ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 11032
ตอบกลับ: 15
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระมหาโมคคัลลานะ

[คัดลอกลิงก์]
พระมหาโมคคัลลานะ
ขอนำเสนอประวัติของอัครสาวกเบื้องซ้ายพระมหาโมคคัลลานะ เนื่องจากได้นำเสนอเรื่องเทวดา ก่อนหน้านี้ มีเรื่องพระมหาโมคคัลานะเป็นตัวละครสำคัญ จึงได้นำเสนอที่ไปที่มาของพระมหาโมคคัลลานะโดยละเอียด ดังนี้
   
เป็นพระภิกษุอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์ คู่กับพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา

  
                                                        
พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกัน

สาเหตุที่ได้เป็นเอตทัคคะ
เมื่อนับถอยหลังไปด้วยระยะเวลาได้หนึ่งอสงไขยกัปและอีกหนึ่งแสนกัปจากภัทรกัปนี้ พระมหาโมคคัลลานะเถระบังเกิดเป็น สิริวัฑฒกุฏมพี อยู่ในตระกูลคฤหบดีมหาศาล และได้เป็นสหายกับ สรทมาณพ (พระสารีบุตรเถระ) ในอดีตชาติ สรทมาณพนั้นคิดจะออกบรรพชาแสวงหาโมกขธรรมจึงไปชวน สิริวัฑฒกุฎุมพี ๆ ปฏิเสธว่าไม่สามารถออกบรรพชาได้ แล้วสรทมาณพออกไปบรรพชาเป็นดาบสพร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก ได้สำเร็จอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ประการ ต่อมาได้กระทำอธิสักการบูชาแด่พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาไว้ในที่เฉพาะพระพักต์เพื่อเป็นอัครสาวกเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว พลันหวนนึกถึงสิริวัฑฒกุฎมพีผู้เป็นสหายขึ้นได้ จึงรีบไปที่บ้านของสิริวัฒกุฎมพีแต่ผู้เดียว และได้ชี้แจงให้ผู้เป็นสหายทราบและให้ปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวก (สาวกเบื้องซ้าย) ในศาสนาของพระพุทธโคดม เช่นเดียวกับตน
สิริวัฒกุฎมพี ได้ฟังดังนั้น จึงให้สรทดาบสไปนิมนต์พระพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มาที่บ้านและทำการถวายมหาทานและเครื่องมหาสักการบูชามากมายตลอดเจ็ดวัน แล้วก็ประนมมือกราบทูลแทบพระบาทพระะอโนมทัสสีพุทธเจ้า ว่า สรทดาบสผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ปรารถนาเป็นอัครสาวกของพระบรมศาสดาพระองค์ใด ข้าพระองค์ขอได้เป็นทุติยะสาวกของศาสดาพระองค์นั้นด้วยเถิดพระเจ้าข้าพระอโนมทัสสีพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาดูอนาคตกาลแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของสิริวัฒกุฏมพีจะสำเร็จสมมโนรถ จึงทรงพยากรณ์ว่า เมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป นับจากกัปนี้ไป เธอจะได้เป็นทุติยสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
สิริวัฒกุฎพีรับฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจร่าเริงยินดีเป็นที่สุด ราวกับว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ฉะนั้น ฝ่ายพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่วันนั้นมาสิริวัฒกุฎมพีได้กระทำกัลยาณกรรมอยู่เป็นประจำตลอดชีวิต ครั้นเขาสิ้นชีวิตแล้วขึ้นไปเกิดในกามาวจรเทวโลก ในวาระแห่งจิตที่ 2 และกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในชาติต่อมา และในสมัยพระโคดมพระพุทธเจ้านี้ เกิดมาเป็นโกลิตมาณพ เพื่อนของอุปปติสสมาณพ

                                พระอัสสชิ รับบิณฑบาตรที่กรุงราชคฤห์

เมื่ออุปติสสมาณพได้ไปพบพระอัสสชิในกรุงราชคฤห์ ได้ฟัง "พระคาถาเย ธัมมา" จากพระอัสสชิ ทำให้ได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุโสดาบัน อุปติสสมาณพได้นำคำสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นดียวกัน ทั้งสองมาณพได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนาราม และได้ทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุ โกลิตมาณพซึ่งอุปสมบทเป็นพระมหาโมคคัลลานะ บำเพ็ญความเพียรได้ 7 วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนอุปติสสมาณพซึ่งอุปสมบทเป็นพระสารีบุตรอุปสมบทได้ 15 วัน จึงสำเร็จพระอรหันต์
ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนมาฆะ ในคืนวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาต จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย (ทุติยสาวก) เลิศกว่าผู้อื่นในทางฤทธิ์





  
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ
พระมหาโมคคัลลานะ  เมื่ออุปสมบทได้ 7 วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม  แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้  ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน  ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี  อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่  จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า  ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้
โมคคัลลานะ  เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น  เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก  จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้  เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก  จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้  เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้  เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง  และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้  เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว  จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ  กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง  จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์  มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
ถ้ายังละไม่ได้  เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ  หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า  เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
พระพุทธองค์  ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน  แต่ให้นอนอย่างมีสติ
พระพุทธเจ้าได้ประทานพระโอวาท 3 ข้อ
โมคคัลลานะ  เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่  เข้าไปสู่สกุล  เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้  ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ  เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม  จิตก็จะห่างจากสมาธิ
โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า  เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน  เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
โมคคัลลานะ  ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง  คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต  แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง  ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย

ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ  ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา  เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่ พระพุทธองค์  ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น  ในยามเมื่อเสวยเวทนา อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง  และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น  จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”

พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว  ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ  ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ  จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย (ชี้ทางซ้าย)


โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า “พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา (ชี้ทางขวา) เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร
พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย  เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตร  ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ  ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ  ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง  พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ  ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี  ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย

การบำเพ็ญประโยชน์ในการประกาศพระพุทธศาสนา
พระมหาโมคคัลานเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์  พระมหาโมคคัลลานะ  เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์  เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก  และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ  ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน  ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น  มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ  ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก  พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์  และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน  เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  ก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น  ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย  ๆ



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ

   ภาพพระมหาโมคคัลลานะ  ถามนางเทพธิดา

นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่าวันหนึ่ง  พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง  มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง  มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า “แม่เทพธิดา  วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?" “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล 4 มุข 4 ห้อง ถวายพระบรมศาสดา  พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น  แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ  เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน  มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด  เจ้าค่ะ” อันที่จริง  วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ  ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก  ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา

พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น  ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายแล้ว  ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ  ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้  เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น  ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุญทานที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย  คือ

บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์  จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ  จึงได้วิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว  จึงได้วิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ  ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ  พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก  นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย  ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำบุญสร้างกุศล  เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก
(ถ้าท่านสนใจโปรดอ่านเรื่องเทวดา  ในหมวดเดียวกันนี้ จะมีเนื้อหาโดยละเอียด)

พระเถระทรมานพญานาค
สมัยหนึ่ง  พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะ  ละการถือลัทธินั้นเสียพระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น  กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก  พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น  เราขอพักที่กองทรายนั่นก็แล้วกัน”ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่  อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะได้รับอันตรายจึงไม่อนุญาต  แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต  พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น

พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ  ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค  ทั้งพระเถระและพญานาคต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ  พิษควันไฟไม่สามารถทำอันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียวอัคคิทัต  กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง” รุ่งเช้า  อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาค  ขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ พระเถระจึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์  สมณะนี้มีอานุภาพยิ่งนัก”
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ  จึงลงจากกองทรายแล้ว  เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จปะทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “พระพุทธ องค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาค  ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้  และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด  ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวงเมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต  และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้วกราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา  พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก


พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง
พระมหาโมคคัลลานเถระ  ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสามารถในอิทธิปาฏิหาริย์เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น  ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน  ไม่เบียดบังความดีความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น  ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้
สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์  อยากจะเห็นพรอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมือง ราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก  ซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ  ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้  จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำเป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ  ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป” เจ้าลัทธิทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้  จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป  แต่เศรษฐีก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง เท่านั้นจึงจะได้
ขณะนั้น  พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่บนก้อนหินใหญ่  เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้  คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ 7 แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง 6 ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย  เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”



พระเถระทั้งสอง  ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น  พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า  แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น  ต้องการให้คุณของพระเถระรปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ  เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา  จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างโกลาหล
เมื่อครั้งพระบรมศาสดา  ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก  มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน  จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระ แม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี  แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถามพระอนุรุทธะเถระ ทั้งนี้  ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั่นเอง


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระมหาโมคคัลลานะเถระ พบพระพุทธเจ้า  ในจักรวาลอื่น
ความเป็นมา เล่าถึงตั้งแต่ เหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล  เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมี  ซึ่งเป็นพระน้านางแห่งองค์สมเด็จศรีศากยะมุนึสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระทัยชื่นชมโสมนัสยินดี ได้จัดทำผ้าเนื้อละเอียดมีค่ามาก  ด้วยวิริยะอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ ด้วยน้ำพระทัยเจาะจงถวายแด่องค์สมเด็จพระศาสดา  แต่เมื่อได้ นำผ้านั้นมาน้อมถวาย พระองค์ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้น  ก็ผันผายหันไปจะถวายแด่องค์อรรคสาวกทั้งสอง แต่ก็ไม่รับเช่นกัน  แล้วพระนางก็น้อมถวายแด่พระเถรานุเถระพระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย  แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดรับผ้านั้น จวบจนกระทั่งถึงภิกษุใหม่รูปหนึ่ง นามว่า " อชิตะ"
นั่งอยู่ข้างท้ายปลายแถว ในที่สุด ท่านก็รับผ้านั้น  สร้างความเสียพระทัยให้แก่พระนางเป็นอันมาก หากแม้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ  แต่องค์อรรคสาวกทั้งสองท่านใดท่านหนึ่งรับ


ก็คงจะสมพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่นี่กระไร พระภิกษุบวชใหม่  ไม่ได้สำเร็จมรรคผลใด ๆ เป็นผู้รับ พระบรมศาสดา  เพื่อจะเปลื้องความกังขาสงสัยในน้ำพระทัยของสมเด็จพระน้านางแห่งพระองค์ที่ได้เคยฟูมฟักรักษาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย  จึงได้ทรงอธิษฐานบาตรของพระองค์ให้อัตรธานหายไป  แล้วได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าท่านผุ้ใดสามารถหาบาตรของตถาคตเจอบ้าง ก็เห็นแต่
พระมหาโมคคัลลานะเถระ องค์เดียวที่มีฤทธิ์มาก  จึงห่มผ้าเฉลียงบ่าประคองอัญเชิญทูลพระชินศรีบรมศาสตา เพื่อออกแสวงหาบาตรใบนั้น  การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น  ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม  ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น  ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง  ได้เล่าเรื่องนี้ ไว้ในการบรรยาย "วิชามหายาน" ของท่าน  ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า "พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป  เมื่อหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา  หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ  แล้วให้รีบกลับมา"
เมื่อได้กราบทูลลาพระพุทธองค์แล้ว  พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล  แดนสุขาวดีพุทธเกษตร การหาบาตรดำเนินไปทั่วสากลจักรวาล ลุถึงแดนหนึ่งที่เรียกว่า " สุขาวดีพุทธเกษตร" เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข  ในดินแดนแห่งนี้มีแต่การศึกษาธรรมะ แม้แต่เสียงนกที่ร้องออกมาก็เป็นธรรมะ ณ  ดินแดนแห่งนี้เอง มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดำรงอยู่ ทรงพระนามว่า " อมิตาภะพุทธเจ้า" ขณะนั้น  พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก พระวรกายใหญ่โตมาก  พระโมคคัลลานะเถระ ได้เหาะเข้ามาในที่ประชุมสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ได้เข้าไปยืนอยู่บนขอบบาตรของพระพุทธเจ้า


