ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
สมมุติ วิมุติ
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 2086
ตอบกลับ: 6
สมมุติ วิมุติ
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-1-3 09:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติที่เราสมมุติขึ้นมาเองทั้งสิ้นสมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเองเลยไม่มีใครวางมันเป็นทิฐิมันเป็นมานะความยึดมั่นถือมั่นอันความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้มันจบลงไม่ได้สักทีเป็นเรื่องวัฏฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาดไม่มีทางสิ้นสุดทีนี้ถ้าเรารู้จักสมมุติแล้วก็รู้จักวิมุตติครั้นรู้จักวิมุตติแล้วก็รู้จักสมมุติก็จะเป็นผู้รู้จักธรรมะอันหมดสิ้นไป
ก็เหมือนเราทุกคนนี้แหละแต่เดิมชื่อของเราก็ไม่มีคือตอนเกิดมาก็ไม่มีชื่อที่มีชื่อขึ้นมาก็โดยสมมุติกันขึ้นมาเองอาตมาพิจารณาดูว่าเอ!สมมุตินี้ถ้าไม่รู้จักมันจริงๆแล้วมันก็เป็นโทษมากความจริงมันเป็นของเอามาใช้ให้เรารู้จักเรื่องราวมันเฉยๆเท่านั้นก็พอให้รู้ว่าถ้าไม่มีเรื่องสมมุตินี้ก็ไม่มีเรื่องที่จะพูดกันไม่มีเรื่องที่จะบอกกันไม่มีภาษาที่จะใช้กัน
เมื่อครั้งที่อาตมาไปต่างประเทศอาตมาได้ไปเห็นพวกฝรั่งไปนั่งกรรมฐานกันอยู่เป็นแถวแล้วเวลาจะลุกขึ้นออกไปไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามเห็นจับหัวกันผู้นั้นผู้นี้ไปเรื่อยๆก็เลยมาเห็นได้ว่าโอ!สมมุตินี้ถ้าไปตั้งลงที่ไหนไปยึดมั่นหมายมั่นมันก็จะเกิดกิเลสอยู่ที่นั่นถ้าเราวางสมมุติได้ยอมมันแล้วก็สบาย
อย่างพวกนายพลนายพันทหารมาที่นี่ก็เป็นผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ครั้นมาถึงอาตมาแล้วก็พูดว่า"หลวงพ่อกรุณาจับหัวให้ผมหน่อยครับ"นี่แสดงว่าถ้ายอมแล้วมันก็ไม่มีพิษอยู่ที่นั่นพอลูบหัวให้เขาดีใจด้วยซ้ำแต่ถ้าไปลูบหัวเขาที่กลางถนนดูซิไม่เกิดเรื่องก็ลองดูนี่คือความยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ฉะนั้นอาตมาว่าการวางนี้มันสบายจริงๆเมื่อตั้งใจว่าเอาหัวมาให้อาตมาลูบก็สมมุติลงว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็ไม่เป็นอะไรจริงๆลูบอยู่เหมือนหัวเผือกหัวมันแต่ถ้าเราไปลูบอยู่กลางทางไม่ได้แน่นอน
นี่แหละเรื่องของการยอมการละการวางการปลงทำได้แล้วมันเบาอย่างนี้ครั้นไปยึดที่ไหนมันก็เป็นภพที่นั่นเป็นชาติที่นั่นมีพิษมีภัยขึ้นที่นั่นพระพุทธองค์ของเราท่านทรงสอนสมมุติแล้วก็ทรงสอนให้รู้จักแก้สมมุติโดยถูกเรื่องของมันให้มันเห็นเป็นวิมุตติอย่าไปยึดมั่นหรือถือมั่นมันสิ่งที่มันเกิดมาในโลกนี้ก็เรื่องสมมุติทั้งนั้นมันจึงเป็นขึ้นมาครั้นเป็นขึ้นมาแล้วและสมมุติแล้วก็อย่าไปหลงสมมุตินั้นท่านว่ามันเป็นทุกข์เรื่องสมมุติเรื่องบัญญัตินี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดถ้าคนไหนปล่อยคนไหนวางได้มันก็หมดทุกข์
