ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3395
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

10 อันดับของเหตุการณ์ลี้ลับแปลกประหลาดที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์?

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2015-1-21 15:42

บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังท้าทายวิทยาการปัจจุบัน
บางเรื่องมีการค้นคว้าจนหาที่มาที่ไปและคำอธิบายจนได้บทสรุป...
แต่มันจะตรงกับความจริงหรือไม่นั้น เราก็ยังไม่สามารถบอกได้ทั้งหมดใช่ไหมล่ะ?

และยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่ยังคงเป็นปริศนา...
แม้จะมีผู้คนที่ใฝ่รู้ และ พยายามหาคำตอบจากเรื่องราวเหล่านั้น
แต่มันก็ยังคลุมเครือ จนกระทั่งไม่มีคำตอบที่อธิบายได้ถึงเหตุและผลที่เป็นความจริง...

เราลองมาเรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นพร้อมๆกันดีไหมครับ....
วันนี้ผมจะยกมาให้ท่านลองศึกษาทั้งหมด 10 เรื่องราวด้วยกัน

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปกันได้เลย

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 10 Ice Woman

มนุษย์น้ำแข็งแห่งมินิสโซต้า




ในปี 1981 เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของเด็กสาววัย 19 ปีที่ชื่อ Jean Hilliard ยังคงสร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่....

เธออาศัยอยู่ในเมือง Lengby รัฐ Minnesota ... เหตุการณ์อันสุดแสนจะแปลกประหลาดและสุดมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในคืนวันที่อากาศหนาวเหน็บคืนหนึ่ง ซึ่งคืนนั้นอากาศได้ลดลง -25 องศา เธอประสบอุบัติเหตุรถยนต์ลื่นถไหลไปบนพื้นถนนที่เป็นน้ำแข็ง จากนั้นเธอจึงพยายามที่จะออกไปหาคนช่วย...



(รูปบางรูปไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง แต่เอามาประกอปการเขียนเฉยๆนะจ้ะ)

แต่เธอไปไม่ถึงไหนเพราะอากาศที่หนาวเหน็บทำให้เธอต้องติดอยู่ท่ามกลางหิมะจนกระทั่งเธอสลบไป
เมื่อเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็มาพบกับเธอในสภาพอันน่ากลัว...

เมื่อเธอถูกน้ำแข็งเกาะคลุมไปทั้งร่าง และร่างกายแข็งทื่อเหมือนปลาที่ถูกแช่แข็งในตู้เย็น แขนขาของเธอเหยียดตรงไม่สามารถขยับได้ ใบหน้าเธอแสดงถึงความเจ็บปวดและขาวซีดไปทั้งร่าง!!



พวกเขาจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มารับตัวเธอไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน  แพทย์คิดว่าเธอน่าจะไม่มีทางรอด เพราะน้ำแข็งได้เข้าไปในทุกส่วนของร่างกายแม้กระทั่งเซลล์ ซึ่งน้ำแข็งจะเข้าไปทำลายเซลล์ทั้งหมด รวมทั้งในสมองของเธอด้วย และถึงแม้เธอจะรอดชีวิตเธอก็จะไม่สมประกอบเพราะสมองได้ถูกทำลาย แขนขาก็อาจจะต้องตัดทิ้งเพราะมันน่าจะถูกน้ำแข็งเข้าไปทำลายส่วนของของเหลวภายในจนหมดสิ้น...



ไม่น่าเชื่อ หลังจากที่ทีมแพทย์ได้พยายามช่วยเธอ ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงเธอก็กลับตื่นขึ้นมาและชักอย่างรุนแรง...และหลังจากนั้นเธอก็กลับเข้ามามีสติอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเดินได้อย่างคนปรกติทั่วไป....



รูปของ Jean Hilliard ในวัยปัจจุบัน

49 วันต่อมาทางโรงพยาบาลก็ปล่อยให้เธอกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่อย่างปรกติสุข โดยไม่มีผลกระทบใดๆจากเหตุการณ์ครั้งนั้น... ทำให้วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่างตะลึงงึงงันไปเลยทีเดียว.... ผู้เชียวชาญคาดว่า เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นได้น้อยมากในคนทั่วไป พวกเขาคิดว่า เซลล์ในร่างกายของเธออาจจะมีความผิดปรกติหรือเกิดการกลายพันธุ์ไป จึงทำให้เธอสามารถรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้...

แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ดีที่สุด และมันก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป....

อั้ยยะ! แค่อันดับแรกก็เริ่มสนุกแล้ว... มา ... เราไปติดตามกันที่อันดับต่อไป





อันดับที่ 9 Iron Pillar of Delhi

แท่งเสาเหล็กอมตะอายุกว่า 1,700 ปีที่อินเดีย




เสานี้ตั้งอยู่ที่ กุตับมีนาร์ (กุตับ-ชื่อของกษัตริย์ กุตับอุดดินไอบัก มีนาร์-หอสูง) หรือเดิมชื่อ ปฤถวีสตัมภ์ (ปฤถวี-ชื่อของกษัตริย์ฮินดู สตัมภ์-เสา) เป็นหอสูงที่น่าจะถือเป็นเครื่องหมายของกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย...



เดิมพระเจ้าปฤถวีราช กษัตริย์ฮินดูทรงสร้างหอไว้สูงเพียง 95 ฟุต เพื่อให้ลูกสาวขึ้นไปดูแม่น้ำยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ในขณะสวดมนต์ ต่อมากษัตริย์กุตับอุดดินไอบัก ( Qutub ud-din Aibak) ซึ่งเป็นกษัตริย์มุสลิม ได้ปรับปรุงในปี พ.ศ. 1743 จากนั้นกษัตริย์องค์อื่นในราชวงศ์เดียวกันได้สร้างต่ออีกสองครั้ง ในปี พ.ศ. 1753 และ พ.ศ. 1779 กษัตริย์ฟิโรซ ชาห์ แห่งราชวงศ์ตุกลัขได้เสริมต่อจนเป็นรูปอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นศิลปกรรมแบบมุสลิมผสมฮินดูที่หาดูได้ยากความสูงของหอนี้รวมทั้งหมด 238 ฟุต แบ่งออกเป็น 5 ชั้น ภายในโปร่ง มีบันไดขึ้นไป 379 ขั้น...



