ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6389
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ แม่พระทั้ง ๕ ~

[คัดลอกลิงก์]
5 พระแม่ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์ สัตว์ ในโลกนี้

เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม

1.พระแม่ธรณี
แม่พระธรณี-ชาวเฮบรูโบราณเชื่อว่าแม่พระธรณีจะเป็นผู้รักษาดวงวิญญาณให้พักผ่อนด้วยความสงบ ในขณะที่ชาวโรมันเชื่อว่า แม่พระธรณีช่วยประทานพืชผล ชาวไทยสมัยโบราณ บูชาแม่พระธรณี เพื่อให้แผ่นดินมีความสงบร่มเย็น
แม่พระธรณี-มีเรื่องราวปรากฏในพระไตรปิฎก ตอนที่พระพุทธเจ้าผจญพญามารและเหล่าเสนามาร ก็มีพระแม่ธรณีที่พระพุทธเจ้าทรงยกอ้างมาเป็นพยาน มาช่วยบีบน้ำออกจากมวยผมท่วมกองทัพมารพังทะลายพ่ายแพ้ไปสิ้น


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2.พระแม่โพสพ
แม่พระโพสพ-เทพเจ้าแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ช่วยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ มีความเชื่อเกี่ยวกับแม่พระโพสพปรากฏอยู่ในศาสนาต่างๆมากมายมาเป็นเวลาหลายพันปี แม้แต่ในปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาชินโต ก็ยังจัดพิธีบูชาแม่พระโพสพอยู่เนืองๆ
อ.อาชวิน จิรจินดา ผู้มีตาที่สาม(ตาทิพย์) ประธานชมรมคนตาทิพย์ และชมรมคนเห็นผี ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว(เป็นเพื่อนกับผมเอง ชอบพอกันดี)สามารถติดต่ออัญเชิญเทพ พรหมมาปรากฏและสนทนาสอบถามเรื่องราวต่างๆจากท่านได้ เคยอัญเชิญพระแม่โพสพลงมา ท่านบอกว่า ท่านมิได้ดูแลเฉพาะไร่นา สวน พืชพันธุ์ธัญญาหารเท่านั้น ยังดูแลไปถึงสัตว์ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้ในการทำไร่นา การเกษตรกรรมต่างๆ เช่น วัว ควาย ไถ รถไถนาเป็นต้นด้วย

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kit007 เมื่อ 2013-12-8 09:33

3.พระแม่คงคา
แม่พระคงคา-เทพเจ้าแห่งสายน้ำ มีชื่อต่างๆมากมายหลายชื่อ ปรากฏอยู่ในศาสนาฮินดู เช่น ภาคีรถี สาคร และ ตรีเวณี เป็นต้น
ในวรรณคดีไทย กล่าวถึงแม่พระคงคาอยู่หลายแห่ง ขอยกตัวอย่างเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งสุนทรภู่รำพันไว้ มีความตอนหนึ่งว่า
"เดชะพระคงคารักษาถนอม    อย่าให้มอมมีระคายเท่าปลายผม
ให้เย็นเรื่อยเฉื่อยฉ่ำเช่นน้ำลม    กล่อมประทมโสมนัสวัสดี"
ชาวฮินดูในประเทศอินเดีย มีความเชื่อเกี่ยวกับแม่พระคงคาอย่างลึกซึ้ง และได้จัดพิธีบูชาแม่พระคงคาทุกปี นับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
4.แม่พระพาย