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-1-3 09:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่เป็นกิริยาของโลกเราเช่นว่าพ่อบุญมานี้เป็นนายอำเภอเถ้าแก่แสงชัยไม่ได้เป็นนายอำเภอแต่ก็เป็นเพื่อนกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเมื่อพ่อบุญมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอก็เป็นสมมุติขึ้นมาแล้วแต่ก็ให้รู้จักใช้สมมุติให้เหมาะสมสักหน่อยเพราะเรายังอยู่ในโลกถ้าเถ้าแก่แสงชัยขึ้นไปหานายอำเภอที่ที่ทำงานและเถ้าแก่แสงชัยไปจับหัวนายอำเภอมันก็ไม่ดีจะไปคิดว่าแต่ก่อนเคยอยู่ด้วยกันหามจักรเย็บผ้าด้วยกันจวนจะตายครั้งนั้นจะไปเล่นหัวให้คนเห็นมันก็ไม่ถูกไม่ดีต้องให้เกียรติกันสักหน่อยอย่างนี้ก็ควรปฏิบัติให้เหมาะสมตามสมมุติในหมู่มนุษย์ทั้งหลายจึงจะอยู่กันได้ด้วยดีถึงจะเป็นเพื่อนกันมาแต่ครั้งไหนก็ตามเขาเป็นนายอำเภอแล้วต้องยกย่องเขาเมื่อออกจากที่ทำงานมาถึงบ้านถึงเรือนแล้วจึงจับหัวกันได้ไม่เป็นอะไรก็จับหัวนายอำเภอนั่นแหละแต่ไปจับอยู่ที่ศาลากลางคนเยอะๆก็อาจจะผิดแน่นี่ก็เรียกว่าให้เกียรติกันอย่างนี้ถ้ารู้จักใช้อย่างนี้มันก็เกิดประโยชน์ถึงแม้จะสนิทกันนานแค่ไหนก็ตามพ่อบุญมาก็คงจะต้องโกรธหากว่าไปทำในหมู่คนมากๆเพราะเป็นนายอำเภอแล้วนี่แหละมันก็เรื่องปฏิบัติเท่านี้แหละโลกเราให้รู้จักกาลรู้จักเวลารู้จักบุคคล
ท่านจึงให้เป็นผู้ฉลาดสมมุติก็ให้รู้จักวิมุตติก็ให้รู้จักให้รู้จักในคราวที่เราจะใช้ถ้าเราใช้ให้ถูกต้องมันก็ไม่เป็นอะไรถ้าใช้ไม่ถูกต้องมันก็ผิดมันผิดอะไรมันผิดกิเลสของคนนี่แหละมันไม่ผิดอันอื่นหรอกเพราะคนเหล่านี้อยู่กับกิเลสมันก็เป็นกิเลสอยู่แล้วนี่เรื่องปฏิบัติของสมมุติปฏิบัติเฉพาะในที่ประชุมในบุคคลในกาลในเวลาก็ใช้สมมุติบัญญัติอันนี้ได้ตามความเหมาะสมก็เรียกว่าคนฉลาดให้เรารู้จักต้นรู้จักปลายทั้งที่เราอยู่ในสมมุตินี้แหละมันทุกข์เพราะความไปยึดมั่นหมายมั่นมันแต่ถ้ารู้จักสมมุติให้มันเป็นมันก็เป็นขึ้นมาเป็นขึ้นมาได้โดยฐานที่เราสมมุติแต่มันค้นไปจริงๆแล้วไปจนถึงวิมุตติมันก็ไม่มีอะไรเลย
อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่าพวกเราทั้งหลายที่มาบวชเป็นพระนี้แต่ก่อนเป็นฆราวาสก็สมมุติเป็นฆราวาสมาสวดสมมุติให้เป็นพระก็เลยเป็นพระแต่เป็นพระเณรเพียงสมมุติพระแท้ๆยังไม่เป็นเป็นเพียงสุมมติยังไม่เป็นวิมุตตินี่ถ้าหากว่าเรามาปฏิบัติให้จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเหล่านี้เป็นขั้นๆไปตั้งแต่ขั้นโสดาสกิทาคามีอนาคามีไปจนถึงพระอรหันต์นั้นเป็นเรื่องละกิเลสแล้วแต่แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเป็นเรื่องสมมุติอยู่นั่นเองคือสมมุติอยู่ว่าเป็นพระอรหันต์อันนั้นเป็นพระแท้ครั้งแรกก็สมมุติอย่างนี้คือสมมุติว่าเป็นพระแล้วก็จะละกิเลสเลยได้ไหม?