ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1546
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อปานออกธุดงค์ - นมัสการพระพุทธฉาย

[คัดลอกลิงก์]
จากหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน

หลวงพ่อปานออกธุดงค์ - นมัสการพระพุทธฉาย

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงปู่ฤาษี วัดท่าซุง

เมื่อคณะธุดงค์ทั้งห้า มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข นมัสการพระพุทธฉาย และอยู่ในบริเวณนั้นรวม ๒ วัน เมื่อมีความอิ่มในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสมควรแก่ความประสงค์แล้ว ปูชนียสถานที่คณะธุดงค์ทั้งห้าต้องการนมัสการอีกก็คือ พระพุทธฉาย เขตสระบุรีเหมือนกัน แต่ต้องเดินทางไปทางตะวันออก และล่องใต้นิดหน่อย เรื่องทางที่จะไปเป็นภาระของหลวงพ่อปาน เมื่อก่อนออกเดินทางต่างก็เจริญพุทธานุสสติเพื่อเป็นการถวายความเคารพในพระพุทธเจ้า จนเข้าอยู่ในระดับฌานสูงสุดเท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ แล้วถอยสมาธิออกจากฌานมาตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิขั้นอุปจารสมาธิ่ พิจารณาวิปัสสนาญาณเต็มระดับ คือ ปล่อยหมด เห็นว่าโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก ไม่มีอะไรน่ารักน่าพอใจ มีอารมณ์ยึดพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่ออารมณ์ละเอียดปลดได้ตามความพอใจแล้วก็เข้าฌาน ๔ ในสมถะใหม่ ทำให้ฌานกลายเป็นผลสมาบัติไป เมื่อความอิ่มในพระพุทธบารมีเต็มตามความพอใจแล้ว ทุกท่านก็นมัสการอีกวาระหนึ่ง ทำวัตรขอขมาโทษหากจะพึงมีการพลั้งพลาดเพราะประมาทหรือด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถ้าหากจะพึงมี เป็นการป้องกันความผิดไว้ก่อน แล้วแต่ละท่านก็ออกเดินทางไปพระพุทธฉาย การเดินทางรอนแรมจากพระพุทธบาทไปพระพุทธฉายระยะทางไม่ไกลนัก แต่คณะธุดงค์ชุดนี้ก็เดินทางอย่างพระธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงคือค่อยไป เดินประมาณวันละ ๕ กิโลเมตร ไปตามสบาย พักตามสบาย เพราะสมัยนั้นไม่มีอะไรไม่สบาย ไม่ผ่านตัวเมืองสระบุรีเพราะไม่ต้องการพบบ้าน ไม่อยากรบกวนอาหารจากชาวบ้าน ได้อาศัยอาหารจากต้นไม้เป็นอาหารหลัก แต่ก็ไม่สมาทานเป็นลิงขึ้นยอดไม้เพื่อเก็บผลไม้รับประทาน ด้วยคณะธุดงค์เชื่อว่าเทวดาประจำต้นไม้มี ไม่ใช่เป็นเรื่องของพราหมณ์พูดเล่นพล่อย ๆ เมื่อเชื่อว่าต้นไม้มีเทวดาก็เลยถือโอกาสขอข้าวจากเทวดากิน เพราะเทวดาไม่ต้องหุงข้าว แกคงไม่ลำบากนักเมื่อขอจริง เทวดาก็มีอาหารให้จริง