ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3292
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วัตถุมงคลมีมาตั้งแต่พุทธกาล

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-3-26 08:22

วัตถุมงคลมีมาตั้งแต่พุทธกาล


"วัตถุมงคล(หรือพิธีกรรมมงคล อาทิ การเสกน้ำมนต์,ทำด้ายสายสิญจน์ซึ่งต่อมา ได้พัฒนาเป็นวัตถุมงคล,พระเครื่องในชั้นหลัง)เป็นของมีในพระพุทธศาสนามาแต่เดิมหรือไม่..???"



คำตอบ

"มี และมีทั้งก่อนและในพุทธกาลแล้วด้วย

และ"ที่สุด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงเคยใช้เครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันภยันตรายมาแล้วเช่นกัน.



เครื่องรางของขลังที่พระโพธิสัตว์ทรงเคยใช้ในยุคนั้น ก็คือ"สายสิญจน์"และ"ทรายเสก" ที่"พระปัจเจก

พุทธเจ้า"ทำให้นั่นเอง โดยปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกอย่างชัดแจ้งตอนหนึ่ง ความว่า......


.
"ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องของพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมือง พาราณสี ทรงศรัทธาบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นประจำ วันหนึ่งได้ทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ต่อภายหน้าพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสีหรือไม่ พระปัจเจกพุทธเจ้าพิจารณาดูแล้วก็ทราบว่า จะไม่ได้เป็นกษัตริย์ในเมืองนี้ แต่จะได้ครองเมืองตักสิลา ทว่าการไปตักสิลานั้นมีอันตรายจากนางยักษิณีระหว่างทาง จึงถวายพระพรเรื่องนี้ให้ทรงทราบพร้อมกำชับว่าให้ระวังตัวในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่นางยักษิณีจะปลอมแปลงมาหลอกลวง ถ้าหลงใหลจะเป็นอันตรายถึงชีวิต


พระโพธิสัตว์ก็รับคำเป็นอันดี แล้วได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง หลายสวดพระปริตร แล้วรับเอาปริตตวาลิกะ (ทรายเสกด้วยพระปริตร) และปริตต-สุตตะ (ด้ายเสก-สายสิญจน์) ที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามอบให้ ทูลลาพระราชบิดาออกเดินทางไปเมืองตักสิลาพร้อมด้วยคนสนิทอีก 5 คน ซึ่งขอติดตามไปด้วยโดยมิฟังคำทัดทาน หลังจากกำชับกำชา ให้ระวังตัวให้ดีเหมือนคำพระปัจเจกพุทธเจ้า และทุกคนรับคำเป็นอันดีแล้วก็เดินทางไปตามลำดับ


ครั้นถึงกลางดงใหญ่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของนางยักษิณี นางยักษิณีเห็นบุรุษเหล่านั้นพักอยู่จึงจำแลงเพศ มาเป็นหญิงสาวรุ่นงดงาม น่าพึงใจด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส พวกคนสนิทของพระโพธิสัตว์เห็นเข้าก็ เกิดความลุ่มหลง ลืมสัญญาเสียสิ้น คนที่ชอบรูปร่าง ก็ถูกนางยักษิณีลวงด้วยรูปสวย แล้วจับกินเสีย คนที่ชอบเสียงก็ลวงด้วยเสียง แล้วถูกจับกิน คนทั้งห้าถูกลวงด้วยกามคุณห้าอย่างนี้แล้วถูกกินจนหมด เหลือพระโพธิสัตว์เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ยักษิณีจะลวงด้วยอาการอย่างไรก็ไม่ประมาท ไม่ยอมติดใจยินดี ด้วยอำนาจบุญบารมีที่เคยสั่งสมอบรมมา นางยักษิณีก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ติดตามไปห่างๆ จะเข้าก็ไม่ได้ เพราะอานุภาพแห่งทรายเสก และด้ายเสกที่ติดตัวพระโพธิสัตว์อยู่


