโคมไฟ แล้วเกิดได้คิดสัจธรรมว่า เกิดเป็นคนนี้ช่างยากเสียจริง ทำอย่างไรหนอจึงจะตัดกิเลสทางโลกให้ได้ เฮี่ยงบู้ จึงสละทางโลกไปปลีกวิเวกที่เขาบู๊ตึ้ง ร่ำเรียนธรรมในแนวทางของเต๋า แล้วที่สุดก็กลายเป็นเซียน แล้วได้รับราชโองการแต่งตั้งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ ให้เป็นเทพรักษาทิศเหนือ ด้วยพระนามว่า เฮี่ยงบู้ แปลตรงตัวว่า กำลังลึกลับอัศจรรย์

เฮี่ยงบู้ มีวรกายสูงใหญ่ถึง 9 ฟุต และมีพักตร์กลมดั่งดวงจันทร์ คิ้ว, ตา มีอำนาจ ผมดำ มีเคราและร่างกายกำยำแข็งแรง ผิวกายดำขลับ ทรงมงกุฎหยก แต่ชุดทรงกลับเป็นหญ้า เลื่องชื่อมากว่าทรงไล่ผีเก่ง บางตำราบอกว่า เฮี่ยงบู้ เป็นอีกภาคหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้

อย่างไรก็ตาม, บางท้องที่และบางสมัยไหว้ เฮี่ยงบู้ ในฐานะเทพดวงดาว จากที่คนโบราณได้แบ่งฟ้าเป็น 28 ช่อง หรือ 28 กลุ่มดาว ในสมัยจั่นกว๋อ ได้มีคนจัดแบ่ง 28 กลุ่มดาวใหม่เป็น 4 กลุ่มใหญ่ แล้วให้ชื่อเป็นสัตว์ 4 ชนิดคือ
  • มังกรเขียว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันออก
  • เสือขาว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันตก
  • นกเจ้า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศใต้
  • เต่า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศเหนือ
ต่อมาเต่าถูกจับคู่กับงู แล้วเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ของ เฮี่ยงบู้ ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เฮี่ยงบู้ ถูกวาดภาพให้เป็นเทพผมยาว ทรงชุดใหญ่และถือดาบ

สมัยราชวงศ์เหม็ง ตามศาลเจ้านิยมสร้างองค์ เฮี่ยงบู้ ไว้บูชา โดยมีคู่มิตรเต่า งู อยู่เคียงองค์ แล้วคนเกิดเชื่อถือกันว่า ถ้าไหว้ท่านด้วยน้ำและไฟ จะช่วยให้พ้นภัยพิบัตินานา

ในสมัยราชวงศ์เซ็ง ฮ่องเต้มีโองการให้ไหว้ เฮี่ยงบู้ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ ด้วยความเชื่อส่วนพระองค์ว่า เฮี่ยงบู้ เป็นผู้ดูแลโชคชะตาของคน พระองค์จึงไหว้เพื่อขอพรให้ทรงพระชนมายุยืนยาว

หลังจากสมัยต่างๆ เหล่านี้ เทพทิศเหนือ เฮี่ยงบู้ จึงเป็นที่เคารพกราบไหว้ของคนจีน ไหว้เพื่อขอพรให้โชคดี
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-18 15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
       