แม่พระพาย-ชาวบาบิโลนโบราณเรียกพระพายว่า อนู(Anu) ขณะที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกว่า อัมน์ หรือ อัมนอน (Amn or Ammon) หมายถึง เจ้าชีวิต หรือผู้สร้างสม
ในคัมภีร์ปุราณะของอินเดียกล่าวว่า ฤษีนารท ได้ไปขอร้องพระพายพัดยอดเขาพระสุเมรุให้พังลงเสีย พระพายปฏิบัติตาม แต่พญาครุฑ ได้เอาปีกปกป้องกันไว้ ต่อมาพญาครุฑไม่อยู่ พระพายก็ทำลายยอดเขาพระสุเมรุเสียจนได้ แล้วหอบไปทิ้งไว้ในทะเล นัยว่ากลายเป็นเกาะลังกาในปัจจุบัน
ชาวฮินดูถือว่าพระพาย เป็นเทพเจ้าผู้ประสิทธิ์ประสาทการลม และยังได้รับหน้าที่เป็นโลกบาลทิศพายัพด้วย
5.แม่พระเพลิง
แม่พระเพลิง-ชาวอัสสิเรียนโบราณ เรียกพระเพลิงว่า ชามาช(Shamas) เป็นเจ้าแห่งไฟ และเป็นผู้ประทานแสงสว่างทั่วปในพื้นพิภพ ทรงเป็นมหาเทพผู้บันดาลใจให้มวลมนุษย์ด้วย
ชาวกรีกถือว่า พระเพลิงเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ช่วยให้มนุษย์พ้นจากความมืดมิดโดยสิ้นเชิง แบะเป็นเทพเจ้าแห่งสัจจะด้วย
นอกจากนี้แล้ว พระเพลิงยังเป็นเทพเจ้าที่ปรากฏในความเชื่อของศาสนิกชน และกลุ่มความเชื่อต่างๆ คือ ศาสนาชินโต ศาสนาฮินดู ความเชื่อของชาวจีน และยังเป็นความเชื่อของชนเผ่าต่างๆ(Tribal Faith)มาเป็นเวลาหลายพันปี

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หมายเหตุ- จากการค้นคว้าทางวิญญาณศาสตร์ ปรากฏว่าแม่พระพาย และแม่พระเพลิง เป็นเทพเจ้าหญิงเหมือนกับ แม่พระธรณี แม่พระโพสพ และแม่พระคงคา ไม่เทพเจ้าชาย
ท่านใดสนใจจะไปกราบไหว้องค์สมมุติ 5 พระแม่ ผู้มีคุณแก่มนุษย์ และสัตว์โลกทั้งหลาย สามารถเดินทางไปชม และสักการะได้ที่ อุทยานศาสนาพระโพธิสัตว์กวนอิม(พันมือ) อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี.....

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


แม่พระทั้ง 5 เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม

สมเด็จองค์ปัจจุบัน-ทรงพระเมตตาสอนไว้เมื่อ 29 ส.ค.2535 ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่อสะดวกในการจดจำ และความเข้าใจของผู้อ่าน จึงขอเขียนแยกออกเป็นข้อๆ มีความสำคัญดังนี้
1.ในทางโลก บิดามารดาท่านเสพกามกัน ดวงจิตของเราก็มาจุติได้ มารดาอุ้มท้องเลี้ยงดูเรามาตราบกระทั่งชีวิตของท่านหาไม่ พระคุณแห่งบุพการีทั้งสอง ขอจงจดจำไว้ อย่าตำหนิ หรือลบหลู่เป็นอันขาด
2.ในทางธรรม กายเกิดธรรมก็เกิด เกิดด้วยธาตุ 4 เข้ามาประกอบกันโดยมีแม่พระโพสพ(ข้าว)เป็นอาหารหลักที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม ที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย
3.บุตร บิดา มารดา ฆ่ากันในทางโลก หากมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งจิตสร้างอภัยทานให้เกิด กล่าวขออโหสิกรรม และเป็นฝ่ายยอมรับผลของกรรมที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตชาติอย่างสงบ กรรมนั้นๆก็จะลุล่วงเลิกแล้วต่อกันไปได้ เช่น อย่างตถาคตตรัสอโหสิกรรมให้พระเทวทัต หรือ พระอรหันตสาวกทั้งหลายทุกๆองค์ ที่เคารพในกฎแห่งกรรม สำแดงปฏิปทาให้ปรากฏ ตั้งแต่ต้นพุทธันดรมาจนถึงปัจจุบัน และล่วงเลยไปในอนาคตปลายแห่งพุทธันดร ผลแห่งอภัยทาน กล่าวคือ อโหสิกรรม และรับในผลแห่งกรรม ย่อมมีอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างสืบเนื่องตลอดไป
4.ต่างกับผู้ที่ฆ่าตัวตาย ทำร้ายแม่พระทั้ง 5 โทษของกรรมนั้น ยากนักที่จะพ้นได้ จะอย่างไรก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีกตั้ง 500 ชาติ เพราะเนรคุณ ไม่รู้คุณแห่งแม่พระธรรมทั้งปวง
5.เรามาจุติ(เกิด)เราก็ต้องอาศัยเขาสร้างพระบารมี จะไปนรก สวรรค์ นิพพานได้ ก็ด้วยชาติที่เป็นมนุษย์ส่งผลนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าเนรคุณ เวลาป่วยไข้ ก็จงหมั่นดูกฎของกรรมเป็นต้นเหตุ
6.ตัวเวทนาของกาย คือ วิญญาณธาตุ(ระบบประสาทรับสัมผัสของกาย) จงรู้เท่าทันมันให้ดีๆ เพราะตัวนี้เป็นตัวผสมทำสุข ทุกข์ให้เกิด ถ้าแยกจิตไม่เป็น เวทนาของกายก็จะทำให้เวทนาของจิตเกิดขึ้นด้วย ขอให้ศึกษาธรรมนี้ให้ดีๆ จะได้แยกจิต แยกกาย แยกเวทนาออกจากกันได้
7.การทำร้ายตนเอง หรือผู้อื่นทางกาย ด้วยโทสะก็ดี ด้วยโลภะก็ดี ด้วยความหลงก็ดี เช่น คนฆ่าตัวเองตาย เท่ากับทำร้ายดิน น้ำ ลม ไฟ ผู้มีพระคุณ ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง จึงปล่อยให้จิตเศร้าหมองทำร้ายตนเองได้
8.คนไม่รู้จักพระคุณของแม่พระทั้ง 5 จึงมีโทษหนัก เกิดภพใด ชาติใด ก็ต้องฆ่าตัวไปถึง 500 ชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคคลประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก เพราะมักจะชอบทำร้ายบุคคลผู้อื่นอยู่เนืองๆ ด้วยเหตุมิละเว้นแม้นการทำร้ายตนเองได้(ทรงหมายความว่า สิ่งที่เขารักที่สุดในโลกนี้ คือ ร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ เขาก็ยังทำร้ายฆ่ามันให้ตายได้ ดังนั้นเขาผู้นี้จึงสามารถทำร้ายและฆ่าผู้อื่นได้ทุกคนในโลกนี้) เจ้าจงหมั่นระวังจิต อย่าให้คิดทำร้ายตนเอง และทำร้ายผู้อื่น เห็นโทษเห็นทุกข์ตามนี้ด้วยเถิด....

