ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 32802
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สังข์ทักษิณาวัตร

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาคปรก เมื่อ 2013-10-14 09:11

สังข์ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของพระราชาธิราชโดยการใช้หอยสังข์บรรจุน้ำพุทธมนต์
หรือน้ำเทพมนตร์์รดที่ศีรษะหรือที่มือเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ
รวมถึงถวายแด่พระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก





ตำนานสังข์ที่ใช้ในพิธีทางศาสนาพรามหณ์


     สำหรับประวัติและความเป็นมาของหอยสังข์ ซึ่งนิยมกันว่าเป็นอุดมมงคลสูง จนทำให้ต้องนำมาใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ก็มีที่มาจากเรื่องเล่าเป็นปรัมปราต่อกันมาว่า มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า สังข์อสูร ยักษ์ตนนี้ได้มาพบพระพรหม ในขณะที่บรรทมหลับอยู่และมีพระเวทต่าง ๆ ไหลออกมาจากพระโอษฐ์ก็ให้เกิดความอิจฉาขึ้น จึงได้ขโมยเอาพระเวทต่าง ๆ นั้นไปเสียเพื่อที่พวกพราหมณ์จะได้ไม่มีพระเวทเป็นเครื่องสวดอ้อนวอนพระพรหม และเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้อีก

     แต่ในขณะเดียวกันนั้นพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของ ยักษ์สังข์อสูรนั้นทุกประการจึงติดตามไปเพื่อจะเอาพระเวทนั้นกลับคืนมา เมื่อยักษ์สังข์อสูรเห็นพระนารายณ์ติดตามตนมาในระยะกระชั้นชิด เช่นนั้นก็เห็นว่าเป็นการจวนตัวจึงได้กลืนพระเวททั้งหมดลงไปไว้ในท้องของตน แล้วกระโดดลงไปในน้ำมหาสมุทรดำน้ำหนีหายไปทันที เมื่อพระนารายณ์เห็นดังนั้นจึงได้เนรมิตร่างของพระองค์ให้เป็นปลาใหญ่ เที่ยวค้นหาตัวยักษ์สังข์อสูรเพื่อจะจับตัวไว้ให้ได้ก่อนที่ยักษ์สังข์อสูร นั้นจะทำลายพระเวทต่าง ๆ ให้หมดไปจากโลก

     ในที่สุดพระนารายณ์ก็จับตัวยักษ์สังข์อสูรเอาไว้ได้ แล้วจึงทวงถามเอาพระเวทคืน แต่ยักษ์สังข์อสูรนั้นไม่ได้มีการเจรจาโต้ตอบแต่ประการใดได้แต่นิ่งเฉยอยู่ เท่านั้นเมื่อพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าพิจารณาดูไปก็ได้ทราบว่ายักษ์สังข์อสูร ได้กลืนเอาพระเวทเข้าไว้ในท้องของตน จึงได้เอาพระหัตถ์บีบที่ปากของยักษ์สังข์อสูรจนเนื้อที่ปากนั้นปริออกมาตาม ระหว่างนิ้วของพระองค์แต่เมื่อทรงเห็นว่ายักษ์สังข์อสูรนั้นยังไม่ยอมคืนพระ เวทอีก จึงได้ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ล้วงเข้าไปในท้องของสังข์อสูรแล้วทรงค้นหาพระเวท ซึ่งอยู่ในท้องของสังข์อสูร
*


     เมื่อทรงเอาพระเวทกลับคืนออกมาจากท้องของยักษ์สังข์อสูรได้จนหมดเรียบร้อย ทุกพระคัมภีร์แล้ว พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงสาปยักษ์สังข์อสูรนั้นว่า ขอให้เจ้าจงมีสภาพร่างกายเป็นอย่างนี้และจงอยู่แต่ในน้ำสืบไป อย่าได้ขึ้นมาบนบกอีกต่อไปเลย เมื่อชาวมนุษย์ทำงานมงคลใด ๆ จึงค่อยมาจับเอาตัวเอ็งไปร่วมในงานพิธีมงคลนั้นด้วย เมื่อทรงสาปแล้วได้ทรงทิ้งร่างของยักษ์สังข์อสูรนั้นลงไปในมหาสมุทรทันที แล้วจึงได้เอาพระเวทนั้นมาส่งคืนให้แก่พระพรหมผู้เป็นเจ้าของเดิม