ประวัติศาลเจ้าพ่อเสือในอดีตกาลประมาณ ๑๕๐ ปี ต้นสมัยแผ่นดินพระนั่งเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๓  กล่าวถึงวัดมหรรณพารามเสียก่อน เพราะเกี่ยวโยงกับประวัติเจ้าพ่อเสือ วัดมหรรณพ์สร้างเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ผู้สร้างคือ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี (พระองค์เจ้าอรรณพพระราชโอรสในสมเด็จพระนั่งเกล้า) สถานที่สร้างวัดยังเป็นป่า บริเวณหลังวัดมหรรณพ์ ยังมีสัตว์อาศัยอยู่คือ เสือปลา เสือบอง อีเห็น กระต่าย งูเหลือม งูหลาม เป็นต้น มีหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง โดยมากมีฐานะยากจน ยายผ่องกับนายสอนลูกชาย อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น นายสอนเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้ายิ่งนัก สองชีวิตต้องทนอยู่กับความยากลำบาก ต้องผจญชีวิตกับอาชีพที่ไม่เป็นแก่นสารแบบหาเช้ากินค่ำ นายสอนลูกชายยายผ่องเป็นไข้มา ๖-๗ วัน เมื่ออาการค่อนข้างทุเลาบ้างแล้วก็เตรียมตัว จะเข้าป่า เพื่อหาหน่อไม้ เก็บผักหักฟืนตามเคย ถึงตัวจะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ไม่ท้อถอย ตนก็เอาหาบขึ้นบ่าพร้อมทั้งมีดกับเสียม ออกจากเรือนเข้าป่าทันที ชะตาร้ายกำลังเดินตามหลังนายสอนมาทุกย่างก้าว สถานที่เคยมีผักมีหน่อไม้มีฟืนก็ไม่มีเลย คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องตัดไม้เผาถ่าน เมื่อเดินกลับเห็นกวางตายอยู่ตัวหนึ่ง เพิ่งตายใหม่ ๆ ยังไม่เน่า แกคิดด้วยเชาว์ไวว่ากำลังตกอยู่ในระหว่างอันตรายแล้ว เพราะกวางนี้ถูกเสือกัดตายกินเนื้อยังไม่หมด มันต้องพักอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เจ้ากวางตัวนี้แน่ แต่อยากจะได้เนื้อเอาไปฝากแม่สักก้อนหนึ่ง เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ตัดความกลัวออกไป ตรงเข้าไปเอามีดเฉือนเนื้อโคนขาไปสองก้อน เอาใบบอนห่อแล้วเอาผ้าขาวม้าห่ออีกชั้น แล้วเอาคาดสะเอว รีบฉวยหาบขึ้นบ่าเดินเลาะไปตามริมหนองเพื่อเก็บสายบัว ทันใดนั้นนายสอนต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเจอเข้ากับเสือใหญ่อย่างจัง เมื่อมันเห็นนายสอนยืนอยู่ใกล้หนองน้ำ นายสอนเห็นดังนั้น ก็ชักมีดเหน็บปลายแหลมออกเตรียมป้องกันตัว จะหนีก็ไม่พ้น จำใจต้องสู้แม้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เป็นห่วงแต่แม่คนเดียวเท่านั้น  

เจ้าเสือเห็นได้จังหวะก็เผ่นเข้ากัดทันที นายสอนก็เอี้ยวตัวเอามีดแทงถูกที่ต้นคอ เจ้าเสือยิ่งโกรธจัดเพราะถูกแทงจนเลือดสาด มันเผ่นเข้าใส่อย่างบ้าเลือด นายสอนหลบไม่ทัน จึงจ้วงแทงไปตรงหน้าเสือ ถูกที่แสกหน้าอย่างจัง เจ้าเสือถูกแทงถึงสองแผลแล้ว มันก็แผดเสียงลั่นด้วยโทสะของมัน แล้วก็เผ่นเข้าใส่นายสอนอย่างรวดเร็ว ไหนจะทานกำลังของมันได้ จึงเสียทีถูกมันฟัดอย่างเต็มที่ แล้วก็ฟัดเหวี่ยงเต็มที่ จนแขนขาดติดอยู่ที่ปากของมัน นายสอนเห็นเช่นนั้นก็ลุกวิ่งโดดลงไปในหนองแล้วดำน้ำหนีไปอยู่กลางหนอง เจ้าเสือก็ออกวิ่งตามไป เมื่อมันเห็นว่าจะทำอะไรนายสอนไม่ได้ มันก็กลับเอาแขนของนายสอนกินจนเกลี้ยง แล้วก็บ่ายหน้าเดินตรงไปที่ซากกวางของมันอีกครั้ง เมื่อนายสอนเห็นเสือไปนานแล้ว แน่ใจว่ามันคงไม่กลับมาอีก จึงขึ้นจากหนองน้ำหาทางลัดรีบกลับบ้าน ประมาณสองยามก็ถึงบ้านแต่อาการหนักมาก นายสอนนอนสลบอยู่แถว ๆ รั้วบ้านของตนเองยายแผ้วเป็นน้องของยายผ่องเป็นห่วงพี่สาวของตน เพราะยายผ่องร้องไห้ไม่หยุดเป็นลมหลายครั้งเพราะเป็นห่วงลูก  