มีระเบียบบังคับว่าห้ามขึ้นไปคนเดียว เพราะมีคนขึ้นไปกระโดดฆ่าตัวตายบ่อยๆ จึงยอมให้คนอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปได้ แต่ปัจจุบันห้ามขึ้น ในบริเวณกุตับมีนาร์ มีถาวรวัตถุเป็นศิลปะฮินดูเดิม แล้วมุสลิมมาสร้างเสริมเติมแต่งให้ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่น่าสนใจและมีผู้นิยมมาเยี่ยมชมในสถานที่แห่งนี้ คือ เสาเหล็ก ที่ทำด้วยเหล็กอย่างดีไม่เป็นสนิม เข้าใจว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ.800 หลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช



ที่เสามีคำจารึกเป็นภาษาสันสกฤต เป็นคำบูชาถวายพระวิษณุ การฝังเสาทำได้แน่นหนามาก  เล่ากันว่ากษัตริย์มุสลิมพยายามเอาปืนใหญ่ยิงใกล้ๆ ยังไม่โค่นไม่ร้าว รอยเสาที่ถูกปืนใหญ่ ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ความสูงของเสานี้ 32 ฟุต 8 นิ้ว (7 เมตร) เส้นผ่าศูนย์กลาง 16 นิ้ว เป็นที่เชื่อกันว่า ถ้าใครเอาหลังพิงเสานี้ แล้วเอาแขนโอบทางเบื้องหลัง จนมือจับกันได้ ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์หรือมีบุญวาสนา หรือหากทำดังนั้นแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ความปรารถนาใดๆ ที่ขอจะสัมฤทธิ์ผล



สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังหาคำตอบไม่ได้คือ ทำไมมันถึงไม่เป็นสนิม และอดทนต่อการผุกร่อนมานานกว่า 1,700 ปีได้... เสาได้ดึงดูดความสนใจของนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ เพราะมันมีความต้านทานสูงต่อการกัดกร่อน และที่น่าสนใจคือช่างเหล็กในสมัยโบราณใช้ส่วนผสมอะไรมาทำ ถึงทำให้มันแข็งแกร่งได้เพียงนี้ และถึงแม้วิยาการในสมัยปัจจุบันจะก้าวหน้าไปขนาดไหนก็ตาม ก็ยังหาคำตอบเกี่ยวกับเหล็กนี้ไม่ได้ แถมยังทำเลียนแบบไม่ได้เสียด้วย!!

โอโห้ หรือนี่มันจะเป็นเหล็กของเทพเจ้าในสมัยนั้นกันแน่นะเนี่ยะ!!
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 8 Carroll A. Deering

การหายสาบสูญของผู้คนบนเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่งอย่างลึกลับ




เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1921 เมื่อเรือกู้ภัยได้ค้นพบเรือขนสินค้าลำหนึ่งได้จอดนิ่งสนิทอยู่ที่บริเวณแหลมแห่งหนึ่งใกล้ๆกับชายฝั่งของ North Carolina และเมื่อพวกเขาไปถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อสำรวจบนเรือไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่เลย ทั้งๆที่อุปกรณ์ต่างๆยังอยู่ครบ แม้กระทั่งโต้ะอาหารและในโรงครัวยังมีการจัดการเตรียมอาหารเพื่อรับประทานกัน แต่ทว่าทำไมอยู่ๆ ทุกคนกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!!



เรือนี้เป็นเรือใบสำหรับบรรทุกสินค้าซึ่งมีลักษณะ 5 เสา ชื่อข้างๆเรือเขียนไว้ว่า Carroll A. Deering (คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง) ความยาว 255 ฟุต กว้าง 45 ฟุต สูง 26 ฟุต ต่อขึ้นในปี 1919 โดยบริษัท G.G.Deering ซึ่งเป็นบริษัทชำนาญการต่อเรือที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในสมัยนั้น มันถูกตั้งชื่อตามชื่อลูกชายเจ้าของบริษัท นาย William Merritt ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนบริษัทได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กัปตันเรือ ขนถ่ายสินค้าถ่านหินจาก Boston ไปส่งยัง Buenos Aires ประเทศอาร์เจนตินาและ Rio de Janeiro ประเทศบราซิล กัปตันวิลเลี่ยมแต่งตั้ง S.E. Merritt ซึ่งเป็นลูกชายเป็นต้นหน และจ้างชาวเดนมาร์กอีก 9 คนมาเป็นลูกเรือ



เรือออกเดินทางจากต้นทางในวันที่ 19 สิงหาคม 1920 แต่หลังจากออกเดินทางได้เพียงไม่นาน กัปตันก็เกิดอาการป่วยอย่างกะทันหัน จึงแวะเทียบท่าที่เมืองเล็กๆรัฐ Delaware ในวันที่ 22 สิงหาคม เพื่อส่งตัวกัปตันไปรักษาตัว เขาป่วยหนักเกินกว่าจะทำหน้าที่กัปตันได้ เขาจึงถูกส่งตัวไปรักษาโดยมีลูกชายคอยติดตามดูแล บริษัทจึงรีบส่ง Willis Wormell เข้ามาทำหน้าที่กัปตันคนใหม่ และว่าจ้าง Charles McLellan มาทำหน้าที่ต้นหนแทน....



กัปตัน Willis Wormell

ต่อมาวันที่ 8 กันยายน เรือได้เดินทางมาถึงปลายทางที่เมือง Rio de Janeiro หลังจากนำสินค้าลง ลูกเรือได้รับอนุญาตให้พักผ่อนตามอัธยาศัย กัปตันเรือได้พบกับกัป Goodwin เพื่อนเก่าของเขาเอง และในขณะนั้นเองที่เขาได้ปรับทุกข์ให้เพื่อนเก่าฟังว่า ต้นหนของเขาทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องและมักสร้างปัญหาให้ แต่โชคยังดีที่ช่างเครื่อง Herbert Bates เป็นคนมีฝีมือและไว้ใจได้...



วันที่ 2 ธันวาคม เรือออกเดินทางจากเมือง Rio de Janeiro เพื่อกลับสู่สำนักงานใหญ่เมือง Portland จนกระทั่งถึงต้นเดือนมกราคม 1921 กัปตันเรือได้สั่งให้แวะซื้อหาเสบียงบนหมู่เกาะ Barbados และเพื่อให้ลูกเรือได้มีเวลาพักผ่อน ซึ่งที่นี่เองปัญหาได้เริ่มต้นขึ้น ต้นหนเรือดื่มสุราจนเมามาย เขานินทาหัวหน้ากับ Hugh Norton กัปตันเรือสโนว์ว่าเขาต้องคอยดูเส้นทางให้กัปตันของเขาตลอดเวลาเพราะเขาสายตาไม่ดี แต่ก็ยังชอบมาแทรกแซงหน้าที่ของเขาไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือสั่งให้ลูกเรือทำอะไรกัปตันก็จะเข้ามายุ่งเสมอๆเหมือนกับว่าไม่ไว้วางใจเขา....



เมื่อเริ่มเมาหนักขึ้น ต้นหนก็วางอำนาจบาทใหญ่ขู่อาฆาตมาดร้ายว่าจะจัดการกัปตันก่อนจะเดินทางถึงเมือง Norfolk เหตุการณ์เริ่มบานปลายจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมตัวเขาออกไปนอนสงบสติอารมณ์ในห้องขัง ทางด้านกัปตันไม่ได้ถือสาเอาความแถมยังประกันตัวออกจากคุกอีกต่างหาก... ใจดีซะ ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม เรือได้เดินทางออกจากหมู่เกาะ Barbados และกำหนดเส้นทางการเดินเรือเพื่อมุ่งหน้ากลับเมือง Portland และหนนี้นั่นเองที่พวกเขาต้องเดินทางผ่านดินแดนอาถรรพณ์  “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า”



หลังจากนั้นในวันที่ 20 มกราคม เรือบรรทุกสินค้าของกองทัพสหรัฐ SS Hewitt นำวัตถุดิบสารเคมีที่ใช้ในการผลิตกระสุนปืน ออกเดินทางจากรัฐ Texas ไปส่งเมือง Portland ที่หมายปลายทางเดียวกันกับเรือ Carroll A. Deering เส้นทางการเดินเรือของเรือ SS Hewitt ใกล้เคียงกันกับเส้นทางของเรือ Carroll A. Deering ในวันที่ 25 มกราคม เรือ SS Hewitt อยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนเหนือของรัฐ Florida ประมาณ 250 ไมล์ กัปตันเรือได้วิทยุแจ้งสถานะว่าท้องทะเลเงียบสงบ เหตุการณ์ปรกติ และนั่นเป็นการติดต่อครั้งสุดท้ายก่อนที่เรือ SS Hewitt พร้อมสินค้าเต็มลำและลูกเรือ 42 คนจะอันตรธานหายไปเฉยๆในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า!!