     เมื่อยักษ์สังข์อสูรนั้นอยู่ในน้ำมหาสมุทรเนิ่นนานเข้าจึงได้กลับกลายมา เป็นหอยสังข์ และมีสภาพเหมือนกับคำที่พระนารายณ์ได้สาปไว้ทุกประการ ตามบริเวณร่างกายของหอยสังข์นั้นได้มีรอยนิ้วพระหัตถ์ของพระนารายณ์ผู้เป็น เจ้ายังปรากฏอยู่ในขณะที่พระองค์ทรงบีบปากเพื่อค้นหาคัมภีร์พระเวทเมื่อ ครั้งแรก และที่ปากของหอยสังข์จึงเป็นรอยยาวออกมานั้น ก็เพราะพระนารายณ์ท่านลากคัมภีร์พระเวทต่าง ๆ ออกมาทางปากครั้นเมื่อถึงเวลาจะทำพิธีมงคลต่าง ๆ จึงจะนำหอยสังข์นั้นมาเข้าร่วมอยู่ในงานพิธีมงคล อย่างพิธีแต่งงานเพราะหอยสังข์เคยเป็นที่บรรจุพระเวทต่าง ๆ ไว้ในท้องของตนจนครบทุกประการนั่นเอง

     ทำไมต้องหอยสังข์..???

     สังข์ หรือหอยสังข์นั้น ประชาชนชาวไทย ต่างก็มีความนับถือกันว่า เป็นของที่เป็นอุดมมงคลอย่างสูงยิ่ง และในงานพิธีมงคลต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นในบ้านเรือนของประชาชนชาวไทยเรา เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น เราก็มักจะได้พบหอยสังข์ ซึ่งใช้เป็นที่หลั่งน้ำแก่คู่บ่าวสาวเพื่อจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข หอยสังข์นั้นนอกจากจะใช้เป็นเครื่องหลั่งน้ำ เพื่อให้มีความสุขความเจริญแล้ว ยังใช้เป่าเพื่อให้ได้ยินเสียง ให้เกิดความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

     บางตำนานและบางความเชื่อก็ว่า ที่เรานำหอยสังข์มาใช้ในพิธีรดน้ำสังข์ ก็เพราะว่า สังข์ คือหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 14 อย่าง อันเกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทวดาและอสูร จึงถือเป็นของสิริมงคลสำหรับคู่บ่าวสาว ส่วนประเพณีการใช้น้ำพระพุทธมนต์บรรจุในสังข์ ก็โดยเหตุที่คนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นน้ำที่เกิดจากการเจริญพระพุทธมนต์ จึงถือเป็นสิ่งมงคลยิ่ง จึงทำให้ในพิธีแต่งงานได้นำน้ำมาบรรจุในหอยสังข์ การรดน้ำสังข์จึงเสมือนเป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองใน ชีวิตคู่

     สังข์เป็นสิ่งมงคลมาแต่อดีต ในพระราชพงศาวรดารอยุธยาได้บันทึกความตอนขุดดินลงปักเสาเอกพระบรมมหาราชวังไว้ดังจะยกมาพอสังเขปดังนี้ "...ศักราช ปี ๗๑๓ ปีขาลโทศก วันศุกร์ขึ้นหกค่ำเดือนห้าเพลาสามนาฬิกาห้าบาทสถาปนากรุงศรีอยุธยาชีพ่อ พราหมณ์ได้ตั้งพิธีกลบบัตรได้สังข์ทักษิณาวัตรใต้ต้นหมันใบหนึ่ง" จากพระราชพงศาวดารตอนนี้แสดงถึงความสำคัญของสังข์ซึ่งนับเป็นศุภมงคลถึงกับต้องจารึกไว้

     สังข์นั้นมีอยู่สองชนิดคือสังข์ทักษิณาวัฎ(สังข์เวียนขวา) และสังข์อุตราวัฏ(สังข์เวียนซ้าย) อย่างไรก็ตามสังข์ทั้งสองชนิดมีความเป็นมงคลเพียงแต่ตามคติพราหมณ์และพุทธ เชื่อว่าการเวียนขวานับเป็นมงคลอันจะก่อให้เกิดสิริสวัสดิ์

     พระมหาสังข์ทักษิณาวัฏ เป็นสังข์เวียนขวาใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระพุทธ มนต์พระราชทานพระราชวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ใช้สรงพระพุทธรูปสำคัญ พระยาช้างต้น โขนเรือพระที่นั่ง ยอดธงชัยเฉลิมพล ฯลฯ มังสีหรือพานรองสำหรับพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏพิเศษกว่ามังสีของสังข์อื่นตรง ที่มีที่บรรจุแป้งเจิมอยู่ภายใน




     


พระมหาสังข์เพชรใหญ่ เป็นสังข์ที่มีขนาดใหญ่ใช้สรงพระพักตร์และใช้ในการทรงพระเครื่องใหญ่

     พระมหาสังข์เพชรน้อย เป็นสังข์ที่ทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ที่ได้จากการเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธ มหามณีรัตนปฏิมากรพระราชทานแก่พระราชวงศ์ อีกทั้งเป็นสังข์สำหรับพระบรมวงศ์ผู้ทรงสัปตปฎลเศวตฉัตรทรงใช้หลั่งน้ำพระ ราชทานในพิธีสำคัญ

     พระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์เงิน พระมหาสังข์นาก พระมหาสังข์งา พระมหาสังข์สัมฤทธิ์ ซึ่งพระมหาสังข์ในกลุ่มนี้จะเชิญออกใช้ครบทุกองค์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

     พระมหาสังข์เดิม ซึ่งทรงใช้รดน้ำพระพุทธมนต์พระราชทานแก่เชื้อพระวงศ์ ราชนิกุล ตลอดจนสมาชิกในราชสกุลเพราะเป็นสังข์เดิมของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก

     สังข์นคร ซึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชนำมาทูลเกล้าฯถวายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาใช้รดน้ำพระราชทานขุนนาง

     สังข์ข้างที่ ซึ่งเป็นสังข์ที่ใช้รดน้ำพระราชทานบุคคลทั่วไป

     กลศสังข์ เป็นขวดมีพวยยาวสำหรับพราหมณ์บรรจุน้ำเทพมนตร์เพื่อสรงถวายในพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกหรือในพระราชพิธีที่มีพิธีพราหมณ์เกี่ยวเนื่อง ฯลฯ

ข้อมูล
Amulet
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-14 08:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาคปรก เมื่อ 2013-10-14 09:06



คือหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 14 อย่างอันเกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทวดาและอสูร จึงถือเป็นของสิริมงคลสำหรับคู่บ่าวสาว ส่วนประเพณีการใช้น้ำพระพุทธมนต์บรรจุในหอยสังข์  ก็โดยเหตุที่คนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นน้ำที่เกิดจากการ เจริญพระพุทธมนต์
จึงถือเป็น สิ่งมงคล ยิ่ง จึงทำให้ในพิธีแต่งงานได้นำน้ำมาบรรจุในหอยสังข์ การรดน้ำสังข์ จึงเสมือนเป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตคู่




อาจารย์ ณรงค์ชัย มากบำรุงจิตได้กล่าวว่า ประเพณีไทยเริ่มแรกมากว่า4000กว่าปีแล้ว
มีพราหมณ์ก่อนมีพุทธศาสนา เมื่อทางอินเดียแล้วได้มีการค้าขายจึงได้นำศาสนาเข้ามา
ด้วยประเทศอินเดียจะนับถือพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ พวกนี้จะมาทาง
สุวรรณภูมิ ทวาย ลักษณะการเผยแพร่จะเป็นการซึมซับเรื่องของสังข์

สังข์มีความเชื่อว่าในศาสนาพราหมณ์ในสังข์นั้นมีไตรเวทน้ำจะ
ล้างในสิ่งที่ไม่ดีและให้สิ่งที่เป็นมงคล สังข์ที่เป็นประเพณีในงานมงคล
จะเป็นสังข์ที่มาจากอินเดียเท่านั้น สังข์ที่ชาวบ้านเรารู้จักกันนั้นเรียกว่า


"หอยสังข์"  หอยสังข์ทั่วไปของคนไทยนั้นไว้กิน
รับประทานกัน ไม่ใช่สังข์ของทางอินเดีย ลักษณะของสังข์นั้นแบ่ง
แยกแตกเป็น 2ประเภท ปากสังข์ที่ออกทางด้านซ้ายเรียกว่า "อุตราวัต"
แต่ถ้าปากสังข์ออกทางด้านขวาเรียกว่า "ทักษิณาวัต"
2ลักษณะนี้แตกต่างกันจากปากที่เห็น ปากสังข์ด้านขวามี
ขนาดใหญ่จะหายากและประเมินราคาไม่ได้

ใครที่ใช้ทักษิณาวัตนั้นจะเป็นสมมุติเทพและพระนารายณ์
ในหลวงจะมีสังข์ทักษิณาวัตที่ใช้ประจำตัว
ของพระองค์สงข์ของในหลวงเป็นสังข์มงคลยิ่งที่เรียกว่า


"มหาสังข์"สังข์อุตราวัตนามของท่านคือ "ขอด"
ถ้าเป็นสังข์ทักษิณาวัตนามของท่านคือ "กุง"ฉะนั้นถ้าเราจะดูทักษิณาวัต
ต้องไปดูที่วัดพระแก้วมรกตจะมีสังข์ของพระเจ้าอยู่หัววางอยู่หน้าพระแก้ว
ลักษณะของสังข์มีการใช้ 2ประเภท..