วันรุ่งขึ้นเช้ามืด ยายแผ้วเตรียมต้มข้าวต้มเสร็จแล้วก็ออกจากบ้านเอาไปให้พี่สาวของตนกิน เมื่อจวนจะถึงประตูรั้ว เห็นคนนอนตะแคง มีเลือดเกรอะกรังไปทั้งตัวก้มลงมองดูหน้า จำได้ว่าเป็นนายสอนหลานของแก จึงรีบเข้ารั้วขึ้นเรือน ตะโกนบอกยายผ่องว่า สอนกลับมาแล้วแต่นอนสลบอยู่นอนรั้ว ยายผ่องได้ยินว่าลูกกลับมาแล้ว แกก็ลุกจากที่นอนรีบเดินไปหาลูกทันที ยายแผ้วก็เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันหามนายสอนขึ้นบนเรือนแล้วให้หลานชายไปตามหมอคล้ายมาบำบัดปัดรังควานโดยเร็ว ประมาณครึ่งชั่วโมงนายสอนก็ฟื้น เบื้องต้นนายสอนก็แก้ผ้าขาวม้าออกจากสะเอวแล้วส่งให้ยายผ่อง บอกให้แม่เอาเนื้อกวางไป แม่เฒ่าถามว่าได้เนื้อมาจากไหน นายสอนก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนจนละเอียด อีกสองชั่วโมงต่อมานายสอนก็ถึงแก่ความตายยายผ่องเป็นหญิงชราอนาถาไร้ที่พึ่ง แกก็ต้องดิ้นรนหาทางช่วยชีวิต ตามแบบและสติปัญญาของแก คุณยายได้ไปที่ว่าการอำเภอ ขอร้องให้นายอำเภอจับเสือมาลงโทษให้ได้

นายอำเภอแสงผู้พิทักษ์มวลชนได้ยินยายผ่องขอให้จับเสือมาทำโทษแทนลูกของแกก็นึกแปลกใจ ตั้งแต่เป็นนายอำเภอมาหลายปี ยังไม่เจอกับคดีเช่นนี้ เมื่อนายอำเภอเห็นว่า แกพูดถูกและสงสารแกมาก จึงรับปากว่าจะจับเสือมาทำโทษให้ตามความประสงค์ แล้วให้คนไปตามปลัดโต ซึ่งมีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ดีที่สุดมาหาทันที เมื่อปลัดโตไปหานายอำเภอก็แจ้งเรื่องให้ทราบ ปลัดโตก็รับปากทันที สามวันผ่านไป ขบวนล่าเสือของนายปลัดโตออกตะลุยป่าหลายทิศหลายทาง ถึงจะมีคนมากก็ตาม เมื่อปลัดโตประกาศว่าจะล่าเสือ ก็ขันอาสาเข้าร่วมขบวนตะลุยพยัคฆ์ร้ายกันมากเริ่มวันที่สี่ก็ยังไม่ได้วี่แววหรือร่องรอยเลย เป็นอันว่าปลัดโตต้องประชุมพรรคพวกกันอีกครั้ง ตกลงที่ประชุมให้ยกขบวนกลับเสียก่อน เมื่อพรรคพวกพากันกลับแล้ว ปลัดโตเท่านั้นที่ยังไม่ยอมกลับบ้าน ได้แวะไปนมัสการหลวงพ่อบุญฤทธิ์ในพระอุโบสถ และนมัสการหลวงพ่อพระร่วงในพระวิหาร วัดมหรรณพาราม อ้อนวอนหลวงพ่อทั้งสองพระองค์ ขอให้ทรงช่วยดลบันดาลจับเสือร้ายให้ได้ การจับก็ขอรับรองว่าจะไม่ฆ่าเสือเป็นอันขาด ถึงแม้เสือจะทำร้ายก็ตาม ขอให้หลวงพ่อพระร่วงทรงช่วยกล่อมใจเสือร้าย ให้กลายเป็นเสือเลี้ยงให้ได้ ถ้าจับลูกเสือไม่ได้คราวนี้ลูกต้องลาออกจากตำแหน่งราชการทันทีเมื่อนายปลัดโต ได้กล่าวคำพรรณนาให้หลวงพ่อฟังจนหมดสิ้นแล้ว ก็กราบนมัสการลาหลวงพ่อออกจากพระวิหาร แทนที่จะกลับไปอำเภอ เพื่อรายงานเสียก่อนแต่กลับเดินอ้อมไปทางหลังวัด ถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็นั่งพักนั่งคิดอยู่สักพักหนึ่งก็หลับไปครั้นลืมตาตื่นขึ้นต้องสะดุ้งตกใจแทบขาดใจ เห็นเสือนอนหมอบอยู่ตรงหน้า คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นคิดจะสู้ก็สู้ไม่ไหว เพราะเอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ มีดก็วางไว้ห่างตัว จะลุกขึ้นเอาปืนยิงก็กลัวไม่ทันเสือ ได้แต่นั่งนึกภาวนาถึงหลวงพ่อพระร่วงขอให้ช่วยชีวิตและขอให้ทรงช่วยเปลี่ยนใจเสือให้กลับเป็นใจคน ให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีให้จับเสือได้ง่าย ๆ เหมือนจับลูกแมว เสร็จอธิษฐานแล้วเห็นอาการของเสือไม่มีร่องรอยแห่งความดุร้ายเหลืออยู่เลย มันทำตาริบหรี่คล้ายกลับยอมให้จับโดยดี  