เมื่อได้เท่าไรก็ตาม กินแล้วอิ่มพอดีตลอดทั้งวัน และอิ่มจนกว่าจะถึงรอบใหม่ ไม่หิว ไม่เพลีย แม้น้ำก็ไม่กระหาย ใครว่าเทวดาตามต้นไม้เป็นเทวดาพราหมณ์ก็ช่างปะไร จะเป็นเทวดาพราหมณ์หรือเทวดาพุทธ เราก็เอาข้าวกินได้ จะเสียหายอะไร เมื่อเดินทางโดยลัดตัดป่าเป็นสรณะ แปลว่า ที่พึ่ง คือ พึ่งป่า เพราะร่มรื่นไม่ร้อนจากแสงอาทิตย์มากนัก เป็นสถานสงัด ภาษาพระท่านเรียกว่า กายวิเวกคือสงัดกาย หมายถึงไม่หนวกหู ชาวบ้านคุยกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ยั่วเย้าเคล้ากามารมณ์กันบ้าง อาการอย่างนี้พระธุดงค์รำคาญ ด้วยมีความประสงค์สงัดกายเป็นอันดับแรก และต้องการความสงัดที่ ๒ ก็คือ จิตวิเวก ที่เอาศัพท์วัด ภาษาวัดมาเขียนและพูดไว้ก็เพื่อให้ลูกหลานที่ไม่ใคร่ได้เข้าวัดจะได้รู้ภาษาวัดไว้บ้าง ด้วยพวกนักคุยอวดวัดชอบใช้ภาษา แต่เขาไม่ใคร่ชอบใช้ปฏิปทา คือ พูดได้ แต่การปฏิบัติไม่ค่อยเอาไหน แม้พระนักเทศน์ที่เทศน์สอนชาวบ้านก็เถอะลองไปถามแกเข้าเถอะ ดีไม่ดีแกบอกว่าแกไม่ว่างทำเองเพราะงานสอนชาวบ้านมากเกินไปแกเลยไม่มีเวลาทำเอง พระอย่างนี้น่าเห็นใจท่านที่ชาวบ้านรบกวนเวลาท่านมาก ควรจะเลิกรบกวนท่าน เพื่อท่านจะได้สงเคราะห์ตัวเองสะดวก วิธีสงเคราะห์ก็คือไม่นิมนต์ท่านเทศน์หรือนิมนต์เทศน์ไม่ถวายเงิน เท่านี้ก็หมดเรื่อง ท่านจะได้ว่างทำเองเสียบ้าง หนวดเคราของท่านจะได้เกลี้ยงเกลาคล้ายหัวฉัน เธอดูหัวฉัน ๆ จะโกนหรือไม่โกนมันก็ล้านมากเข้าทุกวัน ฉันดีใจที่หัวฉันล้าน เพราะเป็นที่ยอมรับถือ กรรมฐานอันดับแรกที่ฉันบวช ท่านอุปัชฌาย์ท่านสอนว่าเกศา ผม มันไม่เที่ยง มันเกิดแล้วก็เสื่อม ตอนต้น ๆ ไม่เชื่อ เห็นมันดกดำดี หนาทึบ มาตอนนี้ชักเห็นจริงที่มันพยายามล้านมากขึ้นทุกปี ฉันดีใจที่กรรมฐานหัวฉันเป็นจริงตามที่ท่านอุปัชฌาย์ท่านว่า แอบมาคุยอวดหัวล้านเพลินไปเสียแล้ว ว่ากันด้านสงัดที่ ๒ คือ จิตวิเวก สงัดจิต ได้แก่ อารมณ์ฌาน เมื่อจิตจะเป็นฌานได้ต้องปราบนิวรณ์ ๕ สงบ เมื่อนิวรณ์ ๕ สงบจิตก็สงัดจากนิวรณ์ ท่านเรียกว่า ฌาน เมื่อกายวิเวกเพราะไม่มีเสียงชาวบ้านรบกวน อารมณ์ก็เป็นสมาธิง่าย เรียกว่าเข้าฌานสบาย เมื่อวิเวกทั้งสองได้แล้วก็ต้องการวิเวกที่ ๓ ต่อไป คือ อุปธิวิเวก แปลว่า สงัดกิเลส อันนี้ไม่ยาก เมื่อสมาธิดีแล้ว ทรงฌานเต็มกำลังได้แล้ว ก็เอาฌานเป็นบาท คือ ที่ตั้งอารมณ์ แสวงหาความจริงมาใคร่ครวญ ทรงอารมณ์ให้เห็นจริงตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องกล้วย ๆ ของท่านที่ทรงฌาน และไม่คิดว่าฌานเป็นของเลิศ พยายามแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตต่อไป