1.สังข์น้ำ คือ หลั่งน้ำพุทธมนต์ ใช้เป็นมงคลทั้งสิ้นจะใช้ในงานมงคลคนสมัยก่อนจะ
มีสังข์ประจำตระกูลคือ พ่อแม่แต่งงานจะมีสังข์ของตัวเองเสร็จแล้วจะตั้ง
และเป็นตำนานเป็นกุสโลบายของผู้ใหญ่โบราณว่าปู่ย่าตาทวดสร้าง
ไว้ให้กับตระกูล
เพราะลูกหลานจะต้องแต่งงาน
ไปเรื่อยๆเป็นกุสโลบายเชื่อมโยงของครอบครัว



2.สังข์ลม คือ สังข์ที่เป่า
ลักษณะของสังข์เป่าจะกลมอ้วน
และเปิดปากการเปิดปากนั้นต้องเปิดปากโดยผู้รู้ถ้าเราเปิดปากนั้นจะเกิดความเสียหาย
ช่องการเป่าเหมือนห้องดนตรี สังข์เป่าเชื่อว่าเป็นมหาอำนาจแห่งเสียงสามารถสะกดทุกอย่าง
ให้หยุดได้ไม่ว่าเทพหรืออะไรก็แล้วแต่ พระนารายณ์กับสังข์เป่าจะเป็นผู้กำหนด เช่น
การรบทัพจับศึกก็จะมีพราหมณ์เป่าให้เอาฤกษ์เอาชัยให้มีอำนาจเกิดความหึกเหิม
จะสังเกตได้ว่าในพิธีกรรมใหญ่ๆจะมีพราหมณ์เป่าสังข์อยู่เสมอ



      เหตุผลที่พวกพราหมณ์ผู้ทำพิธีต่าง ๆ จะนำหอยสังข์นั้นมาเข้าร่วมอยู่ในงานพิธีมงคลต่าง ๆ
   นั้น ก็เพราะ พราหมณ์มีความเห็นว่า..

๑. หอยสังข์นั้นเคยเป็นที่บรรจุพระเวทต่าง ๆ
ไว้ในท้องของตนจนครบทุกประการ

๒.ตามบริเวณร่างกายของหอยสังข์นั้น

           ได้มีรอยนิ้วพระหัตถ์ ของพระนารายณ์


ผู้เป็นเจ้ายังปรากฏอยู่ในขณะที่พระองค์ทรงบีบปากเพื่อค้นหาคัมภีร์พระเวท
เมื่อครั้งแรกนั้น ที่ปากของหอยสังข์นั้นจึงเป็นรอยยาวออกมานั้น ก็เพราะพระนารายณ์
ท่านลากคัมภีร์พระเวทต่าง ๆ ออกมาทางปากนั้น ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวแล้วทั้งหมดนี้เอง

จึงได้นับถือว่าหอยสังข์นั้นเป็นของ
ที่สูงและศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเข้ามาร่วมในพิธีมงคลต่าง ๆ ตลอดมา


  ข้อมูลจาก.http://www.oknation.net/blog/print.php?id=820747.
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-14 08:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาคปรก เมื่อ 2013-10-14 08:57





เรื่องของสังข์เป็นเรื่องที่มากด้วยตำนานและความศักดิ์สิทธิ์ตามคติทางศาสนาและความเชื่อ ทั้งวชิรญาณ และมหายาน รวมทั้งความเชื่อของฮินดู จัดว่าเป็นเครื่องมงคลอย่างหนึ่ง มีรูปหอยสังข์อยู่ที่ใด ที่นั่นจะสมบูรณ์พูนสุข มีความร่มเย็น ตามตำนานฮินดูเชื่อว่าสังขอสูรได้ขโมยคัมภีร์พระเวทของพระพรหม และได้กลืนลงท้อง ต่อมา พระนารายณ์ได้อาสาไปปราบ และได้แหวกหอยสังข์เอาคัมภีร์พระเวทออกมา และปรากฎปาฏิหาริย์รอยนิ้วของพระนารายณ์บนเปลือกหอย  แต่เนื่องจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ทำให้พระนารายณ์สำทับว่า แต่นี้หอยสังข์จะใช้แต่ในการมงคลพิธีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ในพิธีมงคลต่างๆ พราหมณ์ หรือเจ้าพิธีมักใช้สังข์ในการเป่า หรือใช้หลั่งน้ำสังข์เพื่อความเป็นสิริมงคลในงานนั้นๆเป็นต้นมา

เรื่องของหอยสังข์ยังถือเป็นเครื่องราง แสดงถึงเรื่องมงคลในหลายประเทศ และทุกเชื้อชาติก็มักกล่าวถึงแต่เป็นของมงคล ทั้งแถบยุโรป ไวกิ้งโบราณ และแถบเอเชียเช่นกัน



การวางหอยสังข์บนแท่นบูชาในห้องสวดมนต์เป็นการเพิ่มกระแสความสงบ เกิดความสบายใจ จิตนิ่ง


การวางไว้ในสถานที่รับแขก เชื่อว่าจะดึงดูดสายตา เพิ่มความสดชื่น คายพลังความเป็นมิตร และรู้สึกดีต่อกันได้


นอกจากนี้หากวางไว้ในห้องทำงานยังจะส่งเสริมสมาธิลดความตรึงเครียด เกิดจินตนการความคิด ช่วยทำให้การวางแผนดีขึ้น

สำหรับชาวฮินดูมักพกหอยสังข์ตัวเล็กๆในยามเจรจาความ และทำการค้าให้ประสบความสำเร็จ

และชาวทิเบต มักบรรจุผงพระธาตุ ปิดด้วยเงิน ชันโรง ตกแต่งด้วยอัญมณี เก็บไว้บูชา และใช้ในงานมงคล

เพิ่มเติม คือสังข์ที่หายากแสนยาก เรียกว่า ..

