จงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
"เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้ว มีชั้นภูมิที่สูงกว่าเขาแล้ว
ไฉนจึงยังไปยึดภูตผีปีศาจเหล่านั้นอีกเล่า"
หลวงปู่คำดี ปภาโส
ผู้มีสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึก ความข้อนี้ มีหลักพระบาลีรับรองในมหาสมัยสูตรดังจะยกมาอ้างอิง ในสมัยหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในราวป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดประมาณ ๕๐๐ รูป ครั้งนั้นแล เทวดาทั้งหลายพร้อมกันมาจาก ๑๐ โลกธาตุ มาประชุมกันแล้วยืนอยู่ในที่อันควรข้างหนึ่ง ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าและทัศนาพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งท่านเป็นผู้พ้นจากกิเลสสง่างามด้วยศีล หมดจดไม่มีมลทินแล้ว ได้กล่าวภาษิตคาถานี้ว่า
เย เกจิ พุทธํ สรณํ คตา เส
น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ
ปหาย มานุสํ เทหํ
เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตีติ.
แปลความว่า ถ้าชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่นับถือภายในใจจริงแล้ว ชนเหล่านั้นจักไม่ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เมื่อตายจากอัตภาพแห่งมนุษย์แล้ว จักไปเกิดในหมู่เทพยดาทั้งหลาย
สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นสรณะที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงๆ แล้วจะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความร้อนอกร้อนใจได้อย่างแน่นอน
|