ปลัดแกล้งขู่สำทับว่าเจ้าเสือร้ายเจ้าฆ่านายสอนใช่หรือไม่? เสือพยักหน้ารับว่าจริงปลัดโตก็ว่า เจ้าเป็นตัวจริงแน่หรือ? เสือก็ก้มหัวให้ดูแผลที่ถูกนายสอนแทงที่หน้าผากแผลยังไม่หายมีรอยเลือดเกรอะกรังติดอยู่ที่หน้าที่ต้นคอ ปลัดก็แน่ใจว่าเป็นตัวจริง เพราะรู้ว่านายสอนแทงเสือถูกที่หน้าผากกับต้นคอ ปลัดก็เอาเชือกผูกคอเสือแล้วจูงเสือไปที่ว่าการอำเภอ เมื่อถึงอำเภอก็ผูกเสือไว้กับเสา แล้วเข้าไปบอกนายอำเภอ นายอำเภอแสงตกใจร้องบอกให้ช่วยกันปิดประตูอย่าให้มันเข้ามาได้ ปลัดบอกว่ามันไม่ดุ ไม่กัดใคร ๆ ทั้งนั้น เมื่อนายอำเภอแน่ใจแล้วปลัดก็จูงเข้าไปที่ว่าการ แล้วสั่งให้ไปตามยายผ่องทันที นายอำเภอก็เริ่มพิจารณาคดี พูดเสียงดังถามเสือว่าเจ้าฆ่านายสอนตาย แล้วเอาแขนไปกินข้างหนึ่งจริงหรือไม่ เสือก็พยักหน้ารับว่าจริง เจ้ารู้ไหมว่าอาญาแผ่นดินตราเป็นกฎมายไว้สำหรับลงโทษผู้กระทำผิด เสือก็ก้มหัวรับรู้ นายอำเภอบอกว่า เจ้าจงฟังคำตัดสินเดี๋ยวนี้ เมื่อตัดสินต้องยอมรับโทษทันที เสือก้มหัวยอมรับ นายอำเภอก็แจ้งโทษให้ฟัง แล้วตัดสินประหารชีวิตทันที เสือก็ก้มหัวยอมรับโทษตามคำตัดสิน ลงนอนหมอบราบกับพื้นหลับตาเฉย แต่มีน้ำตาไหลซึม นายอำเภอ ปลัดโต และใคร ๆ ที่ยืนมุงดูอยู่แน่นอำเภอ เมื่อเห็นอาการของเสือเช่นนั้น ต่างก็สงสารบางคนน้ำตาไหล ไม่มีใครสักคนที่จะโกรธแค้นเสือ มีแต่สงสารไม่อยากให้นายอำเภอฆ่า เพราะมันแสดงอาการแสนที่จะสงสาร