วันที่ 29 มกราคม เรือ Carroll A. Deering ก็เดินทางมาถึงบริเวณแหลม Lookout มลรัฐ North Carolina สวนทางกับเรือประภาคารที่ทำหน้าที่ตรวจตราชายฝั่งและคอยระวังไม่ให้มีเรือ แล่นเข้าไปใกล้แนวสันทรายใต้น้ำในบริเวณนั้น นาย Thomas Jacobson กัปตันเรือของประภาคารสังเกตเห็นว่าเส้นทางการเดินเรือ Carroll A. Deering นั้นดูแปลกๆ เขาจึงใช้กล้องส่องทางไกลมองดู ก็พบว่าสมอเรือทั้ง 2 ข้างของเรือลำนั้นหายไป แต่เขากลับมองไม่เห็นชื่อเรือที่อยู่ระหว่างสมอเรือ....



และเมื่อมองไปยังหอบังคับการเรือ เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจที่เห็นลูกเรือจำนวนมากมาอยู่ในหอบังคับการ ซึ่งโดยปรกติแล้วผู้ที่จะอยู่ในหอบังคับการจะมีแต่กัปตันเรือกับต้นหนเท่านั้น ลูกเรือคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ให้อยู่ในหอบังคับการได้ เขาพยายามมองหาผู้ที่แต่งเครื่องแบบกัปตันและต้นหน แต่ก็ไม่พบว่าใครในกลุ่มแต่งเครื่องแบบ และในตอนนั้นเองที่เขาเห็นชายผมแดง รูปร่างผอมสูงโย่ง ตะโกนบอกว่าพวกเขาได้สูญเสียสมอเรือระหว่างเจอพายุบริเวณแหลม Fear ขอให้เรือประภาคารช่วยส่งวิทยุไปบอกบริษัทเจ้าของเรือให้ด้วย...



แต่ว่าวิทยุของเรือประภาคารเสีย จึงไม่สามารถจะรับส่งวิทยุติดต่อกับใครได้ เขาจึงเป่านกหวีด ซึ่งเป็นกฎการเดินเรือที่เรือทุกลำจะต้องชะลอความเร็วให้เรือประภาคารแล่นเข้าใกล้เพื่อติดต่อสื่อสาร แต่เรือ Carroll A. Deering กลับไม่ชะลอความเร็ว ในขณะที่เรือประภาคารมีความเร็วเพียง 5 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงไม่สามารถแล่นได้ทัน เขาจึงได้แต่ยืนมองตาปริบๆ โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือลำนั้นชื่อเรืออะไร... ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม Henry Johnson กัปตันเรือ SS Lek Elon รายงานว่า เขาพบเรือบรรทุกสินค้า 5 เสากระโดงแล่นตามอยู่ไกลๆเมื่อเวลา 15.30 น. และทิ้งหายลับตาไปราวเวลา 17.45 น. ขณะนั้นเรือของเขาอยู่ห่างจากแนวสันทรายใต้น้ำ Diamond ราว 25 ไมล์



แม้เขาจะมองไม่เห็นชื่อเรือ แต่จากลักษณะของมันทำให้เขาเชื่อว่าเรือลำนั้นคือ Carroll A. Deering ซึ่งมันยังคงกางใบแล่นโดยไม่แสดงความผิดปรกติใดๆ และดูเหมือนมันกำลังมุ่งหน้าไปในเส้นทางเดียวกันกับเรือของเขา ต่อมาเวลา 19.00 น. เรือ SS Lek Elon มองเห็นสัญญาณไฟเตือนภัยเขตแนวสันทรายใต้น้ำ Diamond ส่องสว่างมาจากเรือประภาคาร กัปตันเรือจึงบังคับเรือให้ออกห่างจากแนวอันตรายจนกระทั่งผ่านเลยเขตนั้นไปในเวลา 20.32 น. โดยมีเรือลำอื่นอีก 2 ลำแล่นขนานอยู่ห่างๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเรือที่ผ่านมาในบริเวณนั้นสามารถมองเห็นไฟสัญญาณเตือนภัยแนวสันทรายใต้น้ำ



แม้ว่ากลางดึกของคืนวันนั้นจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งก็รายงานว่าไม่เห็นแสงไฟของเรือลำ อื่นๆผ่านมาในบริเวณนั้นหลังจากเรือ SS Lek Elon ผ่านไปแล้ว จนกระทั่งเวลา 06.30 น. ในวันที่ 31 มกราคม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งก็ต้องตกใจสุดขีดที่เห็นเรือบรรทุก 5 เสากระโดงเกยตื้นอยู่บนแนวสันทรายใต้น้ำ เขารีบแจ้งเหตุไปยังหน่วยเหนือเพื่อขออุปกรณ์และกำลังคนกู้ภัย ไม่นานนักหน่วยกู้ภัยจากเมืองใกล้เคียงหลายคนระดมกำลังพยายามเข้ากู้เรือ หากแต่ขณะนั้นสภาพอากาศยังไม่เอื้ออำนวย มีคลื่นลมแรง หน่วยกู้ภัยจึงไม่สามารถเข้าใกล้แนวสันทรายใต้น้ำได้....



กว่าที่คลื่นลมจะสงบจนสามารถส่งหน่วยกู้ภัยเข้าไปได้ก็ล่วงเลยเข้าไปในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ สภาพลำตัวเรือยังคงอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ แต่ดาดฟ้าเรือถูกกระแสคลื่นกระแทกจนพังพินาศทำให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้าสู่ใต้ท้องเรือจนเต็ม ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรือเลยแม้แต่สักคน และที่สำคัญ สมุดบันทึกเอกสาร ปูมเรือ อุปกรณ์คำนวณเส้นทางและของใช้ส่วนตัวของลูกเรือหายได้ไปทั้งหมด!!

เรือกู้ชีพทั้ง 2 ลำหายไป แต่กลับพบว่า อาหารที่เตรียมไว้ยังไม่ถูกแตะต้อง บ่งบอกว่าลูกเรือได้รีบด่วนสละเรืออย่างกะทันหัน หน่วยกู้ภัยพยายามลากเรือออกจากแนวสันทรายใต้น้ำ แต่ด้วยสภาพคลื่นลมแรงประกอบกับปริมาณน้ำจำนวนมากใต้ท้องเรือทำให้เรือไม่ ยอมขยับเขยื้อน ในที่สุดวันที่ 4 มีนาคม ทีมกู้ภัยก็ยอมแพ้และจำใจระเบิดเรือทิ้งเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกับเรือลำอื่นๆ



ซากเรือหลังจากที่ถูกทำลายลงไป...

จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือ Carroll A. Deering และลูกเรือทั้ง 11 คน มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นหนเพียงคนเดียวจะก่อกบฏยึดเรือตามที่เคยขู่เอาไว้ด้วยฤทธิ์สุรา ถึงแม้เขาจะทำได้มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งเรือไป การเผชิญกับพายุกลางทะเลก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเรือที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งการหนีลงเรือเล็กท่ามกลางพายุนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาดเท่าไรนัก



ภายหลังปรากฏว่ามีเรือลำอื่นอีกอย่างน้อย 9 ลำสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงเวลาเดียวกันที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จึงทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับที่สุดที่ยังไม่มีใคร สามารถให้คำตอบได้จนถึงปัจจุบัน!!
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 7 The Hutchison Effect

ฮัทชิสันเอ็ฟเฟ็ก....พลังงานลึกลับแห่งจักรวาล




ในปี 1970 หลังจากที่นักฟิสิกส์วิศวะไฟฟ้าเครื่องกลนาม Nikola Tesla ได้เป็นผู้ค้นพบไฟฟ้ากระแสสลับ



Nikola Tesla

ก็มีนักคิดค้นนามว่า John Hutchison ซึ่งเขาอ้างว่าได้ค้นพบปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนในโลก โดยเขาพบว่าในโลหะ หรือสิ่งของต่างๆ มีพลังงานพิเศษแฝงเร้น  



John Hutchison "The Hutchison Effect"

ผลของการทดลองของเขาพบว่า เขาสามารถทำให้วัตถุต่างๆโดยเฉพาะพวกของแข็งลอยขึ้นไปบนอากาศในลักษณะต้านแรงโน้มถ่วง แถมยังทำให้มันแยกชิ้นส่วนออกมาเองได้อีกต่างหาก...เขาเรียกมันว่า "The Hutchison Effect" โดยนาย John Hutchison เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของ Nikola Tesla ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ เขาได้มีการทดลองซ้ำงานของ Nikola Tesla ในหลายๆผลงานที่ผ่านมา ครั้งหนึ่งเขาได้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆ ที่สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ซับซ้อน จนสามารถทำให้โลหะหนักลอยไปมาได้และพุ่งไปที่เพดานอย่างรวดเร็ว และบางชิ้นมันกลับแตกแยกตัวเองออกมา...



นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ นักทฤษฎีบางคนคิดว่าผลที่ออกมาน่าจะเป็นผลมาจากพลังงานตรงข้ามสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มันถูกยกเลิกอย่างกระทันหัน เนื่องจากการสร้างการไหลเวียนของพลังงานที่มีประสิทธิภาพของพื้นที่ แต่พวกเขาก็ยังไม่การันตีว่ามันสามารถนำมาใช้ให้เป็นพลังงานที่ถูกต้องได้จริงๆบนโลก ต่อมานักธุรกิจนาม George Hathaway ได้ยินเกี่ยวกับพลังงานลึกลับนี้ในปี 1980 เขาจึงติดต่อเขาเพื่อที่จะนำพลังงานนี้มาประยุกต์ใช้ในวิศวะกรรมการบินของแคนาดา หากแต่ว่าจากหลายปัจจัย ทั้งทางการเมืองที่แตกต่างกันทำให้เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไป...



เพราะนอกเหนือจากรัฐบาลแคนาดา ยังมีกองทัพสหรัฐที่ติดต่อมาเพื่อขอให้เขานำการทดลองไปใช้ในด้านกองทัพ เสียแต่ว่าหลังจากที่เขาเดินทางไปยังกองทัพสหรัฐ เมื่อกลับออกมาเขากลับปฐิเสธข้อเสนอมูลค่ากว่า 70 ล้านเหรียญไปเสียงั้น... จากนั้นเขาก็เดินทางไปยังเยอรมนีเพื่อความปลอดภัยบางอย่าง... และเขาก็ถูกใส่ร้ายจากการสร้างข่าวเท็จของกองทัพสหรัฐเพื่อดิสเครดิตอะไรบางอย่าง...



หลังจากใช้เวลานานหลายปี ของการทดลองการสาธิตและการบรรยายในประเทศอื่น ๆ เช่นสหรัฐอเมริกาเยอรมนีและญี่ปุ่นเขากลับไปยัง Vancouver ในปี 1991 และได้สร้างห้องทดลองของเขาในอพาร์ทเมนต์...



ห้องทดลองในอพาร์ทเม้นท์ของ John Hutchison

ต่อมานายกเทศมนตรี คนใหม่ได้เข้ามาบังคับให้เขาหยุดการทดลองในปี 2006 จากนั้นในปี 2010 เขาก็ถูกกดดันให้ทำลายห้องทดลองโดยอ้างถึงกฏหมายต่างๆมากมาย ทั้งเพื่อนบ้านที่ตกใจกลัวจากการทดลอง รวมทั้งกฏหมายความรั่วไหลทางด้านข้อมูลวิทยาศาสตร์ และไม่นานเขาก็ถูกจับกุมตัวและผลงานการทดลองต่างๆก็ถูกยึด... เขาได้รับการปล่อยตัวและรัฐบาลก็ปฐิเสธถึงผลงานการทดลองของเขาทั้งหมด แต่เขาก็ไม่สนใจ ยังคงยืนกรานในผลงานการทดลองที่จะทำต่อไปเพื่อมวลมนุษยชาติ....



หนึ่งในผลงานการคิดค้นของ John

ต่อมาองค์การ NASA ก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เขาได้หันไปพึ่งพา เช่นเดียวกับที่ทั้งอเมริกาเหนือที่เสนอจะแปรรูปสิ่งประดิษฐ์ที่เขาทำขึ้นมา เขาเชื่อว่าในโลกของพลังงานและความมหัศจรรย์ของการต่อต้านแรงโน้มถ่วงน่าจะมีความจำเป็นต่อประชาชนทั่วไป มากกว่าจะยกให้กับพวกมหาอำนาจนำไปใช้งาน....จากนั้นไม่นานรัฐบาลก็ได้ทำลายห้องปฏิบัติการแห่งที่สามของเขาอีกครั้ง มารอบนี้เขาถังแตก และไม่สามารถสืบสานการทดลองต่อไปได้...



แต่ทว่าต่อมาทีมนักวิจัยเยอรมันได้ทำซื้อห้องปฏิบัติการที่อยู่ในอพาร์ทเมนท์ของเขาทั้งหมดหลังจากที่ได้เห็นการสาธิตของเขา ทำให้เขามีเม็ดเงินพอที่จะใช้การแสดงของเขาบนถนนกับภรรยาใหม่ของเขา Nancy เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในรถบัสที่ถูกแปลงโฉมใหม่ให้กลายเป็นห้องปฎิบัติการ เขายังคงมีความหวังในสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า สักวันหนึ่งเขาจะสามารถลดภาระและความทุกข์ทรมานและเสริมสร้างชีวิตให้กับมวลมนุษยชาติทั่วโลก และลดทอนชนชั้นระหว่างคนรวย กับ คนจนลงมาให้ได้....