ก็ไม่ได้เหมือนกันกับเกลือนี่แหละสมมุติว่าเรากำดินทรายมาสักกำหนึ่งเอามาสมมุติว่าเป็นเกลือมันเป็นเกลือไหมล่ะ?ก็เป็นอยู่แต่เป็นเกลือโดยสมมุติไม่ใช่เกลือแท้ๆจะเอาไปใส่แกงมันก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจะว่าเป็นเกลือแท้มันก็เปล่าทั้งนั้นแหละนี่เรียกว่าสมมุติ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-1-3 09:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทำไมจึงสมมุติ?เพราะว่าเกลือไม่มีอยู่ที่นั่นมันมีแต่ดินทรายถ้าเอาดินทรายมาสมมุติว่าเป็นเกลือมันก็เป็นเกลือให้อยู่เป็นเกลือโดยฐานที่สมมุติไม่เป็นเกลือจริงคือมันก็ไม่เค็มใช้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้มันสำเร็จประโยชน์ได้เป็นบางอย่างคือในขั้นสมมุติไม่ใช่ในขั้นวิมุตติ
ชื่อว่าวิมุตตินั้นก็สมมุตินี้แหละเรียกขึ้นมาแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันหลุดพ้นจากสมมุติแล้วหลุดไปแล้วมันเป็นวิมุตติแล้วแต่ก็ยังเอามาสมมุติให้เป็นวิมุตติอยู่อย่างนี้แหละมันก็เป็นเรื่องเท่านี้จะขาดสมมุตินี้ได้ไหม?ก็ไม่ได้ถ้าขาดสมมุตินี้แล้วก็จะไม่รู้จักการพูดจาไม่รู้จักต้นไม่รู้จักปลายเลยไม่มีภาษาจะพูดกัน
ฉะนั้นสมมุตินี้ก็มีประโยชน์คือประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้เราใช้กันเช่นว่าคนทุกคนก็มีชื่อต่างกันแต่ว่าเป็นคนเหมือนกันถ้าหากไม่มีการตั้งชื่อเรียกกันก็จะไม่รู้ว่าพูดกันให้ถูกคนได้อย่างไรเช่นเราอยากจะเรียกใครสักคนหนึ่งเราก็เรียกว่า"คนคน"ก็ไม่มีใครมามันก็ไม่สำเร็จประโยชน์เพราะต่างก็เป็นคนด้วยกันทุกคนแต่ถ้าเราเรียก"จันทร์มานี่หน่อย"จันทร์ก็ต้องมาคนอื่นก็ไม่ต้องมามันสำเร็จประโยชน์อย่างนี้ได้เรื่องได้ราวฉะนั้นได้ข้อประพฤติปฏิบัติอันเกิดจากสมมุติอันนี้ก็ยังมีอยู่
ดังนั้นถ้าเข้าใจในเรื่องสมมุติเรื่องวิมุตติให้ถูกต้องมันก็ไปได้สมมุตินี้ก็เกิดประโยชน์ได้เหมือนกันแต่ความจริงแท้แล้วมันไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นแม้ตลอดว่าคนก็ไม่มีอยู่ที่นั่นเป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเท่านั้นเกิดมาด้วยเหตุด้วยปัจจัยของมันเจริญเติบโตด้วยเหตุด้วยปัจจัยของมันให้ตั้งอยู่ได้พอสมควรเท่านั้นอีกหน่อยมันก็บุบสลายไปเป็นธรรมดาใครจะห้ามก็ไม่ได้จะปรับปรุงอะไรก็ไม่ได้มันเป็นเพียงเท่านั้นอันนี้ก็เรียกว่าสมมุติถ้าไม่มีสมมุติก็ไม่มีเรื่องมีราวไม่มีเรื่องที่จะปฏิบัติไม่มีเรื่องที่จะมีการมีงานไม่มีชื่อเสียงเลยไม่รู้จักภาษากันฉะนั้นสมมุติบัญญัตินี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาษาให้ใช้กันสะดวก