( แสดงว่าบาตรให้ใหญ่โตมาก สามารถขึ้น  ใปยืนอยู่บนขอบบาตรนั้นได้) พร้อมประคองอัญชุลีถวายความเคารพ  เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ก็ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "นี่คืออะไรหนอ ? รูปร่างเล็ก ๆ " พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย  เธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท ภิกษุรูปนี้  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระสมณโคดมพุทธเจ้าแห่งชมพูทวีป ผู้มีฤทธิ์มาก  กำลังแสวงหาบาตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ แล้วก็หลงเข้าสู่แดนของเรา จากนั้น  พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ทูลถามทางที่จะกลับสู่ชมพูทวีป พระอภิตาภาะพุทธเจ้าตรัสว่า  ดูกรโมคคัลลานะ เธอจงไปตามพุทธรัสมีแห่งเรา เมื่อพ้นขอบจักรวาลแห่งนั้น  เธอก็จะเห็นพุทธรัสมีแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เธอตามพระพุทธรัศมีนั้นไป  เธอก็จะสามาถเข้าสู่ชมพูทวีปได้ เหตุการณ์ตอนนี้เองที่คนทั้งหลายกล่าวกันว่า " โมคคัลลาหลงทวีป"หรือ "โมคคัลลาหลงทีป" คือหลงแดน(หาทางกลับไม่ได้)นั่นเอง  เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแห่งองค์อภิตาภะพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว  พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็ได้กราบทูลลาออกจากแดนสุขาวดีพุทธเกษตร  ตามพระพุทธรัศมีแห่งพระองค์ เมื่อพ้นจากแดนสุขาวดี  ก็เห็นพระพุทธรัศมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย เข้าสู่ชมพูทวีปแล้ว  เข้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดาทูลว่า  ข้าพระองค์ได้ออกแสวงหาบาตรไปทั่วแดนจักรวาลไม่พบเห็นเลยพระเจ้าข้า  เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามพระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใด สามารถหาบาตรพบได้  ลำดับนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ  และพระอสีติสาวกทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ  พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า “ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา” พระอชิตะจึงได้มีดำริว่า ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้  ล้วนเป็นพระอรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธองค์ได้  อาตมานี้ไซร้ มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ เหตุไฉน  พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น  จะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา
พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดของหมู่บริษัท มองขึ้นไปบนอากาศ  แล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้งหลาย  แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์ที่จะตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง  อันอาจสามารถรื้อสัตว์โลกให้พ้นจากสงสารทั้งสิ้น  หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อยบริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี  ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมาสถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ


พระพุทธองค์ตรัสว่า อชิตะภิกษุรูปนี้  ไม่ใช่พระธรรมดา  แต่เป็นหน่อเนื้อพุทธรางกูรบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน  อนาคตพระนามว่า " พระศรีอาริยเมตไตรย" แล้วตรัสปลอบใจแด่สมเด็จพระน้านางประชาบดีโคตมีว่า  พระองค์นั้นได้ลาภอันประเสริฐแล้วที่ได้ถวายผ้าแด่พระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ทำให้พระนางมีพระทัยแช่มชื่นเบิกบาน





5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยักษ์ตีหัวพระสารีบุตร



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ  พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตกรุงราชคฤห์สมัยนั้น  ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กโปตกันทราวิหารในคืนเดือนเพ็ญ
ท่านพระสารีบุตรปลงผมใหม่ๆ นั่งเข้าสมาธิในที่แจ้งขณะนั้นมียักษ์ ๒  ตนเป็นสหายกัน  เดินทางจากทิศเหนือไปทางทิศใต้เพื่อจะทำกิจที่จะต้องทำบางอย่างยักษ์ทั้งสองนั้นได้เห็นท่านพระสารีบุตรปลงผมใหม่ๆ  นั่งเข้าสมาธิอยู่ในที่แจ้งยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกับยักษ์ตนหนึ่งว่า " สหาย  เราคิดอยากตีศีรษะสมณะรูปนี้"


เมื่อยักษ์ตนนั้นกล่าวอย่างนี้  ยักษ์ตนหนึ่งจึงกล่าวดังนี้ว่า"อย่าเลยสหาย ท่านอย่าทำร้ายสมณะเลย  สมณะรูปนั้นมีคุณยิ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก"แม้จะห้ามถึง ๓ ครั้ง  ยักษ์นั้นก็หาได้เชื่อเพื่อนไม่ครั้งนั้น ยักษ์ผู้ไม่เชื่อยักษ์ผู้เป็นสหาย  จึงได้ตีศรีษะท่านพระสารีบุตรเถระเป็นการตีอย่างรุนแรง การตีเช่นนั้น  สามารถทำให้ช้างสูง ๗-๘  ศอกจมดินได้หรือสามารถทำลายยอดภูเขามหึมาให้ทลายลงได้

และทันใดนั้นเอง  ยักษ์ตนนั้นได้ร้องว่า"โอย ร้อนเหลือเกิน" แล้วล้มตกไปสู่มหานรก ณ  ที่นั้นเองท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นยักษ์ตนนั้นตีศรีษะท่านพระสารีบุตร  ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์จึงได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรแล้วได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า "ท่านสารีบุตร ท่านยังสบายดีอยู่หรือ ยังพอเป็นอยู่ได้หรือ  ไม่มีทุกข์อะไรหรือ"ท่านพระสารีบุตรตอบว่า " ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พอเป็นอยู่ได้  เพียงแตเจ็บที่ศรีษะนิดหน่อย"ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า " น่าอัศจรรย์จริง  ไม่เคยปรากฏ ท่านสารีบุตร ท่านมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริง  ยักษ์ตนหนึ่งได้ตีศีรษะท่านในที่นี้ เป็นการตีอย่างรุนแรง  การตีเช่นนี้สามารถทำให้ช้างสูง ๗ - ๘ ศอกจมดินได้  หรือสามารถทำลายยอดภูเขามหึมาให้พังทลายลงได้ แต่กระนั้น  ท่านก็ยังกล่าวอีกว่า

ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พอเป็นอยู่ได้  เพียงแต่เจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย"ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า " น่าอัศจรรย์จริง  ไม่เคยปรากฏท่านโมคคัลลานะ ท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากจริง เห็นแม้กระทั่งยักษ์  ส่วนผมขณะนี้ แม้แต่ปีศาจคลุกฝุ่นสักตนก็ยังไม่เห็น"

พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ของพระอัครสาวกทั้ง  ๒ รูปนั้นด้วยพระโสตทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว  จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว  ดุจภูเขา
ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด
ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง
ผู้ใด  อบรมจิตได้อย่างนี้
ทุกข์จะมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน



6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระมหาโมคคัลลานะ  ปราบพญานาค ที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ดินแดนประเทศไทย   ปัจจุบัน
มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วดินแดนทุ่งกุลาร้องไห้เคยเป็นทะเลสาบมาก่อนกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้ใหญ่สสักต้นเพราะน้ำลึกมาก  เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ในสมัยนั้นมีเมืองสำคัญอยู่เมืองหนึ่งคือ  เมืองจำปาขัน หรือเมืองจำปานาคบุรี อยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบ  ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวไว้ว่า
"ท่งกุลาเดิมเค้ามันเป็นทะเลใหญ่
หัวเมืองไกลเทียวค้าเฮือข่วมท่องเที่ยว
ทะเลสาบคดเคี้ยวฟองแก่งแฮงกระแส
หมู่ชาวแฮือชาวแพซ่อยขนสินค้า
ปัจจิมพ้นจำปานคเรศ
เขตเวนตกก้ำพี้เมืองบ้านน่านนคร"
พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองนครนั้นมีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า  นางแสนสี และมีหลานสาวคนหนึ่งชื่อว่า คำแพง  นางทั้งสองเป็นหญิงสาวรุ่นราวคาวเดียวกันและมีรูปร่างหน้าตาสาวงามพร้อมทั้งลักษณะเท่ากับนางอัปสรมีวัย 15 หยกๆ 16 หยอนๆพระราชารักเหมือนดวงพระเนตรและได้จัดให้มีคนดูแลรักษาอย่างดี  ผู้ดูแลรักษามีชื่อว่า จ่าแอ่น เมื่อนางทั้งสองจะไปที่ใด  จ่าแอ่นก็จะติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง ในเมืองจำปานาคบุรีนี้มีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่ง  เป็นพญานาคที่มีฤทธิ์มากถ้าชาวเมืองได้รับความเดือดร้อน  พญานาคนี้จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง จึงมีชื่อว่า นาคบุรี ในสมัยเดียวกันนั้น  มีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า บูรพานคร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบ มีโอรสชื่อ  ท้าวฮาดคำโปง ละมีหลานชายชื่อ ท้าวอุทร  ทั้งสองได้ออกไปเรียนวิชาศิลปศาสตร์สำนักเดียวกันเมื่อเรียนจบแล้ว  อาจารย์อยากจะให้ลูกศิษย์ลองวิชาดูว่าจะมีความสามารถเพียงใด  จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งสองเข้ามาหาแล้วสั่งว่า  ให้เจ้าทั้งสองไปสู้รบกับพญานาคที่เมืองจำปานาคบุรี และกำชับว่า  พญานาคนั้นมีฤทธิ์มากหากเจ้าทั้งสองชนะพญานาคได้ก็หมายความว่าวิชาที่เจ้าได้ร่ำเรียนมานั้นเป็นผลสำเร็จ  ศิษย์ทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์  จึงพากันกราบลาอาจารย์ออกจากสำนักไปยังเมืองจำปานาคบุรี  เมื่อไปถึงท้าวทั้งสองยังมิได้ลองวิชาแต่อย่างไร  แต่ได้ทราบว่าเจ้าเมืองจำปานาคบุรีนั้นมีพระธิดาและหลานสาวที่สาวงามมาก  จึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มทั้งสองหันมาให้ความสนใจสาวงามมากกว่าการที่จะสู้รบทดลองวิชากับพญานาค  จึงได้พยายามติดต่อกับนางทั้งสอง แต่มองไม่เห็นหนทางที่จะสำเร็จได้  เพราะนางทั้งสองมีผู้ดูแลรักษาอย่างเข้มงวด จึงหาโอกาสติดต่อได้ยาก  แต่หนุ่มทั้งสองก็มิได้ละความพยายามแต่อย่างใด  และได้สืบทราบมาว่าทุกๆเจ็ดวันนางทั้งสองจะพาบ่าวไพร่และผู้ดูแลรักษาออกไปเล่นน้ำทะเลสักครั้งหนึ่งจึงคิดว่าจะใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาเข้าช่วย
อยู่มาวันหนึ่ง  พระนางทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร และจ่าแอ่นผู้ดูแลรักษา ได้พายเรือลงไปเล่นน้ำทะเล  ท้าวทั้งสองเห็นเป็นโอกาสดีจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้กลายเป็นหงส์ทองลอยไปข้างหน้าเรือของนางทั้งสอง  เมื่อนางทั้งสองเห็นหงส์ทองลอยน้ำมาก็อยากได้ไว้ชม  จึงอ้อนวอนจ่าแอ่นให้พายเรือติดตามเอาหงส์ทองมาไห้ได้  แต่ยิ่งตามไปใกล้เท่าไรหงส์ทองก็ยิ่งลอยออกไปไกลทุกที  ครั้งชะลอฝีพายลงหงส์ทองก็ลอยช้าลงด้วย ทำท่าจะให้จับตัวได้  เมื่อยิ่งตามไปเรือของนางทั้งสองก็ตกอยู่กลางทะเลใหญ่  ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรเห็นเป็นโอกาสดี  จึงแล่นเรือสำเภาของตนซึ่งจอดรอคอยอยู่แล้วออกสกัดหน้าเรือของนางทั้งสองแล้วเอานางทั้งสองพร้อมด้วยบริวารขึ้นเรือสำเภาของตน  แล้วแล่นออกไปในทะเลใหญ่
เมื่อเจ้าเมืองจำปานาคบุรีได้ทราบข่าวว่านางทั้งสองหายไปก็ตกพระทัยเป็นอันมาก  แต่พระราชาองค์นี้มีพญานาคเป็นสหาย เคยสัญญากันไว้ว่า  ถ้าเกิดศึกสงครามแก่บ้านเมืองเวลาใด ให้ตีกลองชัยจะได้มาช่วย  เมื่อเกิดเหตุกระทันหันขึ้นดังนี้ พระราชาจึงใช้ให้มหาดเล็กตีกลองชัยขึ้น  เมื่อพญานาคได้ยินเสียงกลองของพระราชาก็ได้จัดกองทัพขึ้นมา  แต่ไม่เห็นข้าศึกจึงถามพระราชาว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงได้ตีกลองชัย  พระราชาจึงบอกว่า  มีหนุ่มวิทยาคมสองคนได้ลักพาพระธิดาและหลานสาวทั้งสองหายไปในทะเลสาบจึงขอให้ท่านช่วยเหลือด้วย  พญานาคเป็นผู้มีฤทธิ์จึงบันดาลให้ทะเลสาบแห้งเหือดทันที

