ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5742
ตอบกลับ: 15
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตะกรุดหนังเสือ ลพ.เที่ยง

[คัดลอกลิงก์]

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
เค้า ว่า เด่นทางเหนียว นะครับ เฮียป้อม
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-7-12 13:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประสบการณ์ ตะกรุดหนังเสือ       วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2531 บนยอดเขากระโดง อันเป็นภูเขาไฟที่ดับมานับพัน ๆ ปี อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ กลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดสี่ห้านายพร้อมด้วย ชาวบ้านอีกหลายคนใด้ขึ้นไปชุุมนุมกันอยู่ที่นั่น... ชื่อของบรรดาข้าราชการจังหวัดบุรีรัมย์นั้น ท่านขอให้สงวนเอาไว้ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง แต่ชาวบ้านที่พอจะเปิดเผยใด้ก็มี คุณวรพจน์ ลิ้มพานุกิจ คุณอุทัย ใจชื่น และคุณกลิ่น โนนสังกาศ เป็นชาวตลาดในเมืองบุรีรัมย์
เขามาชุมนุมทำอะไรกัน? การกระทำครั้งนี้ ในตอนแรกต้องการปกปิดเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้ใครใด้รู้เห็น แต่หลังจากผ่านการทดลองไปแล้ว ความลับทั้งหลายจึงถูกเปิดเผยขึ้น มีสิ่งหนึ่งแขวนอยู่กับกิ่งไม้ นั่นก็คือ ตะกรุด ดอกหนึ่ง ซึ่งชาวคณะได้นำมาจาก วัดพระพุทธบาทเขากระโดง เป็นของ หลวงพ่อเที่ยง ปภังกโร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งดินแดนที่ราบสูง ได้รับจากมือมาก็เอามาลองกันเลย เพื่อที่จะดูว่าแน่จริงสมคำร่ำลือหรือเปล่า...........
ใครจะเป็นคนยิง ? เสียงผู้อาวุโสคนหนึ่งในคณะถามขึ้น ข้าราชการสังกัด นปพ. อาสาเป็นผู้ยิงเดินเข้าหาตะกรุดพร้อมด้วยปืนพกกึ่งอัตโนมัติขนาด 11 มม. ในมือ มีเสียงทัดทานของใครคนหนึ่งเตือนมาข้างหลัง.....เดี๋ยวเถอะมึง ได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า หลวงพ่อท่านบอกห้ามลองของนะโว้ย!!! เฮียเงียบเถอะ เขากำลังจะเอาจริงเอาจัง. เสียงห้ามจากอีกคนยืนอยู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
        การทดลองวัตถุมงคลต่าง ๆ ของหลวงพ่อเที่ยงนั้นเป็น ข้อห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะจะนำเอาสิ่งไม่ดีมาสู่ตัวเอง แต่คณะทดลองของขลังนี้ก็ยอมเสี่ยงด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าของที่ได้มานั้นดีจริง เนื่องจากเห็นพิธีการสร้างแล้วน่าทึ่งแปลกพิสดารล้ำลึก ชนิดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลยนั่นเอง เริ่มตั้งแต่พิธีบวงสรวงเทพารักษ์ และดวงวิญญาณของพญาเสือโคร่ง ซึ่งน่าขนลุกขนพอง หลังจากนั้นก็มีการลงอักขรยันต์ลงบนหนังเสือโคร่ง กว่าจะเสร็จกินเวลานานมาก แล้วมาถึงพิธีปลุกเสกพระคาถากำกับ หัวใจเสือ เป็นอันแล้วเสร็จ ตะกรุดพญาเสือโคร่งมหาอำนาจ