เหมือนกับเงินนี่แหละสมัยก่อนธนบัตรมันไม่มีหรอกมันก็เป็นกระดาษอยู่ธรรมดาไม่มีราคาอะไรในสมัยต่อมาท่านว่าเงินอัฐเงินตรามันเป็นก้อนวัตถุเก็บรักษายากก็เลยเปลี่ยนเสียเอาธนบัตรเอากระดาษนี้มาเปลี่ยนเป็นเงินก็เป็นเงินให้เราอยู่ต่อนี้ไปถ้ามีพระราชาองค์ใหม่เกิดขึ้นมาสมมุติไม่ชอบธนบัตรกระดาษเอาขี้ครั่งก็ได้มาทำให้มันเหลวแล้วมาพิมพ์เป็นก้อนๆสมมุติว่าเป็นเงินเราก็จะให้ขี้ครั่งกันทั้งหมดทั่วประเทศเป็นหนี้เป็นสินกันก็เพราะก้อนขี้ครั่งนี้แหละอย่าว่าแต่เพียงก้อนขี้ครั่งเลยเอาก้อนขี้ไก่มาแปรให้มันเป็นเงินมันก็เป็นได้ทีนี้ขี้ไก่ก็จะเป็นเงินไปหมดจะฆ่ากันแย่งกันก็เพราะก้อนขี้ไก่เรื่องของมันเป็นเรื่องแค่นี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-1-3 09:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แม้เขาจะเปลี่ยนเป็นรูปใหม่มาถ้าพร้อมกันสมมุติขึ้นแล้วมันก็เป็นขึ้นมาได้มันเป็นสมมุติอย่างนั้นอันนี้สิ่งที่ว่าเป็นเงินนั้นมันเป็นอะไรก็ไม่รู้จักเรื่องแร่ต่างๆที่ว่าเป็นเงินจริงๆแล้วจะเป็นเงินหรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นแร่อันนั้นเป็นมาอย่างนั้นก็เอามาสมมุติมันขึ้นมามันก็เป็นถ้าพูดเรื่องโลกแล้วมันก็มีแค่นี้สมมุติอะไรขึ้นมาแล้วมันก็เป็นเพราะมันอยู่กับสมมุติเหล่านี้แต่ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นวิมุตติให้คนรู้จักวิมุตติอย่างจริงจังนั้นมันยาก
เรือนเราบ้านเราข้าวของเงินทองลูกหลานเราเหล่านี้ก็สมมุติว่าลูกเราเมียเราพี่เราน้องเราอย่างนี้เป็นฐานที่สมมุติกันขึ้นมาทั้งนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วถ้าพูดตามธรรมะท่านว่าไม่ใช่ของเราก็ฟังไม่ค่อยสบายหูสบายใจเท่าใดเรื่องของมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าไม่สมมุติขึ้นมาก็ไม่มีราคาสมมุติว่าไม่มีราคาก็ไม่มีราคาสมมุติให้มีราคาขึ้นมาก็มีราคาขึ้นมามันก็เป็นเช่นนั้นฉะนั้นสมมุตินี้ก็ดีอยู่ถ้าเรารู้จักใช้มันให้รู้จักใช้มัน
อย่างสกลร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกันไม่ใช่เราหรอกมันเป็นของสมมุติจริงๆแล้วจะหาตัวตนเราเขาแท้มันก็ไม่มีมีแต่ธรรมธาตุอันหนึ่งเท่านี้แหละมันเกิดแล้วก็ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นจริงเป็นจังของมันแต่ว่าสมควรที่เราจะต้องใช้มัน
อย่างว่าเรามีชีวิตอยู่ได้นี้เพราะอะไร?เพราะอาหารการกินของเราที่เป็นอยู่ถ้าหากว่าชีวิตเราอยู่กับอาหารการกินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเป็นปัจจัยจำเป็นเราก็ต้องใช้ใช้สิ่งเหล่านี้ให้มันสำเร็จประโยชน์ในความเป็นอยู่ของเราเหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนพระเริ่มต้นจริงๆท่านก็สอนเรื่องปัจจัยสี่เรื่องจีวรเรื่องบิณฑาตเรื่องเสนาสะเรื่องเภสัชยาบำบัดโรคท่านให้พิจารณาถ้าเราไม่ได้พิจารณาตอนเช้ายามเย็นมันล่วงกาลมาแล้วก็ให้พิจารณาเรื่องอันนี้
