ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2065
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วันนี้คุณระลึกถึงความตายแล้วหรือยัง ?

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-3-22 09:13

วันนี้คุณระลึกถึงความตายแล้วหรือยัง ?


การระลึกถึงความตายบ่อยๆ จะทำให้เรากระทำสิ่งที่เราต้องการทำ ทำสิ่งที่ดีงาม ให้สมกับรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต


ความตาย คือ เพื่อน ผู้มาเตือน

อปฺปกญฺจิทํ ชีวิตมาหุ ธีรา
ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก


เคยคิดบ้างไหมว่า ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน ในแต่ละขณะที่เรายังมีลมหายใจ

และรับรู้การมีอยู่ของตัวเรานั้น มีกี่ชีวิตที่จากไป...จากไปอย่างไม่หวนกลับ


การจากไปที่เราเรียกว่า...ความตาย





ณ ขณะปัจจุบันของชีวิตเรานั้น ความตายช่างดูห่างไกลยิ่งนัก ไกลจนเกินกว่าจะคาดคิด และถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยก็ตาม ความตายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง...ตลอดเวลา

มีเพียงช่วงขณะที่ความตายเฉียดเข้ามาใกล้ตัวเราเท่านั้น ที่จะเป็นช่วงเวลาที่เรารู้ซึ้งว่าความตายนั้นมีอยู่จริง และอยู่แนบชิดกับเราเพียงไร

มันอาจจะเป็นช่วงขณะที่เราได้สัมผัสกับวินาทีแห่งความตายหรือช่วงเวลาที่บุคคลที่ใกล้ชิดกับเราได้จากไป

เป็นช่วงขณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างมีปลายทาง และชีวิตมีวันสิ้นสุด

ช่วงขณะแห่งความจริงที่ทำให้เรารู้ซึ้งว่า...เราเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน







สำหรับผู้วายชนม์แล้ว ความตายเป็นเพียงการก้าวผ่านประตูจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ยังคงอยู่ ความตายบอกอะไรแก่เรา

ดอน ฮวนได้กล่าวไว้ว่า “ความตายคือผู้มาเตือน”

“ความตายเป็นสหายของเราตลอดไป...มันอยู่ทางซ้ายมือของเราตลอดเวลา ความตายเฝ้าคุณอยู่ขณะที่คุณรอคอย...ความตายกระซิบที่หูของคุณ และคุณรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบอย่างที่คุณรู้สึกในวันนี้ ความตายกำลังเฝ้าดูคุณอยู่เสมอไป มันเฝ้าคุณไม่ห่างไปไหนจนกระทั่งวันนี้ มันจะยื่นมือของมันออกมาแตะที่ตัวของคุณ”

สำหรับดอน ฮวนแล้ว การรับรู้ถึงความตายทำให้การรู้สึกว่าตัวเราเองมีความสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

“เราจะเห็นตัวเองมีความสำคัญได้อย่างไร ในเมื่อเรารู้ว่าความตายกำลังล่าเราอยู่”

“สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำเมื่อคุณไม่มีน้ำอดน้ำทน...คือ หันหน้าไปทางซ้ายมือแล้วขอคำแนะนำจากความตายของคุณ ความคับแคบจำนวนมหึมาจะมลายไปหากความตายกวักมือเรียกคุณ หรือเมื่อคุณมองเห็นมันแวบหนึ่ง หรือแม้เพียงคุณมีความรู้สึกว่าสหายของคุณอยู่ที่นั่น กำลังเฝ้าดูคุณอยู่”

“ความตายคือผู้ที่มาแนะนำตักเตือนที่ฉลาดที่สุดเพียงผู้เดียวที่เรามี คราวใดที่คุณเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือคุณกำลังถูกทำลายให้ย่อยยับลงไป ก็จงหันไปหาความตายแล้วถามว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ความตายจะบอกกับคุณว่าคุณคิดผิดไปแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจริง ๆ ที่ยิ่งไปกว่าสัมผัสของความตาย ความตายของคุณจะบอกกับคุณอีกว่า ฉันยังไม่ได้ยื่นมือมาสัมผัสคุณเลย”

ความสอดคล้องดังกล่าวสามารถพบได้ในพุทธศาสนา ซึ่งได้มีการสอนให้มนุษย์เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทโดยการให้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ




ในหนังสือ “พุทธธรรม” ได้กล่าวถึงการคิดถึงความตายเอาไว้ในฐานะเป็นอุบายเพื่อการปลุกเร้าคุณธรรมดังนี้

“หลักการทั่วไปของวิธีคิดแบบนี้มีอยู่ว่า ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประสบหรือรับรู้อย่างเดียวกัน บุุคคลผู้ประสบหรือรับรู้ต่างกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคนละอย่าง...ของอย่างเดียวกันหรืออาการกิริยาเดียวกัน คนหนึ่งมองเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นกุศล แต่อีกคนหนึ่งเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางไม่ดีงาม เป็นโทษ เป็นอกุศล แม้แต่บุคคลคนเดียวกัน มองเห็นของอย่างเดียวกัน หรือประสบอารมณ์อย่างเดียวกัน แ่ต่ต่างขณะ ต่างเวลา ก็อาจคิดเห็นปรุงแต่งต่างออกไปครั้งละอย่าง คราวหนึ่งร้าย คราวหนึ่งดี”

“การคิดถึงความตาย ถ้ามีอโยนิโสมนสิการคือทำใจหรือคิดไม่ถูกวิธี อกุศลธรรมก็จะเกิดขึ้นเช่น คิดถึงความตายแล้วสลดหดหู่ เกิดความเศร้าความเหี่ยวแห้งใจบ้าง เกิดความหวั่นกลัวหวาดเสียวใจบ้าง ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึกถึงความตายของคนที่เกลียดชังบ้างเป็นต้น”

“แต่ถ้ามีโยนิโสมนสิการ คือ ทำใจหรือคิดให้ถูกวิธี ก็จะเกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที่เป็นคติธรรมดาของชีวิต”

ใน “ภัทเทกรัตตสูตร” พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการระลึกถึงความตายเพื่อเป็นการเร่งเร้าให้ลงมือกระทำ มีใจความว่า

“บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ”

ดังนั้น สำหรับผู้ยังคงอยู่แล้ว ความตายเปรียบเสมือนผู้มาตักเตือนให้เรามองเห็นความจริงของชีวิต และเร่งขวนขวายกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ เพราะเราไม่อาจรู้หรอกว่า วันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเราไหม

“ความตายคือผู้ล่า และความตายอยู่ทางซ้ายมือของเราเสมอไป เราคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ต้องขอคำแนะนำจากความตาย และละความคับแคบไร้สาระทั้งหลายที่มนุษย์มีอยู่ โดยใช้ชีวิตราวกับว่าความตายจะไม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ตัวของพวกเขานั้นเสีย”


ที่มา..http://www.watpaknam.org

สาธุ ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้