ในท้ายที่สุดรัฐบาลไม่สนใจจิตวิญญาณของเขาและทำลายความฝันของเขา แต่นั้นก็ทำให้เขากลายเป็นอิสระ และสามารถท่องเที่ยวไปทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังงานใหม่ที่เขาค้นพบ และหวังว่าสักวัน มันจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้... "The Hutchison Effect"



อั้ยยะ!! หรือนี่จะเป็นพลังงานที่กลุ่มมหาอำนาจพยายามแย่งชิงไปใช้เอง มันอาจจะเป็นพลังงานที่ต่างดาวใช้อยู่ก็เป็นได้.... สู้ต่อไปนะ John เราจะเอาใจช่วย!!!
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 6 Faces Of Belmez

ใบหน้าสยองของมนุษย์ผุดบนฝาพนังบ้านได้เอง ที่ประเทศสเปน




เหตุการณ์ลึกลับแปลกประหลาดอันโด่งดังนี้เกิดขึ้นเมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่าเธอได้พบกับหน้ามนุษย์โผล่ออกมาจากฝาผนังบ้านอย่างประหลาดในห้องครัวของเธอ สามีและลูกของเธอจึงพยายามทำลายใบหน้านั้นด้วยขวานมาเลาะออกและนำปูนมาโปกทับเข้าไปใหม่ แต่ปรากฏว่าไม่นานใบหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นอีก โดยส่วนใหญ่มันมักจะปรากฏบนพนังคอนกรีตของบ้านเธออย่างต่อเนื่องและบางครั้งมันก็อันตธานหายไปซะอย่างนั้น...ใบหน้าเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็นระยะไม่สม่ำเสมอ หน้าแต่ละหน้าจะไม่เหมือนกัน จะมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน มีทั้งชายและหญิง และการแสดงออกทางสีหน้าแตกต่างกันออกไปอีกด้วยนะ...



María Gómez Cámara ซึ่งปัจจุบันเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว...

ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นในบ้านของ Bélmez de la Moraleda ที่ตั้งอยู่ในถนนหมายเลข 5 เมือง Jayan ประเทศสเปน โดยมันเริ่มต้นในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่ามีการพบหน้ามนุษย์ประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในห้องครัวของเธอที่ผนังซีเมนต์ และถึงแม้พวกเธอจะพยายามทำลายมันยังไง ไม่นานมันก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อีกหลายหน้า แลดูสยดสยอง เพราะใบหน้ามีทั้งชายหญิงและแสดงสีหน้าท่าทางต่างกันออกไป....



ปัจจุบันบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยมในการถ่ายรูปและหลายสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเรื่องแปลกประหลาด ต่างก็เข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ว่านี้....



หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบนกระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว....



นักวิทยาศาสตร์ยังคงกังขาปรากฏการณ์นี้ ซึ่งพวกเขากล่าวว่ามันอาจจะเป็นการปรากฏการณ์ลึกลับที่แกล้งทำกันขึ้นมาเอง และพวกเขายังสันนิษฐานว่า มันอาจจะเกิดจากการล้างปูนซีเมนต์จนทำให้มีรูปร่างปรากฏออกมา ทั้งนี้ยังมีการมีวิเคราะห์มวล โมเลกุล ตัวอย่างซีเมนต์ในบ้านหลังนั้นและ สุดท้ายพวกนักวิจัยก็อ้างว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง



แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคนไม่เชื่อ และนักวิทยาศาสตร์บางคนโดนฟ้องอีกต่างหาก ทำให้การไขปริศนาปรากฏการณ์นี้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากมันได้สร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำในเมืองแห่งนี้....เอ่อ ซะงั้น



บางสิ่งก็อาจจะใช้วิทยาศาสตร์กล่าวอ้างได้ แต่กับบางสิ่งมันกลับไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิชาการใดๆ...โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อ และยิ่งความเชื่อนั่นได้รับพลังจากกลุ่มคน จนมากขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะมีการแก้ปัญหาจนกระทั่งค้นพบกับความจริง มันก็ไม่สามารถทำลายความเชื่อเหล่านั้นลงไปได้....

ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านๆละกันเน้าะ ส่วนผม...เชื่อนะ ว่าสิ่งลึกลับบนโลกใบนี้มันมีอยู่จริง...

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 5 Disappearing Lake

น้ำในทะเลสาปหายไปอย่างลึกลับที่ ประเทศชิลี




นี่เป็นเหตุการณ์สุดลี้ลับที่เกิดขึ้นที่ประเทศ Chile ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เกิดเหตุการณ์สุดแปลกประหลาด เมื่อน้ำในทะเลสาบขนาดใหญ่ใน Patagonia ได้อันตรธารหายอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงหลุมลึกขนาด 30 เมตร รวมทั้งซากน้ำแข็งและดินแห้งๆ....และมันจะไม่น่าแปลกใจเลย ถ้ามันเป็นเพียงแค่ทะเลสาปเล็กๆ แต่นี่มันเป็นทะเลสาปที่กว้างขนาด 5 ไมล์!!



แม้ว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นมานานกว่า 7 ปี แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่า น้ำพวกนั้นได้หายไปอย่างไร มีเพียงสมมุติฐานเดิมๆจากกลุ่มผู้ชื่นชอบ UFO ว่ามันน่าจะถูกยานต่างดาวลักลอบสูบหายไป....ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ใน Patagonia ประเทศ Chile ครั้งสุดท้ายที่นักธรณีวิทยาเห็นมัน คือในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2007 และก็ไม่มีพบอะไรที่ดูผิดปรกติ หรือพบว่ามันจะมีปรากฏแปลกที่เกี่ยวข้องกับทะเลสาบแห่งนี้เลย



มันจะเป็นไปได้ไหมที่น้ำจะเหือดหายไปภายในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ซึ่งตามปรกติของวิธีการตามธรรมชาติ น้ำก็อาจจะแค่เหือดแห้งไปตามภูมิอากาศ แต่มันก็เป็นเพียงน้อยนิด มันไม่มีทางจะลดฮวบลงไปจนเหลือแค่ก้นทะเลสาปได้แบบนี้....ครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นหลายคนคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องกุ เรื่องหลอกลวง จนกระทั่งนักสำรวจได้เข้าไปสำรวจและถ่ายรูปทะเลสาบเอาไว้ ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อภาพที่เห็นคือ ทะเลสาบที่เคยมีน้ำอยู่จนล้น กลับกลายเป็นเพียงหลุมแห้งๆขนาดใหญ่ ทิ้งไว้แค่เพียงก้อนน้ำแข็งและดินแห้งๆมีรอยแยกเกรอะกรัง...



ขั้นแรกที่นักวิชาการคาดไว้ว่า มันน่าจะเหือดแห้งไปตามรอยแยกของแผ่นดิน แต่นั้น มันหมายความว่า ในขณะนั้นจะต้องเกิดแผ่นดินไหวตามมา แต่ทุกคนยืนยันว่า ในช่วง 2 เดือนที่เกิดเหตุการณ์นั้น ไม่มีรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในบริเวณนั้นเลย!!



ภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาป ก่อนที่มันจะเป็นแค่อดีต

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านธารน้ำแข็ง Andres Rivera ได้อธิบายให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า มันอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันโดยธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปภูมิประเทศเอง จึงทำให้น้ำที่มีในทะเลสาปเหือดแห้งไปเองตามธรรมชาติ...แต่ก็นะ มันฟังดูไม่น่าเชื่อถือ สุดท้ายเมื่อไม่ได้รับการพิสูจณ์ ทฤษฐีนี้ก็ถือว่าเป็นอันตกไป....และในขณะนั้น หลายกลุ่มที่เชื่อถือเรื่องความลี้ลับอาถรรพ์ของภูติผีปีศาจโดยเฉพาะคนในท้องถิ่น ก็เชื่อได้ว่ามันอาจจะเป็นลางร้าย มาจากฝีมือของปิศาจ และในกลุ่มที่เชื่อเรื่องจานบิน มนุษย์ต่างดาว ก็กลับเชื่อว่า มันน่าจะเป็นฝีมือของพวกยานต่างดาวที่แอบมาสูบเอาน้ำไปเพื่อทำการทดลอง!!



จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปี ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายถึงเรื่องราวนี้ได้อย่างกระจ่างชัด มันจึงถูกยกให้เป็น 1 ในเรื่องราวลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ตราบจนถึงทุกวันนี้....

บ้านเขาน้ำหาย...บ้านเราน้ำป่าเพียบ หึหึ....

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 4 Raining Blobs

ฝนประหลาดตกลงมาเป็นน้ำมูกสุดสยอง ที่สหรัฐอเมริกา




ชาวเมือง Oakville ในรัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างต้องตกอยู่ในความประหลาดใจ เมื่อวันหนึ่งเกิดฝนตกขึ้น แต่แทนที่ฝนจะตกลงมาตามปกติในรูปแบบที่เป็นน้ำฝนมันกลับเป็น เมือกเหนียวๆคล้ายๆเจลวุ้น ลักษณะเหมือนน้ำมูกจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า!!



เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 1994 ใน Oakville รัฐ Washington เวลาประมาณ 03:00 น. ฝนเริ่มตกปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ในระยะ 20 ตารางไมล์ แม้ว่าฝนจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนในพื้นที่ แต่ทว่าเมื่อมันตกลงมา มันกลับเป็นสารอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นเมือกเหนียวๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต!!



เจ้าหน้าที่ David Lacey ซึ่งขณะนั้นเขากำลังขับรถลาดตระเวนกับเพื่อนๆตามปรกติ เมื่อฝนประหลาดตกลงมา เขาจึงเปิดที่ปัดน้ำฝน แต่แทนที่มันจะปัดออกเหมือนเช่นทุกครั้งมันกลับละเลงกระจกหน้ารถเขาซะจนมองไม่เห็นทาง เขาจึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในปั้มน้ำมันและพยายามทำความสะอาดมันด้วยตนเองหลังจากที่สวมถุงมือยางเพื่อความปลอดภัย เขาอธิบายถึงสิ่งที่เขาพบว่า มันเป็นสารที่ อ่อนมากลักษณะเหมือนก้อนเจลลี่ใสๆขนาดใหญ่....



เจ้าหน้าที่ Dotty Hearn บอกว่า หลังจากที่ฝนหยุดตก เธอได้ก้าวออกไปข้างนอก และสังเกตเห็นสารเมือกกระจายไปทั่วทุกที่ ในตอนแรกเธอเห็นเจ้าเหมือกนี้มีวัตถุคล้ายๆ เม็ดข้าวขนาดเท่าลูกเห็บอยู่ภายใน และเมื่อเธอสัมผัสกับมัน เธอสังเกตเห็นว่า พวกมันมีรูปร่างเหมือนน้ำมูกใสๆของมนุษย์.... โดยช่วงบ่ายวันนั้น ทั้ง David Lacey และประชาชนอื่น ๆ อีกมากมายได้เกิดอาการแปลกๆ หลังจากที่สัมผัสเจ้าเจลลี่ประหลาดเหล่านี้ โดยที่พวกเขารู้สึกหายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัวและคลื่นไส้



Beverly Roberts ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้กล่าวว่า ทุกคนในเมืองมีอาการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่กินเวลาสองถึงสามเดือน นอกจากนี้ทั้งแมวและสุนัขที่สัมผัสถูกเจ้าเมือกประหลาดต่างก็ล้มป่วยและเสียชีวิต  จึงมีการเก็บตัวอย่างเจ้าเมือกและส่งมันไปที่โรงพยาบาล ช่างเทคนิคในห้องปฏิบัติการตรวจสอบสารเคมีและพบว่ามันมีเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ แต่ไม่สามารถระบุว่ามันคืออะไรกันแน่... หลังจากนั้นตัวอย่างเมือกก็ถูกส่งไปที่กรมอนามัยแห่งสหรัฐอเมริกา...



เจ้าหน้าที่ Mike McDowell นักจุลชีววิทยาแห่งกรมอนามัยตั้งข้อสังเกตว่ามันเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียจำนวน 2 สายพันธุ์ รวมทั้งเชื้อที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ จากผลการวิจัยของเขา จึงมีข้อสรุปแรกว่า มันน่าจะเป็นเป็นของเสียที่ตกลงมาจากเครื่องบินโดยสาร....

แต่กฎระเบียบของรัฐบาลกลางการบริหารการบินกำหนดไว้ว่า ก่อนจะทิ้งของเสียจากเครื่องบิน พวกเขาจะต้องย้อมสีฟ้าเสียก่อน ในขณะที่วุ้นเจลลี่ที่ตกลงมานั้น กลับมีรูปร่างที่ชัดเจนอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้กฎระเบียบยังห้ามนักบินปล่อยของเสียในช่วงที่เกิดเหตุ จึงเป็นไปไม่ได้ว่า เจลลี่พวกนี้จะมาจากความผิดพลาดของนักบินในเวลานั้น...



หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี มีการวิเคราะห์ตัวอย่างที่ถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ โดย Tim Davis นักจุลชีววิทยาพบว่า มันเป็นสิ่งที่ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีความซับซ้อน และมีนิวเคลียสของสิ่งมีชีวิต นั่นหมายความว่าเจ้าเหมือกนี้เคยเป็นสิ่งมีชีวิตก่อนที่มันจะตกลงมาเป็นฝนประหลาด!! ทฤษฎีหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงคือการทำลายซากแมงกระพรุน และกำลังจะนำมันไปทิ้งทางเครื่องบิน แต่เกิดอุบิตเหตุจึงทำให้มันร่วงลงมา แต่ทฤษฐีนี้ก็ถูกตีตกไป เพราะถ้ามันเป็นซากแมงกระพรุนตายมันจะต้องเน่าเสียและมีกลิ่น แต่เจ้าเมือกนี้มันกลับสดสะอาดมากกว่าที่จะเป็นซากสัตว์ตาย...