ทำไมท่านจึงให้พิจารณาบ่อยๆพิจารณาให้รู้จักว่ามันเป็นปัจจัยสี่เครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายของเรานักบวชก็ต้องมีผ้านุ่งผ้าห่มอาหารการขบฉันยารักษาโรคมีที่อยู่อาศัยเมื่อเรามีชีวิตอยู่เราจะหนีจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถ้าอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นอยู่ท่านทั้งหลายจะได้ใช้ของเหล่านี้จนตลอดชีวิตของท่านแล้วท่านอย่าหลงนะอย่าหลงสิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงเท่านี้มีผลเพียงเท่านี้
เราจะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ไปจึงอยู่ได้ถ้าไม่อาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะบำเพ็ญภาวนาจะสวดมนต์ทำวัตรจะนั่งพิจารณากรรมฐานก็จะสำเร็จประโยชน์ให้ท่านไม่ได้ในเวลานี้จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าไปติดสิ่งเหล่านี้อย่าไปหลงสมมุติอันนี้อย่าไปติดปัจจัยสี่อันนี้มันเป็นปัจจัยให้ท่านอยู่ไปอยู่ไปพอถึงคราวมันก็เลิกจากกันไปถึงแม้มันจะเป็นเรื่องสมมุติก็ต้องรักษาให้มันอยู่ถ้าไม่รักษามันก็เป็นโทษเช่นถ้วยใบหนึ่งในอนาคตถ้วยมันจะต้องแตกแตกก็ช่างมันแต่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ขอให้ท่านรักษาถ้วยใบนี้ไว้ให้ดีเพราะเป็นเครื่องใช้ของท่านถ้าถ้วยใบนี้แตกท่านก็ลำบากแต่ถึงแม้ว่าจะแตกก็ขอให้เป็นเรื่องสุดวิสัยที่มันแตกไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
5
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-1-3 09:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปัจจัยสี่ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณานี้ก็เหมือนกันเป็นปัจจัยส่งเสริมเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิตให้ท่านทั้งหลายรู้จักมันอย่าไปยึดมั่นหมายมั่นมันจนเป็นก้อนกิเลสตัณหาเกิดขึ้นในดวงจิตดวงใจของท่านจนเป็นทุกข์เอาแค่ใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์เท่านี้ก็พอแล้ว
เรื่องสมมุติกับวิมุตติมันก็เกี่ยวข้องกันอย่างนี้เรื่อยไปฉะนั้นถ้าหากว่าใช้สมมุติอันนี้อยู่อย่าไปวางอกวางใจว่ามันเป็นของจริงจริงโดยสมมุติเท่านั้นถ้าเราไปยึดมั่นหมายมั่นก็เกิดทุกข์ขึ้นมาเพราะเราไม่รู้เรื่องอันนี้ตามเป็นจริงเรื่องมันจะถูกจะผิดก็เหมือนกันบางคนก็เห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิดเรื่องผิดเรื่องถูกไม่รู้ว่าเป็นของใครต่างคนต่างก็สมมุติขึ้นมาว่าถูกว่าผิดอย่างนี้แหละเรื่องทุกเรื่องก็ควรให้รู้
พระพุทธเจ้าท่านกลัวว่ามันจะเป็นทุกข์ถ้าหากว่าถกเถียงกันเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันจบไม่เป็นคนหนึ่งว่าถูกคนหนึ่งว่าผิดคนหนึ่งว่าผิดคนหนึ่งว่าถูกอย่างนี้แต่ความจริงแล้วเรื่องถูกเรื่องผิดนั้นน่ะเราไม่รู้จักเลยเอาแต่ว่าให้เรารู้จักใช้ให้มันสบายทำการงานให้ถูกต้องอย่าให้มันเบียดเบียนตนเองและเบียดเบียนผู้อื่นให้มันเป็นกลางๆไปอย่างนี้มันก็สำเร็จประโยชน์ของเรา