     ปากกระบอกปืนถูกจ่อห่างจากตะกรุดดอกนั้นประมาณ 2 ฟุต ทุกคนกลั้นลมหายใจอย่างตื่นเต้น เดี๋ยวจะใด้รู้กันว่าของหลวงพ่อนั้นแน่แค่ไหน แต่ก็มีเสียงทักท้วงขึ้นอีก หัวหน้าทีมสั่งให้เปลี่ยนปืนที่จะใช้ยิงเป็นปืนวอลเว่อร์แทน เพราะเก็บกระสุนที่ด้านง่ายกว่าปืนออโต้ ซึ่งจะต้องกระชากลำเลื่อนเพื่อคายกระสุนปืนที่ด้านออกจากรังเพลิงทำให้เสียเวลา เอาล่ะยิงใด้ !! มือปืนกระตุกไกยิงทันที แชะ...แชะ...!! ยิงไม่ออก กระสุนด้าน เฮ้ย ซัดให้หมดโม่ไปเลย !! เสียงหัวหน้าทีมกำกับบท มือปืนจาก นปพ. จึงสับไกรวดเดียว แชะ...แชะ...แชะ...แชะ...!! น่าอัศจรรย์..กระสุนชุดนั้นไม่ลั่นเลยแม้แต่นัดเดียว ! หัวหน้าทีมน้ำเสียงสั่น สั่งให้หันปากกกระบอกปืนไปทางอื่นแล้วลองยิงดู เปรี้ยง...เปรี้ยง...!! ทุกคนตกตะลึงเมื่อเสียงปะทุแตกของกระสุนปืนขนาด .38 ดังกึกก้อก มือปืนยังไม่แน่ใจแหงนลำกล้องขึ้นฟ้าอีกสองนัด มันก็ระเบิดออกมาไม่เหลือ
นั่นเป็นการพิสูจน์ที่ทุกคนมั่นใจทันที เมื่อกระสุนนัดที่ 4 สิ้นเสียงลง หัวหน้าทีมปราดเข้าไปเก็บเอาตะกรุดทันที. ตะกรุดดอกนี้ของผมโว้ย แสนหนึ่ง ก็ไม่ขายว่ะ !! เพราะว่าเป็นตะกรุดดอกที่ลองยิงนั่นเอง ทำให้ราคาพุ่งพรวดขึ้นไปตามความหวงแหนของเจ้าของ. เย็นนั้นที่ไปลองตะกรุดกันก็มาที่ร้านอาหารในตัวเมืองบุรีรัมย์ หลังจากที่เข้าไปขอเช่าตะกรุดเอาไว้อีกคนละหลาย ๆ ดอก ความจริงจะเอากันมากกว่านั้น แต่หลวงพ่อบอกว่าเอาไว้ให้คนอื่นเขาบ้างจะได้ทั่วถึง แยกจากร้านเหล้าแล้ว หัวหน้าทีมก็กลับมานอน แล้วคืนนั้นเองสิ่งที่หลวงพ่อเตือนเอาไว้ก็เกิดขึ้น
      ขณะที่หลับสนิทได้ฝันว่ามี เสือโคร่ง ตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ตรงเข้าไปหาแล้วกระโดดขึ้นคร่อมร่าง แยกเขี้ยวยิงฟันขาววับ ก่อนจะตะปปกรงเล็บอันแหลมคมเข้าใส่อย่างไม่ปรานีปราศรัย ท่านตกใจร้องเสียงลั่นบ้านจนคนในบ้านตื่นกันหมด มีคนในบ้านพังประตูเข้าไปพบว่าท่านนั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาวเม็ดเหงื่อโซมหน้า. เมื่อสติกลับคืนมา ท่านก็นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อที่ว่า ห้ามลองของเป็นอันขาดเพราะเอาไปลองนั่นเอง ไม่เชื่อคำสั่งจึงทำให้พญาเสือโคร่งโกธร พอรุ่งเช้า ท่านจึงรีบบึ่งรถไปหาหลวงพ่อที่วัด พอเจอหน้าท่าน หลวงพ่อเลยเอ่ยถามว่า ? เจออะไรดีมาหรือ ? ท่านก็เล่าเรื่องทีฝันเห็นเสือโคร่งมาทำร้ายให้ฟัง โดยไม่กล่าวถึงเรื่องที่ไปลองตะกรุดกันเมื่อวานนี้ หลวงพ่อหัวเราะและย้อนถามไปว่า
    ถามจริง ๆ เถอะ เมื่อวานไปทดลองยิงตะกรุดดูใช่ไหม ? หลวงพ่อรู้ใด้อย่างไรครับ ? ท่านย้อนถามด้วยความแปลกใจ เพราะเรื่องนี้สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้บอกใคร ฉันสร้างของฉันมาเองแล้วทำไมจะไม่รู้ว่าใครเอาไปทำอะไรที่ใหน ท่านจึงได้สารภาพว่าเอาไปลองยิงกันจริง และยิงไม่ออก ตนเองไม่ใด้ตั้งใจดูแคลนนับถือหลวงพ่อมาก แต่ที่เอาไปลองก็เพื่อจะเอามาเปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปทราบกันว่า ของหลวงพ่อดีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น. หลวงพ่อจึงกล่าวเตื่อนว่า การกระทำเช่นนี้ ทำให้วิญญาณพญาเสือโคร่งโกรธมาก ทีหน้าทีหลังอย่าทำอีกเด็ดขาดเก็บตะกรุดเอาไว้ให้ดี เขาจะช่วยเราได้ในยามคับขัน !?