พอถึงเมืองตักสิลา พระโพธิสัตว์ก็เข้าพัก ณ ศาลาแห่งหนึ่ง เอาทรายเสกโรยบนศีรษะ แล้วเอาด้ายเสกวนรอบที่พัก นางยักษิณีก็เข้าศาลาไม่ได้จึงพักอยู่ข้างนอกจนกระทั่งรุ่งเช้า พระราชาเมืองตักสิลาเสด็จผ่านมาเห็นนางเข้าจึงเกิดความเสน่หา นำนางเข้าไปเป็นสนมในวัง ภายหลังถูกนางยักษิณีหลอก จับกินเสียอีก เมื่อขาดพระราชาประชาชนจึงพร้อมใจกันเลือกพระราชาองค์ใหม่ เห็นพระโพธิสัตว์มีรูปร่างงดงาม มีสง่าน่าเลื่อมใส จึงอัญเชิญให้เป็นพระราชาเมืองนั้นสืบต่อไป.."


ด้วยเหตุนี้ ด้ายสายสิญจน์จึงนิยมใช้วงสถานที่อยู่ และสถานที่ทำพิธี ตลอดจนใช้สวมศีรษะ สวมคอ ผูกข้อมือในงานมงคลทั้งปวง โดยนับถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประดุจข่าย หรือเกราะเพชรป้องกันสรรพอันตรายเป็นประเพณีสืบมาจนทุกวันนี้





3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-26 08:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ
ขอบใจมากๆครับ
ขอบคุณครับ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-24 16:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระโพธิสัตว์ก็รับคำเป็นอันดี แล้วได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง

หลายสวดพระปริตร แล้วรับเอาปริตตวาลิกะ (ทรายเสกด้วยพระปริตร)

และปริตต-สุตตะ (ด้ายเสก-สายสิญจน์)

ที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามอบให้



เดี๋ยวนี้ดีกว่าเยอะ มีรูปเคารพ พระพุทธ พระครูบาอาจารย์ เทพ ฯลฯ

จึงควรทำ นุสติ ให้ดี ให้สมกับมีมงคลติดตัว สาธุ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ธี เมื่อ 2015-1-25 16:11

สุดยอดครับ
หลายคนที่ปฏิบัติธรรมไม่นิยมพกพาของขลัง เพราะคิดว่าเป็นของนอกศาสนา แต่จริงๆแล้วถ้าอ่านให้ดี ในพุทธกาลมีเจ้าลัทธิมากมายที่มีความรู้ด้านใสยศาสตร์และมีอันตรายด้วยภูตผีปีศาจ พระพุทธองค์ก็ทรงเอาชนะได้ด้วยอำนาจที่เหนือกว่า และยังสอนพระภิกษุในท่องบ่นพระคาถาเพื่อป้องกันอันตราย เช่น สวดพานยักษ์ เป็นต้น ความเชื่อเรื่องของขลังหรือคาถามีมาแต่พุทธกาล แต่ไม่ใช่ทางแห่งการบรรลุอรหันต์.....

ขณะที่บวช ผมเคยฟังผู้ชราท่านหนึ่ง(ที่น่าเชื่อถือ)เล่าเกี่ยวกับใสยศาสตร์ ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ในสมัยที่ท่านยังหนุ่ม พระองค์หนึ่งให้นำกระต่ายขูดมะพร้าวมาสองตัวและเอาผ้ายันต์ติดที่ท้องกระต่ายขูดมะพร้าว พระก็นั่งเคาะกะลามะพร้าว ปรากฎว่า กระต่ายขูดมะพร้าวสองตัวขยับเข้าหากันและชนกันเหมือวัวกำลังชน พระท่านวางไม้ที่เคาะและพูดว่า "ทำให้ดู เพื่อให้รู้ว่าใสยศาสตร์มีจริง ที่กระต่ายขูดมะพร้าวขยับได้เพราะฤทธิของยันต์ที่ใช้ให้ผีมันมาขยับกระต่ายขูดมะพร้าวตามเสียเคาะกะลา" และพระท่านก็บอกว่า "ใสยศาสตร์มีจริง แต่ไม่ใช่ทางที่ทำให้บรรลุนิพพาน"   
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้