สังข์ทักษิณาวัตร
เป็นสังข์ลายวนขวา พิเศษ หนึ่งในหมื่น หรือในล้าน จึงจะพบ ตามความเชื่อ
หากใครได้ครอบครองจะนำความเจริญรุ่งเรือง และเป็นวาสนาสูงสุดของผู้ได้ครอบครอง มักใช้ในงานพิธีใหญ่เท่านั้น


แต่หากหาสังข์วนขวาไม่ได้ เพียงแต่มีสังข์วนซ้ายตัวเล็กๆติดตัว หรือไว้เป็นสมบัติสักชิ้นก็จะทำให้ผู้นั้นมีโชคลาภ วาสนา และประสบความสำเร็จได้


ข้อมูลจาก..http://www.weloveshopping.com
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-14 09:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาคปรก เมื่อ 2013-10-15 22:35

เรื่องราวของหอยกับ ?ปกรณัม? กันบ้าง หลายคนอาจจะงง กับคำว่า ปกรณ์ หรือ ปกรณัม คืออะไร ปกรณ์ คือ เรื่องเล่ากล่าวขานกันต่อๆ มา ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้า ก็เรียกว่า เทวปกรณัม



คราวนี้คนแก่ขอมานำเสนอเรื่องราวของหอยกับ "ปกรณัม" กันบ้าง หลายคนอาจจะงง กับคำว่า ปกรณ์ หรือ ปกรณัม คืออะไร ปกรณ์ คือ เรื่องเล่ากล่าวขานกันต่อๆ มา ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้า ก็เรียกว่า เทวปกรณัมขอรับ คนแก่ใคร่ขอนำเสนอเรื่องราวของหอยกับปกรณัม สักเล็กน้อยตามความรู้อันน้อยนิดที่คนแก่มี มาให้ท่านๆ ได้สดับรับชมกันขอรับ
เริ่มจาก หอยสังข์อินเดีย (Indian Chank : Turbinella pyrum)



         


    สังข์เป็นหอยอีกชนิดหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ที่เป็นมงคลของไทย ที่เห็นบ่อยๆ ได้แก่ การรดน้ำสังข์ในงาน แต่งงาน หรือในงานพระราชพิธีต่างๆ ที่มีการอัญเชิญพระสังข์ พระมหาสังข์องค์ต่างๆ เข้าประกอบพิธี เช่นพิธีโสกัณฑ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมาในงานพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของในหลวงเรา ก็คงจะได้เห็นภาพที่พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำพระมหาสังข์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย หรือแม้ในพงศาวดารหลายเรื่อง ก็มีการกล่าวถึงหอยสังข์ เช่น การใช้เปลือกหอยสังข์มาทำเป็นผังเมืองสำหรับสร้างเมืองหริภุญไชย หรือที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา

  ในตอนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเห็นว่าทำเลบริเวณหนองโสนอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีคูคลองล้อมรอบ จึงมีรับสั่งให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกลบบาตสุมเพลิง จากนั้นจึงให้พนักงานขุดดินโดยรอบเพื่อเตรียมสร้างพระราชวัง และได้พบสังข์ทักษิณาวรรตสีขาวบริสุทธิ์ใต้ต้นหมันหนึ่งขอน อ้อ ลืมบอกไปขอรับ คำลักษณะนามที่ใช้เรียก “สังข์” นั้น เขาเรียกกันเป็น “ขอน” เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นขอนของต้นหมันไป ทรงถือเป็นศุภนิมิตร ทรงโปรดให้ปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานสังข์ทักษิณาวรรตขอนดังกล่าว ในปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยายังคงรูปสังข์ทักษิณาวรรตประดิษฐานอยู่ในพานทองใต้ต้นหมันเป็นตราประจำจังหวัด นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ปรากฏว่ามีแขกคนหนึ่งชื่อนักกุดาสระวะสี ได้นำมหาสังข์ทักษิณาวรรตมาถวายเป็นคนแรก จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นขุนนางมียศเป็นหลวงสนิทภูบาล