        ข้าราชการท่านนั้นก็ก้มลงกราบบอกกับหลวงพ่อว่า นับตั้งแต่นี้จะไม่ลองของ ของหลวงพ่ออีก และนับถือสนิทใจแล้วว่า ของหลวงพ่อนั้นเยี่ยมจริง ๆ ข้าราชการท่านนั้น ยังได้พบประสบการณ์รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์อีกถึงสองครั้งขณะที่คนอื่นเสียชีวิตหมด ครั้งหนึ่งขณะที่เข้าไปในดงชุมโจร เพื่อรับตัวมือปืนถูกซุ่มยิงเข้ามาในรถปิกอัพ ทุกคนรวมทั้งคนขับตายเกลี้ยง แต่ตัวท่านรอดมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร มีเพียงรอยกระสุนเป็นจ้ำ ๆ สามสี่แห่งที่ลำตัว. อีกครั้ง รถที่นั่งไปประสานงานกับรถสิบล้อ คนที่นั่งมาด้วยอีกสองคนตายคาที่ ส่วนท่านบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กว่าจะเอาตัวออกมาจากซากรถที่พังยับเยิน ต้องเอาเลื่อยมาตัดถ่างเหล็ก ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ถึงเอาตัวออกมาได้
ก่อนหน้าที่ หลวงพ่อเที่ยงจะเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งภาคอีสาน และดังระเบิดขึ้นมาท่านได้สร้างวัสถุมงคลขึ้นมาอย่างหนึ่ง ทำให้ชื่อเสียงของท่านจารึกอยู่ในโสตประสาทของบรรดาผู้ที่แสวงหาเครื่องรางของขลังในด้าน อยู่ยงคงกระพัน นั่นก็คือ...ตะกรุดเกราะเพชร... เมื่อปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อพระอธิการเย็น เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทเขากระโดงองค์ที่ 2 ซึ่งสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจาก หลวงพ่อบุญมา ได้มรณภาพลง หลวงพ่อเที่ยง กลับจากธุดงค์ จึงต้องมารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดพระพุทธบาทเขากระโดง เป็นองค์ที่ 3 หลวงพ่อเที่ยง ยึดถือแนวปฏิบัติเดิม เคร่งในวิปัสนากรรมฐาน และความสันโดษ ปฏิปทาของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักและเลื่อมใสในหมู่ผู้คนชาวบุรีรัมย์ก่อน แล้วบอกกันต่อไป ใครที่มาบุรีรัมย์ก็จะได้รับคำแนะนำให้ไปกราบขอพรเพื่อความเป็นมงคล ผู้คนที่มากราบไหว้แล้วกลับไปเกิดความสบายใจ ก็ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันมาที่วัดพระพุทธบาทเขากระโดงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
   
       ในจำนวนนี้ บางคนเมื่อมาถึงวัดแล้ว ก็อยากได้ของดีกลับไปบูชา ช่วงแรก ๆ ท่านก็ไม่ได้ทำให้ใครบอกว่าของดีก็อยู่ในตัวทุกคนนั่นแหละ ของดีที่ท่านว่าก็คือ ความดี. ต่อมา ท่านทนต่อการรบเร้าไม่ไหว เพราะไม่ได้สร้างพระสร้างเหรียญอะไรเอาไว้เลย มองซ้ายมองขวา เห็นแผ่นทองที่ชาวบ้านเอามาถวายก็หยิบมาเขียนอักขรยันต์ลงไปแล้วม้วนปลุกเสกลงอาคม จากนั้นเอาเชือกร่มสีแดงที่ลูกศิษย์ซื้อมาทำธุระแล้วเหลือเอาทิ้งไว้ มาร้อยเป็นสายตะกรุดแจกไป