เรือสำเภาของท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรแล่นต่อไปไม่ได้ท้าวทั้งสองจึงนำจ่าแอ่นผู้ดูแลนางทั้งสองไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง  ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงจ่าแอ่น และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านจ่าแอ่น  ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า บ้านแจ่มอารมณ์ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย  จังหวัดร้อยเอ็ด
และนำนางแสนสีไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่งต่อมาได้ชื่อว่า ดงแสนสี  และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านแสนสี ปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย  จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนนางคำแพงผู้เป็นหลานได้นำไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง  ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงป่าหลาน และได้กลายเป็นที่ตั้ง อำเภอบาหลาน  ปัจจุบันนี้เรียกว่า อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย  จังหวัดมหาสารคาม
เมื่อน้ำทะเลได้แห้งเหือดหมดแล้วนั้นบรรดาสัตว์น้ำต่างๆ มี ปู  ปลา กุ้ง หอย เหรา แข้ เต่า และตะพาบน้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบนั้นได้ตายหมด  แล้วเน่าเหม็นส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งฟ้าขึ้นไปถึงพระนาสิกของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นฟ้า  พระอินทร์ทนไม่ไหว จึงใช้นกอินทรีสองผัวเมียลงมากินซากสัตว์ที่ตายให้หมด  นกอินทรีได้กินอยู่ประมาณครึ่งเดือนจึงหมด และได้ถ่ายมูลไว้เป็นกองใหญ่มาก  ทุกวันนี้เรียกว่า โพนขี้นก ปรากฏอยู่ที่กลางทุ่งกุลาร้องไห้ ( โรงเรียนบ้านโพนครกน้อย ) ในเขตตำบลหินกองอำเภอสุวรรณภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด


7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ส่วนนกอินทรีนั้นเมื่อกินสัตว์ที่ตายหมดแล้วจึงไปทูลถามพระอินทร์ว่า  ข้าแต่จอมเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาทั้งหลาย พระองค์จะให้หม่อมฉันกินอะไรต่อไปอีกเล่า  ครั้นพระอินทร์จะบอกให้กินสัตว์ที่มีชีวิตก็กลัวศีลจะขาดจึงบอกเป็นอุบายว่า  ให้ท่านทั้งสองนอนฝันกินเอาเองเถิด  ถ้าหากฝันว่าได้กินอะไรก็จงไปกินตามความฝันนั้นเถิด  อยู่มาวันหนึ่งนกอินทรีผัวเมียฝันว่า ได้กินพระยาช้างสาร  จึงพากันไปสู่ดงใหญ่แห่งหนึ่ง  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบมีชื่อเรียกว่า  ดงน้ำเปียกซึ่งเป็นที่อยู่ของพระยาช้างสารคำว่า ดงน้ำเปียก  ในที่นี้เพ่งตามภาษาแล้วเข้าใจว่าเป็นภาษาเขมรเช่นคำว่า ตะตึก แปลว่าเปียกน้ำ  ในปัจจุบันเราเรียกว่า ดงสะตึก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์  ในทุกวันนี้  เพราะดงสะตึกนี้เป็นดงที่ราบต่ำและอยู่ริมทะเลด้วยเป็นดงที่มีช้างอยู่มากมาย  มีเจ้าโขลงชื่อพระยาช้างสาร เมื่อนกอินทรีผัวเมียไปพบพระยาช้างสารแล้วจึงพูดว่า  พระอินทร์ได้ให้ข้าพเจ้ามากินท่านเป็นอาหาร  พระยาช้างสารไม่เชื่อนกอินทรีเพราะตามปกติแล้ว  พระอินทร์จะไม่เบียดเบียนสัตว์โลกทั้งหลายมีแตจะช่วยให้พ้นทุกข์เท่านั้น  พระยาช้างสารจึงพูดว่า  ท่านจะกินข้าพเจ้าไม่ว่าอะไรแต่ข้าพเจ้าขอผลัดเวลาไว้สักวันหนึ่ง  เพื่อจะได้ไปทูลถามพระอินทร์ให้เป็นการแน่นอน นกอินทรีก็ผ่อนผันให้  ครั้นแล้วพระยาช้างสารก็ใช้ให้ พระยาช้างเคล้าคลึง  เพื่อนสนิทไปทูลถามพระอินทร์แทนตน ครั้นพระยาช้างเคล้าคลึงไปถึงพระอินทร์  จึงทูลถามว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้เป็นจอมแห่งเทวดา  พระองค์ใช้ให้นกอินทรีไปกินพระยาช้างสารหรือ พระอินทร์ตอบไปอย่างฉับพลันว่า  ข้าไม่ได้บอกนกอินทรีไปกินพระยาช้างสาร  แต่เราได้บอกนกอินทรีผัวเมียนอนเสี่ยงทายฝันกินเอง  เมือฝันว่าได้กินอะไรก็ให้ไปกินตามความฝันนั้นเถิด  นกอินทรีฝันว่าได้กินอะไรก็เป็นเรื่องของเขาหาใช่เรื่องของเราไม่  พระยาช้างเคล้าคลึงจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นเมื่อคืนนี้หม่อมฉันฝันว่า  ได้นอนร่วมกับนางสุชาดา อัครมเหสีของพระองค์  พระองค์จะให้หม่อมฉันนอนร่วมกับพระนางสุชาดาหรือไม่ ครั้นพระอินทร์จะตอบว่า  ให้นอนก็คงจะเสียเปรียบพระยาช้างเคล้าคลึง  ถ้าพระองค์จะตอบว่าไม่ให้นอนก็เป็นการเสียสัตย์  ด้วยเหตุนี้พระอินทร์จึงนิ่งเฉยไม่ทรงตอบว่ากระไร  จึงเรียกนางเทพธิดามาฟ้อนรำให้พระยาช้างเคล้าคลึงดู  พระยาช้างเคล้าคลึงดูความสวยงามอ่อนช้อยของนางเทพธิดาจนเพลิดเพลินและเคลิ้มหลับไปในที่สุดจนลืมวันที่นัดหมายกับนกอินทรีไว้แล้วนกอินทรีไม่เห็นพระยาช้างเคล้าคลึงลงมาก็กินพระยาช้างสาร
แล้วคาบเอาเท้าของพระยาช้างสารไปทิ้งไว้ใน  ดงเมืองศรีภูมิ ชื่อว่า ดงท้าวสาร ปัจจุบันคือที่ตั้งอำเภอ สุวรรณภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด คาบเอาหัวของพระยาช้างสารไปทิ้งไว้ที่ บ้านหัวช้าง  และต่อมาได้ตั้งอำเภอขึ้นครั้งแรก เรียกว่า อำเภอหัวช้าง  ครั้นต่อมาท้าวพรมสุวรรณธาดา จึงย้ายไปตั้งที่ทำการใหม่จึงเรียกว่า อำเภอ  จตุรพักตร์พิมาน เหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่า  พระพรหมโดยมากมีสี่หน้าจึงเรียกตามชื่อของพระพรหมมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อนกอินทรีได้กินพระยาช้างสารตามความฝันแล้ว  ก็มีใจกำเริบเสิบสานนึกอยากจะฝันกินมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมากทำให้มนุษย์และสัตว์จะไปไหนมาไหนก็ลำบากเพราะกลัวแต่นกอินทรีจะกิน  จนไม่เป็นอันทำมาหากินในขณะเดียวกันนั้น  พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลายซึ่งประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร  ทรงแผ่พระสัพพัญญตญาณตรวจดูสัตว์โลกในเวลาปัจจุบันสมัยตามพุทธวิสัยของพระองค์  ได้ทรงเล็งเห็นความโหดร้ายของนกอินทรีผัวเมียซึ่งกำลังเบียดเบียนสัตว์โลกอยู่  จึงทรงตรัสเรียก พระโมคคัลลานะเข้ามาหาแล้วตรัสว่า  ดูก่อนโมคคัลลานะเธอเป็นผู้ได้เอตทัคคะในทางฤทธิ์เธอจะไปช่วยสรรพสัตว์ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่นั้นเถิด  ครั้นแล้วพระโมคคัลลานะก็ถือบาตรและจีวรเหาะเหินมุ่งหน้าสู่ดงท้าวสาร  ได้มาพักอยู่ดงท้าวสารเข้าฌาณเตโชกสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์  เกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้นไปกระทบทรมานนกอินทรีผัวเมียทั้งสองร้อนแทบใจจะขาด  นกอินทรีผัวเมียจึงแผดเสียงร้องขึ้นดังไปไกลได้ร้อยโยชน์สะเทือนไปถึงพื้นบาดาล
ขณะนั้นมีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งอยู่ในบ่อแห่หนึ่งไม่ไกลจากดงท้าวสารได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังจนหวั่นไหวนึกว่าอันตรายจะมาถึงตัว  จึงโผล่ขึ้นมาจากพื้นบาดาลพ่นพิษออกไปเป็นควันมืดฟ้ามัวดิน  พิษไปถูกลูกตาของมนุษย์ที่อยู่บ้านใกล้เคียงเป็นอันตรายจำนวนมาก  บางคนถึงกับลูกตากระเด็นออกมา ต่อมาหมู่บ้านนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาเด็น ปัจจุบัน คือ  บ้านตาเณร อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด


เพราะพิษของ พญานาคมีรสเค็มจัดยิ่งกว่าเกลือเสียอีก  พระโมคคัลลานะอรหันต์ เมื่อเล็งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงเข้าฌาณเตโชกสิณ  เกิดเป็นเปลวไฟไปปกปิดปาดบ่อที่พญานาคโพล่ขึ้นมาพ่นพิษ  ไม่ให้โผล่ขึ้นมาพ่นพิษได้อีก และท่านเกรงว่าพญานาคจะขึ้นมาได้อีก  จึงอธิษฐานเท้าซ้ายเหยียบที่ชายจีวร ปัจจุบันยังเหลือให้เห็นเป็นรอยเท้าคนขนาดยาว 1 เมตร กว้าง 40 เซนติเมตร อยู่ระหว่างเนินย่าน้อยบริเวณบ่อพันขัน  และอธิษฐานเท้าขวาเหยียบที่ชายจีวรห่างกันไปทางทิศใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ตรงปากน้ำลง  ลำน้ำเสียว ( คอคีบ ) มีรอยขนาดเท่ากันยังเหลือปรากฏอยู่เหมือนเดิม  ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายที่ทางราชการได้ปิดบ่อเป็นฝายกั้นน้ำ  จึงทำให้น้ำท่วมทั้งสองรอย ต่อมาจีวรของพระมหาโมคคัลลานะ  จึงเกิดเป็นแผ่นหินเป็นรูปจีวรและท่านเกรงว่าประชาชนต่อไปจะไม่มีน้ำจืดกิน  จึงได้อธิษฐานใช้นิ้วชี้ชี้ลงไปตรงผ้าจีวรผืนนั้น เกิดรอยแตกเท่าขันน้ำมีรัศมีกว้าง 9 นิ้ว ความลึกประมาณ 8 นิ้ว มีน้ำไหลออกมาประจำ ชาวบ้าเรียกว่า น้ำสร่างโครก  เพราะมีลักษณะเหมือนครกตำข้าว และบริเวณทั้งหมดทั่วบริเวณนั้น เรียกว่า  บ่อพันขัน


เมื่อปราบพญานาคเสร็จแล้วก็แสดงธรรมโปรดชาวเมืองให้ยึดมั่นใน  พระรัตนตรัย จากนั้นก็กลับเข้าเฝ้าพระพุทธองค์  และมิได้กลับคืนมาสู่ดินแดนแถบนี้จนกระทั่งนิพพานข่าวการนิพพานของพระเถระเจ้าได้แพร่กระจายรู้ถึงชาวเมือง  จึงได้ส่งคนให้ไปอัญเชิญพระอัฐิธาตุมาทำสถูปบรรจุไว้ที่ดงเท้าสาร  ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคงเป็น พระธาตุอรหันต์โมคคัลลาน์ วัดกลาง อำเภอสุวรรณภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด  หรือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ให้พวกเราชาวพุทธได้สักการะต่อมาช้านาน
บริเวณ บ่อพันขัน  ที่นั้นเป็นลำห้วยมีขนาดกว้างประมาณ 20 เส้นเศษ ยาวประมาณ 30 เส้นเศษ  เป็นลำน้ำเล็กไหลลงสู่ลำน้ำเสียว  หน้าแล้งน้ำแห้งขอดดินในท้องบ่อจะเป็นส่าเกลือเพราะพิษพญานาคไหลออกมาจากจีวรเค็มเป็นเกลือ  อยู่ที่ดินแดนอำเภอพนมไพรและสุวรรณภูมิจดกัน  หน้าแล้งคนสองอำเภอนี้จะพากันขูดเอาผิงดินในท้องบ่อ  มากรองเอาน้ำเกลือที่ไหลออกมาต้มเป็นเกลือสินเธาว์ เป็นสินค้าประจำตลอดมา  ที่เรียกว่า บ่อพันขัน นั้นเพราะว่าจีวรของพระนั้นนับเป็นขัน  จีวรพระที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 7 ขัน และ 9 ขัน แต่จีวรของพระมหาโมคคัลลานะนั้น  ท่านทำด้วยฤทธิ์ใหญ่ตั้ง พันขัน จึงปกคลุมพญานาคได้ ผู้คนจึงเรียกบ่อนี้ว่า  บ่อพันขัน




