|
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-3-30 07:58
ฝ่ายพระทองก็เข้าไปถวายบังคมพระราชบิดามารดาของนางทาวดี พญานาคราชทรงสั่งให้พระทองเตรียมตัว จะจัดให้มีพระราชพิธีอภิเษกและจะให้เสวยราชสมบัติ และเมื่อเสร็จพระราชพิธี ณ ที่นี้แล้วจะต้องไปจัดที่เมืองของพระราชานาคอีกเพื่อให้เหล่านาคได้รู้จัก อีกทั้งจะถวายพระนครและพระนามของทั้งสองให้ใหม่อีกด้วย
พระทองได้ฟังดังนั้นก็กังวลพระทัยมากเพราะเห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์ จะแทรกแผ่นดินไปเมืองนาคได้อย่างไร นางทาวดีเมื่อทราบเรื่องจึงกราบทูลว่า ..
เพียงพระทองจับชายสไบของนางให้แน่นอย่าปล่อยให้หลุดมือก็จะเสด็จไปได้ ส่วนไพร่พลที่ต้องเข้ากระบวนแห่ทั้งหมดนั้นต้องให้เกาะชายพระภูษาของพระทองให้แน่นก็จะไปถึงเมืองนาคได้เช่นกัน และก็เป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่พระทองพร้อมกระบวนไพร่พลบริวารเดินทางลงถึงเมืองนาค
พระราชานาคก็ได้จัดพระราชพิธีอภิเษกให้แล้ว
ได้ถวายพระนามให้ใหม่ทั้งสองพระองค์คือ..
พระทองเป็น พระบาทอาทิจจวงษา และนางทาวดีเป็น พระนางทาวธิดา
เกาะโคธลอกเป็นกรุงกัมพูชาธิบดี ..
โดยราชานาคทรงจัดเสนานาค
ที่มีอิทธิฤทธิ์ ๒ ตัวมาคอยเฝ้าคุ้มครองปกป้องแก่กรุงกัมพูชาธิบดีด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีปฏิบัติสืบมา คือเมื่อตอนส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ เจ้าบ่าวต้องเกาะชายสไบเจ้าสาวให้แน่น ตามอย่างที่พระทองเกาะสไบนางทาวดีเพื่อลงไปเข้าพิธีอภิเษกยังเมืองนาคนั่นเอง”
นิทานพระทองที่คัดลอกมานั้นชวนให้ตั้งคำถามมากมาย เช่นที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ (1)
ตั้งข้อสังเกตว่า ในนิทานสำนวนแรกที่เล่าว่าพระทองเป็นโอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์จามแล้วมาแต่งงานกับนางนาค นิทานสำนวนนี้มีโครงเรื่องคล้ายกับนิทานที่พบในจารึกจามปาเรื่องพราหมณ์โกณฑิณยะจากอินเดียมาแต่งงานกับนางนาคโสมา ตรงนี้นำไปสู่การตีความได้หรือไม่ว่าเรื่องพระทองโอรสกษัตริย์จามกับนางนาคอาจเป็นตำนานดั้งเดิมก่อนเกิดตำนานเรื่องพราหมณ์โกณฑิณยะที่พบในจารึก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(1)* เอกสารหลักที่ใช้ในการเรียบเรียงคือ สุจิตต์ วงษ์เทศ, นาคในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์, กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๖.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งนี้เพราะจามเป็นพวกที่นับถือฮินดูก่อนมาเปลี่ยนเป็นมุสลิมในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีหลักฐานหลายข้อที่สนับสนุนคำอธิบายว่า จามเป็นพวกที่บุกเบิกการค้าทางทะเลกับผู้คนแถบนี้มาก่อน จึงน่าจะมีความสัมพันธ์ทางสังคมวัฒนธรรมกับผู้คนในแถบนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ พระทองจึงอาจเป็นสัญลักษณ์ของพวกจามมากกว่าพวกพราหมณ์จากอินเดียก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นพระทองก็ยังเป็นตัวแทนของศาสนาฮินดูอันสืบมาจากทิศตะวันตก (อินเดีย) อยู่ดี
ในขณะเดียวกันนิทานสำนวนหลังที่ว่าพระทองหนีมาจากมอญนั้น อาจเป็นเครื่องสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกรุงกัมพูชากับอาณาจักรพุกาม โดยเฉพาะอาจเกี่ยวกับการสืบทอดศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากมอญสู่กัมพูชา ทั้งนี้มีหลักฐานว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หรือหลัง พ.ศ. ๑๗๐๐ กัมพูชาได้เปลี่ยนจากการนับถือฮินดูมาเป็นนับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งน่าจะแพร่มาจากลังกาเข้าดินแดนมอญ-พม่า ผ่านสยามประเทศแล้วจึงมาถึงกัมพูชา
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพระทองจะเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายใด แต่นิทาน “พระทอง-นางนาค” ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “นาค” เป็นผู้สร้างบ้านแปลงเมืองให้มั่งคั่งมั่นคง ทั้งนี้ก็ด้วยแรงเสน่หาของพระทองกับนางนาคที่ถือเป็นต้นตระกูลชาวเขมร จนเกิดเป็นประเพณีที่เจ้าสาวต้องจีบหมากพลูคำหนึ่งใส่มือเจ้าบ่าว รวมทั้งประเพณีที่เจ้าบ่าวต้องเกาะชายสไบเจ้าสาวตอนส่งตัวเข้าห้องหอ และเกิดเป็นบทเพลงนางนาคกับพระทองที่ยังคงมีบรรเลงตราบจนปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของคติความเชื่อเรื่องนาคในดินแดนอุษาคเนย์ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
นิทานสำนวนนี้คัดลอกจาก ประชุมเรื่องตำนานและนิทานพื้นบ้านเขมร (ภาคที่ ๑-๙) แปลจากภาษาเขมรโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประยูร ทรงศิลป์ ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏธนบุรี, ๒๕๔๐.
|
|