ตะกรุดที่แจกไปนั้น ก็เกิดปาฏิหาริย์ให้ผู้คนมีความศรัทธาในเรื่องแคล้วคลาดก่อนเป็นอันดับแรก และเป็นที่ฮือฮามาตั้งแต่บัดนั้น วิชาสร้างตะกรุดนี้ หลวงพ่อเที่ยงท่านได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์เขมร ซึ่งเป็นพระธุดงค์ เป็นผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาให้เมื่อครั้งที่ท่านรอนแรมธุดงค์เข้าไปในประเทศเขมรสมัยที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทเขากระโดง !! เมื่อท่านต้องการสร้างเครื่องรางของขลัง เพื่อแจกจ่ายก็ต้องทำให้ดีที่สุด ถูกต้องตามวิธีการที่ท่านเชี่ยวชาญแล้วรอฤกษ์จันทรคราส เพื่อความเข้มขลังสุดยอด เข้าหลักพิชัยยุทธตามตำนานโบราณ ความตั้งใจของท่านคือ เพื่อแจกจ่ายให้กับทหารที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดน เริ่มตั้งแต่เส้นทางที่ท่านออกธุดงค์ผ่านไป จากกองกำลังสุรานารี กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน ทหารอาสาสมัครที่ปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน การกระทำนั้นย่อมได้ผล เพราะอย่างน้อยก็เป็นขวัญและกำลังใจกับทหารที่ได้รับตะกรุดไป ซึ่งแน่หละประสบการณ์อภินิหารย่อมปรากฎขึ้นกับบรรดามหาร เหล่านั้นคนแล้วคนเล่า
      
       ผู้ที่ยืนยันประสบการณ์ได้คือ อส. สมพร อส. สมชาย อส. ยืน ที่พาครอบครัวมากราบหลวงพ่อเที่ยงที่วัดพระพุทธบาทเขากระโดงเล่าว่า เขาทั้งสามถูกล้อมกรอบยิงจากพวกข้าศึกที่แนวชายแดนขณะทำการเฝ้าฐาน แต่แล้วก็ตีฝ่าวงล้อมออกมาโดยไม่ได้รับอันตราย ซึ่งทั้ง 3 อส. มีตะกรุดหลวงพ่อเที่ยงคนละดอก ทั้งสามยืนยันว่า ที่รอดตายมาได้ก็เพราะกฤตยาคมอันเข้มขลังของตะกรุด ช่วยปกป้องคุ้มครองชีวิต !! ต่อมา เมื่อยามแผ่นดินชายแดนคลายร้อนควันสงครามสงบลง ทหารกล้าได้ร่วมใจเดินทางมาช่วยพัฒนาวัดพระพุทธบาทเขากระโดงด้วยความเต็มใจและศรัทธาในตัวหลวงพ่อเที่ยง ผู้ที่ศรัทธาท่านจากบุรีรัมย์ จากจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้อต่กรุงเทพ ก็ยังเดินทางมาช่วยพัฒนาวัด ถ้าดูให้ดีที่บริเวณหน้าอุโบสถจะเห็นก้อนหินขนาดสี่คนโอบวางเรียงรายกกันเป็นกำแพงกั้นดิน มันมาเรียงกันอยู่เป็นระเบียบได้อย่างไร ? ก็เพราะพลังแรงศรัทธาของกลุ่มนักรบที่กลับจากชายแดน และประชาชนที่มีจิตศรัทธาต่อหลวงพ่อเที่ยงนั่นเอง
   
        เครื่องรางของขลังในชุดแรก ๆ ของหลวงพ่อเที่ยงนั้น ท่านสร้างแต่เพียง ตะกรุดเกราะเพชร และตะกรุดหนังเสือโคร่ง การทำตะกรุดก็ต้องใช้มือถัก ก่วาจะได้แต่ละอันใช้เวลามาก. สุดยอดของขลังอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อเที่ยง ที่บรรดาชายฉกรรจ์ทั้งหลายต้องการ ก็คือ สักยันต์น้ำมันหัวใจเสือ เพราะจากปากต่อปากของคนที่ผ่านการสักมาแล้วนั้น ยืนยันสรรพคุณของ ยันต์เสือเผ่น ที่สักด้วยมือของหลวงพ่อเที่ยง ว่ามีความเข้มขลังขนาดไหน เสือเผ่น ของหลวงพ่อเที่ยงนั้น ร่ำลือกันมากในหมู่ทหารพรานว่า เป็นมหาอำนาจทางคงกระพันชาตรีอย่างแท้จริง
   ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วที่เสือมักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไสยศาสตร์โดยเป็ฯมหาอำนาจอยู่เสมอ พระอาจารย์ต่าง ๆ พากันสักยันต์เป็นรูปเสือเผ่น หรือ เสือโผนไว้ที่หน้าอก หรือที่ บ่า เป็นต้น ถือว่ามีมหาอำนาจซ้ำยังมีความคงกระพันชาตรีในตัวของมันเอง. ในสมัยพยัคฆ์ร้ายไทยถีบ หรือ สามล้อถีบในกรุงเทพ ยังไม่เลิก ก่อนยุคที่ จอมพล สฤษดิ์ ยังไม่เถลิงอำนาจนั้น นายสายสีใหม สามล้อถีบจากเมืองชลบุรี