          เรื่องราวที่เล่าขานมานี้ล้วน แต่แสดงให้เห็นว่าสังข์มีความเกี่ยวพันกับคนไทยมานานแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องใช้สังข์หลั่งน้ำในงานมงคลต่างๆ หรือเข้าประกอบในงานมงคลต่างๆ นั้น เรื่องนี้มีที่มาขอรับ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุแล้ว พระองค์ก็มีประกาศิตให้พระพรหมธาดาขึ้นไปอยู่ในพรหมโลก ให้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ในครั้งนั้นบรรดาพรหมที่มีจิตใจริษยาต่างก็ไม่พอใจ ก็เลยจุติลงมาเป็นสังข์อสูรอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ครั้งนั้นพระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์มาถวายพระอิศวร เมื่อมาถึงที่อยู่ของสังข์อสูรก็เกิดอาการร้อนรุ่มอยากสรงน้ำ จึงได้วางคัมภีร์ไว้ริมฝั่งแล้วเสด็จลงน้ำ ฝ่ายสังข์อสูรเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้ให้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์นั้นมา แล้วก็กลืนเข้าไว้ในท้องทั้งหมด ฝ่ายองค์พรหมเมื่อขึ้นมาจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระอิศวรทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ เมื่อพระศิวะเจ้าเข้าฌานก็ทราบถึงสาเหตุ จึงได้เชิญพระนารายณ์มา และให้เป็นธุระในการนำเอาพระคัมภีร์กลับมา พระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นปลากรายทอง นามว่า มัจฉาวตาร ไล่ล่าสังหารผีเสื้อน้ำ และเข้าโรมรันกับสังข์อสูรเป็นสามารถ ในที่สุดก็เอาชนะสังข์อสูรได้ แล้วสำแดงองค์คืนร่างเป็นพระสี่กร ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากสังข์อสูร เพื่อหยิบเอาพระคัมภีร์ บางตำนานก็ว่า ทรงแหวกปากของสังข์อสูรออก


   ทำให้หอยสังข์ในปัจจุบันมีรอยนิ้วของพระนารายณ์ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้จากนั้นพระสี่กรจึงสาปสังข์อสูรว่า สังข์อสูรเป็นพรหมมาจุติ และกลืนคัมภีร์พระเวทย์เข้าไว้ อีกทั้งยังมีรอยนิ้วพระหัตถ์แห่งพระองค์ปรากฏอยู่ด้วย นับว่าเป็นมงคล ดังนั้น ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลพิธีในภายภาคหน้าก็จงเอาสังข์เข้าอยู่ในพิธีนั้น ผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ก็ให้เป็นมงคล กันอุบาทว์เสนียดจัญไร หรือเป่าก็ให้เป็นมงคลไปจนสุดเสียงสังข์ ครั้นสาปแล้วพระนารายณ์ก็นำคัมภีร์ไปถวายพระอิศวร และเสด็จกลับเกษียรสมุทร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์จึงถือว่าหอยสังข์ที่ปากมีริ้ว 2-4 ริ้ว อันเกิดจากนิ้วพระหัตถ์ของพระสี่กรปรากฏอยู่นั้นเป็นสังข์สำคัญ


อีกตำนานหนึ่ง ซึ่ง มีที่มาจากทางคชศาสตร์ โดยเกี่ยวพันกับเทพเจ้าแห่งช้างที่สำคัญสององค์ คือ “พระพิฆเนศ” และ “พระโกญจนาเนศวร” สำหรับพระพิฆเนศนั้น เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักดี แล้วขออนุญาตไม่เล่าในที่นี้ขอรับ ถ้าอยากทราบประวัติของท่าน สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ“อมนุษยนิยาย” ของ ส พลายน้อย ได้ขอรับ แต่เทพอีกองค์คือ พระโกญจนาเนศวร นั้นมีพระนามปรากฏอยู่เฉพาะในตำราคชลักษณ์ ตามตำนานกล่าวว่า ในไตรดายุค พระนารายณ์ทรงกระทำเทวฤทธิ์ให้เกิดดอกบัวผุดขึ้นจากอุทร ดอกบัวดอกนั้นมีแปดกลีบ มีเกสร 172 เกสร แล้วนำไปถวายพระอิศวร ซึ่ง องค์เทวะเจ้าได้แบ่งเกสรดอกบัวออกเป็นสี่ส่วน หนึ่งส่วนเป็นขององค์ศิวะเจ้าเอง หนึ่งส่วนขององค์พรหมา ส่วนหนึ่งเป็นของพระวิษณุ และส่วนที่สี่ให้แก่พระอัคนี เพื่อให้เทวะ แต่ลงองค์ทรงบันดาลให้เกิดช้างสี่ตระกูล คือ อิศวรพงศ์, พรหมพงศ์, วิษณุพงศ์ และอัคนิพงศ์ แล้วจึงสร้างพระเวทสี่ประการ ไว้ให้สำหรับชนทั้งหลายจะได้ปราบช้างทั้งสี่ตระกูลในโลก พระผู้ทรงจันทเศขร ทรงประสาทพรให้พระเพลิงกระทำเทวฤทธิ์ให้บังเกิดเปลวเพลิงออกจากช่องพระกรรณทั้งสอง และท่ามกลางเปลวเพลิงทางด้านขวา