พระที่เดินทางร่วมกับหลวงพ่อปานคราวนั้น เป็นพระทรงสมาบัติ ๘ ทั้งหมด เมื่อทรงสมาบัติ ๘ แล้ว เป็นพระทรงฌาน ๒ ในวิชชา ๓ ทั้งหมด ส่วนอภิญญานั้นใครจะทรงได้บ้างคณะของท่านไม่ได้บอก เมื่อเจ้าของไม่บอก ฉันจะแอบไปรู้เกินท่านบอกมันอาจจะเกินพอดีไป เขาจะว่าหัวล้านนอกครู หรือ หัวล้านทะเล้น ไม่รู้ดีกว่า จะได้ทรงความหัวล้านไว้เป็นปกติ คือ มันล้านแล้วมันจะได้ไม่มีผมยาวขึ้นมาอีก ฉันมันเลอะเทอะใหญ่แล้ว ลูกหลานรำคาญที่จะฟังหรือยัง วันนี้ฉันเผลอไป ลืมบอกไปว่าวันนี้เป็นวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ยังเช้ามาก พวกศาลในเมืองเขายังไม่มา ก็เลยหาโอกาสคุยกับลูกหลานแก้รำคาญไปพลาง ๆ แต่ทว่าทำให้ลูกหลานรำคาญหรือเปล่าไม่รู้ ใครรำคาญก็เฉยไว้ ไม่รำคาญก็ตั้งใจฟังต่อไป เรื่องพระพุทธฉายนี้ต่อไปข้างหน้ารบกันใหญ่ จะพบพระทะเลาะกับยักษ์ คำว่ายักษ์นี้ไม่ใช่ยักษ์ทศกัณฐ์ หรือยักยอก เป็นยักษ์ผี ฟังกันต่อไป เมื่อรอนแรมมาในระยะทางใกล้ ๆ แต่เดินไม่ใคร่ถึง เพราะเดินกันแบบธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงจะให้รีบไปพ้นป่า คณะนี้เป็นคณะอาศัยป่า สมาทานเป็นอรัญวาสีแท้คือไม่อยากเห็นบ้าน ไม่อยากกินข้าวชาวบ้าน เพราะรำคาญ ลำบากในการกินที่รสอาหารชาวบ้านมีกลิ่นคาว อาหารจากต้นไม้ไม่มีกลิ่นคาว กินแล้วอิ่มสบาย ไม่กระหายน้ำ ดีกว่าอาหารชาวบ้านเยอะ อ้ายสองลิงมันถึงไม่ยอมเข้าบ้านเข้าเมือง ชวนเท่าไรมันไม่เอา มันบอกว่ามันไม่ได้เป็นขี้ข้าชาวบ้าน มันอยู่ป่าของมันสบายกว่า ด้วยอาหารป่า การอยู่ป่าสบายบอกไม่ถูก เมื่อถึงพระพุทธฉาย เรื่องก็เป็นไปตามเดิม ท่านให้ทุกองค์เข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ฟังแล้วอย่าคิดว่ายากนะ เขาใช้เวลากันไม่ถึงครึ่งวินาทีก็เต็มแล้ว ด้วยปกติมันคอยจะเต็มอยู่แล้ว ยิ่งเดินป่าอารมณ์ยิ่งเต็ม ก่อนออกเดินต้องเข้าฌาน ๔ เต็มอัตราก่อน แล้วถอยมาตั้งอยู่ระดับปฐมฌานหรืออุปจารฌาน พร้อมที่จะเข้าฌาน ๔ ได้อย่างฉับพลัน เมื่อได้รับบัญชาว่าทุกองค์จงเข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ต่างก็ทราบว่าหลวงพ่อจะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉายอีกแล้ว ต่างก็เข้าฌาน ๔ ในอาโลกกสิณทันที ปับเดียวถึงเลย หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออก ลมหายใจมันก็หายไปเลย เป็นอันว่าฌาน ๔ มาถึงแล้ว ไม่เห็นยากเลย เมื่อท่านตรวจเห็นว่าทรงฌานดีอารมณ์สะอาด ท่านบอกให้ทดสอบเรื่องพระพุทธฉายว่าพระพุทธเจ้ามาฉายไว้จริงหรือเปล่า มีใครเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้ามาฉาย