มีเรื่องกับพวกสามล้อจากบ้านทวาย(สะพานดำใกล้ที่ทำการประปานครหลวง) นายสายเสียท่าถูกรุมเลื่อยด้วยเลื่อยตัดน้ำแข็งซึ่งมีฟันใหญ่และคมกริบ. แต่คมเลื่อยไม่ได้กินเลือดของนายสาย แม้แต่หยดเดียว !! เพราะนายสาย สีใหม สักเสือเผ่น ที่หน้าอก แถมยังทีตะกรุดหนังเสือ ห้อยคออยู่อีกหนึ่งดอก ไม่ทราบว่าเป็นของพระอาจารย์ผู้ใด หลังจากวันนั้น มีคนถามถึงยันต์เสือเผ่น ที่สัก และ ตะกรุดหนังเสือ นั้นเป็นของพระอาจารย์ที่ใหน นายสายไม่ยอมบอกที่มา แต่บอกว่าเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งแถบตะวันออก.
        สมัยก่อน พระอาจารย์แถบตะวันออกที่ดังเริ่มจาก หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย เทพเจ้าแห่งเขี้ยวเสือ ยุคหลังก็มีหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ซึ่งเป็นเครื่องรางที่ให้ผลทางด้าน คงกระพันชาตรี โดยเฉพาะ. เครื่องรางที่ทำมาจาก หนังหน้าผากเสือ หนังเสือ เขี้ยวเสือ หรือแม้แต่ เล็บเสือ ล้วนมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น. การสร้างตะกรุดหนังเสือโคร่งมหาอำนาจนั้น จะต้องมีการเซ่นไหว้ปลุกเสกพิธีเต็มรูปแบบ กว่าจะออกมาเป็นตะกรุดเสือโคร่งมหาอำนาจนั้นไม่ใช่ของง่าย หากทำประเภทสุกเอาเผากินแล้วอาทิตย์เดียวเสร็จ แต่ของหลวงพ่อเที่ยงไม่มีทาง ท่านคำนึงถึงประสิทธิภาพมาก จึงตั้งใจสร้างอย่างพิถีพิถัน
       ตั้งแต่เริ่มสร้างจะยึดเอาฤกษ์วันสุริยคราสเป็นวันบูชาเทพารักษ์ และวิญญาณของพญาเสือโคร่ง เขียนอักขระยันต์ลงบนหนังเสือพร้อมกำกับพระคาถา แล้วนำมาปลุกเสกเดี่ยวในเจดีย์มหาราช. พระบุญเลี้ยง ลูกศิษย์ใก้ลชิดรูปหนึ่ง มี่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพราะความเคารพนับถือหลวงพ่อเที่ยงได้เล่าให้ฟังว่า
ในยามที่หลวงพ่อเที่ยงตั้งธาตุสร้างตะกรุดพญาเสือโคร่ง ซึ่งท่านจะต้องใช้ธาตุไฟ หลวงพ่อเที่ยงจะดูหนุ่มขึ้น หน้าแดงตัวแดงมีพละกำลังมหาศาล นอกจากนี้แล้ว บรรดาลูกศิษย์ของท่านที่มารอรับตะกรุดในตอนแรกก็จะมีพละกำลังมหาศาลเช่นเดียวกัน. หากบริกรรมคาถาหัวใจเสือโคร่งแล้ว ก็เหมือนของขึ้นมีกำลังมหาศาล หนังดีไม่สามารถจับรั้งตัวไว้ได้เพราะสู้กำลังไม่ไหว. พระคาถาเสือโคร่งว่าดังนี้ "พยัคโฆ พยัคฆะ สัญญาลัพพะติ อิติหิหึมหัม'' ซึ่งพระคาถาบทนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก หากเอาไปใช้กับตะกรุดพญาเสือโคร่งของหลวงพ่อเที่ยง จะเกิดความเข้มขลังเป็นที่สุดทีเดียว
       จากคำบอกเล่าของพระภิกษุสองรูปคือ พระอาจารย์บุญมี ฐานจาโร วัดบ้านบัว ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และพระอาจารย์ชัย ฉันทโก วัดพระพุทธบาทเขากระโดง ได้กรุณาเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อเที่ยงประสบมา แล้วนำมาเล่าใหท่านฟังอักต่อหนึ่ง
        
      เรื่องเกิดขึ้นกับ นายน้อย ศิลาทอง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 3 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ นายน้อยมีอาชีพรับจ้างฆ่าสัตว์ทั่วไป ใครจ้างฆ่าก็ไป นายน้อยมีตะกรุดพญาเสือโคร่งของหลวงพ่อเที่ยงคาดเอวประจำอยู่ดอกหนึ่ง นายน้อยรับจ้างฆ่าวัวให้แขกปาทานคนหนึ่งในจังหวัดสระบุรี แต่นายน้อยเป็นเพชฌฆาตฆ่าสัตว์แข่งกับอีกเขียงหนึ่ง ซึ่งฆ่าสัตว์ถูกกฎหมาย ก็เลยเป็นคู่แข่งกัน คู่แข่งของนายน้อย ซึ่งเป็นแขกปาทานด้วยได้ใช้กลยุทธ์สกปรกว่า ชวนชวนนายมาทำงานไห้กับตน โดยจะให้เงินเดือนสูงกว่าเป็นเท่าตัว นายน้อยเห็นว่าเงินดีก็เลยหักหลังเจ้านายเก่า ด้วยการไปรับจ้างฆ่าสัตว์ให้กับนายใหม่
     ทำให้นายเก่าถึงกับโกรธแค้น หาว่านายน้อยหักหลังเป็นหมาสองราง แบบนี้ต้องฆ่าทิ้งถึงจะหายแค้น เพราะกิจการของนายเก่าต้องหยุดชะงักหาคนฆ่าสัตว์ไม่ได้. และวันที่ 4 ธันวาคม 31 เวลาประมาณ 3.00 น. นายน้อยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งทำงานฆ่าสัตว์ตามปกติ ขณะที่กำลังชำแหละเนื้ออยู่นั้น ก็มีชายฉกรรจ์สองคนแอบเข้ามาในโรงฆ่าสัตว์ พร้อมด้วยอาวุธปืน นายน้อยเห็นเหมือนกัน แต่ก็หนีไม่รอด เพราะสองคนนั้นปิดทางออกเอาไว้โดยสิ้นเชิง มันสองคนจ่อปากกระบอกปืนเข้าหาร่างนายน้อยที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัวสุดขีด แล้วลั่นไกใส่ทันที แชะ แชะ แชะ แชะ !! กระสุนด้านทั้งสี่นัด ทำให้คนร้ายทั้งสองขัดใจมากขึ้น เล็งปืนไปที่นายน้อยพร้อมคำรามว่า.... หนังเหนียวหรือมึง ให้มันรู้ไปสิว่ามืออย่างกูจะยิงไม่ออก เอามันโว้ย ซ้ำมันให้ตาย !! แล้วทั้งสองก็กระหน่ำยิงซ้ำอีก เสียงระเบิดสนั่นดังก้องโรงฆ่าสัตว์แห่งนั้น.........นายน้อยคิดว่าตัวเองตายแล้ว จึงหลับตาปี๋ฟูบนอนอยู่กับพื้น จนกระทั่งใด้ยินเสียงร้องโอย ๆ จากมือปืนทั้งสอง นายน้อยรู้ตัวเองว่าไม่ตายแน่นอน เพราะไม่มีส่วนใหนของร่างกายที่เจ็บปวดเลย กระสุนไม่ถูกตัวเองแน่นอน มองไปทางมือปืน ก็เห็นว่ามันสองคนเอามือกุมหน้าที่ชุ่มโชนไปด้วยเลือดสด ๆ โดยทิ้งปืนทั้งสองกระบอกไว้ในที่เกิดเหตุ นายน้อยตรงเข้าไปหยิบปืนที่พวกมันทิ้งเอาไว้ก็ขนลุกซู่ เพราะลำกล้องแตกไม่มีชิ้นดี รูปร่างบิดเบี้ยว การระเบิดของปืนคงทำให้สะเก็ดของมันถูกหน้าของคนทั้งสองจึงใด้ทั้งปืน และวิ่งหนีไปด้วยความกลัว
      ตะกรุดรุ่นนี้จึงเป็นที่ฮือฮากันมาก  ชาวบ้านให้ฉายาว่า "ตะกรุดรุ่นพยัคฆ์ปืนแตก" นายน้อยยืนยันว่า ถ้าไม่ได้ตะกรุดพญาเสือโคร่งของหลวงพ่อเที่ยงเขาคงกลายเป็นผีไปแล้ว นั่นคือเรื่องราวของตะกรุดพญาเสือโคร่งของหลวงพ่อเที่ยง ผู้มีฉายาว่า "เทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ"
      มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ จ. บุรีรัมย์ เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก หลวงพ่อเที่ยงท่านเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 2535 ซึ่งปีนั้น ตามความเชื่อถือว่าเป็นปีที่ดุร้ายมาก เพราะนางสงกรานต์ขี่เสือกินเลือดเป็นภักษาหาร ซึ่งที่กรุงเทพฯ ของเราก็เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ขึ้นมา จนกระทั่งมีผู้คนล้มตายกันมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ดังไปทั่วโลก ก่อนที่ีจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น หลวงพ่อเที่ยงได้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้าว่า...