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


วิจารณ์(ธัมมวิจัย) เนื่องจากพระธรรมจุดนี้ละเอียดอ่อนมาก พระองค์จึงสอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น ผมจึงขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกจริตอื่นๆ

1)บุคคลส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 และยังไม่ทราบว่า ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพระแม่โพสพ หรือข้าว ก็คือ ธาตุ 4 หรือ ประกอบด้วยธาตุ 4 ครบ ในเมื่อคนในโลกนี้ต่างก็เติบโต และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าว อันเป็นอาหารหลัก และต้องบริโภคอยู่ทุกวัน แต่จิตยังหยาบเกินไป จึงไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 ยิ่งมองเห็นแม่พระทั้ง 5 เป็นพระธรรม เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลสุดประมาณ

2)ผมจึงเน้นเอา แต่พวกที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา และตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างถาวรในชาติปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ท่านเหล่านี้สะสมบารมีมามาก เข้าใจและยอมรับเรื่องบุญ บาป เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน และกฎของกรรม อันเป็นอริยสัจขั้นสูง โดยจิตหมดความสงสัย(วิจิกิจฉา)ในธรรมเหล่านี้แล้ว

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


คำสอนของพระพุทธเจ้าสมณโคดมเกี่ยวกับพระแม่ทั้ง 5 ทั้งคุณ และโทษ ที่ทรงตรัสสอนไว้ พอสรุปมีความสำคัญดังนี้

1.พระแม่ธรณี(แผ่นดิน ธาตุดิน) พวกทำลายชาติไม่รู้คุณค่าของมาตุภูมิที่เลี้ยงดู ได้อาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ว่าท่านมีพระคุณอย่างใหญ่หลวง จงอย่าเหยียบย่ำ และลบหลู่พระคุณของท่าน กรรมของพวกขายชาติจึงต้องลงนรกขั้นโลกันตะมหานรก(นรกขุมที่ 9)