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-21 17:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คณะสี่ลิงหน้าพลับพลาต่างก้ตรวจตามความสามารถ ผลงานที่เขียนไว้ตรงกัน คือ เห็นแถวบริเวณพระพุทธฉายเป็นเขตใกล้ทะเล มีคน ๒ คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สูง ผิวขาว หน้ามน ๆ อีกคนหนึ่งผิวดำ สันทัดคน ร่างเล็กกว่าคนก่อน เป็นหัวหน้าสร้างที่พักด้วยไม้เหลือง เสร็จแล้วมีพระนิมนต์พระพุทธเจ้ามาพร้อมด้วยพระสาวกไม่กี่รูป เมื่อพระองค์ทรงเทศน์จบแล้วจะกลับ เขา ๒ คนขอให้พระองค์ทรงทำของที่ระลึก ท่านเลยเนรมิตรูปท่านกับพระอัครสาวกทั้งสองไว้เพื่อให้เขาบูชา เมื่อผลงานปรากฏต่างก็ถวายอักษรสาร แต่ไม่ใช่ตราตั้ง เป็นสารผลงาน หลวงพ่อตรวจแล้วท่านชมว่าดี แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่าดีแล้ว พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก ทำเกือบตายท่านว่าห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว แล้วก็พวกที่เขาว่าเป็นฝ่ายคามวาสีไม่เอาไหนสักอย่ง ชาวบ้านเอาหนังสือสมถวิปัสสนาให้อ่าน เพื่อนบอกว่าไม่ว่าง ไม่ใช่ฝ่ายอรัญวาสี แกบวชของแกยังไง อุปัชฌาย์ไหนบวชให้ ไม่สั่งสอนกันเสียบ้างเลย ได้เงินค่าจ้างบวชแล้วก็หายไปหมด แบบเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่โผล่หน้าโผล่ตามาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเสียบ้างเลย ปล่อยให้พระในพุทธศาสนาขายหน้าไปตาม ๆ กัน พูดกับเขาได้ว่าตนเป็นฝ่ายคามวาสี พวกอยู่ในบ้านในเมืองเจริญสมถภาวนาไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ พวกที่เจริญสมถภาวนาต้องเป็นอรัญวาสี พวกอยู่ป่า ถามจริง ๆ เถอะ สมัยพระพุทธเจ้า พระคามวาสีมีจำนวนเท่าไรที่บรรลุอรหัตผล ฝ่ายอรัญวาสีมีจำนวนเท่าไร ท่านโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรท่านก็เป็นฝ่ายคามวาสี ทำไมท่านเป็นพระอรหันต์ได้ พระแบบนี้บวชอุปัชฌาย์ไหนนะ อยากรู้จริง ๆ ให้ท่านดูพระไตรปิฎกเสียบ้าง พระอย่างนี้มีมากเท่าใดก็ทำให้พระศาสนาเศร้าหมองมากเท่านั้น เลี้ยงขโมยเราก็เป็นขโมยด้วย เลี้ยงผู้มีอารมณ์สงเคราะห์ เราก็เป็นนักสงเคราะห์ด้วย เลี้ยงพวกทำลายศาสนาเราจะเป็นอะไร พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา พวกทรงสมาบัติ ๘ ได้วิชชา ๒ ใน ๓ อภิญญาไม่ทราบท่านได้หรือไม่ ด้วยท่านไม่ได้บอก หลวงพ่อท่านว่าเดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ตามขวางนิ้วของท่าน