   " ในปีนั้น หากใครดวงไม่แข็งอาจจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่รอด และจะเกิดเหตุการณ์ร้ายที่ทำให้ผู้คนล้มตายมากมาย" หลวงพ่อเที่ยงท่านทราบล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะเกิดเรื่องนี้ มาฟังท่านเล่ากันต่อไป
ท่านกล่าวว่า... วันหนึ่งขณะท่านเข้าสมาธิเจริญภาวนาอยู่ในกุฏิ พอตกดึกก็ได้ปรากฏอสุรกายรูปร่างใหญ่โต หน้าตาดุร้ายคล้ายยักษ์ มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับตวาดเสียงดังลั่นว่า...."ข้ามาขอชีวิตมนุษย์ 2 พันคนท่านอย่าขวางได้ใหม" ในนิมิตนั้นท่านตอบไปว่า... "ในอาณาเขตบุรีรัมย์อาตมาให้ไม่ได้" อสุรกายเอ่ยเสียงดุดันว่า "เอ้า...ในเมื่อท่านให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอาที่อื่น" เมื่อมันพูดจบก็หายไปจากนิมิตนั้น
มีคนถามว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่หลวงพ่อเที่ยงท่านไม่ยอมตอบ แล้วที่มันบอกจะเอาชีวิตคน 2 พันคนจะทำอย่างไร ? ท่านยิ้มแล้วตอบว่า อย่างที่บอกไปแล้วว่าคนดวงแข็งก็ไม่เป็นไร แต่ท่านก็หาทางแก้ไขเอาไว้แล้ว
คือสร้างพระกริ่งรูปเหมือนหลวงพ่อขี่เสือรุ่นแรกเพื่อล้างอาถรรพ์ โดยให้ชื่อว่า "รุ่นสยบพบัคฆา" จำนวนจำกัด เมื่อหมดแล้วก็หมดเลยท่านจะไม่ส้รางอีก
      มีคำพูดว่า หลวงพ่อเที่ยงคือศูนย์รวมจิตใจของชาวบุรีรัมย์ !!
ผู้เขียนก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะหลวงพ่อเที่ยง เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทเขากระโดง จ. บุรีรัมย์ รูปนี้เป็นพระสงฆ์ผู้มีวิชาความรู้สูงมาก เป็นผู้ที่เจนจบอาคมหลายแขนง ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีความเมตตา ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    เรื่องแคล้วคลาด ผองภัยให้พกหนัง
คงกระพันป้องไว้ ภัยสัตว์ร้าย
     ปัดลมเพลมพัด ที่ซัดกาย
อีกเด่นหมายถูกโฉลก เสี่ยงโชคดี
     แขวนหรือคาดปราศปัด อุบัติเหตุ
อีกอาเภทลี้ลับ ขับไล่ผี
     มีหนังเสืออาคม ไว้ข่มดี
คุณมากมี ควรหามาครองเอย
                 จาก ลูกศิษย์ ที่จิตศัทธา
มีอยู่ 1 เส้น

ของ สวนเสือศรีราชา ป่ะ  
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2016-11-30 14:24
ของ สวนเสือศรีราชา ป่ะ

เหวอเลย

ของปลอมเยอะมากนะ..
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้