รวมแล้วส่วนสมมุติก็ดีส่วนวิมุตติก็ดีล้วนแต่เป็นธรรมะแต่ว่ามันเป็นของยิ่งหย่อนกว่ากันแต่มันก็เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันเราจะรับรองแน่นอนว่าอันนี้ให้เป็นอันนี้จริงๆอย่างนั้นไม่ได้ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้วางไว้ว่า"มันไม่แน่"ถึงจะชอบมากแค่ไหนก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่นอนถึงจะไม่ชอบมากแค่ไหนก็ให้เข้าใจว่าอันนี้ไม่แน่นอนมันก็ไม่แน่นอนอย่างนั้นจริงๆแล้วปฏิบัติจนเป็นธรรมะ
อดีตก็ตามอนาคตก็ตามปัจจุบันก็ตามเรียกว่าปฏิบัติธรรมะแล้วที่มันจบก็คือที่มันไม่มีอะไรที่มันละมันวางมันวางภาระที่มันจบจะเปรียบเทียบให้ฟังอย่างคนหนึ่งว่าธงมันเป็นอะไรมันจึงปลิวพริ้วไปคงเป็นเพราะมีลมอีกคนหนึ่งว่ามันเป็นเพราะมีธงต่างหากอย่างนี้ก็จบลงไม่ได้สักทีเหมือนกันกับไก่เกิดจากไข่ไข่เกิดจากไก่อย่างนี้แหละมันไม่มีหนทางจบคือมันหมุนไปหมุนไปตามวัฏฏะของมัน
ทุกสิ่งสารพัดนี้ก็เรียกสมมุติขึ้นมามันเกิดจากสมมุติขึ้นมาก็ให้รู้จักสมมุติให้รู้จักบัญญัติถ้ารู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็รู้จักเรื่องอนิจจังเรื่องทุกขังเรื่องอนัตตามันเป็นอารมณ์ตรงต่อพระนิพพานเลยอันนี้เช่นการแนะนำพร่ำสอนให้ความเข้าใจกับคนแต่ละคนนี้มันก็ยากอยู่บางคนมีความคิดอย่างหนึ่งพูดให้ฟังก็ว่าไม่ใช่พูดความจริงให้ฟังเท่าไรก็ว่าไม่ใช่ฉันเอาถูกของฉันคุณเอาถูกของคุณมันก็ไม่มีทางจบแล้วมันเป็นทุกข์ก็ยังไม่วางก็ยังไม่ปล่อยมัน
อาตมาเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่าคนสี่คนเดินเข้าไปในป่าได้ยินเสียงไก่ขัน"เอ๊กอี๊เอ้กเอ้ก"ต่อกันไปคนหนึ่งก็เกิดปัญญาขึ้นมาว่าเสียงขันนี้ใครว่าไก่ตัวผู้หรือไก่ตัวเมียสามคนรวมหัวกันว่าไก่ตัวเมียส่วนคนเดียวนั้นก็ว่าไก่ตัวผู้ขันเถียงกันไปอยู่อย่างนี้แหละไม่หยุดสามคนว่าไก่ตัวเมียขันคนเดียวว่าไก่ตัวผู้ขัน"ไก่ตัวเมียจะขันได้อย่างไร?""ก็มันมีปากนี่"สามคนตอบคนคนเดียวนั้นเถียงจนร้องไห้ความจริงแล้วไก่ตัวผู้นั่นแหละขันจริงๆตามสมมุติเขาแต่สามคนนั้นว่าไม่ใช่ว่าเป็นไก่ตัวเมียเถียงกันไปจนร้องไห้เสียอกเสียใจมากผลที่สุดแล้วมันก็ผิดหมดทุกคนนั่นแหละที่ว่าไก่ตัวผู้ไก่ตัวเมียก็เป็นสมมุติเหมือนกัน
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
6
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-1-3 09:52
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถ้าไปถามไก่ว่า"เป็นตัวผู้หรือ"มันก็ไม่ตอบ"เป็นไก่ตัวเมียหรือ"มันก็ไม่ให้เหตุผลว่าอย่างไรแต่แรกเคยสมมุติบัญญัติว่ารูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้รูปลักษณะอย่างนั้นเป็นไก่ตัวเมียรูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้มันต้องขันอย่างนี้ตัวเมียต้องขันอย่างนั้นอันนี้มันเป็นสมมุติติดอยู่ในโลกเรานี้ความเป็นจริงของมันมันไม่มีไก่ตัวผู้ไก่ตัวเมียหรอกถ้าพูดตามความสมมุติในโลกก็ถูกตามคนเดียวนั้นแต่เพื่อนสามคนไม่เห็นด้วยเขาว่าไม่ใช่เถียงกันไปจนร้องไห้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมันก็เรื่องเพียงเท่านี้