ท่านทำท่าให้ดู ไม่ใช่นิ้วฟุต แล้วพวกคามวาสีไม่เอาไหนเลย อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา กฎที่พระจำต้องทำไม่ใช่ว่าควรทำ คำว่าจำต้องทำมันเป็นกฎตายตัวหรือข้อบังคับ ตัวไม่ทำ ชาวบ้านทำได้ พระทำไม่ได้ มันไม่เลวเกินไปหรือหลวงพ่อ พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา ลืมถามหลวงพ่อท่านไป ดีไม่ดีพญายมเบื่อความเลวที่ไม่เอาไหนอาจจะปล่อยเป็นสัมภเวสีไปตามอารมณ์ก็ได้ เมื่อท่านสั่งให้พิสูจน์เพื่อฝึกซ้อมศิษย์ในด้านการใช้ญาณเพื่อผลในการช่วยตัวเองแล้ว ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะมาฉายไว้ จริงหรือไม่ค่ำวันนี้ก็รู้กัน ฉันจะพิสูจน์อย่างที่พระพุทธบาท เมื่อยามค่ำปรากฏการพิสูจน์ก็มีขึ้น พิธีอย่างเดียวกัน แต่ผลที่ปรากฏไม่ใช่ดวงดาว ปรากฏเป็นรูปพระพุทธเจ้าอย่างพระสงฆ์ ไม่ใช่แบบเชียงแสนหรือสุโขทัย อู่ทอง เป็นพระสงฆ์เราเอง สวยบอกไม่ถูก พระทุกองค์จำได้ เพราะเห็นเป็นปกติ มีรัศมีช่วงโชติพุ่งออกจากพระวรกาย สยงามมาก ดูเหมือนคล้ายเอานีออนไปประดับ แต่สวยกว่าแสงไฟฟ้ามาก มีพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรนั่งองค์ละข้าง ลืมตาดูสบาย ดูแล้วก็เกิดธรรมปีติ ไม่ต้องบรรยายดีกว่า พูดไปก็ซ้ำกัน รำคาญเปล่า ๆ เมื่อถึงเวลาดึกประมาณ ๒๔ น. เรื่องเวลานี้ต้องถือว่าไม่ตรงเสมอไป ต้องใช้คำว่าประมาณเพราะกะเอา ไม่มีนาฬิกา ใช้แต่นาฬิกากะ คือ กะเอาอย่างนั้นเอง เพราะฉันข้าวเวลาเดียว เรื่องอะไรจะต้องดูนาฬิกา เรื่องถึงไหน เมื่อไรไม่ใช่ธุระ ไปกันตามสบาย ไปตามอารมณ์ อยากไปก็ไป ไม่อยากก็พัก ไม่มีกำหนดแน่ว่าจะเดินเมื่อไร พักเท่าไร เมื่อเวลา ๒๔ น. ผ่านไป ต่างก็เข้ามุ้งนอนตามปกติ แต่ไม่มีใครหลับ เพราะธรรมปีติเบิกลูกตา พอเวลาผ่านไปประมาณ ๒ น. ดวงจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าเริ่มจะหาย เพราะท่านไม่อยากอยู่ตลอดคืน มีแสงดาวค่อยสว่างเต็มที่ ต่างก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานพูดในกลดของท่านว่า นั่นใครมายืนอยู่ข้างกลดพระเขียน ทุกองค์มองไปก็ไม่มีใคร เห็นแต่ต้นไม้สูงมาก สูงขนาดยอดยางเห็นจะได้ ต้นยางขนาดสูงนะ ไม่ใช่ต้นยางขนาดฟุตเดียว ต่างก็แปลกใจ ที่ตรงนั้นขณะปักกลดไม่มีต้นไม้แล้วต้นไม้นี้มามีขึ้นได้อย่างไร มองไปด้านบนเห็นกิ่งไม้สองกิ่งแกว่งไปแกว่งมา ดูท่อนล่างเห็นเป็นต้นไม้แฝด มีลำต้นสองต้นเบื้องล่าง แต่พอสูงขึ้นไปต้นไม้กลับรวมเป็นต้นเดียว มีกิ่งสองกิ่งแต่ก็ห้อยลงมาขาพับตามต้นแกว่งไปแกว่งมา ปลายกิ่งมีก้านสั้น ๆ กิ่งละ ๕ ก้าน มองสูงขึ้นไปบนยอดเห็นมีไฟแดง ๒ ดวง ทุกองค์มองดูอยู่ในกลด เมื่อเห็นทั่วตัวต่างก็ทราบว่าไม่ใช่ต้นไม้ เป็นยักษ์ ไม่มีใครสะดุ้ง เสียงหลวงพ่อปานถามต่อไปว่ามายืนอยู่ทำไม เจ้าหมอนั่นนิ่งสักครู่หนึ่งแล้วมันพูดว่า ผมขอพระองค์นี้ได้ไหมครับ พระองค์นั้นคือพระเขียนที่ร่วมทางไปด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เสียงหลวงพ่อตอบว่าไม่ได้ ญาติโยมเขาฝากมา จะเอาไปไม่ได้ เจ้าตาแดงสูงเหมือนต้นตาลมันยืนนิ่งสักครู่หนึ่ง มันก้มลงมองที่กลดพระเขียน เสียงมันพูดว่าไม่ให้ก็ไม่เอา ลาละ มันพูดแล้วมันก็เดินหายไปทางทิศตะวันตก
เมื่อเจ้าต้นไม้ประหลาดหายไปแล้ว ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานร้องถามมาว่า ใครไม่หลับบ้าง นิมนต์มาหาฉัน ทุกองค์ปรากฏว่าไม่มีใครหลับเลย และต่างก็ได้ยินหลวงพ่อปานพูดกับเจ้ายักษ์ดำ เห็นเหตุการณ์ตลอดเหมือนกันทุกองค์ เมื่อพระมาประชุมพร้อมกัน ท่านก็บอกให้พระทุกองค์ทราบว่า พระเขียนเข้าสู่เขตกาลมรณะ จะต้องตายตามวาระของอายุขัย แต่ทว่าอาศัยความดีที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ทรงสมาธิและวิปัสสนาญาณ ประกอบกับมาธุดงค์ เป็นกาลที่ท่านพอจะขอร้องเขาไว้ได้ชั่วขณะเดียว เมื่อกลับถึงวัดแล้วท่านบอกว่า อาจจะประวิงเวลาไม่ได้อีกนานนัก ขอให้พระเขียนและทุกองค์เตรียมตัวพร้อมที่จะตายได้ อะไรที่ไม่เกินวิสัยที่จะทำ นั้นคือ วิปัสสนาญาณ ให้ขยันหมั่นเพียรให้มาก ชำระจิตใจให้สะอาดเป็นปกติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงวาางภาระว่าเราของเราเสียให้สิ้น ด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของคือมรณภัยมันมาทวงคืน ทุกองค์รับคำสอนด้วยดี มีท่านหนึ่งในจำนวน ๔ ท่านถามท่านว่า หลวงพ่อทราบหรือไม่ว่าพระเขียนจะต้องเข้าระยะมรณะในวันนี้ ท่านบอกว่าท่านทราบมาก่อน ท่านทราบมาจากนายบัญชี ท่านรู้จักกับเขาดี ที่ชวนมาธุดงค์ด้วยและคุณเขียนก็เต็มใจมา ไม่ใช่ชวนมาประวิงเวลาเพื่อให้ตายช้า ชวนมาเพื่อให้ทำความดีให้สมควรแก่วาสนาบารมี ถ้าอยู่ที่วัดจะทำความดีไม่เท่ามาธุดงค์ แล้วท่านก็สอนอารมณ์วิปัสสนาย่อ ๆ เพียงให้คิดว่า เราไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เรามีพระนิพพานเป็นที่ไป ท่านให้พระเขียนเจริญอุปสมานุสสติ คือ การคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ ที่เขาให้ภาวนาว่า นิพพานัง นั่นแหละ