8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พญานาคผู้มีอิทธิฤทธิ์
ในตำนาน พระพุทธชัยมงคล คาถาบทที่ 7 (บทสวด "พาหุง") มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่า..
"........สมัยหนึ่ง  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร  วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น  ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่า “พญานันโทปนันทนาคราช” เข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์
........พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า  พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉานมีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต  ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปโปรดแต่พญานันโทปนันทนาคราชนี้ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฐิ  ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ  พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถที่จะทรมานพญานันโทปนันทนาคราชให้หมดพยศร้ายได้

พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏิ  แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน  แล้วทรงอธิษฐานว่า  ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้
ครั้นทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศ  แล้วมาสู่สวรรค์เทวโลก  เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศวันนั้น  ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว      วันนั้นพญานันโทปนันทนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก  จึงคำรามว่า สมณะโล้นเหล่านี้ จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี  พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง       ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิด แต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไร  เป็นต้องผิดใจกัน เพราะเมื่อเหาะข้ามเราไป  ผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง  ทางที่ดีเราควรจะไปสกัดหน้าหมู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ  เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพระสุเมรุราช  อันสูงประมาณแปดหมื่นสี่พันโยชน์ด้วยขนดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ปรากฏอยู่เหนือเขาพระะสุเมรุราชนั้น  แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมืดมัวไปทั่ว

ฝ่าย พระรัฐบาล อรหันตเถรเจ้า  ครั้นเห็นมืดมนอนธการไปทั่วเช่นนั้น  จึงกราบทูลถามมูลเหตุแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้นสมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่าที่มืดมนอนธการเช่นนี้เป็นเพราะ “อานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่า "นันโทปนันทะ” มีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก  จึงเอาร่างกายกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณเจ็ดรอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์  แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นหมอกควัน มืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์
เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น  จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต  ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสาที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต
เดชพระโมคคัลลานะ
เมื่อพระมหาโมคคัลลานะเถระผู้เป็นอัครสาวกเบึ้องซ้ายได้กราบทูลขออาสาไปทรมานพญานาคราชนั้น  พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต พระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้า  เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้วจึงมาดำริว่า
พญานาคราชตนนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานสำคัญตนว่า  มีร่างกายยาวใหญ่ยิ่งกว่าพญานาคราชอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดที่จะมาต่อสู้ตนด้วยอานุภาพได้  จึงบังเกิดความกำเริบมัวเมาคิดอาละวาด เราจะต้องทรมานให้หมดพยศอันร้ายนี้เสีย

ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว  จึงเนรมิตกายให้กลับกลายเป็นพญานาคราชอันเรืองฤทธา  มีกายยาวใหญ่กว่าพญานันโทปนันทนาคราชประมาณสองเท่า  แล้วเนรมิตพังพานประมาณกว้างแสนหนึ่ง แล้วกระหวัดรัดตัวพญานันโทปนันทนาคราชนั้น  ให้แน่นเข้ากับภูเขาพระสุเมรุสี่รอบ  แล้วแผ่พังพานออกไปอย่างใหญ่หลวงมหึมาอยู่เหนือเบึ้องบนแห่งพญานันโทปนันทนาคราช  แล้วรัดให้แน่นเข้า ๆ กับภูเขาพระสุเมรุราชนั้น
ฝ่ายพระยานันโทปนันทนาคราชให้บังเกิดความอึดอัดประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย  ทั้งกระดูกนั้นเล่าก็เหมือนจะแตกแหลกลาญเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่  จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกายสักนิดก็มิได้  ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเดือดตาลใจเป็นกำลังจึงบันดาลพ่นพิษให้เป็นควันแผ่ออกไปในระยะไกลได้ประมาณแสนโกฏิจักรวาล  ตั้งแต่พื้นพสุธาถึงภวัคพรหม


พระมหาโมคคัลลานะเถระก็บันดาลมหิทธิฤทธิ่ให้เป็นควันมากขึ้นเป็นสองเท่า  ให้ผจญกับฤทธิ์ของพญานันโทปนันทนาคราช พญานันโทปนันทนาคราช  มิสามารถจะผจญกับฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะเถรได้ก็ให้บังเกิดคั่งแค้นอย่างใหญ่หลวง  จึงบันดาลเนรมิตให้เกิดเป็นไฟขึ้น  เพื่อหวังจะให้เผาผลาญพระเถระเจ้าให้ย่อยยับไป
พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นบ้าง  ลุกลามไหม้กายพญานันโทปนันทนาคราชไพโรจน์โชติช่วงทั้งภายในและภายนอก  สร้างความรุ่มร้อนระส่ำระสายสุดที่จะทนทานได้  พญานันโทปนันทนาคราชครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกว่าบุคคลผู้นี้ชื่อใด มาแต่ไหนหนอ  จึงประกอบไปด้วยฤทธิ์ศักดาเดชานุภาพมากมายนัก จึงถามไปว่า ท่านมาแต่ไหน  มีชื่อเสียงว่าอย่างไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบหน่อยเถิด
พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวตอบว่า  เราเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อว่า "โมคคัลลานะ" เมื่อพญานันโทปนันทนาคราชได้ทราบดังนั้นจึงกล่าวอย่างมีเล่ห์อุบายว่า  พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นสมณะ มาทำกรรมอย่างนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
พระมหาเถระจึงตอบว่าการที่เราต้องกระทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการจะทรมานท่านให้หมดพยศร้าย  หายจากมิจฉาทิฐิ  ว่าแล้วพระมหาเถระเจ้าก็บันดาลให้เพศพญานาคราชอันตรธานหายไปกลับกลายเป็นสมณะอย่างเดิม  แล้วกล่าวว่า