ทฤษฐีที่น่าเชื่อถืออีกอันหนึ่งคือ การทดลองอาวุธลับของทางรัฐบาล โดยชาวบ้านบางคนเชื่อว่า ทางกองทัพกำลังคิดค้นอาวุธชีวะเคมีชนิดใหม่ และนำมันมาทดสอบอย่างลับๆกับมนุษย์ แล้วกุข่าวลวงขึ้นมา แต่ทางกองทัพก็ออกมาปฐิเสธข่าวดังกล่าว ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะมีการทดสอบทางชีวะเคมีใดๆเพิ่มเติม ก็ยังไม่พบว่า ในปัจจุบันจะมีใครสามารถผลิตเจ้าสารเมือกแบบนั้นได้อีก ซึ่งถือได้ว่า ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราพบกับมัน (หลังๆมาจะกลายเป็นฝนกบ ฝนเลือดแทน) และมันก็ยังเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ มาจนถึงปัจจุบัน!!
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 3 The Black Helicopter

ปริศนาเฮลิคอปเตอร์สีดำอันน่าสะพรึงกลัว




เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 1994 เกิดเหตุการณ์อันน่าตื่นตะหนกกับเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เมื่อมีเฮลิคอปเตอร์สีดำทะมึนดูน่ากลัว ได้บินไล่ตามเขาเป็นเวลากว่า 45 นาทีในเมือง Harrahan รัฐ Louisiana มันไม่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกว่ามาจากที่ไหน จุดประสงค์คืออะไร และเป็นของหน่วยงานใด มันมีสีดำทะมึนดูน่าขนลุก ที่สำคัญชายชุดดำที่อยู่ภายในก็ชี้อาวุธมายังเขาตลอดเวลา เขาหวาดกลัวมาก และเมื่อหนีไปจนมุม มันก็เดินลงมาจากฮ.และตรงมาที่เขาและชี้ปืนข่มขู่ เขาหลับตาลงด้วยความกลัว แต่ไม่นานมันก็เดินจากไป และหายไปจากบริเวณนั้น ทิ้งไว้ซึ่งความกลัวและความแปลกใจของหนุ่มวัยรุ่น ว่าด้วยเหตุผลกลใด เขาจึงตกเป็นเป้าหมาย และมันทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่!!....



สัปดาห์ต่อมากลุ่มคน​​ที่กำลังเดินทางโดยรถยนต์ ใกล้กับกรุง Washington ก็ได้ประสบเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวคล้ายๆกัน เมื่อพวกเขาถูกไล่เฮลิคอปเตอร์ปริศนาสีดำไล่ตามไปเป็นระยะทางหลายไมล์ พวกเขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เลย ในขณะที่คนขับรถพยายามที่จะหนีออกมาจากถนน ทันใดนั้นพวกมันก็โรยบันไดเชือกลงมาและผู้ชายในเครื่องแบบสีดำพร้อมทั้งอาวุธหนักก็ปีนลงมายังรถพวกเขา โชคดีที่วันนั้นมีการจราจรที่ค่อนข้างเป็นอุปสรรค จึงทำให้พวกมันต้องล่าถอยไปในที่สุด....



จากนั้นในปี 1995 เจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำก็มาบินอยู่เหนือฟาร์มของสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ในรัฐ Nevada และพวกมันก็ทำการฉีดพ่นสารบางอย่างที่ไม่รู้จักลงมาในพื้นที่ วันถัดมาสัตว์ในบริเวณที่ถูกฉีดพ่นสารก็ล้มตาย และหลายเดือนต่อมาพืชโดยรอบก็ยังคงได้รับความเสียหายอย่างชัดเจน หน่วยงานรัฐต่างก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆกับเฮลิคอปเตอร์ลึกลับ และเจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำลึกลับก็ดูเหมือนจะลงมือกระทำอย่างต่อเนื่องในการเข้าจู่โจมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายโดยที่พวกเขาไม่ได้กระทำความผิดใดๆ....



แต่ละครั้งที่พวกมันลงมือจู่โจม มันมักจะไม่เลือกเหยื่อและไร้ซึ่งความปราณีใดๆ เห็นได้จากการพกอาวุธที่ร้ายแรงและการไล่ล่าที่ดูเหมือนจะเด็ดขาด ใครจะรู้ว่าเฮลิคอปเตอร์อาจจะเชื่อมโยงกับชายลึกลับในชุดสีดำ Men in Black (ไม่ใช่ชื่อหนังนะครับ มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ไว้วันหลังจะนำมาเล่าให้อ่านกัน)



สำหรับคนที่มีความกล้าพอที่จะถ่ายภาพเฮลิคอปเตอร์ได้ พวกเขากลับถูกยึดอุปกรณ์และก็ถูกพวก MIB สั่งให้ออกจากพื้นที่ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับการห้ามไม่ให้บอกใครว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังข่มขู่ว่า จะไม่รับประกันในชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาถ้าหากมีการแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป...



ไม่ว่าเจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำ มันจะเป็นภาระกิจลับใดๆของทางรัฐบาลหรือไม่ หรือมันอาจจะเกี่ยวข้องกับชายในชุดดำ หรืออาจจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับพวกต่างดาว แต่เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นมา มันก็มักจะมาพร้อมกับความอันตราย และไร้ซึ่งมนุษยธรรมใดๆ ไร้ซึ่งความมีประชาธิปไตยในพื้นฐานของประชาชนที่ถูกปกครองด้วยหลักของประชาธิปไตยในโลกนี้ และมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวลี้ลับที่ยังคงมีการคุกคามให้เห็นกันอย่างต่อเนื่องตราบจนถึงปัจจุบัน!

เรื่องนี้ในยูทูปมีให้เห็นเยอะครับ น่าจะเป็นภารกิจลับอะไรหรือเปล่า แต่ก็ยังว่า ลับก็คือลับ จะเอาใครมาอธิบายก็คงไม่ได้...หุหุ

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 2 Animals within Stone

ปริศนาลี้ลับของสัตว์ในวัตถุแข็ง มันเข้าไปได้อย่างไร?




มีหลักฐานการค้นพบมากมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ พบ กบ คางคก และสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ ที่พวกมันอาศัยอยู่ในวัตถุแข็งเช่นหิน หรือไม้ ที่น่าอัศจรรย์ใจคือ พวกมันเข้าไปได้อย่างไรโดยที่วัตถุนั้นๆไม่มีช่องหรือรอยแตกแยกใดๆอยู่เลย แต่ที่ยิ่งน่าฉงนคือ พวกมันยังมีชีวิต!! แต่ถ้านั่นยังไม่ดูน่าสนใจพอ มันอาจจะมีวิธีการทางธรรมชาติระหว่างพวกสัตว์กับต้นไม้ หรืออะไรก็ตามที่พวกมันจะสามารถทำได้ แต่ถ้าแม้กระทั่งสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาล่ะ!!



ในปี 1976 ที่รัฐ Texas คนงานก่อสร้างได้ทำการทำลายแท่งคอนกรีตของพวกเขาที่สร้างมานานกว่าปี และเมื่อทุบมันออก ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อพวกเขาพบเต่าสีเขียวสดอาศัยอยู่ในคอนกรีต โดยมันมีช่องว่างในขนาดที่พอเหมาะกับตัวของมันพอดิบพอดี มันจะเป็นไปได้ไหมว่าในช่วงที่พวกเขาก่อสร้าง พวกเขาจะเททับพวกมัน แต่ทำไมมันยังมีชีวิตอยู่ได้มานานเป็นปีๆ และถ้าพวกมันพึ่งจะเข้าไปล่ะ พวกมันเข้าไปทางไหน เพราะคอนกรีตนี้ไม่มีรอยแตก หรือช่องว่างใดๆให้พวกมันเข้าไปได้เลย...