2.พระแม่โพสพ(ข้าว) พระองค์เน้นให้เห็นพวกที่มีโทสะจริตสูง เวลาบริโภคอาหารมิได้สำรวม ตถาคตรวมไปถึงพวกสมมุติสงฆ์ด้วย จะกินอาหารอย่างกระหายก็ดี ขยุ้มข้าวสุกลงมาจากยอดก็ดี หรือปุถุชน เมียปรุงอาหารไม่ถูกปาก สาดข้าวสุกเททิ้งก้ดี พอกายแตกดับ ก็มาเสวยกรรมแห่งโทสะนั้น ในนรกอีกรูปแบบหนึ่ง ทรงเมตตาให้เห็นภาพสัตว์นรก หิวกระหายจะกินข้าว ข้าวก็กลายเป็นเมล็ดทรายร้อนแรงด้วยเปลวไฟ บาดปากบาดคอให้พังเป็นแถบๆ แล้วล้มตัวลงนอนดิ้นจนตัวละลายไป เพราะพอทรายร้อนไปถึงส่วนไหนส่วนนั้นก็พัง ดังนั้น เมื่อพระแม่โพสพมีพระคุณแก่เรามากนัก เจ้าจงอย่าลบหลู่ หรือเหยียบย่ำพระคุณท่าน

3.แม่พระคงคา(พระแม่คงคา หรือแม่น้ำ) สมมุติสงฆ์บ้วนน้ำลาย ถ่ายของเสียออกจากทวารหนัก-เบา คนธรรมดาก็เช่นกัน ทิ้งของขยะลงไปบ้าง ถ่ายของเสียลงไปบ้าง บางรายอยากได้ปลา ก็ใช้ยาเบื่อปลาละลายลงไปบ้าง บุคคลเหล่านี้ เมื่อตายไปก็ไปเสวยกรรมในนรก มีทีท่าหิวกระหายน้ำจัด เห็นแม่น้ำอยู่ใกล้ๆก็วิ่งกระโจนลงไป วักน้ำขึ้นมาดื่ม น้ำก็กลายเป็นทรายร้อนจัด ถูกปาก-คอ-ท้องก็พัง ละลายไปเป็นแถบๆ เพราะผลกรรมที่เหยียบย่ำพระแม่คงคา

4.แม่พระพาย สัตว์นรกบางเหล่า ไม่รู้บุญคุณของลม หรืออากาศ ทำกรรมบ่น-ดา-ว่า พายุที่พัดให้เสียหาย ทั้งข้าวของ-ทรัพย์สิน-ชีวิต บ้างบ่นว่าร้อน หาลมพัดไม่ได้ ทั้งๆที่ตนเองก็ยังมีอากาศหายใจอยู่ โมหะเข้าครอบงำจิต คิดแต่จะเอาความเย็นมาบำเรอร่างกาย จึงสร้างโทสะให้เกิด กล่าวโทษแม่พระพาย ว่าไม่เอาความเย็นมาให้ ทั้งๆที่ตนเองก็มีพระพาย หรือลมบริโภคอยู่ทางจมูก ทั้งลมภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ พอลมหยุดพัดเพียงชั่วขณะ จิตก็วุ่นวาย เพราะความโง่ทำจิตให้เศร้าหมอง พวกเหล่านี้ เมื่อตายไป ต้องไปเสวยกรรมในห้องเปลวไฟที่ร้อนแรง อันหาอากาศหายใจมิได้ พอบ่นมากๆว่าต้องการลม ศาสตราวุธมากมายก็ตกลงมาทิ่มแทงกายแทนลมที่ต้องการ นี่คือผลจากการลบหลู่พระคุณของท่านแม่พระพาย โดยเฉพาะการเจริญอานาปานุสสติ จักต้องพึ่งท่านโดยตลอด อย่าเหยียบย่ำ หรือลบหลู่เป็นอันขาด ตถาคตเองก็ยังต้องพึ่งท่านในขณะที่ยังทรงขันธ์ 5 อยู่

5.แม่พระเพลิง ไฟเป็นของร้อน หากรู้จักนำมาใช้ก็มีประโยชน์มหาศาล พลังงานต่างๆในโลกล้วนต้องอาศัยความร้อนทั้งสิ้น แม้ขันธโลกก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไฟ(Energy) กายก็เคลื่อนไหวไม่ได้ แม้สิ่งอุปโภค บริโภค รวมทั้งอาหารเครื่องใช้ทั้งมวล ล้วนอาศัยไฟทั้งสิ้น นอกจากนั้น ทุกสิ่งในโลกล้วนประกอบจากธาตุ 4 ทั้งสิ้น