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กัมมวิปากชาฤทธิ์
ท่านพญานันโทปนันทนาคราช ตัวท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน  มีมหิทธิฤทธิ์อานุภาพยิ่งล้นด้วยบุพกรรมเท่านั้น แต่หาได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย คุณมารดา บิดา  กล้าด่าบริภาษแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระบรมครูกับพระอรหันตสาวกทั้งหลายด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง  ๆ นานา เท่านี้ยังไม่พอท่านยังบังอาจเนรมิตกายให้ยาวใหญ่ด้วยน้ำใจอหังการ์  เพื่อจะไม่ให้พระพุทธองค์กับเหล่าสาวกเสด็จไป  ด้วยกลัวว่าธุลีที่ติดอยู่ตามพระบาทนั้นจะตกลงมาใส่หัวแห่งตน
ความจริงท่านควรจะปลื้มปีติใจ  ถ้าละอองธุลีที่พระบาทของพระพุทธองค์ตกใส่หัวท่าน  เพราะการที่พระบาทยุคลแห่งองค์สมเด็จพระบรมทศพลถูกต้องศรีษะแห่งใครนั้น  ย่อมเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่   ทั้งนี้เพราะผู้ที่เกิดมาในโลกนี้  ยากนักที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต่างเกิดมาเปล่าไปเสียหลายหมื่นหลายแสนชาติ จะได้พบพระพุทธเจ้านั้นก็หามิได้   ตัวท่านเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์เดชโดยกำเนิดเกิดแก่ผลกรรมเรียกว่า “กัมมวิปากชาฤทธิ์” ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิเช่นนี้  ท่านสมควรจะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส ในปัจจุบันทันตาเห็นบัดเดี๋ยวนี้  เพราะผลแห่งกรรมปัจจุบันอันชั่วช้าของท่าน

ครั้นว่าดังนี้แล้ว  พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็เข้าไปในช่องหูข้างขวาของพญานันโทปนันทนาคราช  แล้วออกมาทางหูข้างซ้าย แล้วย้อนกลับเข้าหูข้างซ้าย ออกทางหูขวา  แล้วเข้าไปทางช่องจมูกข้างขวา ออกทางช่องจมูกซ้าย ย้อนเข้าช่องจมูกซ้าย  ออกช่องจมูกขวา เดินไปเดินมาอยู่อย่างนี้  สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่พญานันโทปนันทนาคราชอย่างแสนสาหัส  ถึงกับคร่ำครวญในใจว่าบรรดาพญานาคทั้งหลายจะมีฤทธิ์เดชานุภาพมากเหมือนตัวเรานี้ย่อมหาไม่ได้  แต่สมณะองค์นี้ทำให้เราได้รับทุกขเวทนาลำบากสุดแสนสาหัสเหลือที่จะอดทนได้  จำเราจะใช้อุบายหลอกลวงสมณะองค์นี้ให้หลงเข้าไปในปากเรา  แล้วเคี้ยวให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงไปเสียบัดนี้เถิด   คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ  ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมปฏิบัติตามคำพูด  ก็ท่านพูดว่ามิได้โกรธเคืองแก่ข้าพเจ้าแต่บัดนี้ท่านมากระทำให้ข้าพเจ้าได้รับความลำบากยิ่งนัก
พระโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้  ก็เพื่อจะให้ท่านละจากมิจฉาทิฐิอันวิปริตผิดจากคลองธรรม  นำให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ เราหวังดีต่อท่านถึงกระนี้แล้ว  ตัวท่านยังคิดร้ายจะให้เราเข้าไปในปากของท่าน  แล้วท่านก็จะขบกัดเราให้แหลกละเอียดเป็นธุลีไปอีกหรือ?ว่าแล้วพระมหาเถรเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธานุภาพก็ปาฏิหาริย์เข้าไปในปากของพญานาคราชมิจฉาทิฐิตัวนั้น  แล้วก็เดินจงกรมไปมาอยู่ในท้องของพญานาคราช
ฤทธิ์ปราบฤทธิ์
ฝ่ายพญานันโทปนันทนาคราชคิดในใจด้วยอุบายว่า  ถ้าสมณะองค์นี้มิได้มีใจโกรธเราแล้ว  ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้เบียดเบียนทำอันตรายแก่เราเลย  ขอจงออกมาจากในท้องของเราในบัดนี้เถิด

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าทราบความนึกคิดของพญานาคราชดังนั้น  ท่านก็เดินออกมาจากในท้องของพญานาคราชนันโทปนันทะแล้วนั่งอยู่  พญานันโทปนันทนาคราชเห็นดังนั้นจึงรีบฉวยโอกาสพ่นลมพิษออกไปหมายทำร้ายพระอรหันตเถระเจ้า  แต่ก็หาทำร้ายพระเถระเจ้าได้ไม่

ต่อจากนั้นพญานาคราชได้สำแดงฤทธิ์ด้วยประการต่าง ๆ  ด้วยความเคียดแค้นพยาบาท  หวังจะทำลายพระมหาโมคคัลลานะเถระให้พินาศย่อยยับไปด้วยฤทธิ์เดชของตน  แต่ผลสุดท้ายก็ถูกพระมหาเถระเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธิ์เดชานุภาพทรมานจนหมดพิษสงฤทธิ์ชั่วร้าย  ยอมพ่ายแพ้สำนึกผิดกลายเป็นสัมมาทิฐิ


เนรมิตกายเป็นมานพหนุ่มน้อยเข้าไปถวายนมัสการลงแทบเท้าของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าอ้อนวอนขอขมาโทษและขอนับถือเป็นที่พึ่ง

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงพาพญานันโทปนันทนาคราชไปสู่สำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงยกโทษให้แก่พญานาคราชนันโทปนันทะ  เมื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงประทานศีลห้าให้แก่นันโทปนันทนาคราชยึดถือรับไปเป็นหลักปฏิบัติ  แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี  เพื่อรับภัตตาหารสืบไป


10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-25 10:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ






บั้นปลายชีวิต

พระมหาโมคคัลลานะนิพพาน
วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล  ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์  ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก  เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้  แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพา  กันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์  ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง  ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว  ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่ความต้องการแล้ว  ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ
พวกโจรใจบาป  ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก  แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้งในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา  และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย  และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว  จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง  แล้วพากันหลบหนีไป
บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ
ในอดีตชาติ  พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่  ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู  การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย  พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวลต่อมา  พ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว  จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน  ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ  เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี  แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่านเมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก  ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดีเมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป  ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสอง คน  จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ  เมื่อสามีออกทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง  เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ  ตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
ระยะแรก  ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ  และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา  และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี “เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็นสามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้  เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอดแต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น  จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า  ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่  ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด” ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง  พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่ม  อยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ”
เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง  ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่  แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ  แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อ แม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง  ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิดลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่  ก็กลับคิดได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้  ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง”ดังนี้แล้วจึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า“บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว” จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี
ลูกชาย  เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่  ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ  ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์  สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้  ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้