ฝ่ายยายผ่องเมื่อฟังคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิตเสือ ได้เห็นอาการของมันทุกอย่าง และเห็นมันหมอบลงรับคำตัดสิน พร้อมกับเห็นน้ำตาไหลซึม อาการที่เคยโกรธเสือมาก่อน ก็พลันหายไปจนหมดสิ้น ยายผ่องร้องไห้แล้วพูดกับนายอำเภอว่า ขอชีวิตเสือไว้เถิดอย่าได้ฆ่ามันเลย ฉันไม่ขอเอาเรื่องโกรธแค้นกับมันอีกต่อไปแล้ว และขอให้นายอำเภอยกเสือตัวนี้ให้เป็นลูกของฉัน แทนลูกที่ตายไปแล้ว นายอำเภอแสงกับปลัดโต ซึ่งมีความสงสารมันเหมือนกับคนอื่น ๆ

เมื่อได้ฟังคำขอร้องของยายผ่องเช่นนั้นก็รีบฉวยโอกาสตัดสินใหม่ทันที บอกกับเสือว่า จงฟังคำตัดสินใหม่ เสือก็ผงกหัวยอมรับฟัง นายอำเภอตัดสินว่า เมื่อเจ้ายอมรับผิดโดนดีแล้ว ก็ยกโทษประหารให้ แต่เจ้าต้องเป็นลูกของยายผ่อง และต้องรับเลี้ยงดูแกแทนลูกชายที่ตายไป เสือก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพยักหน้าอยู่หลายครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นการชำระคดีแปลกประหลาดแล้ว นายอำเภอก็สั่งปิดศาลทันที ตั้งแต่ยายผ่องได้เสือมาเป็นลูกแทนนายสอนแล้ว ก็มีความสุขยิ่งกว่าเดิมหลาบเท่า เพราะเสือมิได้อยู่เฉย ๆ เข้าป่าหาอาหาร กัดเอาหมูบ้าง เอาเก้งบ้าง กวางบ้าง และจับสัตว์อื่น ๆ บ้าง เอามาให้ที่รักของมันอยู่เป็นนิจ แกก็แล่เนื้อกินบ้าง เอาเนื้อสดเนื้อแห้งขายชาวบ้านร้านค้าบ้างมิได้ขาด ยายผ่องตั้งชื่อเสือว่าสอนแทนลูกที่ตาย ในละแวกบ้านย่านนั้นไม่มีขโมยเลย แต่ก่อนหน้าเสือมาอยู่ ข้าวของเป็ดไก่ ไร่ผักมักจะหายกันบ่อย ๆ ถ้าวันไหนคืนไหนเสือไม่เข้าป่า มันจะส่งเสียงร้องคำรามดังไปไกล ทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่เจ้าพวกหัวขโมยไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ชาวบ้านร้านตลาดพลอยอยู่เย็นเป็นสุขไปด้วย