   บังเกิดเป็นเทวกุมารองค์หนึ่ง มีพระพักตร์เป็นช้าง พระกรขวาทรงตรีศูล พระกรซ้ายทรงดอกบัว มีอุรเคนทร์ (พญานาค) เป็นสังวาล นั่งชาณุมณฑล อยู่เบื้องขวาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ทรงพระนามว่า “ศิวบุตรพิฆเนศวร” ส่วนเบื้องซ้ายบังเกิดเป็นเทวกุมาร มีพระพักตร์เป็นช้างสามเศียร มีหกพระกร ทรงพระนาม “โกญจนาเนศวร” ทรงบันดาลให้เกิดเป็นช้างเอราวัณ ช้างเผือกผู้มี 33 เศียร อีกพระกรหนึ่ง บังเกิดช้างคิรีเมขละไตรดายุค ช้างเผือกผู้สามเศียร ช้างทั้งสองถือเป็น “เทพยานฤทธิ์” ซึ่ง พระเป็นเจ้าทั้งสามประสาทพรไว้ให้เป็นเทพพาหนะขององค์อมรินทร์ พระกรอีกสองกรของพระโกญจนาเนศวร เกิดเป็นช้างเผือกซึ่งจะได้อุบัติในโลก สำหรับเป็นพาหนะของกษัตริย์อันมีอภินิหารอีกข้างละสามตระกูล คือ

   ช้างเผือกเอก โท ตรี และพระกรเบื้องขวาเป็นพลาย อีกสองพระกรบังเกิดเป็น “สังข์ทักษิณาวรรต” เบื้องขวา “สังข์อุตราวัฏ” เบื้องซ้าย ยืนอยู่เหนือกระพองศรีษะช้างเจ็ดเศียร บรรดาหมอช้างทั้งหลายจึงไหว้บูชา พระศิวบุตรพิฆเนศวร และพระโกญจนาเนศวร ด้วยเหตุนี้พระศิวบุตรทั้งสองก็ประจำอยู่ในโลกจนสิ้นภัทรกัปหนึ่ง ช้างเผือกทั้งสามตระกูล และสังข์สองตระกูล จึงเป็นของมงคล เพราะเกิดจากกลางฝ่ามือของพระโกญจนาเนศวรศิวบุตรนั่นเอง ความเชื่อดังกล่าวทำให้การขึ้นระวางสมโภชช้างสำคัญในทุกรัชกาล จะทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏเหนือศีรษะช้างสำคัญ อันเป็นพิธีใหญ่ และสำคัญมาก เทียบเท่าพระเจ้าลูกยาเธอชั้นเจ้าฟ้าเชียวนะขอรับ




5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-14 09:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาคปรก เมื่อ 2013-10-15 22:34


ภาพที่แสดงเป็นภาพพระโกญจนาเนศวรขอรับ

          เทวปกรณัมที่เล่ามา หลายคนอาจจะสงสัย พระสังข์ทักษิณาวรรต หรือ ถ้าแปลเป็นภาษาง่ายๆ จะแปลว่าหอยเวียนขวา ส่วนพระสังข์อุตราวัฏ หรือหอยเวียนซ้ายนั้น จะดูอย่างไร ว่าสังข์ขอนไหนที่เป็นเวียนขวา หรือว่าเวียนซ้าย ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะขอรับ ว่าการดูว่าเปลือกหอยเปลือกไหน เวียนขวาหรือว่าเวียนซ้ายนั้น มีการมองอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเป็นไปตามหลักการทางด้านสังขวิทยา ส่วนอีกแบบเป็นไปตามคติของพราหมณ

           


     เราลองมาเปรียบเทียบทั้งสองแบบดูนะขอรับ เอาแบบทางด้านสังขวิทยาก่อนแล้วกันนะขอรับ ถ้าตอนนี้ใครมีเปลือกหอยทะเลในมือ (ขอเป็นหอยฝาเดียวนะขอรับ หอยสองฝาเดี๋ยวไว้มีเวลากระผมค่อยบอกว่าดูยังไงเป็นฝาซ้ายหรือว่าฝาขวา)

ทีนี้ลองยกเปลือกหอยขึ้นมาดูนะขอรับ ให้เอาด้านที่เป็นปลายแหลมชี้ขึ้นข้างบน แล้วหันเอาด้านที่เป็นปากเปิด (aperture) หันเข้าหาตัว ถูกต้องแล้วขอรับ ทีนี้ให้สังเกตด้านปากเปิด ถ้าปากเปิดอยู่ด้านขวามือเรา แสดงว่าเป็นหอยเวียนขวา (right-hand coiling : Dextral)