สรุปแล้ว จงอย่าลืมพระคุณของไฟ อย่าลบหลู่เหยียบย่ำไฟ เพราะท่านมีพระคุณแก่โลก และสัตว์โลกอย่างมาก โมหะชนที่เอาแต่โทสะเป็นที่ตั้ง จึงตำหนิไฟเวลาไฟไหม้ ทั้งๆที่คนประมาทเป็นผู้ก่อขึ้น สร้างกรรมขึ้นเองทั้งสิ้น แม้แต่คนป่วยไข้ขึ้นสูง ก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้เองทั้งสิ้น แต่ก็อดตำหนิไฟไม่ได้ จิตของคนพวกนี้จึงเศร้าหมอง หากตายตอนนั้น ก็ไปสู่ทุคติ ถูกไฟนรกเผาไหม้ตามกรรมที่ตนทำไว้

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า

1.ธาตุทั้งหลายจงหมั่นบูชา ระลึกถึงบุญคุณของแม่พระทุกๆท่าน ถ้าเจ้าไม่ลืมพระคุณของแม่พระทั้ง 5 ท่านแม่ทั้ง 5 ก็จะช่วยให้ธาตุทั้งปวงสามัคคีกันได้จนวันตาย และจงหมั่นอุทิศกุศลผลบุญให้กับแม่พระทั้ง 5 ไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพระนิพพาน

2.กรรมเรื่องการลบหลู่บุญคุณของแม่พระทั้ง 5 นี้อัศจรรย์มาก หากพระพุทธองค์ไม่ทรงเมตตามาสอนให้ ก็ไม่มีทางรู้และเข้าใจได้ ในอดีตผู้ใหญ่ท่านเคยสอนว่า อย่าดูถูกดูหมิ่น หรือลบหลู่พระแม่โพสพ(ข้าว)บ่อยๆ แต่มิได้อธิบายเหตุผลให้ทราบ จึงจำกันต่อๆมาเป็นสัญญา ความสงสัย หรือวิจิกิจฉาจึงยังมีอยู่กับจิต เมื่อพระองค์ทรงเมตตาให้รู้-เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ความสงสัยก็หมดไป

3.โดยปกติของพระพุทธองค์ ธรรมใดที่ไม่จริง พระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างใดก็เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงเป็นหนึ่งเสมอ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นอริยสัจ หรือความจริงทุกคำพูด
จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบได้ พวกเราจึงควรตอบแทนพระคุณของท่าน โดยใช้ขันธ์ 5 หรือร่างกายของเรานี้ รับใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะพัง โดยไม่บ่นแม้แต่ทางใจ(มโนกรรม) คำสอนใดๆที่พระองค์ว่าดี ก็ควรรีบปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว ธรรมใดที่พระองค์ห้ามไว้ ก็พยายามละให้เด็ดขาดในเวลาอันสั้นที่สุด

4.เรื่องกรรมบถ 10 หมวดวาจา 4(ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด และเรื่องไร้สาระ)บุคคลที่ขาดความดีในหมวดนี้ จึงหลงลืมพูดวาจาลบหลู่ดูหมิ่นพระแม่ทั้ง 5 เพราะมีโมหะ โทสะ ราคะเป็นเหตุ ใช้คำพูดว่าดินมันแข็ง น้ำมันท่วม ลมมันพัด หรือมันร้อน ไฟมันไหม้ ข้าวมันแข็ง มันเหนียว มันแฉะ มันไหม้ มันบูด เป็นต้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบที่ใช้กับผู้มีพระคุณทั้งสิ้น จะโดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี ล้วนแต่ยังมีจิตหยาบขาดกรรมบถ 10 หมวดวาจาทั้งสิ่น หากไม่ระวังและแก้ไขจิตตนเอง จิตก็จะชินในความชั่วเรื่องวจีกรรม ในที่สุดกลายเป็นนิสัย เป็นสันดานประจำจิต และที่สุดก็อาจปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่ตั้งใจ โดยเอาคำว่ามันนำหน้า เช่น พระมัน ครูมัน พ่อมัน แม่มัน ผลเมื่อกายพังก็ต้องลงนรกไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้ทั้งสิ้น

