๏ บรรลุอนาคามีผลภายใน ๓ วันหลังออกบวช
ภิกษุณีนางหนึ่งอาศัยป่าด้านทิศใต้เป็นที่หลีกเร้นในวัดเชตวัน นางพรางคิดว่าก่อนบวชเราศรัทธาในพระศาสดา เห็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาอยู่แค่เอื้อม สละทรัพย์สมบัติจากตระกูลพราหมณ์ที่มหาศาลผู้เป็นบิดา สละจากกุลธิดาผู้พรั่งพร้อมมาขอทานประทังชีวิต สละความงามที่ไม่มีใครปานมาเป็นภิกษุณี ผู้อยู่แต่เดียวดาย แม้ผิวพรรณแต่ก่อนเป็นดั่งทอง แต่เดี๋ยวนี้กลับหมองคล้ำไป "สุภา" สุภาชื่อเราที่ใครๆ นิยมชมชื่นว่างามยิ่งในราชคฤห์ อีกไม่กี่วันเขาก็คงลืมหาย นางพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ ประคองจิต และสติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรางรำลึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสายวานนี้ เพื่อเทียบกับใจและความเพียรที่กำลังเพ่งพิศอยู่ พระธรรมเทศนาของพระศาสดานั้นช่างโดนใจของนางเสียเหลือเกิน ในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่นั้น นางย้อนรำลึกถึงพระธรรมเทศนาประดุจธาราที่หลั่งไหลมาจากภูเขาสูงซัดสาดเอาสิ่งสกปรกทั้งหลายมาด้วย
พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมฆคือฟ้ามี ๔ อย่างคือ
๑. ฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
๒. ฝนตกแต่ฟ้าไม่คำราม
๓. ฟ้าไม่คำราม ทั้งฝนก็ไม่ตก
๔. ฟ้าคำรามด้วยทั้งฝนก็พลอยตกด้วย
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้คือ
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ เป็นคนดุจฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบพูด เป็นคนประดุจฝนตกแต่ฟ้าก็ไม่คำราม
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่ชอบพูดด้วยทั้งไม่ชอบทำ เป็นคนประดุจฟ้าไม่คำรามและทั้งฝนก็ไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดด้วยและชอบทำด้วย เป็นคนประดุจฟ้าคำรามด้วยและฝนก็พลอยตกลงไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายบุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้ จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ บุคคล ๔ จำพวกที่พระศาสดาตรัสไว้ เราจะถูกจัดไว้ในจำพวกไหนในเวลานี้หนอ นางพรางคิดแล้ว น้ำตานางก็เอ่อออกจากเบ้าตา นางพรางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดาเพื่อย้ำเตือนจิตใจ เพื่อต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำที่ย่ำยีหัวใจมาช้านาน
นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอุทานเบาๆ ว่า โอ ! ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เอง เราจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะเพศภาวะใดๆ ก็ตาม มันก็คงตามรังควานจิตใจของเราอยู่เสมอ ตราบใดที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้โง่เขลา ทั้งๆ ที่หลงระเริงว่าตัวเองฉลาด
จิตใจของนางโปร่งโล่งเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ความศรัทธาของนางเกิดขึ้นต่อพระศาสดาเมื่อคราวพระองค์เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนบวชเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะคือการบวชเป็นทางชีวิต บวชในสำนักของนางภิกษุณี นามว่า "ปชาบดีโคตมี"
สุภาภิกษุณีตั้งใจบำเพ็ญสมถะวิปัสสนา โดยยึดเอาหัวข้อธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมาพิจารณา โดยกาลไม่นานนักเพียง ๓ วัน แห่งการอุปสมบทเป็นภิกษุณี นางก็สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา บัดนี้ใจของนางมีคุณธรรมเป็นเครื่องรองรับแล้ว กิเลสที่เคยก่อกวนใจให้หักเห บัดนี้ไม่มีแล้ว นางจึงเหมือนวัวตัวแรกพร้อมที่จะออกจากคอกคือวัฏฏะที่รุมล้อมจิตใจมานานแสนนาน ถึงนางยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่ทุกข์นั้นก็มีน้อยเต็มที
๏ พระสุภาเถรี ประสบกับนักเลงเจ้าชู้ ยืนดักหมายจะขืนใจ
สุภาภิกษุณีอยู่วัดเชตวันได้ ๑๐ พรรษา เป็นพระเถรีแล้ว แต่ความงามและเรือนร่างยังเป็นที่ติดตาตรึงใจสำหรับบุรุษผู้ไม่เบื่อในกามทั้งหลาย พระสุภาเถรีเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม ถึงเป็นภิกษุณีก็เป็นที่ปองหมายของบุรุษวัยแรกหนุ่มและวัยแก่ในเมืองราชคฤห์
อยู่มาวันหนึ่งพระเถรีปรารถนาจะหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เนื่องจากมีที่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมากนักเป็นสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจเป็นที่สบายน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งเพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ขณะที่นางกำลังเดินไปพักกลางวันที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ ชายนักเลงหญิงคนหนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นหนุ่มแรกรุ่น เป็นลูกชายของนายช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นผู้ชอบเที่ยวมัวเมา มองเห็นพระเถรีเดินทางสวนมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทางกั้นไว้ด้วยหมายจะขืนใจ
พระเถรีจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรของนายช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางทางข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิง การปฏิบัติต่อสตรีอย่างนี้มันไม่สมควร บุรุษไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีด้วยอาการเยี่ยงนี้ ดูก่อนท่านพ่อหนุ่ม ผู้ชายไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย และหญิงก็ไม่ควรถูกต้องชายที่บวชแล้ว หญิงที่บวชแล้วและชายที่บวชแล้วก็ไม่ควรถูกต้องซึ่งกันและกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงการถูกต้องผู้ชายเล่า
แม้โดยจารีตของโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวชไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวผู้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชาย แม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอกโดยอำนาจราคะเลยทีเดียว สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ เฉพาะภิกษุณีทั้งหลายไว้ในศาสนาที่หนักดังฉับหินคือ ที่ควรเคารพ เหตุไรท่านจึงมายืนกั้นขวางทางเราผู้กำลังจะเดินไป ผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วยสิกขาเหล่านั้นไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ส่วนท่านสิเป็นผู้มีจิตขุ่นมัวสกปรกไม่สะอาด มีธุลีคือราคะเป็นต้นทับถมจิตใจ
ท่านพ่อหนุ่ม เพราะเหตุไรท่านจึงมายืนขวางทางเราเพื่อจะปลุกปล้ำ เราเป็นหญิง เราเป็นผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวแล้วปราศจากราคะ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งมวล ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง พระเถรีกล่าวขึ้นดังๆ เพื่อกลบความเงียบสงัดในไพรสณฑ์ ท่านเคยเห็นพระศาสดาและฟังธรรมของพระองค์บ้างหรือ พระองค์เคยตรัสว่า อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง ๙ มีช่องหู มีช่องจมูก น่ารังเกียจ เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งเชื้อโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอๆ เจ้าของกายจึงต้องขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือ ๒ วัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ"
เมื่อพระเถรีกล่าวจบลง บุรุษหนุ่มผู้บ้ากามนั้นก็หาคลายความกำหนัดลงแต่อย่างใดไม่ แววตาแห่งกามและกริยาที่กำหนัดนั้นแสดงออกมาทางไตรทวาร เมื่อพระเถรีสังเกตเห็นกริยาดังนั้น จึงกล่าวขึ้นเพื่อตอกย้ำว่า