วันหนึ่งเสือเข้าป่าแล้วหายไปถึงสามวันยังไม่กลับ ทำให้ยายร้องไห้คิดถึงไม่เป็นอันกินอันนอน ความทราบไปถึงนายอำเภอกับปลัด ทั้งสองคนรีบมาเยี่ยมทันที นายอำเภอขอให้ปลัดช่วยตามเสืออักครั้งเพื่อช่วยชีวิตยาย ปลัดโตก็ออกเดินทางไปเพียงคนเดียว เพราะถือว่าไม่มีอันตรายใด ๆ จากสัตว์ แล้วไปพบคนกลุ่มหนึ่งกำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า ปลัดโตเห็นคนกลุ่มนั้นก็จำได้ว่าเป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น ต่างก็สนทนากันอยู่สักพักหนึ่ง ชายกลุ่มนั้นถามปลัดโตว่ามาทำไมในป่าคนเดียว ปลัดตอบว่ามาตามเสือ ชายกลุ่มนั้นบอกว่าพวกเขากำลังไล่ล้อมยิงเสืออยู่เหมือนกัน ปลัดถามว่าเสือมีลักษณะอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ปลัดบอกว่าเป็นเสือตัวเดียวกันกับที่ตนกำลังตามหาและขอร้องมิให้ยิง ชายกลุ่มนั้นบอกว่าตามล่ามันมาสามวันแล้ว เพราะเสือตัวนี้ดุร้ายมาก เป็นอันว่าชายกลุ่มนั้นรับคำว่าไม่ล่าเสือตัวนี้อีก อีกสักครู่หนึ่งเขาเหล่านั้นเห็นเสือวิ่งลัดพุ่มไม้อยู่ข้างหน้า ปลัดก็ออกตามตะโกนเรียกชื่อมันอย่างดัง บอกกับเสือว่าให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว เพราะยายผ่องเสียใจมากกำลังรออยู่ที่บ้านไม่ต้องกลัวใครยิงอีกแล้ว สักครู่ใหญ่เสือก็มาถึงตรงไปหายายเห็นแกเป็นลม มันก็หมอบเอาคางเชยที่เท้า ยายผ่องได้สติฟื้นขึ้นมองเห็นเสือก็ดีใจเอามือลูบหัวแล้วถามมัน ปลัดก็เล่าเรื่องที่โดนนักล่าสัตว์คอยดักยิงมันต้องหนีเตลิดเข้าป่าลึกเพื่อเอาตัวรอด มิเช่นนั้นก็ถูกยิงตายแน่ เสืออยู่กับยายผ่องประมาณเจ็ดปี ยายก็ถึงแก่กรรม เมื่อมันเห็นยายแม่ของมันเป็นลมตายเสียแล้ว มันก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด เมื่อครบสามวันแล้วจึงช่วยกันเผา จัดทำเชิงตะกอนเตี้ย ๆ ขนเอาฟืนมามาก เผาศพเป็นกองไฟใหญ่ เผากันจริง ๆ ใครมีฟืนเท่าไรก็เผาจนหมดในระหว่างไฟกำลังโหมลุกเต็มที่อยู่นั้น เสือซึ่งมีอาการหงอยเหงาเศร้าซึมมาหลายวันแล้ว น้ำตาไหลเป็นทางมันจะนึกอย่างไรไม่ทราบ ก็ออกวิ่งวนไปรอบ ๆ กองไฟ ไม่รู้ว่ากี่รอบ ส่งเสียงร้องอยู่เรื่อย วิ่งไปร้องไป และขณะร้องคร่ำครวญอยู่นั้น ได้กระโจนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง ถูกไฟเผาดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่งก็ตายตามที่แม่รักไป ยอมพลีชีพบูชาแม่ด้วยชีวิต ซึ่งอาจมีมนุษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้น จะกล้าเสียสละอย่างนี้ได้ ทำให้คนตกใจส่งเสียงร้องด้วยความหวาดเสียวและสงสาร  

๗ วันผ่านไป การเผาศพระหว่างแม่ผู้เป็นมนุษย์กับลูกผู้เป็นสัตว์ ชาวบ้านรวมทั้งนายอำเภอแสงกับปลัดโตปรึกษากันว่าจะสร้างศาลให้เสือ ผู้มีความจงรักภักดีต่อแม่เฒ่าผ่อง ถือว่าเป็นสัตว์พิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะร่างกายกับชีวิตเท่านั้นที่เป็นเสือ แต่ดวงจิตสูงส่งเป็นอัจฉริยจิต สถิตด้วยแสงธรรมการสร้างศาลประดิษฐานรูปเสือ ผู้คนสละทรัพย์สละแรงงาน ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นจำนวนมาก สร้างใกล้ ๆ บริเวณหน้าวัดมหรรณพาราม เอากระดูกเสือบรรจุในแท่นปั้นรูปประดิษฐานบนแท่นอย่างสง่าน่าเกรงขาม อัญเชิญดวงวิญญาณเสือ ขอให้เป็นเทพเจ้าสิงสถิต ณ ศาลวิมานทองแห่งนี้ตลอดกัลป์เป็นนิรันดร ขอให้ปกปักรักษาประชาราษฎร์ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ทำมาหากินซื้อง่ายขายคล่อง เจริญสุขทุกทิวาราตรี เมื่อฉลองเสร็จแล้วติดแผ่นป้ายไว้ที่หน้าศาลจารึกชื่อว่า ศาลเจ้าพ่อเสือ
นานมาแล้วอยากรู้คำตอบที่อยากรู้ จึงมาหาคำตอบที่วัดเน่งเนี้ยยี่ก็ไม่เจอจึงเดินทางกลับ แต่มาเจอคำตอบที่ร้านขายรูปปั้นเทพเจ้าแถววัด จึงทราบคำตอบว่าท่านตั่วเหล่าเอี๋ยนี่เอง สาธุสาธุสาธุ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้