ยังมีกรณีที่น่าอัศจรรย์อีกหลายต่อหลายเหตุการณ์



ในปี 1761, Ambroise Pare แพทย์ประจำตัวของกษัตริย์ Henry ที่ 3 ของฝรั่งเศสได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ครั้งหนึ่งว่า ในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังเมือง Meudon และทำการรื้อทุบก้อนหินในเมือง พวกเขาก็พบ คางคกมากมาย อาศัยอยู่ในก้อนหินอย่างมีชีวิต...



ในปี 1865 หนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นรายงานว่า รถขุดดินได้เข้าไปทำการขุดบล็อกหินปูนลึกลงไปประมาณ 25 ฟุตใต้ดินใกล้กับเมือง Hartlepool ประเทศอังกฤษ พวกเขาได้ค้นพบโพรงภายในหินที่มีคางคกอาศัยอยู่... และเมื่อหินแตกออก พวกมันต่างก็กระโดดโลดเต้นออกมาอย่างมีความสุข คางคกบางตัวยังอยู่ในความครอบครองของนาย S. Horner ประธานสมาคมประวัติศาสตร์ธรรมชาติและพวกมันยังคงมีชีวิต พวกเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ครั้งแรกที่พบคางคก พวกมันดูสีซีดและสีคล้ายๆหิน แต่ไม่นานหลังจากที่ออกมาสู่โลกภายนอก พวกมันก็มีสีที่เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลมะกอก....



ในช่วงเวลาประมาณเดียวกัน มีการบันทึกบทความในหนังสือวิทยาศาสตร์ของอเมริกัน ถึงเหตุการณ์ที่คนงานเหมือง ที่ชื่อ Moses Gaines ได้ค้นพบคางคกอาศัยอยู่ภายในก้อนหิน บทความระบุว่า คางคกมีขนาดประมาณ 3 นิ้วและอวบอ้วนเต็มไปด้วยไขมัน ตาของมันดูมีขนาดใหญ่กว่าคางคกที่มีขนาดเดียวกับที่เราเห็นกันทุกวัน พวกเขาพยายามที่จะให้มันกระโดดหรือโดยการสัมผัสด้วยไม้ แต่มันกลับไม่สนใจใดๆ....แหม๋ะ ขี้เกียจจุง อิอิ...



ในปี 1821 นิตยสาร Tilloch ได้เขียนว่า นาย David Virtue กำลังทุบหินที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 22 ฟุตใต้ดิน เขาถึงต้องตกตะลึง เมื่อพบจิ้งจกที่ฝังอยู่ในหิน มันถูกม้วนตัวอยู่ในช่องที่พอดีกับตัวของมันเอง และมันมีสีเหลืองสีน้ำตาล ดวงตายังดูเป็นประกายสดใส ตอนแรกเขานึกว่ามันคงจะตายแล้ว แต่เมื่อสัมผัสถูกอากาศประมาณ 5 นาที มันก็รีบวิ่งออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเขาตกใจไปเลยทีเดียว....



ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอังกฤษกำลังทำการระเบิดหินเพื่อทำถนน หลังจากที่ระเบิดหินขนาดใหญ่ได้ ทหารงัดแผ่นหินออกไป และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อในหิน มีคางคกขนาดใหญ่และด้านข้างมันยังพบว่ามีจิ้งจกขนาดประมาณ 9 นิ้วอยู่ด้วย!! สัตว์เหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่และสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็คือการที่ช่องที่พวกมันอาศัยอยู่ต้องขุดลึกลงไปถึง 20 ฟุต!! พวกมันเข้าไปได้อย่างไร!!!



เหล่านี้คือเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่ถูกค้นพบว่า พวกสัตว์ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัตถุต่างๆได้แถมยังมีชีวิต และถึงแม้พวกเราจะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลใดๆมาอธิบาย มันก็ยังไม่เข้าที และยังคงเป็นปริศนาทางธรรมชาติที่มนุษย์เราต้องหาคำตอบกันต่อไป....
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-21 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันดับที่ 1 Donnie Decker

มนุษย์ฝนสุดลี้ลับ ไปที่ไหนที่นั่นจะมีฝนตามไปเสมอ...




รูปจากภาพยนตร์ Shawshank Redemtions

เขาถูกขนานนามว่า "Rainboy" ในปี 1983 ชายที่ชื่อ Donnie Decker ซึ่งเป็นชาวซิลเวเนียที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ เป็นเพราะตัวเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงและขนลุก....เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน มันจะเกิดปรากฏการณ์ฝนตกปรากฏอยู่รอบตัวเขา!!



Donnie Decker หรือ "Rainboy"

มันเริ่มต้นหลังจากการตายของคุณปู่ของเขาเมื่อเขาเป็นวัยรุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1983 วันนั้นเขาเดินทางไปยังบ้านเพื่อนของเขาคนหนึ่ง และในขณะที่เขาอยู่ในห้องน้ำนั่นเอง เขาก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าเขากำลังถูกโจมตีโดยสิ่งที่เรียกว่าเป็นวิญญาณของปู่เขา ทุกคนต่างเห็นว่า ทั่วทั้งแขนของเขาเต็มไปด้วยรอยถูกของแหลมขีดข่วนเต็มไปหมด!!...

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพาเขาออกมายังห้องนั่งเล่นและ ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์อันน่าสะพรึง เมื่อมีฝนตกเกิดขึ้นภายในบ้าน!! ที่เพดานเต็มไปด้วยหยดน้ำและมีทะเลหมอกเต็มไปทั่วห้อง!! ไม่รอช้า พวกเขารีบนำตัวเขาออกมาจากห้องและพากันออกจากที่นั่นโดยเร็ว แต่เหตุการณ์ยังไม่สงบ เพราะตลอดการเดินทางนั้นกลับเกิดฝนตกตามพวกเขาไปอย่างไม่มีสาเหตุ....



ต่อมาไม่นานเขาได้ไปทานอาหารที่ร้านอาหารร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ในที่สุดก็ต้องวงแตก เมื่อปรากฏว่ามีฝนตกลงบนหัวของพวกเขา เจ้าของร้านอาหารจึงรีบไล่เขาออกไปจากร้านโดยทันที... เจอล่ะ ต้นฉบับ Ice Bucket ฮ่าๆๆๆๆ...



ปีต่อมาเนื่องจากความผิดทางอาญาลหุโทษเขาจึงถูกจำคุก แต่แล้วก็เกิดความวุ่นวายเมื่อฝนเริ่มเทลงในคุกที่เขาอาศัยอยู่ มันไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง เกิดความวุ่นวายในคุกถึงกระทั่งต้องอัญเชิญบาทหลวงมาไล่ผี แต่ก็ไม่ประสปความสำเร็จ เล่นเอาผู้ต้องขังทุกคนโกรธเขาเป็นการใหญ่ เขาอธิบายว่าเขาสามารถทำให้ฝนตกได้เมื่อเขาต้องการและได้รับการพิสูจน์ และเขาก็ทำมันได้จริงๆ



ในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก และหลังจากนั้นมีข่าวลือว่าเขาได้ไปทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย....
และจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น มันก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันคืออะไร และยังคงเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดลึกลับ ที่ยังเป็นปริศนามาจนถึงตราบเท่าปัจจุบันนี้!!



http://pantip.com/topic/32581528
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้