5.พระพุทธองค์เคยเมตตาให้ดูตัวอย่างของจริง ตอนที่หลวงพ่อฤาษียังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญสั้นๆ ดังนี้ ทรงบอกล่วงหน้าว่า ให้สังเกตบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งจะร่วมวงกินข้าวด้วยในวันนี้ ซึ่งมีนิสัยกินไปบ่นไป ว่าข้าวมันแฉะ ข้าวมันไหม้ ข้าวมัน....แล้ว จะเห็นผลปรากฏ ผลก็จริงตามนั้น เขาผู้นั้นกินไปติกรรมของพระแม่โพสพไป ทำให้เกิดอาการสำลักข้าว และอาหารที่กินจนเกือบจะหายใจไม่ออกตาย!!! และทรงเมตตาตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้มักจะมีอาการธาตุ 4 ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับการย่อยอาหารเสมอ(โรคกระเพาะ และลำไส้)จึงขอเตือนผู้อ่านบทความนี้ไว้ ให้ระมัดระวังเรื่องการตำหนิกรรมของพระแม่ทั้ง 5 เพราะไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้ที่ใจเราก่อนทั้งสิ้น กรุณาอ่านเรื่องอุบายละความชั่วที่ใจเราประกอบ จะมีประโยชน์มาก
ด้วยพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิได้เป็นที่ตั้ง ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี อ่านแล้วจำได้ก่อน จึงค่อยนำไปคิดพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ หรือตัวรู้ อันเป็นตัวปัญญาที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดผล มีดวงตา(ใจ)เห็นธรรมได้ตามลำดับ จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ......

(พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ เล่ม 4).....

ที่มา http://www.buddha-dhamma.com/ind ... pe=1&No=1413496
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-8 09:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คำบูชาแม่พระทั้ง5

นะโม 3 จบ

สาธุ...

ข้าพุทธเจ้าขอกราบไหว้แม่ทั้ง5

ยามใดที่ลูกน้อยได้สัมผัส องค์แม่พระเพลิง เมื่อไหร่ลูกน้อยขอกราบไหว้องค์แม่พระเพลิงนี้ช่วยดลบันดาลแสงสว่าง อนาคต เงินทองมาสู่ลูกน้อยด้วยเถิดเจ้าข้า ขอกราบขอบพระคุณเจ้าข้า

ยามใดที่ลูกน้อยได้สัมผัส แม่พระพราย เมื่อไหร่ลูกน้อยขอกราบไหว้องค์แม่พระพรายนี้ ช่วยพัดเงิน ทอง ความสุขมาสู่ลูกน้อยด้วยเถิดเจ้าข้าสิ่งที่เป็นความทุกข์ขอให้พัดไปให้ไกลแสนไกลขอกราบขอบพระคุณเจ้าข้า

ยามใดที่ลูกน้อยได้สัมผัสอาบกิน องค์พระแม่คงคา เมื่อไหร่ลูกน้อยขอกราบไหว้องค์พระแม่คงคานี้ ช่วยชำระ ความทุกข์ความจนให้หมดสิ้นไปช่วยเป็นยาทิพย์นาๆเพิ่มพูนความสุขเงินทองมาสู่ลูกน้อยด้วยเถิดเจ้าข้าขอกราบขอบพระคุณเจ้าข้า

ยามใดที่ลูกน้อยได้สัมผัส องค์พระแม่โพสพ เมื่อไหร่ลูกน้อยขอกราบไหว้ให้องค์พระแม่โพสพนี้ช่วยเป็นยาทิพย์นาๆช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนยางสัก100ปีมีมันสมองดีเลิศมีปัญญาเฉียบแหลมให้ลูกน้อยตลอดไปเจ้าข้าขอกราบขอบพระคุณเจ้าข้า

ยามใดที่ลูกน้อยได้สัมผัสเหยีบย่าง พระแม่ธรณี เมื่อไหร่ลูกขอกราบไหว้องค์พระแม่ธรณีช่วยเพิ่มพูนความสุขเงินทองให้มั่นคงตลอดไปด้วยเถิดเจ้าข้าขอกราบขอบพระคุณเจ้าข้า

ตั้งแต่เล็กแต่น้อยได้ล่วงเกินอง ๕ แม่ทั้ง 5 ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจลูกน้อยขอกราบขออภัยโปรดอภัยให้ลูกน้อยตลอดไปด้วยเจ้าข้า....


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้