เมื่อสนทนากันไม่นาน มันอาจจะนาน แต่คณะธุดงค์อาจจะชุ่มชื่นในพระพุทธานุภาพและประสบกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบมาก่อน มองไปดูท้องฟ้าเห็นใกล้สว่าง มีท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่าที่มาทวงชีวิตพระเขียนเป็นใคร ท่านบอกว่ายักษ์ ถามว่าเขามาทวงเพราะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือ ท่านบอกว่าไม่ใช่ เขามาตามหน้าที่ เมื่อเขามีหน้าที่มารับเขาก็ต้องมา ถามท่านว่าถ้าพระเขียนตายเวลานี้จะไปทางไหน นรกหรือสวรรค์ หรือพรหมโลก หรือนิพพาน ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่พระเขียนจะชอบใจ ชอบใจอย่งไหนก็ไปได้ตามชอบใจ เมื่อตายแล้วจะไปทางไหนก็ไปได้ตามชอบ ท่านโคธิกะท่านเชือดคอตายเพราะเบื่อสังขาร มันป่วยเสมอ ท่านไปนิพพาน พระเขียนจะชอบใจอะไรก็เป็นเรื่องของเธอ ท่านเล่นใบ้หวยแบบนี้ไม่มีใครแทงถูก เมื่อถามพระเขียนเอง ท่านบอกว่าท่านเบื่อขันธ์ ๕ เบื่อชีวิต เบื่อหมดทุกอย่าง เมื่อท่านเบื่ออย่างนี้แล้วท่านจะลงนรกก็ตามใจท่าน
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-21 17:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอรุ่งสางท้องฟ้ามีสีทองปรากฏ คณะธุดงค์ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้ไปไกลเพราะเห็นมีต้นไม้ใหญ่มีสาขางามสะพรั่งไว้ตั้งแต่ตอนมาถึง ต่างก็มั่นหมายไว้แล้วว่าต้นนี้แหละเป็นโรงผลิตอาหารในวันพรุ่งนี้ อยู่ห่างจากที่ปักกลดไม่ถึง ๒๐ วา ต่างก็เอาบาตรไปแขวนตามเคย เมื่อได้อาหารมาแล้วก็ฉันกันหมดบาตร ความจริงได้มาประมาณ ๓ ทัพพีเท่านั้นเอง เมื่อฉันเสร็จทุกองค์ก็เข้าที่พักเพราะตลอดคืนไม่ได้หลับเลย เมื่อทุกองค์พักพอเหยียดกายเรียบร้อยก็เห็นพระเขียนเดินเข้าป่า เมื่อกลับมาไม่ถึง ๕ นาทีก็เดินไปอีก ต่างสงสัยถามว่าไปไหนมา ท่านบอกว่าไปถ่ายอุจจาระ ตอนนี้หลวงพ่อลุกขึ้นจากที่พัก เรียกพระเขียนเข้าไปใกล้ พระเขียนดูท่าทางเพลียมาก ท่านถามว่าท้องถ่ายกี่ครั้งแล้ว พระเขียนบอกว่า ๒ ครั้งแล้วครับ ท่านบอกว่าอีกครั้งเดียวก็หยุด ยังไม่ตาย มาเอายาหมู่ไปฉันเสีย เห็นท่านฝนกิ่งไม้กับฝาละมีหม้อดินที่ท่านเตรียมติดตัวไปด้วย เมื่อพระเขียนฉันแล้วก็ไปถ่ายอุจจาระอีกครั้งหนึ่งแล้วก็หยุดถ่าย ท่านบอกว่างไม่ตาย เตรียมตัวไว้ กลับไปวัดแกก็สบายก่อนฉัน ฉันต้องใช้หนี้กรรมอีกหลายปี แกดีกว่าฉัน สบายกว่าฉัน แล้วท่านก็สั่งให้พักผ่อนต่อไป เรื่องพระฉายก็เห็นจะจบกันเท่านี้ วันต่อไปฟังเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด เล่นเอาสบงจีวรหลุด เรื่องจะเป็นอย่างไรฟังวันหน้า วันนี้ฉันชักเหนื่อย ขอยุติเพียงเท่านี้..
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้