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันไม่ยึดมั่นถือมั่นทำไมจะปฏิบัติได้?ปฏิบัติไปเพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่จะเอาปัญญาแทนเข้าไปในที่นี้ยากลำบากนี่แหละที่ไม่ให้ยึดมันจึงเป็นของยากมันต้องอาศัยปัญญาแหลมคมเข้าไปพิจารณามันจึงไปกันได้อนึ่งถ้าคิดไปแล้วเพื่อบรรเทาทุกข์ลงไปไม่ว่าผู้มีน้อยหรือมีมากหรอกเป็นกับปัญญาของคนก่อนที่มันจะทุกข์มันจะสุขมันจะสบายมันจะไม่สบายมันจะล่วงทุกข์ทั้งหลายได้เพราะปัญญาให้มันเห็นตามเป็นจริงของมัน
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้อบรมให้พิจารณาให้ภาวนาภาวนาก็คือให้พยายามแก้ปัญญาทั้งหลายเหล่านี้ให้ถูกต้องตามเรื่องของมันเรื่องของมันเป็นอยู่อย่างนี้คือเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตายมันเป็นเรื่องของธรรมดาธรรมดาแท้ๆมันเป็นอยู่อย่างนี้ของมันท่านจึงให้พิจารณาอยู่เรื่อยๆให้ภาวนาความเกิดความแก่ความเจ็บความตายบางคนไม่เข้าใจไม่รู้จะพิจารณามันไปทำไมเกิดก็รู้จักว่าเกิดอยู่ตายก็รู้จักว่าตายอยู่นั่นแหละมันเป็นเรื่องของธรรมดาเหลือเกินมันเป็นเรื่องความจริงเหลือเกิน ถ้าหากว่าผู้ใดมาพิจารณาแล้วพิจารณาอีกอยู่อย่างนี้มันก็เห็นเมื่อมันเห็นมันก็ค่อยแก้ไขไปถึงหากว่ามันจะมีความยึดมั่นหมายมั่นอยู่ก็ดีถ้าเรามีปัญญาเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามันก็บรรเทาทุกข์ไปได้ฉะนั้นจงศึกษาธรรมะเพื่อแก้ทุกข์
ในหลักพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีอะไรมีแต่เรื่องทุกข์เกิดกับทุกข์ดับเรื่องทุกข์จะเกิดเรื่องทุกข์จะดับเท่านั้นท่านจึงจัดเป็นสัจจธรรมถ้าไม่รู้มันก็เป็นทุกข์เรื่องจะเอาทิฐิมานะมาเถียงกันนี้ก็ไม่มีวันจบหรอกมันไม่จบมันไม่สิ้นเรื่องที่จะให้จิตใจเราบรรเทาทุกข์สบายๆนั้นเราก็ต้องพิจารณาดูเรื่องที่เราผ่านมาเรื่องปัจจุบันและอนาคตที่มันเป็นไปเช่นว่าพูดถึงความเกิดความแก่ความเจ็บความตายทำยังไงมันจึงจะไม่ให้เป็นห่วงเป็นใยกันก็เป็นห่วงเป็นใยอยู่เหมือนกันแต่ว่าถ้าหากบุคคลมาพิจารณารู้เท่าตามความเป็นจริงทุกข์ทั้งหลายก็จะบรรเทาลงไปเพราะไม่ได้กอดทุกข์ไว้
....ความสงบที่หลงคือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเห็นว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไปจึงเป็นอันตรายเป็นข้าศึกในชั้นนั้นอันนี้เป็นอันตรายห้ามปัญญาไม่ให้เกิด
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... _Liberationold.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
matmee2550
matmee2550
ออฟไลน์
เครดิต
2489
7
#
โพสต์ 2014-1-7 17:57
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เยี่ยมๆๆๆ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...