  แต่ ถ้าปากเปิดอยู่ด้านซ้ายก็เป็นหอยเวียนซ้าย (left-hand coiling : Sinistral) ขอรับ ซึ่ง ในหอยทะเล 99.99 % เป็นหอยเวียนขวา และ 0.01 % เป็นหอยเวียนซ้าย เอาล่ะขอรับทีนี้เรามาลองดูการขดวนของหอยแบบทางคติพราหมณ์บ้างขอรับ ในทางพราหมณ์นั้น เขาไม่ได้มองการขดวนเหมือนทางวิชาการ แต่ดูจากเวลาใช้สังข์รดน้ำ ลองนึกภาพตอนที่เรารดน้ำสังข์ในงานแต่งงานสิขอรับ เราทำอย่างไร เราจะหันเอาด้านปลายแหลมเข้าหาตัว แล้วก็เอาด้านที่เป็นช่องที่ใส่น้ำออกจากตัวใช้ไหมขอรับ ในกรณีนี้ ถ้าปากเปิด หรือช่องที่ใช้รดน้ำนั่นแหละขอรับ อยู่ทางด้านซ้ายมือเรา ก็จะเรียกว่า หอยเวียนซ้าย หรือสังข์อุตราวัฏ แต่ ถ้าปากเปิดอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก็จะเป็นหอยเวียนขวา หรือสังข์ทักขิณาวรรต


ทีนี้เอาใหม่นะขอรับ เราลองเอาสังข์อุตราวัฏ มาดูการขดวนแบบทางวิชาการดู สังเกตเห็นอะไรไหมขอรับ ใช่แล้วขอรับ สังข์อุตราวัฏก็จะกลายเป็นหอยเวียนขวาในทางวิชาการ และในทำนองเดียวกัน สังข์ทักขิณาวรรต ก็จะกลายเป็นหอยเวียนซ้าย เพราะฉะนั้นอย่าได้สับสนนะขอรับ ให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงสังข์ หรือพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตแล้วล่ะก็จะหมายถึงหอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนซ้าย ส่วนสังข์หรือพระสังข์อุตราวัฏจะหมายถึงหอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนขวาขอรับ ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดขอรับ ในประเทศอินเดีย เราคงทราบดีอยู่แล้วว่ามีการปกครองแบบแบ่งวรรณะ (varna) ต่างๆ สี่วรรณะ เชื่อหรือไม่ขอรับว่า แม้แต่สังข์เองก็ยังแบ่งออกเป็นสีในการใช้ตามวรรณะด้วยเช่นกัน โดย


  • วรรณะพราหมณ์ ใช้สังข์สีขาว
  • วรรณะกษัตริย์ ใช้สังข์สีแดงหรือสีน้ำตาลหรือชมพู
  • วรรณไวศยะ ซึ่ง ได้แก่ คหบดี หรือพ่อค้า ใช้สังข์สีเหลือง และ
  • วรรณะสุดท้ายคือ ศูทร ได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน ใช้สังข์สีเทา หรือสีดำ ขอรับ
เพื่อความเข้าใจง่ายๆ เลยเอารูปมาลงให้ดูอีกทีขอรับ

เรื่องของสังข์นี่ ถ้าจะให้เล่ากันล่ะก็คงเล่าได้ไม่รู้จบ เอาเป็นว่าเราพอจะสรุปได้ว่า วิถีชีวิตคนไทยเราผูกพันกับสังข์มานาน และแม้ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังข์ ดังเช่นงานพระราชพิธีต่างๆ ที่กล่าวถึงในตอนต้น และสำหรับเราเหล่าสามัญชนแล้วล่ะก็ที่ยังเห็นได้บ่อยๆ คือการรดน้ำสังข์ในงาน แต่งงานนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วน แต่มาจากคติความเชื่อที่ว่าสังข์เป็นของมงคล และน้ำที่หลั่งจากสังข์ช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ พอพูดถึงเรื่องนี้คนแก่เองก็อยากทราบเหมือนกันว่า คนกรุงเทพฯ เรานี่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า


   หอยสังข์อุตราวัฏสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ใน “สวนรมณีนาถ” ซึ่ง สร้างในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษานั้น ภายในสังข์นั้นบรรจุแผ่นยันต์มหาโสฬสมงคล และองค์สังข์จริง ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในสังข์สำริด ทำให้น้ำพุที่ไหลผ่านกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ถ้าจะให้เล่าเรื่องสังข์แล้วล่ะก็มีเรื่องราวให้กล่าวขานกันอีกมากมาย แต่เอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน ไว้มีเวลาค่อยมาว่ากันใหม่ขอรับ


ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บบอร์ด www.siamensis.org โพสโดยผู้ใช้นามแฝงว่า หอยชรา
เสด็จปู่ศรีสุทธรรม พระหัตถ์ข้างซ้าย ถือสังข์ทักษิณาวัตร
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้